"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7)

Decadence (Ch.7)

ผลพวงจากการกระทำของเคออส ดูเหมือนว่ามันจะเข้าไปเตะตากับตัวของคนกลุ่ม ๆ หนึ่ง และแน่นอนว่าพวกเขาใช้เวลามองและเฝ้าสังเกตการณ์เพียงปราดเดียวก็รับรู้ได้ทันทีถึงแรงกะเพื่อมที่สั่นไหวออกมาในรูปแบบคลื่นสัญญาณเล็ก ๆ ที่น้อยคนจะรู้สึกถึงมัน

ระดับการสั่นไหวของมันมากเพียงพอที่ใครคนหนึ่งจะรับรู้ได้ แม้เพียงอยู่ห่างไกลไปคนละซีกโลกหนึ่งก็ตาม

“พวกเราจะไม่–”

การเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบของกลุ่มกองกำลังลับผู้ทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของแมนทัส ยังคงดำเนินไป ณ ตามเวลาช่วงที่เหล่าศัตรูคู่แข่งขององค์กรเซอร์เพนท์กำลังหลับใหลด้วยผลพวงจากกลิ่นควันจากยาสลบที่แฝงด้วยพิษหลอนประสาทภายในนั้น ซึ่งมันเป็นฝีมือของผู้นำประจำกลุ่ม ‘ราตรีทมิฬ’ ที่เขาเองได้ชี้นำสมาชิกภายในกลุ่มของตัวเอง และเป็นผู้นำกำลังคนทั้งหมดของตัวเองในการเข้าถึงพวกกองกำลังทหารที่หนุนหลัง เคออส เวนเจกซ์ อยู่อย่างลับ ๆ

‘อนานซิ เวรูกา’ เดินแทรกเข้ามาอยู่ระหว่างกลางของกลุ่มคนที่แต่งกายด้วยชุดหนังสีดำทึบตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งมันถูกถักทออย่างประณีตมากเสียจนไม่ต่างอะไรจากเป็น ‘เอกลักษณ์’ ที่ทำให้คนกลุ่ม ๆ นี้มีความพิเศษเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นเพียงแค่กองกำลังติดอาวุธธรรมดา

“ไม่เลิกราง่ายเสียเกินกว่าที่คาดไว้ แบบนี้งานของเหล่าสาวกคงยุ่งเหยิงน่าดู”

เครื่องแต่งกายและชุดคือสิ่งที่แสดงถึงตัวตนของสมาชิกในกลุ่มราตรีทมิฬ มากกว่าเพียงชื่อเสียงเรียงนามเก่าแก่ที่พวกเขามี (หรืออาจเคยมี) เหล่าผู้เคลื่อนตัวอยู่ในมุมมืดของโลก ผู้รับใช้อสรพิษร้ายที่หลอกล่อให้มนุษย์ตกสู่ห้วงแห่งบาป หากเพียงแต่ในยุคสมัยที่ทุกอย่างก้าวไปข้างหน้า ย่อมเป็นธรรมดาที่อาจมีผู้คนหลงลืมถึง ‘สัญชาตญาณดิบ’ ที่อยู่ภายในตัว

เว้นแต่ไม่ใช่กับคนพวกนี้ ทั้งหมดต่างล้วนมีสายเลือดความเป็น ‘นักล่าแห่งพงไพร’ ไม่ต่างอะไรจากที่เวรูกาเป็น

“เหยื่อพวกนี้เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำกับที่คุณเคยลงมือนะ”

สมาชิกคนสำคัญภายในกลุ่มกล่าวกับร่างโปร่งสูง ผู้นำของกลุ่มที่กำลังดูดเลือดจากทหารคนหนึ่งด้วยอุปกรณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แน่นอนว่าสำหรับเวรูกา เลือดของมนุษย์ก็คืออาวุธประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของไสยศาสตร์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ หากแต่มันมีไว้เพียงเพื่อที่เขานำมันมาเพื่อสกัดเป็นยาพิษสำหรับใช้วางกับดักเหยื่อหรือศัตรูของเขา

แต่ต่างจากตัวของอีกฝ่าย เพราะอาวุธที่เขาใช้กลับเป็นในตัวของมีดพับอาบยาพิษเป็นจำนวนมากภายในเสื้อคลุมขนหมีดำที่ตัวเองสวมใส่อยู่

“อาจไม่ยากเท่า แต่ก็ง่ายดายเกินไปจนคิดไม่ถึงว่าจะตายได้ง่าย ๆ ขนาดนี้”

“แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมทึ่งได้ตลอดกับวิธีการที่คุณฆ่าพวกเขา”

อาจเป็นเพียงเพราะโชคลาง หรือไม่มันก็คือผลพวงจากความเชี่ยวชาญมาแต่เก่าก่อนของเขา แตกต่างกันจากตัวของ ‘ฮาร์เวิร์ท’ ที่ความสามารถส่วนใหญ่กลับค่อนไปในทางคล้ายคลึงกับตัวของอดีตหัวหน้านักลอบสังหารขององค์กรอสรพิษที่หลบหนีไป ซึ่งเขาเปรียบได้เป็นดั่งอาจารย์ผู้แนะนำให้ เคออส เวนเจกซ์ ได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘มีด’ และ ‘อาวุธปา’ อันเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่เขามักใช้สังหารเหยื่ออยู่เป็นประจำ

“วิธีการของข้าไม่ต่างจากสมัยที่การล่าสัตว์ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ เราล่าเพื่อเอาชีวิตรอด หาใช่เพียงเพื่อเป็นกิจกรรมสันทนาการ เหมือนอย่างที่เจ้าทำ เฮทเลอร์”

อายุอานามของคนทั้งคู่ห่างกันเพียงไม่มาก ทว่าสิ่งหนึ่งที่กลับทำให้ตัวเวรูกาดูน่าคบหามากที่สุด คงเป็นการที่อีกฝ่ายเกิดและเติบโตขึ้นมาจากสังคมของชนเผ่าในแอฟริกาใต้ อีกทั้งการเผชิญกับมรสุมชีวิตที่มากมายก่อนจะได้มาทำงานให้กับองค์กรอสรพิษอย่างเต็มตัว มันก็ทำให้ไม่แปลกที่เวรูกาจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของศาสตร์และความเชื่อโบราณที่ถูกหลงลืมไป ศาสตร์เหล่านั้นคือสิ่งที่ชาวเผ่าของเขาได้สืบทอดต่อกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น

ผิดกับฮาร์เวิร์ท เขาเป็นเพียงอดีตนาวิกโยธินหนุ่มผู้มีความเชื่อมั่นในตัวเองเกินร้อย และมีงานอดิเรกคือการล่าสัตว์ป่าด้วยวิธีการทางยุทธวิธีทางการทหารที่ผสมผสานเข้ากับทักษะสมัยโบราณ ซึ่งมันเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างจะผิดกฎหมายในหลาย ๆ ประเทศ หากแต่อย่างไรเองมันก็ไม่ได้หยุดความต้องการที่เขาถวิลหาความตื่นเต้นจากการได้เป็น ‘อันดับหนึ่ง’ ของการเป็นนักล่าที่หาตัวจับได้ยาก

“อย่างไรเอง เจ้าควรอย่าลืมสำนึกเสียด้วยว่าไม่ใช่ ‘เหยื่อ’ ทุกตัวที่จะให้เราได้ล่าโดยง่าย สมดุลของธรรมชาติที่นับวันเริ่มถูกทำลายลง ทำให้งานของเหล่าผู้ล่ารังมีแต่จะลำบากมากขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่า สิ่งที่พวกเราทำคือการเปิดโอกาสให้พวกมันได้ดำเนินชีวิตไปตราบจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แม้จะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของนายทุน แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่เราเป็น”

“แล้วคุณเป็นอะไร?” ฮาร์เวิร์ท ถามกลับ

“ผู้ล่า’ เฮทเลอร์ ข้าคือผู้ล่า พวกเราคือ ‘ผู้ล่า’ พวกเราคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง”

ไม่มีคำพูดนอกเหนืออะไรจากนั้น เวรูกา ใช้เวลาของเขาในการติดต่อและส่งข้อความตอบกลับไปหาตัวของแมนทัส หลังจากที่ตอนนี้เขาเองได้เปิดทางให้กองกำลังติดอาวุธขององค์กรอสรพิษผ่านเข้ามายังในพื้นที่ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฐานบัญชาการลับที่เอาไว้สำหรับสังเกตการณ์ และเพื่อดักจับสัญญาณวิทยุเพื่อตามหาบุคคลผู้หนึ่งที่พวกเขาต่างรู้จักชื่อเป็นอย่างดี

“เจ้านาย’ บอกเรามาว่าให้เตรียมตัวสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป พิกัดยังไม่แน่ชัด แต่จากประสบการณ์และสัมผัสที่ข้ามองเห็น อาจเป็นไปได้ว่าครั้งนี้เรากำลังใกล้กับ ‘เหยื่อ’ ที่เขาต้องการ”

