"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3)

A Golden Light (Ch.3)

ใครจะคาดคิดว่าการเดินทางที่มันควรดำเนินไปอย่างเรียบง่าย กลับถูกหยุดลงเพียงเพราะว่ามีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญแฝงตัวขึ้นมา และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่เคออสทำเป็นอย่างแรก นั่นคือการพยายามควบคุมสถานการณ์อันฉุกละหุกนั่นด้วยตัวคนเดียว

กับหนึ่งในผู้บุกรุกที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคนที่เขาเคยคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาก่อน

“ตกใจหรือเปล่า ไม่เจอกันนานเปลี่ยนไปเยอะเลยนี่”

เธอไม่ได้มาเพียงมือเปล่า หากแต่ยังพกปืนสั้น รุ่น เบเร็ตต้า พีเอ็กซ์4 สตรอม สวมปลอกเก็บเสียงและติดเลเซอร์ชี้เป้า พ่วงมากับมีดบาลิสติกที่สามารถยิงใบมีดออกมาได้ด้วย

เคออส ไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าเป็นใคร หากแต่เลือกที่จะเข้าจู่โจมเธออย่างไม่เกรงกลัวว่าสิ่งที่เธอถืออยู่จะฆ่าตัวเขาไป ซึ่งผลจากการกระทำดังกล่าวนั้นเองทำให้เกิดกลายเป็นการต่อสู้กันในพื้นที่แคบ ๆ ส่วนห้องรับแขกของเครื่องบินไปในบันดล

ชายหนุ่มงัดฝีมือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของตัวเองที่แน่นอนว่ามันแทบจะทำให้ฝั่งของหญิงสาวเองถึงกับเลือดขึ้นหน้า และได้ลั่นไกยิงปืนไปประมาณสามถึงสี่นัด ซึ่งหนึ่งในสี่มันได้เจาะเข้ากับกระจกเครื่องบินไป ส่วนสามนัดที่เหลือก็เข้าตรงประตูห้องนักบินที่มีเพื่อนของเขาอยู่

“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นน่ะ สหาย!?”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไร มีเพียงแต่เสียงครึกโครมที่เกิดจากการต่อสู้ของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เธอกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ หากแต่เพราะยังมีอาวุธอยู่บนมือ จึงทำให้แต้มต่อนั้นเลยกลายเป็นว่าตัวของเขาเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปโดยปริยาย

ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ใช่ว่าจะยอมให้เป็นแบบนั้น…

การต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เองที่เขาตัดสินใจพุ่งเข้าหาตัวเธอ ก่อนจากนั้นจะทำการปลดอาวุธออกไป พร้อมทั้งรับหมัดและศอกที่กระแทกใส่เข้ามา ก่อนตัดสินใจคว้าตัวของเธอไว้ลากไปที่ประตูฉุกเฉินของเครื่องบินและเอื้อมมือไปกดปุ่มเพื่อเปิดประตูออกมาขณะอยู่บนน่านฟ้า

“ไม่ลังเลเลยสิ แม้แต่กับคนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”

เคออส จับร่างของเธอเพื่อเตรียมจะโยนตัวออกไป แววตาใต้หน้ากากกันแก๊สแสดงออกถึงอารมณ์อันหลากหลาย หากแต่ส่วนใหญ่เป็นไปในแง่ของความสงสัยเสียมากกว่ามีเจตนาต้องการสังหารอีกคนไปจริง ๆ

“เธอไม่เคยเป็น” เขาตอบกลับ

“รอยสักที่คอนั่น…บอกฉันทีว่า เขา ส่งเธอมาเพื่อฆ่าฉันจริง ๆ ใช่หรือเปล่า?”