สัมผัสการรับรู้ของเวรูกาผสมผสานเข้ากับพิธีกรรมและความเชื่อในชนชาวเผ่าของตัวเอง วิธีการที่เขาทำส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้าง ‘เส้นใยล่องหน’ ที่มันถักทอขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยโดยฝีมือของแมนทัส ชายคนนั้นเปรียบเสมือนเป็นผู้ที่เขาให้ความเคารพมากที่สุด รองลงมาจากหัวหน้าเผ่าผู้เลี้ยงดูเขาขึ้นมา และได้ฝึกสอนให้เขาได้รู้จักการสร้างกับดักและศาสตร์การปรุงยาจากการนำเลือดของสิ่งมีชีวิตและสมุนไพรมาประกอบเข้ากันจนกลายเป็นอาวุธสังหารที่รุนแรงเหนือความคาดหมาย

อย่างไรเอง ศาสตร์สมัยโบราณก็ไม่อาจอยู่ยงคงกระพันเท่ากับศาสตร์ของการค้นคว้าและวิจัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของพวกมนุษย์หัวกะทิ ความเชื่อของพวกเขาดูแปลกแยกไปจากสามัญสำนึกของคนที่เติบโตขึ้นมาในสังคมชนเผ่าเล็ก ๆ ที่ความเจริญเข้าไม่ถึง

‘เส้นใยล่องหน’ ถูกถักทอขึ้นให้มีลักษณะเหมือนกับเครือใยแมงมุม ขนาดของมันขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ที่เอื้ออำนวย และแน่นอนว่าใยแต่ละเส้นมีหน้าที่สำหรับเป็นตัวส่งสัญญาณให้กับเหล่าสมาชิกทุกคนในราตรีทมิฬ ซึ่งมันสัมพันธ์เข้ากับประสาทการได้ยินของพวกเขาแทบทั้งหมด

เวรูกา เก็บเส้นใยทั้งหมดกลับเข้าไปในถุงมือที่ตัวเองสวมใส่ พร้อมกับเครื่องมือสื่อสารประจำองค์กรที่ติดคู่อยู่กับบนตัวเสื้อของเขา ได้เวลาแล้วสำหรับการที่เขาจะพาพรรคพวกของตัวเองไปเยือนหาหนึ่งใน ‘เป้าหมาย’ คนสำคัญตามที่ผู้เป็นนายต้องการ

- 1 -

ภายหลังจากการปล่อยข้อมูลทั้งหมดเข้าไปยังตัวเครือข่ายเซิฟเวอร์ขนาดใหญ่ สิ่งต่อไปที่เคออสทำคือการว่าจ้างกลุ่มกองกำลังปฏิบัติการลับกึ่งทหารของเขาให้ทำอะไรบางอย่างที่มันเกี่ยวเนื่องกับองค์กรเก่าที่เคยตามล่าตัวเขา

ในบรรดากลุ่มต่าง ๆ ที่เคออสทั้งมีส่วนร่วมและเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง 'กลุ่มกองกำลังกึ่งทหาร' ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากกว่าตัวของกลุ่มติดอาวุธหรือแม้แต่กลุ่มผู้ต้องการปลดแอกออกจากการอยู่ภายใต้อำนาจของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา หรือกระทั่งกับตัวอย่างของในประเทศยูเครน ซึ่งตลอดช่วงชีวิตนับแต่ที่เขาได้ทำงานในฐานะของ 'ผู้ไกล่เกลี่ย' ของเครือข่ายอาชญากรรม เขาก็ได้สร้างสัมพันธมิตรจนกลายเป็นที่กล่าวถึงในหมู่ของกลุ่มคนผู้ต้องการเดินทางในวิถีของเขา

'กลุ่มปฏิวัติอิสระ' คือหนึ่งในตัวอย่างนั้น หากแต่ด้วยประสิทธิภาพและความด้อยประสบการณ์ในด้านการทหาร พวกเขาจึงไม่ถึงเข้าเค้ากับนิยามของคำว่า 'กองกำลังกึ่งทหาร' เหมือนที่เขาต้องการ

ระดับของผู้ก่อการร้ายเช่นเขา ล้วนมีผู้หนุนหลังจำนวนมากมาย และท่ามกลางโลกที่ผู้คนต่างเข้าหากันด้วยผลประโยชน์ไม่ว่าทั้งทางตรงและทางอ้อม สิ่งสำคัญที่สุดเสมอที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแตกหักกันได้ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าผลลัพท์มันจะมาจากไหนก็ตาม

และแน่นอน ความเชื่อใจ คือสิ่งสำคัญสำหรับการแสดงออกถึงเป้าหมายและอุดมการณ์อันแรงกล้าในการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างให้กลายเป็น 'ประโยชน์' ที่เข้าถึงได้เฉพาะพรรคพวกของตนเอง

‘เมอร์เซอร์นาริก (Mercernaric)’ ก็เป็นแบบนั้น

แม้จะมาจากต่างถิ่น ต่างชาติกำเนิด หรือแม้แต่กระทั่งต่างวีรกรรมที่พวกเขาได้กระทำ หากแต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เคออสให้ความสนใจ นอกเหนือจากมีเพียงแค่หนึ่งอย่างที่เขาสามารถทำให้สมาชิกทั้งยี่สิบคนได้ยึดถือร่วมกันกลายเป็นอุดมการณ์เดียว

“ถัดจากตรงจุดนี้ไปอีกประมาณสิบไมล์ จะเป็นจุดที่เราแยกตัวออกจากด่านตรวจ…”

รถจิ๊ปสีเขียวอมดำจำนวนสองคัน ออกวิ่งตะลุยไปตามเส้นทางโดยมีคันหนึ่งวิ่งนำหน้าและอีกคันวิ่งตามมาทางด้านหลัง แน่นอนว่าคนที่อยู่ข้างในรถมีอยู่กันเต็มคันรถ โดยจำนวนสี่ในแปดของรถทั้งสองคัน มีคนจากกลุ่มเมอร์เซอร์นาริกติดตามเข้ามากันด้วย ขณะที่อีกสี่คนที่เหลือคือกลุ่มทหารผู้ทำหน้าที่นำทางพวกเขาไปยังสถานที่ ๆ แห่งหนึ่งตามแผนการที่ได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าก่อนหน้านี้

“เราพาให้คุณเข้าไปได้ถึงแค่ด้านหน้าเท่านั้น ที่เหลือหลังจากนี้คือคุณต้องพึ่งตัวเอง ปกติเราไม่ค่อยให้คนภายนอกเข้ามาเยี่ยมที่นั่นได้มากนัก แต่ถึงยังไงเอง เราเพียงรับคำสั่งมาพร้อมกับเงินอีกสามแสนดอลลาร์ เพราะงั้นแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะถือว่าพวกคุณทำตัวเองแล้วกัน”

เสียงจากวิทยุสื่อสารที่ดังออกมาจากตัวรถกล่าวกับคนทั้งสี่ มันเป็นทั้งประโยคกล่าวเตือนและบอกให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับปฏิบัติการที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า ซึ่งแน่นอนว่าในที่นี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการเข้าถึงยุทโธปกรณ์ทางการทหารที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ปกปิดเอาไว้ภายใต้ชื่อว่า ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’

“เตรียมตัวกันให้ดี”

ใครบางคนส่งสัญญาณออกไป ก่อนที่ทั้งหมดจะหยิบหมวกลายพรางขึ้นมาสวมใส่ปิดบังใบหน้า ขณะที่รถยังคงวิ่งตรงไปตามทางเรื่อย ๆ จวนเกือบใกล้จะถึงที่หมายตามที่นัดกันเอาไว้

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้จะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อยเฉกเช่นพวกทหารที่อยู่ในรถพยายามซักถามถึงเหตุผลและเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ หากแต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงแต่ความเงียบงันและสายตาที่บ่งบอกถึงความจริงจัง ก่อนที่ภายหลังมันจะถึงจุดเริ่มต้นสำหรับงานชิ้นแรกที่คนทั้งสี่ได้ออกปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับการมอบหมายเอาไว้

“จอดลงตรงนี้”

หลังจากผ่านด่านตรวจเข้ามายังถึงบริเวณพื้นที่ด้านในสถานที่ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเมอร์เซอร์นาริก ส่งสัญญาณมือออกไปบอกให้พรรคพวกของพวกเขาแยกย้ายออกไป ซึ่งผู้ออกคำสั่งและทำหน้าที่เป็นหัวหน้านำปฏิบัติการเป็นใครไม่ได้นอกจากอดีตทหารหญิงนายหนึ่ง ผู้ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน

‘สายสืบ’ ที่ทำหน้าที่ลำเลียงพวกเขามาถึงที่หมาย เลือกจะแยกตัวออกไปพร้อมกับอาวุธเป็นปืนไรเฟิลยาวจู่โจมสัญชาติอเมริกัน ต่างกันจากกลุ่มเมอร์เซอร์นาริกที่พวกเขานั้นเลือกจะติดตัวเป็นเพียง กล็อก 21 ติดปลอกเก็บเสียงและแมกกาซีนอีกสามตลับ พวกเขาทั้งหมดอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารลายพรางดิจิทัลสีทราย แบบเดียวกับที่คนในฐานนั้นกำลังใส่อยู่ แน่นอนว่าเนื่องจากบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมันมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนามากเป็นพิเศษ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพื่อเข้าถึง ‘เป้าหมาย’ ที่ได้ถูกจ้างวานเอาไว้

“แกรนท์ สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”

ชายผู้เป็นเจ้าของชื่อทำทีเป็นแนบเนียนไปกับสถานที่และหลีกเลี่ยงการพบหน้ากับพวกบรรดาทหารราบคนอื่น ๆ ที่เดินลาดตระเวนผ่านไปมา ก่อนจะเลี้ยวเข้ามาหยุดอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง แล้วตัดสินใจยกหูฟังขนาดเล็กขึ้นมาสวมใส่พร้อมกับติดต่อกลับไปหาอดีตทหารหญิงผู้นำปฏิบัติการเงียบของตัวเอง

“ผ่านฉลุย ดูจากท่าทางคนพวกนี้คงน่าจะถูก ‘เกณฑ์’ เข้ามา ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังเก็บรักษาอะไรไว้อยู่ข้างใน”

ข้อมูลคร่าว ๆ โดยสรุปจากการประชุมแผนการเป็นเวลานานกว่าสามสัปดาห์ สิ่งที่เรียกว่า ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ มันถูกเก็บเอาไว้อยู่ภายในฐานบัญชาการแห่งนี้ และอยู่ตรงบริเวณใจกลางของทะเลทรายอาหรับ ซึ่งรอบด้านถูกรายล้อมด้วยกำแพงคอนกรีตสูง พร้อมทั้งมีพลแม่นปืนประจำอยู่บนหอคอยเป็นจำนวนมากกว่าสิบคน ไม่นับกับพวกบรรดากองทหารราบอีกห้าสิบกว่าชีวิตที่กำลังประจำการอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งในบรรดากลุ่มคนทั้งหมดที่พวกเขาได้สืบทราบข้อมูลจากที่เคออสส่งมา ภายในนั้นมีทหารสัญญาบัตรระดับสูงคอยทำหน้าที่สั่งการอยู่ด้วย

“รายงานจากเอกสารลับที่ตรวจค้นพบนั่นอาจเป็นได้ทั้ง ‘เรื่องจริง’ และ ‘ข่าวลวง’ แต่ความจริงหนึ่งเดียวที่ผมมั่นใจได้ พวกเขามีแผนจะใช้ขีปนาวุธนั่นเพื่อถล่มกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตะวันออกกลางจริง”

อีกด้านหนึ่ง ฝั่งของผู้ทำหน้าที่สังเกตการณ์และคอยเป็นพลชี้เป้าให้กับคนทั้งคู่ หน้าที่ของสมาชิกคนที่สามของกลุ่มเมอร์เซอร์นาริกผู้มีนามว่า ‘มาร์ก ชอว์สัน’ เลือกจะประจำตำแหน่งจากที่สูงบนหอคอยสังเกตการณ์ โดยที่เขาเองได้จับตัวของพลแม่นปืนคนหนึ่งเอาไว้เป็นตัวประกัน และฟังบทสนทนาทั้งหมดผ่านทางหูฟังขนาดเล็กเฉกเช่นเดียวกับที่ด้านของหัวหน้ากลุ่มกำลังพูดอยู่ในตอนนี้

“เพียงแต่จะเริ่มขึ้นตอนไหน เราคงได้แต่เฝ้ารอดูเอาไว้”

มาร์ก ไม่ได้พูดอะไรนอกจากกวาดมองผ่านสโคปลำกล้องปืนไรเฟิลซุ่มยิง เหตุการณ์ทุกอย่างภายในฐานดูเหมือนจะยังคงดำเนินไปตามปกติและไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม นอกเหนือจากการที่เขาหันไปสนใจกับพลแม่นปืนชาวสหรัฐฯ ผู้หนึ่ง ก่อนจะทำการใช้สันปืนทุบให้สลบ แล้วกลับไปให้ความสนใจกับการทำหน้าที่ชี้เป้าให้กับคนทั้งสามที่ยอมเสี่ยงพาตัวเองเข้าไปในฐานด้านในของศัตรู

“กำลังมีคนไปทางคุณ โจนาห์”

“ขอบคุณ มาร์ก จะให้เฝ้ามองอย่างเดียวคงไม่ได้หรอก ยังไงซะสิ่งที่เราต้องการคือแผงวงจรที่อยู่ในตัวขีปนาวุธนั่น ฉันจะทำหน้าที่ปิดระบบสัญญาณเตือนภัย ส่วนคุณกับมาร์ตินจะเป็นคนดูดข้อมูลพวกนั้นแล้วขโมยแผงวงจรนั่นออกมา เข้าใจใช่ไหม?”

“ผม? ผมต้องไปกับ…เขา?”

เสียงติดต่อของสมาชิกคนที่สี่ของกลุ่มเมอร์เซอร์นาริก ขานออกมาหลังจากเงียบกริบไปอยู่นาน เจ้าของนามว่า ‘มาร์ติน เฟกูสัน’ ไม่ได้มาโดยง่าย ด้วยอายุอานามที่ใกล้เคียงกับแกรนท์ แน่นอนว่านั่นทำให้เขาทั้งคู่กลายมาเป็นคู่หูร่วมสนามรบกันได้ในระยะเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ภายหลังจากผ่านการฝึกฝนอันทรหดที่ผู้เป็นนายอย่าง ‘เคออส เวนเจกซ์’ ได้เคี่ยวเข็ญฝึกสอนพวกเขาในทุก ๆ เรื่อง

“พวกคุณสองคนเข้าขากันได้ดีในเรื่องนี้ ฉันกับมาร์กจะคอยสนับสนุน หากเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันขึ้นมา ยังไงแล้วนี่เป็นงานชิ้นแรกที่พวกเราได้ทำร่วมกัน อย่าให้เขาผิดหวังในตัวพวกเราไปโดยเด็ดขาด”

โจนาห์ เน้นประโยคคำว่า ‘ผิดหวัง’ ที่มันแปลออกมาได้สองความหมาย และแน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เธอได้ยินจากปากโดยตรงของหัวหน้าผู้ก่อการร้ายผู้ที่เชื่อมั่นในเรื่องของความกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว ความเฉียบขาด และความรวดเร็วในการปฏิบัติงานแต่ละครั้ง

“เข้าใจแล้ว เราจะไม่ทำให้เสียเวลา”

งานการแทรกซึมเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น เหตุการณ์จากด้านนอกดูจะไม่มีใครเอะใจถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนทั้งสี่ที่พวกเขาเองทยอยทำหน้าที่ของตัวเองอย่างลับ ๆ ขณะเดียวกันก็ถูกจับตามองโดยอดีตพลแม่นปืนจากหน่วยรบพิเศษที่นอกเหนือจากมีฝีมือหาจับตัวได้ยาก ยังทำหน้าที่เปิดเส้นทางเพื่อสนับสนุนคนทั้งสามไปอีกด้วย เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องพึ่งพวกสายสืบที่แฝงตัวเข้ามาพร้อมกันเลยแม้แต่คนเดียว

ทว่าอาจมีอยู่บ้างที่พวกเขาจะมีการยื่นมือเข้ามาช่วย หากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนทั้งสี่ไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความที่ฐานดังกล่าวมีขนาดพื้นที่กว้างขวาง ไหนจะเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์สำคัญ ๆ มากมาย ทั้งหมดเหล่านี้เองก็แสดงให้เห็นได้ไม่ยากถึงแสนยานุภาพของกองทัพสหรัฐฯ ที่พวกเขามี ซึ่งเทียบกับอีกหลาย ๆ มหาอำนาจประเทศที่เหลือ ความแตกต่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนคือการครอบครองอาวุธร้ายแรงหลากหลายอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ของพวกนี้เหมือนจะรับซื้อมาจากบริษัทชั้นนำหลายที่พอตัวเลยนะ ว่างั้นไหม แกรนท์?”