ฝั่งหญิงสาวไม่ได้ให้คำตอบอะไร นอกจากเผยรอยยิ้มเพียงจาง ๆ ออกมาเป็นการบ่งบอกนัยยะแอบแฝงบางอย่างที่เขาไม่ได้รับรู้

“จะหาความเชื่อใจในวงการนี้มันไม่ง่ายหรอกนะ เคออส”

ประโยคคำพูดนั้นของเธอทำเอาสีหน้าใต้หน้ากากถึงกับเลิกคิ้ว ก่อนที่ไม่ทันไรสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาจะส่งสัญญาณเตือนบางอย่างที่ทำให้เขานั้นจำเป็นต้องปล่อยร่างอีกคนออกไป

ทว่ามันช้าเกินไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่เขาปล่อยมือออกจากตัวเธอ สิ่งที่ตามมาคือแรงระเบิดที่มันผลักให้ตัวเขากระเด็นจนหลังไปติดกับเครื่องบินในทันที

คำเตือน : ชีพจรกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต

ระเบิดนั่นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชุดและร่างกายของเขา หากแต่ยังลามไปถึงส่วนของไอพ่นเครื่องบินที่ถูกทำลายไปด้วย ซึ่งส่วนนั้นมันทำให้ทางฝั่งนักบินของเขาจำต้องรีบตะโกนออกไปหาตัวชายหนุ่มเพื่อบอกถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้

“ให้ตาย! ระบบไอพ่นไม่ทำงาน ชะตากรรมของฉันคงถึงคราวจุดจบแล้วล่ะ สหาย!”

“ถ้าอย่างงั้นคงต้องแยกกันตรงนี้แล้ว”

ชายหนุ่ม กล่าวตอบออกไปหาทางฝั่งนักบิน พลันใช้เวลาที่เหลืออยู่สำหรับการพยายามหยิบกระเป๋าที่เป็นอุปกรณ์ที่เขาได้เตรียมมา ก่อนจะควานหาตัวร่มชูชีพ แล้วหันไปมองฝั่งห้องนักบินที่ดูแล้วตัวเขาไม่มีทีท่าว่าจะสละเครื่องเพื่อจะหนีออกมา

“แน่ใจแล้วเหรอ?!” เคออส ตะโกนถามออกไป

“อย่าห่วงไป สหาย พระเจ้าจะอยู่ฝั่งคนกล้าเสมอ!”

“ถ้าอย่างงั้น…ขอให้โชคดี นักบิน

ไม่มีการทิ้งท้ายคำบอกลาใด ๆ มีเพียงแต่ร่างของชายหนุ่มที่กำลังดิ่งลงออกจากเครื่องบินที่กำลังร่วงลงสู่น่านฟ้าในยามค่ำคืน อันเปรียบเสมือนสัญญาณแห่งการเริ่มต้นที่มันได้นำพามาซึ่งความวุ่นวายและโกลาหลในอนาคต

เหมือนอย่างชีวิตของเขาหลังออกจากเขตเมืองร้างที่เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่ามันจะมีอะไรตามมา…

- 1 -

นานกว่าสักประมาณสี่หรือห้าวันได้สำหรับการที่ชายหนุ่มเดินทางผ่านป่าแอมะซอนที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบตัว จวบจนในที่สุดเขาเองก็เข้ามาถึงส่วนสำคัญที่บ่งบอกว่าเขาได้มาถึงเขตชายแดนของประเทศบราซิลไปแล้ว

“สวัสดี บราซิล นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มาเยือนหาแก”

เคออส พาตัวเองมาถึงจุดที่เขาได้พบกับกลุ่มคนผู้ที่เป็นได้ทั้งคนรอต้อนรับและแน่นอนว่ามีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับภารกิจว่าจ้างที่เขาได้รับมา ซึ่งการปรากฎตัวของชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพร้อมกับเนื้อผ้าและเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยกลิ่นสาปโคลน ทำให้หนึ่งในกลุ่มคนดังกล่าวพูดกับเขาออกไปในทันที

“อาบน้ำ ทำความสะอาด แล้วรีบขึ้นรถซะ มีคนต้องการจะพบแก”

แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ทำตามคำพูดนั้น…

ภายหลังจากระยะเวลาดังกล่าว ทุกอย่างก็ถูกตัดไปตรงส่วนที่เคออสได้นั่งติดอยู่ในรถตู้คันสีดำ ที่ด้านในรถนั้นมีกลุ่มคนในชุดดำคอยนั่งคุมเขาอยู่ คนเหล่านี้คือหนึ่งในคนจากเครือข่ายอาชญากรรมที่แน่นอนว่าพวกเขาเป็นคนอนุมัติงานให้กับเขา และรวมไปถึงเป็นผู้เฝ้ามองและสนับสนุนให้กับเขาตามเท่าที่เขาต้องการ

“ต้อนรับกันซะดิบดีเลยนะ กลัวว่าจะทำพลาดกันเหรอ?”

ไม่มีใครพูดกับเขา นอกจากความเงียบงันภายในรถตู้ที่แน่นอนว่ามันชวนอึดอัดพอตัว

แน่นอนว่ามันดำเนินไปได้เพียงไม่นานนัก กระทั่งเมื่อใครคนหนึ่งในกลุ่มคนชุดดำยื่นแท็บเล็ตให้กับตัวของชายหนุ่ม

เคออส ใช้นิ้วแตะลงไปบนหน้าจอของมัน ปรากฎออกมาเป็นข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับใครคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘เป้าหมาย’ พร้อมทั้งแนบคำสั่ง เนรเทศ ซึ่งแน่นอนว่าเขารู้ว่ามันหมายถึงอะไร หากแต่สิ่งที่สำคัญกว่าไม่ใช่ตัวของคำสั่งที่ว่านั้น แต่กลับเป็นในตัวของประวัติ รายละเอียด แล้วก็ตามมาด้วยสถานะที่เป็นอยู่ของเป้าหมายในตอนนี้เสียมากกว่า

“อีกสามวันจะมีงานเลี้ยงใหญ่จัดขึ้นที่ตึกนั่น เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการปิดฉากทั้งหมด”

เสียงใสจากใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าของรถตู้กล่าวกับเขา

“ภารกิจนี้ค่อนข้างง่ายถ้าหากไม่บุ่มบ่ามเข้าไป เราตรวจสอบพบว่ามีพวกบอดี้การ์ดและเจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิลนับกว่าห้าสิบนายกระจายกำลังอยู่ทั้งในและนอกตึก คอยดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้กระทั่งในตอนนี้”

ชายหนุ่ม ไม่ตอบอะไรกลับมา หากแต่รับฟังสิ่งที่เธอพูดโดยไม่มีการโต้แย้ง แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับเจ้าของเสียงพูดดังกล่าวเป็นอย่างดี และรู้ด้วยว่าเธอมักจะเป็นฝ่ายเข้าหาพร้อมทั้งช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดรอดฝั่ง แม้แต่กับตอนนี้ที่เธอได้มอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับเขา

“แล้วพวกคุณทำอะไร?” เคออส เอ่ยถามออกไป

“เหมือนกับทุกครั้ง เราจับตามองคุณ และจัดเตรียมสิ่งที่คุณต้องการแม้ว่าคุณจะไม่ได้ร้องขอ ยังไงซะ คุณก็เห็นแล้วว่าที่นี่เป็นยังไง ตั้งแต่เกิดสงครามยาเสพติดครั้งใหญ่เมื่อสามปีก่อน”

เหตุการณ์ที่ยากยิ่งจะลืมเลือน แน่นอนว่ามันอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตของเขา หากแต่สำหรับผู้คนในเมืองหลวงและเครือข่ายอาชญากรรม นี่ถือเป็นการกวาดล้างกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับโศกนาฎกรรมอันยากจะลืมเลือน โดยสาเหตุของสงครามดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรไม่มีใครรู้ หากแต่ว่ากันว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาจากปฏิบัติการลับทางการทหารที่มันเคยเกิดขึ้นและมีการยิงต่อสู้กันระหว่างกลุ่ม

“แค่นั้นเองใช่ไหม?” เคออส ถามกลับ

“คุณต้องการอะไร เคออส?”