มาร์ติน เลือกจะหันเหไปตามหาตำแหน่งของหัวรบขีปนาวุธ แทนที่จะเป็นตัวของข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ ที่มันเป็นหน้าที่ของแกรนท์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทางของเขา แน่นอนว่าตำแหน่งของทั้งสองอย่างมันอยู่แยกออกไปไกลมากพอที่ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องแบ่งหน้าที่และรับมือกับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงให้ได้มากที่สุด และไม่พยายามใช้ปืนพกที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่กับตัวเอง เพราะอาจทำให้บรรดาพวกทหารราบรู้ตัวกันได้

“มีสมาธิกับงานก่อน มาร์ติน เอาไว้เราค่อยคุยกันหลังงานเสร็จ”

เขาไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผู้เป็นเพื่อนพูดกับตัวเอง แกรนท์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการนำเอาหลักฐานที่ได้มาจากการแทรกซึม บันทึกเสียง รวมถึงแม้แต่การจดจำใบหน้าแต่ละคน ทักษะของการเป็นหน่วยสืบราชการลับของเขาดูจะได้ใช้แทบทุกอย่าง ทันทีที่เขาก้าวขามาถึงยังฐานบัญชาการนี่ นั่นก็เท่ากับว่าตัวเขากำลังก้าวหน้าไปมากกว่าแค่การมีส่วนร่วมกับความมั่นคงระหว่างประเทศ อันมีโอกาสที่มันอาจสั่นคลอนกลายเป็นสงครามได้ตลอดเวลา

ต่างกันจากตัวมาร์ติน ประสบการณ์จากในสงครามที่เขามีแทบจะไม่เข้ากันเลยกับการต้องพาตัวเองมาแนบเนียนอยู่ในที่แห่งนี้ จริงอยู่ว่าหลายครั้งเขาอาจสามารถกลมกลืนตัวเองไปกับฝูงชนได้ก็ตาม หากแต่มันกลับมีอยู่หลายครั้งที่เขา ‘เกือบ’ จะสลัดคราบการเป็นทหารของตัวเองไป แม้ว่าในช่วงเวลาอดีตที่ผ่านมาเขาจะคุ้นเคยเกี่ยวกับการทำภารกิจแทรกซึมมานักต่อนักไปก็ตาม

แต่สถานการณ์แบบนี้มันแตกต่างจากที่เขาเคยเจอ ลึก ๆ เขากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็น ‘อาชญากร’ ยังไงอย่างงั้น

ทว่าครั้นจะถอนตัวออกจากภารกิจกลางคันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวเขา ตราบใดเองที่เขายังมีปัญหาและความกังวลเกี่ยวกับภาระที่ต้องแบกรับเพียงลำพัง นั่นแปลว่าเขาจำเป็นต้องถีบตัวเองเพื่อจะเดินหน้าทำภารกิจต่อไป ประกอบกับที่คอยให้การสนับสนุนและไม่เปิดโปงถึงสิ่งที่ตัวเขาเองได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับมัน

“ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บเข้ามาแล้ว”

เวลาผ่านได้ประมาณสิบนาที แกรนท์ ติดต่อกลับไปยังที่ตัวโจนาห์ ที่เธอกำลังพาตัวเองเข้าไปในส่วนกลางของฐานบัญชาการ ที่ ๆ มันเต็มไปด้วยทหารชั้นสัญญาบัตรและทหารชั้นประทวนที่มียศระดับ ‘จ่าสิบเอก’ ขึ้นไปกำลังทำงานของตัวเองอยู่อย่างแข็งขัน

“โจนาห์ เหมือนว่าข้อมูลที่ผมเอามาได้ จะมีการระบุเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของกลุ่มทหารอิสราเอลที่มันปกปิดเป็น ‘ความลับสุดยอด’ ไว้ด้วย ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณต้องการไหม แต่ไว้ผมจะส่งมันไปให้คุณหลังจากที่จบงานนี้แล้วนะ”

ด้านของหญิงสาวค่อย ๆ เดินผ่านตัวทหารนายหนึ่ง ก่อนจะชิงจังหวะนี้ในการริบคีย์การ์ดสำหรับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แล้วเร่งฝีเท้าเดินเลี้ยวและหยิบการ์ดนั่นเพื่อเข้าถึงภายในห้องรักษาความปลอดภัยไปอย่างรวดเร็วทันที แน่นอนว่าด้านในมันเป็นห้องที่เก็บเทปบันทึกของกล้องวงจรปิด รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่มันข้องเกี่ยวกับความปลอดภัยประจำฐานแห่งนี้

“ขอโทษนะครับ คุณผู้–”

โดยไม่มีความจำเป็นต้องเปิดบทสนทนาใด ๆ เธอจัดการใช้ กล็อก 21 ลั่นไกออกไปจำนวนสามครั้ง กระสุนทั้งสามแล่นเข้าตรงใส่จุดตายของทหารทั้งสามในทันทีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ภายหลังจากนั้นเธอจะเริ่มปิดตายล็อกห้องรักษาความปลอดภัยไปโดยทันที ก่อนหันมาสนใจกับภาพบนจอมอนิเตอร์ตรงหน้านับกว่าหลายสิบตัวและแผงควบคุมสำหรับกล้องวงจรปิดที่อยู่ทั่วรอบฐาน

“ขอโทษทีที่ไม่ได้ตอบกลับ คุณว่าไงนะ แกรนท์?”

“ผมเจอเอกสารที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของทหารอิสราเอลกลุ่มหนึ่ง มันระบุไว้ตอนช่วงปี 2020 ชื่อปฏิบัติการว่า ‘ซีโร่ ทรินิตี้ (Zero Trinity)’ คุณเคยได้ยินไหม?”

โจนาห์ เงียบกริบไปสักพักหนึ่ง เธอไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากฟังแค่ชื่อปฏิบัติการที่ด้านของอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ ก่อนจะตอบกลับไปหาเขาทันที ระหว่างที่กำลังหันไปให้ความสนใจกับระบบรักษาความปลอดภัยภายในห้องเพียงลำพัง

“ใช่ ฉันเคยได้ยิน”

เธอตอบกลับไปสั้น ๆ ก่อนจะหันเหไปสนใจกับภารกิจแทรกซึมตรงหน้าต่อไปหลังจากนั้น

“โอเค ทีนี้ก็เหลือแค่มาร์ตินแล้ว…”

ภาพจากบนตัวกล้องวงจรปิดแสดงถึงภายในบริเวณโรงเก็บขีปนาวุธที่ประตูนิรภัยค่อย ๆ ถูกแง้มเปิดออกมาเพียงเล็กน้อย พอให้สมาชิกของเมอร์เซอร์นาริกลอดเข้าไปยังด้านในได้ แน่นอนว่าฝั่งของมาร์ตินต่างจากตัวของแกรนท์กับโจนาห์ เนื่องจากเขามีความจำเป็นต้องแฝงตัวไปกับกลุ่มทหารราบภายในฐานและหลบเลี่ยงที่จะไม่ใช้ปืนเก็บเสียงเพื่อลั่นไกสังหารคนพวกนั้น

โจนาห์ สับไปสนใจกับแผงควบคุมของกล้องวงจรปิด สลับเปลี่ยนจากภาพปกติกลายเป็นภาพ ‘มองกลางคืน’ เพื่อที่เธอจะได้เห็นตัวบริเวณด้านในอย่างชัดเจน

“ขอโทษที ผมเข้ามาถึงด้านในแล้ว ผมต้องตามหาอะไร คุณโจนาห์?”

มาร์ติน พูดผ่านทางวิทยุสื่อสารพร้อมกับยกปืน กล็อก 21 และไฟฉายคู่กายส่องไปทั่วบริเวณโรงเก็บขีปนาวุธด้านใน สถานที่ ๆ คาดว่าอาจมีแผงวงจรของเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ เก็บรักษาเอาไว้อยู่

“ขีปนาวุธที่มีสัญลักษณ์รูป ‘อสรพิษ’ คุณเตรียมเครื่องมือมาหรือเปล่า มาร์ติน?”

“ใช่ เอ่อ…ผมเตรียมมา”

‘เครื่องมือ’ ในความหมายของเธอมันคือชุดไขควงกับอุปกรณ์ช่างที่ไว้สำหรับงัดแงะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์จากตัวหัวรบขีปนาวุธ แน่นอนว่ามันต้องอาศัยความเชี่ยวชาญอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งคนที่สามารถทำงานชิ้นนี้กลับมีเพียงแค่ ‘เขา’ คนเดียวภายในกลุ่ม

“โอเค งั้นก็ดี ฉันหวังว่าคุณคงจำได้ว่าต้องทำยังไงถ้าจะเอาแผงวงจรนั่นออกมา”

‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ มีลักษณะไม่ต่างจากขีปนาวุธตามที่พวกเขาได้รับทราบข้อมูลมา ความโดดเด่นของมันอยู่ตรงที่เนื่องจากมันมีการบรรจุสารเคมีร้ายแรงบางอย่างไว้ข้างใน ซึ่งทำงานผ่านระบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและยากจะเจาะเข้าถึง เพราะฉะนั้นมันเลยง่ายกว่าถ้าหากเปลี่ยนจากการเจาะระบบเข้าไปเป็นการงัดออกมาทั้งแผงวงจร

“โจนาห์ ดูเหมือนผมพบกับ–”

สิ่งไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้ตัว เว้นเพียงแต่สำหรับมาร์ตินที่ดูเหมือนว่าเขานั้นจะพบเจอเข้ากับสิ่ง ๆ หนึ่งภายในโรงเก็บขีปนาวุธเข้า

“เจออะไรตอบด้วย มาร์ติน”

แสงจากไฟฉายบนมือของมาร์ติน ปรากฎเป็นฝาประตูนิรภัยที่ซึ่งเมื่อเขาเปิดมันออกมาก็ได้พบว่าใต้โรงเก็บมีบันไดปีนลงไปยังชั้นใต้ดิน แน่นอนว่าดูแล้วมันค่อนข้างเป็นเรื่องที่สร้างความแปลกประหลาดใจอยู่นิดหน่อยสำหรับการที่จู่ ๆ เขาดันพบกับสิ่งที่มันไม่ควรมีอยู่ในสถานที่เช่นนี้

“ผมเจอบันไดลงไปชั้นใต้ดิน ไม่รู้ว่ามันจะนำผมไปไหน แต่รู้ว่ามันอยู่ใกล้กับขีปนาวุธที่ผมกำลังจะเข้าไปถอดแผงวงจรออกพอดี”

ได้ยินแบบนั้นคนทั้งสามต่างเงียบกริบกันไปสักพัก จนกระทั่งเมื่อผู้นำอย่างโจนาห์ตัดสินใจตอบกลับไปหาตัวอดีตทหารราบแทน

บรรยากาศแปลก ๆ ที่ไม่น่าไว้ใจมันเริ่มเข้ามาแทนที่ความเงียบสงัดที่รอบด้านเต็มไปด้วยอันตรายจากเหล่าทหารผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

“คุณเจอตำแหน่งของขีปนาวุธแล้วยัง?” โจนาห์ เลือกถามถึงเป้าหมายในภารกิจที่ต้องการ

“ผมเจอแล้ว” เขาตอบกลับ

“งั้นโฟกัสกับภารกิจก่อน สิบโท นี่มันไม่ได้อยู่ในแผนผังของฐานบัญชาการที่เราได้ตกลงกันไว้”

“โอเค”

ส่วนของพวกบรรดาทหารในฐานบัญชาการเริ่มที่จะมีการเคลื่อนไหวอยู่เป็นบางส่วน คงไม่ต้องบอกว่าเหมือนพวกเขาจะเริ่มจับสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างไป โดยมันเริ่มจากด้านของอดีตพลแม่นปืนเช่นมาร์ก ที่เขาเหลือบไปสังเกตเห็นว่ามีพวกทหารบางกลุ่มเริ่มจะทยอยลงจากหอคอยสังเกตการณ์ไป ตามมาด้วยฝั่งของแกรนท์ที่เขาเห็นว่าทหารราบจำนวนหนึ่งเริ่มจะขึ้นยานพาหนะ ก่อนจะทยอยขับออกจากฐานบัญชาการไปอย่างเร่งรีบ ซึ่งแน่นอนว่ามันค่อนข้างผิดวิสัยไปจากสิ่งที่มันควรเป็น

“เฮ้ พวก! ดูเหมือนว่าผมจะเริ่มเห็นเค้าลางไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

มาร์ก วิทยุไปหาเมอร์เซอร์นาริกทุกคน พร้อมกับที่เขาตัดสินใจเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากจุดสังเกตการณ์ แล้วใช้เวลานี้สำหรับการแอบสะกดรอยตามหนึ่งในพลทหารคนหนึ่งไป คล้ายกับว่าเขาต้องการทราบถึงสาเหตุหรือคำสั่งบางอย่างที่ทำให้พวกทหารภายในฐานต่างเริ่มทยอยที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ

“โจนาห์” ใครคนหนึ่ง โพล่งออกมา

“เกิดอะไรขึ้น มาร์ก?”

“ผมว่าเราควรอาจต้องรีบเร่งมือสักหน่อย ดูทรงแล้วทหารพวกนี้ พวกเขาเริ่มที่จะ–”

ยังไม่ทันไรที่จะกล่าวจบประโยค สิ่งไม่คาดฝันก็ได้เริ่มมาเยือนหาในทันทีทันใด

“ชิบแล้ว–”

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นรอบฐาน พร้อมกับเสียงสังเคราะห์จากปัญญาประดิษฐ์ที่มันได้บ่งบอกว่ามี ‘กลไก’ บางอย่างทำงานขึ้นมาและมันเริ่มนับถอยหลังเป็นเวลาเพียงสิบห้านาที พร้อมกันกับที่มาร์ตินได้ปลดแผงวงจรออกมาจากเจ้า ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ ซึ่งดูเหมือนทั้งสองเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน

คำเตือน : ชนวนทำลายล้างตัวเองเริ่มทำงาน

14:50

“อา…พอเข้าใจแล้ว”

เหมือนมันจะผิดคาดไปจากสิ่งที่ทั้งสี่คนได้คิดเอาไว้ อย่างไรเอง คนที่เข้าใกล้กับเหตุการณ์ระทึกขวัญนี้มากที่สุด กลับเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวของมาร์ตินที่หลังจากความพยายามในการแกะตัวแผงวงจรสำเร็จลุล่วงอย่างทุลักทุเล สิ่งหนึ่งที่เขาเห็นก็พบว่าทั้งโรงภายในที่ ๆ เขาอยู่มันเริ่มสว่างวาบขึ้นมาในทันที โดยมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าบรรดาหัวรบขีปนาวุธทั้งหมดถูกจุดชนวนขึ้นมาแบบอัตโนมัติ และมันก็เริ่มจะทำงานไปพร้อมกับนาฬิกาที่นับถอยหลังไปด้วย

13:45

“มาร์ติน ปีนบันไดนั่นลงไปซะ อย่าออกมาทางประตูหน้าโดยเด็ดขาด!”

เวลาที่นับถอยหลังไปบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสี่จำเป็นต้องรีบออกจากฐานแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่มันมีความกว้างขวางพอสมควร ทำให้เมอร์เซอร์นาริกทั้งสี่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงการถูกพบเห็นตัวประกอบไปกับการแข่งกับเวลาที่เริ่มนับถอยหลังลงไปด้วย ซึ่งนับไปตั้งแต่โจนาห์ แกรนท์ มาร์ก และมาร์ติน โดยที่พวกเขามีเพียงแค่โอกาสครั้งเดียวก่อนที่ทุกอย่างจะราบเป็นหน้ากลอง

12:00

จำนวนทหารภายในฐานเริ่มซาลงไป ขณะเดียวกันเองด้านฝั่งของเมอร์เซอร์นาริก พยายามที่จะหลบหนีออกจากฐานอย่างรวดเร็ว ซึ่งแต่ละคนต่างก็พบเจอกับอุปสรรคที่แตกต่างกันไป

หากแต่ที่ยากลำบากที่สุด เหมือนจะมีเพียงแต่ตัวของมาร์ติน แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นไม่ใช่กลุ่มพวกทหารที่พยายามจะต่อสู้หรือตอบโต้ใส่เขาด้วยอาวุธบนมือ แต่กลับกลายเป็นการที่ต้องอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวที่มีแรงสั่นสะเทือนจากบนพื้นดิน ซึ่งคาดว่ามันคงเป็น ‘กลไกการทำงาน’ บางอย่างที่อาจหมายถึงการจุดชนวนระเบิดขึ้นมา

สถานการณ์จากบนพื้นดินแสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายที่มันมาพร้อมกับการที่คนทั้งสามได้ต่อกรกับพวกทหารที่กำลังทยอยอพยพออกจากฐานบัญชาการไป และแน่นอนว่ามันเองย่อมมาพร้อมกับการเปิดฉากสาดกระสุนยิงกันแบบไม่ยั้ง บ่งบอกได้ว่าพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะต้องรับมือกับเวลาที่นับถอยหลังน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ยังรวมไปถึงพวกทหารที่พวกเขาเลือกจะหันปากกระบอกปืนเพื่อจัดการกับผู้ที่แทรกซึมเข้ามาด้วยเช่นกัน

“ติดต่อหามาร์ตินได้ไหม?” โจนาห์ โพล่งขึ้นมาขณะที่บนมือของเธอกำลังคว้าปืนไรเฟิลจู่โจมมาถือไว้บนมือ ก่อนเอาหลังแนบชิดกำแพงเพื่อหลบเลี่ยงห่ากระสุนบางส่วนที่พวกทหารยิงใส่ตนเอง

“ไม่เลย ดูท่าสัญญาณวิทยุคงลงไปไม่ถึงที่ ๆ เขาอยู่”

หน้างานภารกิจแรกที่เริ่มต้นด้วยการแทรกซึมอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่มันจะมาบรรจบยังในจุดที่คนทั้งสามจำเป็นต้องงัดความสามารถทุกอย่างที่มี ความวุ่นวายในบริเวณฐานนั้นแสดงออกถึงการที่ทุกคนต่างล้วนรักตัวกลัวตาย หรือไม่ก็ทำไปเพราะคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเอาไว้จากพวกทหารชั้นสัญญาบัตร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันไม่สลักสำคัญ

เมอร์เซอร์นาริก ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่บนมือไปแล้ว นอกเหนือหลังจากนั้นคือการที่พวกเขาต้องเอาตัวรอดให้ได้จากสถานการณ์อันฉุกละหุกนี้ โดยหวังว่ามันจะไม่ถูกมองว่าเป็น ความผิดพลาด ที่ผู้เป็นนายอย่าง เคออส เวนเจกซ์ จะไม่ตำหนิหรือติเตียนพวกเขาในสิ่งที่มันเกินความคาดหมายของตัวเอง