“ไม่ล่ะ ผมได้ทุกอย่างมาแล้ว ที่เหลือหลังจากนี้มีแค่วิธีการพาตัวเองเข้าไปโดยไม่ให้มีใครจับได้…อาจจะต้องลงทุนปลอมแปลงสักหน่อย แต่เป็นไปได้ผมอยากให้คุณช่วยเตรียมของให้กับผมสักสองอย่าง”

ด้านของฝั่งหญิงสาวเงียบกริบ เธอไม่ได้ถามเขากลับไป หากแต่ตั้งใจรับฟังในสิ่งที่เขาต้องการ

“ได้ ตกลง แค่สองอย่างสินะ เขียนมาได้เลยว่าคุณต้องการอะไร”

รอยยิ้มใต้หน้ากากกันแก๊สเผยขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จากนั้นเองตัวของชายหนุ่มจะถูกพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ทางเครือข่ายอาชญากรรมจัดเตรียมเอาไว้เพื่อให้เขาได้พักผ่อนและทำงานว่าจ้างตามที่ตัวเองได้รับ

- 2 -

ช่วงเวลาค่ำคืนของวันที่สามที่เคออสได้อาศัยเก็บตัวอยู่ในห้องพักของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ภายหลังจากนั้นเขาจะปรากฎตัวออกมาอีกครั้งหนึ่งในสภาพที่สวมชุดเสื้อคลุมสีดำ และแน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังปีนป่ายขึ้นไปบนตึกสูงระฟ้าอยู่ในตอนนี้

ชายหนุ่ม เลือกเวลาและทำเลสำหรับการกบดานในจุดที่ตัวเขาเองสามารถหลบเลี่ยงได้จากการถูกตรวจจับโดยพวกยามรักษาความปลอดภัยและตำรวจตั้งแต่ทีแรก ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของตัวแทนจากเครือข่ายอาชญากรรมที่พวกเขาได้จัดสรรสิ่งของที่ตัวเขาเองต้องการ ซึ่งนั่นคือชุดอำพรางล่องหนกับเครื่องเจาะสัญญาณเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว นั่นเลยทำให้เขาสามารถปีนป่ายจากจุดต่ำสุดไปยังบริเวณจุดสูงสุดได้ตามที่ตัวเองต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความสูงมากกว่าห้าร้อยเมตร ทำให้การใช้เวลาปีนป่ายตึกดังกล่าวนี้เลยไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับคนทั่วไป

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนั้น…

“อลิส แสดงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในชั้นที่ 75 ให้ฉันดูที”

รับทราบค่ะ เริ่มแสดงตำแหน่งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวได้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ผู้เป็น ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ของเขาจะมีประสิทธิภาพได้มากกว่าที่ตาเห็น แน่นอนว่าเนื่องด้วยมันติดตัวอยู่คู่กับเขาเป็นเวลาอย่างช้านาน ทำให้ตัวเคออสสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มันแสดงผ่านทางเลนส์กระจกด้านในหน้ากากกันแก๊สที่มันมีหน้าจอ ยูเซอร์ อินเตอร์เฟส (User Interface) ที่ระบุข้อมูลตามสิ่งที่เขาต้องการเห็นได้แทบจะทุกอย่าง โดยสั่งการด้วยเสียงหรือผ่านคลื่นสมองที่เชื่อมต่อติดกับหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่

“เยี่ยม…แสดงว่าเรามาถูกจังหวะพอดี”

ชายหนุ่ม หยิบเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เขาพกติดตัวมา นั่นคือเครื่องตัดกระจกแบบใช้แล้วทิ้ง ก่อนนำมันไปแปะบริเวณด้านข้างของตัวเอง ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานกระจกด้านในมันก็ถูกตัดออกมาเป็นช่องว่างพอที่เขาจะสามารถลอดผ่านเข้าไปได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องพังมันไปแต่อย่างใด ก่อนที่เขาจะเข้าไปยังส