5:32

“เราต้องรีบเร่งมือหน่อยแล้ว”

มาร์ก ผู้ทำหน้าที่เป็นพลแม่นปืนสนับสนุนให้กับแกรนท์และโจนาห์ กล่าวผ่านทางวิทยุสื่อสาร ตำแหน่งของเขาอยู่ไกลกว่าใครเพื่อนก็จริง แต่ในทางกลับกันก็เข้าใกล้กับสถานที่เก็บยานพาหนะที่พวกเขาสามารถใช้มันเพื่อเป็นทางหลบหนีได้ แม้ว่าการจะไปถึงที่ตรงจุดนั้น ทั้งสองอาจต้องผ่านด่านพวกทหารอเมริกันที่ทั้งรับมือกับศัตรูแปลกปลอมที่แทรกซึมเข้ามา ไปจนถึงเร่งเอาตัวเองก่อนที่ ‘ระบบทำลายตัวเอง’ จะทำงาน

“แกรนท์! โจนาห์! ทิศตะวันออกเฉียงใต้มีรถคันหนึ่งจอดเอาไว้อยู่ใกล้กับทางออก เป็นไปได้ผมอยากให้พวกคุณทั้งสองเร่งฝีเท้ามานี่ให้ไว เพราะตอนนี้ผม–”

เสียงปืนดังขึ้นสนั่นพร้อมกันกับเสียงสัญญาณเตือนที่มันแทบจะกลบเสียงพวกนั้นไปด้วยเช่นกัน ทำเอาฝั่งของผู้นำกลุ่มถึงกับหน้าถอดสีด้วยความตกอกตกใจ

“มาร์ก? มาร์ก!! คุณโอเคดีไหม?!”

“ผมโอเคดี…แค่โดนกระสุนถากใส่นิดหน่อย แปะพลาสเตอร์เดี๋ยวก็หาย”

นับว่าฟังแล้วพอโล่งใจได้นิดหน่อย อย่างไรเอง โจนาห์รู้ว่าเธอไม่ควรเสียเวลากับเรื่องตรงนี้ นอกจากจะหันไปพูดกับตัวของแกรนท์ เพื่อให้เขาสับฝีเท้าวิ่งตามเธอไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ฝั่งของมาร์ติน แน่นอนว่าการต้องสับฝีเท้าวิ่งไปในทางอุโมงค์ที่มีทางทอดยาวไปกว่าหลายสิบหรือยี่สิบกิโลเมตร ถือว่าเป็นอะไรที่ชวนเรียกเหงื่อให้กับเขาพอสมควร

3:00

สถานการณ์ยังดำเนินต่อไป พร้อมกันกับที่จำนวนทหารบางเบาลง มีบางส่วนที่ทั้งเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็ไปจนถึงพยายามตะเกียกตะกายหลบหนีออกไป หากแต่สุดท้ายกลับต้องสิ้นใจลงเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียงระเบิดและเสียงปืนที่ดังขึ้นมาเป็นระยะเริ่มเงียบลง เหลือไว้แต่เสียงสัญญาณเตือนรวมถึงเสียงสังเคราะห์ที่ประกาศกระจายเสียงออกไปทั่วทั้งเขตฐานบัญชาการ บ่งบอกได้ว่ากลไกการทำลายตัวเองเริ่มใกล้ถึงช่วงเวลาทำงานขึ้นมาแล้ว และนั่นหมายความว่าสิ่งที่ตามมาคือระเบิดลูกใหญ่ที่คร่าชีวิตกว่าหลายพันหรือหมื่นดวง

“ติดต่อหามาร์ตินได้ไหม?” 

เป็นโจนาห์ที่เธอโพล่งขึ้น ภายหลังจากที่เธอเป็นคนนำควบรถของพวกทหารวิ่งออกจากฐานด้วยความเร็วที่มากพอจะหลุดออกจากรัศมีของระเบิดลูกใหญ่ที่มันอาจนำมาพร้อมกับความวินาศสันตะโรในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างไรเอง สิ่งหนึ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุด กลับไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองและพรรคพวกจะได้รับผลจากแรงระเบิดที่ใกล้จะปะทุขึ้น หากแต่เป็นตัวของสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่หายไปและแทบไม่มีการติดต่อเข้ามาเลยเสียมากกว่า

0:30

โดยที่ไม่มีใครต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในฐานแห่งนั้น หากเพียงแต่มีเสียงสังเคราะห์เริ่มนับถอยหลังเวลาที่ใกล้เข้าสู่กระบวนการทำลายล้างตัวเองมากขึ้นไปทุกที โดยที่ด้านของมาร์ตินนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะถ่อสังขารของตัวเองวิ่งไปตามทางอุโมงค์ กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็ได้มาโผล่เข้า ณ เส้นถนนแห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ยังไง

อย่างไรเอง มันไม่ได้สำคัญอะไรไปนอกจากการที่เขาพยายามกวาดสายตาหันไปมองโดยรอบของปากทางเข้าขนาดใหญ่ยักษ์ที่รายล้อมด้วยทะเลทรายไปแล้ว

“ฮัลโหล? มีใครได้ยินไหม?”

แผงวงจรยังคงอยู่กับเขา หากเพียงตัวของปืนพกนั้นกลับหลุดหายไประหว่างที่เขาสับฝีเท้าวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ประหนึ่งกับพบเจอกับเรื่องคอขาดบาดตายที่ในชีวิตนี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องหนีเอาตัวรอดเช่นนี้

“แกรนท์! โจนาห์! มาร์ก! พวกคุณอยู่ที่ไหน ตอบด้วย?!”

ความเงียบสงัดนั้นคงอยู่ไม่นาน ตราบจนกระทั่งเมื่อเสียงสัญญาณเตือนที่ดังมาแต่ไกลนั้นเหมือนว่ามันจะหยุดลงไปแบบดื้อ ๆ

มาร์ติน หันหลังไปมองยังอุโมงค์ที่เขาวิ่งจากมา แรงสั่นสะเทือนขนาดเล็ก ๆ บ่งบอกได้ถึงแรงระเบิดที่มันกระจายออกมาพร้อมกับกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสูงจนแทบจะพ้นชั้นบรรยากาศโลกไป หากแต่อย่างไรก็ตาม ระเบิดลูกใหญ่นั่นมันมีมากกว่าเพียงแค่ส่งสัญญาณให้เขาและใครก็ตามที่รับรู้เป็นสักขีพยาน

การระเบิดครั้งใหญ่นั้นมันถูกบันทึกผ่านจากภาพถ่ายดาวเทียมที่ลอยอยู่เหนือชั้นบรรยากาศขึ้นไป จากแต่เดิมที่มันควรถูกปกปิดไว้ หากแต่บัดนี้มันกลับถูกเปิดเผยสู่สายตาของชาวโลกกว่านับพันล้านคน จริงอยู่ว่าครั้งแรกมันอาจดูเหมือนเป็นธรรมดาทั่วไปที่ประเทศมหาอำนาจนั้นจะมีการทดลองอะไรเช่นนี้ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือการที่มันแสดงให้เห็นถึงอันตรายอย่างร้ายแรงที่อาจส่งผลต่อประชากรที่กำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวบริเวณโดยรอบนั้น

“บ้าชิบ!!”

รัศมีการระเบิดพุ่งกระจายไปไกล พร้อม ๆ กับที่มาร์ตินพยายามสับฝีเท้าแตกวิ่งหนีสิ่งที่ตามออกมาจากตัวอุโมงค์ด้านหลังของเขา แน่นอนว่าเจ้ากลุ่มควันสีขาวที่ว่านั่นผิวเผินมันอาจดูเหมือนควันปกติทั่วไป หากแต่ทันทีที่มันสัมผัสเข้ากับผิวหนังของอดีตทหารราบหนุ่มเข้า สัญชาตญาณของเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเขากำลังจะถูกมัน ‘กลืนกิน’ ในแบบที่มันกำลังแผดเผาเขาไปอย่างช้า ๆ

คงไม่ต้องสาธยายว่ามันเจ็บปวดมากขนาดไหน หากเพียงแต่เขารู้ว่าตัวเขาไม่ควรจะหยุดอยู่แค่ตรงนี้

มาร์ติน ยังคงไม่ลดละที่จะวิ่งสับฝีเท้าต่อไป พร้อมกับประคองเจ้าแผงวงจรอันเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ทำให้ภารกิจแรกของกลุ่มเมอร์เซอร์นาริกสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วย ความหวังในการมีชีวิตรอดของเขาอาจเริ่มริบหรี่ลงไปก็จริง แต่กระนั้น ณ เวลาตอนนี้ ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าการทำให้งานสำเร็จลุล่วง

เศษผิวหนังเริ่มหลุดลอกออกไปทีละนิด ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นเริ่มพร่ามัวลง หากแต่ทุกส่วนในร่างกายของเขายังคงขยับไปทางด้านหน้าต่อไปเหมือนว่าสัญชาตญาณสั่งให้เขาทำโดยไม่รู้ตัว

จวบจนกระทั่งมันกลับมืดดับลง และวินาทีสุดท้ายที่มาร์ตินจะรู้ตัวว่าเขากำลังถูกควันสีขาวพวกนั้นกลืนกินไป ตัวเขาก็ได้ลงไปนอนขดและกอดเจ้าแผงวงจรนั่นเอาไว้ไปแล้ว…

- 2 -

ข่าวเรื่องการระเบิดครั้งใหญ่ภายในบริเวณทะเลทรายอาหรับ โด่งดังอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตในระยะเวลานานสักพักใหญ่ และมันเองก็จวนเข้ากับช่วงเวลาที่เคออสใช้เวลาสำหรับการรังสรรค์สิ่งประดิษฐ์ของเขาเองเพียงลำพัง โดยก่อนหน้านี้เขาได้ตัดสินใจมอบยานพาหนะชิ้นหนึ่งไปให้กับตัวของเฮเลน่า เพื่อให้เธอใช้มันในการเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอได้รับผลกระทบและอันตรายจากตัวงานหรือความเสี่ยงที่เขากำลังได้รับ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในฐานบัญชาการแห่งนั้น เราได้กับมาว่าความเสียหายของมันนับว่ากระจายออกเป็นวงกว้างพอสมควร และแม้ว่าในส่วนของการเสียชีวิตของพลเรือนที่อยู่แถวนั้นจะยังไม่ได้รับทราบจำนวนที่ชัดเจน หากแต่นี่ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับประเทศมหาอำนาจอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ที่มีการละเมิดข้อตกลงว่าด้วย ‘สนธิสัญญาสันติภาพ’ ระหว่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศใกล้เรือนเคียงที่อยู่ภายในบริเวณแถวนั้น ทั้งนี้เองแล้วทางองค์การสหประชาชาติได้หารือร่วมกับผู้นำในกลุ่มรัฐบาลใหม่ โดยพวกเขายังไม่มีการลงมติความเห็นใด ๆ หากแต่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยินยอมให้ความช่วยเหลือกับคนทั้งสองฝ่าย

การรายงานจากข่าวสำนักต่างประเทศมีความเชื่อถือได้เพียงในระดับผิวเผิน และในฐานะที่เคออสนั้นอยู่ข้างฝ่ายของผู้ก่อการร้าย เขาเลือกที่จะเก็บตัวและสนใจกับภารกิจที่ตัวเองได้มอบหมายให้กับเมอร์เซอร์นาริก มากกว่าจะเป็นการตายของบรรดาพวกพ้องที่เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการปะทะกับหน่วยงานเอ็กซิมิวส์ หรือกองทัพสหรัฐอเมริกาตลอดเวลา โดยไม่นับรวมกับพวกประชาชนตาสีตาสาหรือเยาวชนผู้ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือทางการเมือง’ เพื่อขับเคลื่อนอำนาจที่เขากำลังถือครอง

มีข้อความใหม่เข้ามาจำนวน 3 ข้อความค่ะ

“ส่งมาได้เลย อลิส”

เคออส ละสายตาของตัวเองไปสนใจกับข้อความทั้งสามนั้น ข้อความแรก ถูกส่งมาจากสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มเมอร์เซอร์นาริก โดยมันระบุคร่าว ๆ ถึงภารกิจในการแย่งชิงแผงวงจรจากขีปนาวุธที่มันสำเร็จลุล่วง แม้ว่ามีร่องรอยความเสียหายไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าแผงวงจรที่ว่ามันได้ถูกส่งตรงมายังในฐานบัญชาการลับของเขาก่อนหน้านี้มาได้สามวันแล้ว มันก็อยู่ภายในกล่องพัสดุสีน้ำตาลที่มีจ่าหน้าซองเขียนเป็นภาษายูเครน แปลได้ว่า ด้วยความเคารพจากเมอร์เซอร์นาริก

“ส่งข้อความตอบกลับไปหาเธอ บอกไปว่าขอบคุณสำหรับแผงวงจร แนบจดหมายแสดงความเสียใจให้กับคนในเครือญาติของ เฟอร์กูสัน บอกพวกเขาว่ามาร์ตินเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นไปได้ช่วยส่งตำแหน่งที่ตั้งของสุสานที่เขาอยู่ด้วย ฉันอยากจะไปเยี่ยมเขาเป็นการส่วนตัว

รับทราบแล้วค่ะ

เคออส แสดงความเป็นห่วงต่อเพื่อนร่วมทีมหรือแม้แต่กับคนในกลุ่มที่เขาให้ความไว้วางใจมากที่สุดอย่างเมอร์เซอร์นาริก ตลอดทุกครั้งในการออกปฏิบัติภารกิจ เขามักจะไม่ลืมที่จะบอกให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันลากพาร่างของพรรคพวกในกลุ่มกลับมาเสมอ ไม่ว่าต่อให้จะเป็นตายร้ายดียังไง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ทิ้งเพื่อนร่วมชะตากรรมไว้ด้านหลัง

เหมือนกับที่เขาเคยทำ สมัยตอนเข้าทำงานเป็นทหารรับจ้างในเครือบริษัทแห่งหนึ่ง

ชีวิตของพวกเขาอาจมีค่าเพียงแค่เศษเงิน แต่สำหรับคนที่ผ่านความเลวร้ายมาก่อนเช่นเคออส เขาตระหนักถึงคุณค่าการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ทุกคน แต่กลับกันเขาก็ปฏิบัติตัวกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเฉกเช่นกับ ‘ยมทูต’ กับ ‘เทวเทพ’ ซึ่งไม่ว่าทางเลือกเหล่านั้นจะเป็นแบบไหน ผลมักจะลงเอยด้วยวิธีการแบบเดียวกันเสมอ

ข้อความใหม่อันที่สอง ถูกป้อนเข้ามายังหน้าจออินเตอร์เฟสบนหน้ากากกันแก๊สของเคออส โดยมันระบุชัดเจนถึงชื่อผู้ส่งอย่างเป็นทางการ อันเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่อยากว่ามันคือตัวแทนจาก ‘เครือข่ายอาชญากรรม’ และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป โดยเป็นที่ชัดเจนถึงเรื่องการลักลอบอัปโหลดข้อมูลของโครงการ ‘ไนติงเกล’ ขึ้นสู่ มาเธอร์คลาวด์ โดยไม่ผ่านการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

เขาจับใจความอย่างพอสังเขปถึงสิ่งที่พวกเขาได้ตำหนิในการกระทำของเคออส หากแต่อย่างไรเอง มันก็ทำให้พวกเขามองเห็นช่องโหว่บางอย่างเกี่ยวกับระบบที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นฐานข้อมูลส่วนกลางให้กับอาชญากรและผู้มีอิทธิพลทุกคน ทำให้เท่ากับว่าความผิดทั้งหมดถือเป็น ‘โมฆะ’ และตำแหน่งการเป็น ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ของเขาจะยังไม่ถูกถอดถอนออกไป นอกเหนือจากเพียงแค่แนบสัญญาณเตือนสั้น ๆ ที่มันหมายความว่าเขาอาจจำเป็นต้อง ‘รับมือ’ กับเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่ต้องจัดการด้วยตัวเขาเอง

เราเข้าใจถึงสิ่งที่คุณกระทำไปเป็นอย่างดี

อย่างไรเอง ขอจงพึงระลึกไว้เสมอว่า ‘ผลลัพท์อันไม่คาดคิด (Unforeseen Consequence)’ ล้วนเกิดขึ้นในยามที่ความก้าวหน้าของพวกเรานั้นถูกขัดขวางโดยใครบางคน

เราหวังว่าคุณจะเตรียมตัวพร้อมสำหรับสิ่งที่ตามมา

และที่สำคัญ เราหวังว่า คุณจะยังมีชีวิตรอด

 ประโยคลงท้ายจากข้อความนั้นชวนให้ตัวเคออสรู้สึกหวั่นระแวงเล็กน้อย อย่างไรเอง ความรู้สึกนี้มันก็ไม่ได้มาหาเขาอยู่บ่อยนัก นอกจากเพียงแค่ว่าทางเครือข่ายอาชญากรรมมีเจตนาที่ต้องการควบคุมความประพฤติของเขาให้อยู่ภายใต้อำนาจ และไม่ต้องการให้เขาเข้าร่วมกับฝักฝ่ายใด ๆ หรือเอนเอียงไปในทางด้านไหนที่ไม่ใช่การสร้างหายนะโดยรวมให้กับทางเครือข่ายฯ หรือแม้แต่หน่วยงานอย่าง เอ็กซิมิวส์ ที่พวกเขายังคงมีสนธิสัญญาสงบศึกร่วมกันอยู่ในขณะนี้

จะให้ตอบกลับไปไหมคะ?

“ไม่ต้อง เรื่องนี้ฉันจัดการเองดีกว่า”

หลังเสร็จสิ้นจากข้อความอันที่สอง เคออส สั่งให้อลิสเก็บข้อความจากเครือข่ายเข้าไปยังในหมวดของ ไคร์ม เน็ตเวิร์ก และหันไปสนใจกับเจ้าข้อความอันสุดท้าย ซึ่งแน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกแตกต่างจากข้อความทั้งสองก่อนหน้านี้ที่เขาได้อ่านมา

ราวกับเวลามันหยุดกึกลงไป เพียงเมื่อหางตาของเคออสไปสังเกตถึงชื่อผู้ส่งที่มันถูกเขียนขึ้นมาและใช้ชื่อกับอักษรตัวหนาสีน้ำเงิน อันเป็นหนึ่งในสีโปรดปรานของ ‘ศัตรูตลอดกาล’ ที่เขาเคยห้ำหั่นกับอีกฝ่ายมาก่อน

ริฟินาเล่ แมนทัส (Refinale Manthus)

สัญชาตญาณภายในตัวบ่งบอกให้เขาควรหลีกเลี่ยงในการเปิดข้อความที่ว่านั่นขึ้น ทว่าการกระทำเช่นนั้นมันอาจทำให้สิ่งเลวร้ายที่เขาพยายามหลบหนีมานานกลับยิ่งทวีคูณความรุนแรงไปมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เอง เขาเลยตัดสินใจเปิดมันและตั้งใจอ่านข้อความพวกนั้นที่ถูกส่งเข้ามาแทน โดยที่นั่นเสมือนกับว่าเป็นการจุดชนวนบางอย่างที่ทำให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ของเขารายงานถึงความผิดปกติจากบนภาคพื้นดิน ระหว่างที่เคออสอ่านข้อความที่ว่านั่นด้วยตัวเอง

เนิ่นนานเสียเกือบทศวรรษ หรืออาจสักครึ่งหนึ่งได้

ฉันไม่รู้ว่าแกมีแผนอะไร แต่ยินดีด้วยที่แกทำให้ฉันตระหนักถึงไฟโทสะในตัวของฉัน

ที่ผ่านมาฉันอาจเคยตามล่าแกชนิดที่ทำให้ไม่มีที่ยืนมาก่อนก็จริง

แต่สำหรับครั้งนี้ ถึงเวลาที่ฉันควรจะจบเรื่องนี้สักที ฉันเบื่อที่จะต้องสร้างศัตรูกับใคร ๆ ฉันเบื่อที่จะต้องรับมือกับปัญหาชวนน่าปวดหัวนับร้อยพันอย่างที่เข้ามา แกทำให้ฉันรู้สึกแย่บัดซบ ชนิดที่แม้แต่ได้ยินชื่อของแกก็ชวนทำฉันอ้วกไปทุกครั้ง

ฉันไม่รู้ว่าแกมีเหตุผลทำแบบนี้ไปทำไม เพื่ออะไร หรือเพียงเพราะว่าแกอยากจะเป็น ‘เจ้าของ’ โลกใบนี้แบบไม่แบ่งให้ใคร แต่อย่างที่แกรู้ดี ทั้งฉันและแก เราไม่ต่างอะไรจาก ‘คนเถื่อน’ ที่ถูกสังคมหล่อหลอมให้กลายเป็น ‘เครื่องมือ’ สำหรับผู้มีอำนาจ

ทว่ามันโคตรจะทำให้ฉันรู้สึกเอือมระอามากเป็นที่สุด

แกคือศัตรูของฉัน ฉันคือศัตรูของแก ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร เสือสองตัวย่อมอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ไม่ ‘ฉัน’ ก็ ‘แก’ ที่จะต้องเป็นฝ่ายออกไปจากสนามรบนี่ และถ้าหากแกคิดว่าตัวเองเจ๋งพอ ฉันอยากให้แกโผล่หัวออกมาจากรูหนูสกปรก ๆ นั่น

ฉันหวังเป็นอย่างมาก เคออส เวนเจกซ์ ว่าแกจะมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอมาเจอกับฉันแบบ ตัวต่อตัว อย่างน้อย ๆ ช่วยทำให้ฉันรู้สึกเอนเตอร์เทนกับสิ่งที่แกได้เรียนรู้มาในเส้นทางที่แกกำลังเดินอยู่นี่ บอกให้ฉันรับรู้ว่าแก พร้อม แล้วจริง ๆ กับเป้าหมายต่อจากนี้เป็นต้นไป

นี่ไม่ใช่ ‘จุดจบ’ แต่เป็น ‘จุดเริ่มต้น’

ศัตรูที่ดีที่สุดตลอดกาล (Best Foe Forever)

ข้อความทิ้งท้ายที่จบลงแสดงถึงสิ่งที่เคออสนั้นรู้ตัวดีอยู่ หากแต่เพียงคาดไม่ถึงว่าตำแหน่งของเขาจะถูกเปิดโปงขึ้นมา และนั่นทำให้สีหน้าภายใต้หน้ากากกันแก๊สถึงกับซีดเผือก พร้อมกับม่านตาที่ขยายใหญ่โตด้วยความแปลกประหลาดใจ ประกอบกับด้วยการที่ระบบปัญญาประดิษฐ์นั้นได้แจ้งเตือนบางอย่างขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

ตรวจพบความผิดปกติในบริเวณเมืองร้าง เริ่มการค้นหา…

“อลิส ปล่อยให้ ‘พวกเขา’ เข้ามา”

รับทราบค่ะ เริ่มเปิดพิกัดตำแหน่งปัจจุบัน

การมาของแขกไม่ได้รับเชิญ แม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาอย่างเป็น ‘มิตร’ หรือ ‘ศัตรู’ อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้สลักสำคัญไปมากกว่าที่เคออสจะเป็นฝ่ายยินยอมในการเปิดเผยตัวเอง แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่เขาสร้างขึ้นมา

ทว่าก่อนหน้านั้นที่เขาจะออกจากห้องแล็ปใต้ดินของตัวเองไป เขากลับหันไปสนใจกับเจ้าแผงวงจรในกล่องพัสดุที่เมอร์เซอร์นาริกส่งมาก่อนเป็นอย่างแรก

เวลาของเขายังมีเหลือพอสำหรับการที่เขาจะทำอะไรบางอย่างกับมัน และแน่นอนว่านั่นหมายถึงการที่เขาใช้ระยะเวลาอันสั้นนี้สำหรับการเขียนโปรแกรมเล็ก ๆ ขึ้นมา พร้อมกับเปลี่ยนแปลงตัวชิปประมวลผลตัวใหม่เข้าไปในแผงวงจรนั้น โดยไม่ลืมที่จะเลียนแบบให้เหมือนกับต้นฉบับที่มีอยู่ ซึ่งมันคือสิ่งประดิษฐ์ก่อนหน้านี้ที่เขาสร้างขึ้นมาเตรียมการเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามเอง เปอร์เซนต์ในการที่มันจะส่งผลกับ ‘ไนติงเกล’ คือสิ่งที่เขาไม่อาจทราบได้ว่ามันจะได้ผลลัพท์ในสิ่งที่เขาต้องการ

หากแต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ คือการที่พวกองค์กรอสรพิษ รู้ว่าพวกเขายินยอมมาที่นี่เพื่อเหตุผลอะไร

ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาถืออยู่บนมือ มันมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ชนิดที่ไม่อาจปล่อยไปได้

ความกลัวมักมาควบคู่พร้อมกับความหวาดระแวง หากแต่มันคือสิ่งที่เคออสสามารถรับมือกับมันได้อยู่เสมอ นอกเหนือจากสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกยำเกรงจริง ๆ นั่นคือการที่แมนทัสรับรู้ถึง ‘แผนการ’ ที่เขาสร้างเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างการที่เขาจัดการในการเปลี่ยนแปลงการทำงานของแผงวงจรนั้น อลิส ก็ได้เปิดตำแหน่งและส่งสัญญาณไปเพื่อให้คนกลุ่ม ๆ หนึ่งเข้ามาในพื้นที่ของเขาได้ หากเพียงแต่พวกเขาจะปรากฎตัวมาให้เห็นเป็นตัวเป็นต้นหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถที่ระบบปัญญาประดิษฐ์ของเขาจะสามารถรับรู้

เคออส นำเจ้าแผงวงจรที่ได้มานั้นติดตัวไป พร้อมกับการที่เขาเองไม่ลืมที่จะนำเอามีดคอมแบทคู่ใจ รวมไปถึงระเบิดควันจำนวนสี่ลูกติดตัว แล้วเดินขึ้นลิฟท์ใต้ดินเพื่อจะขึ้นสู่พื้นผิวของบริเวณเมืองร้าง ที่ ๆ มันกำลังถูกจับตาโดยระบบรักษาความปลอดภัยที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของตัวเอง

จะมีอะไรรอเขาอยู่ข้างนอกนั่น? เขาจะได้เจออะไรหลังจากวันเวลาผ่านไปนับหลายปี หลังจากเป็นฝ่ายถูกตามล่าจากองค์กรเก่ามานานจนบัดนี้มันได้จบลง

เขามองไม่เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเลย…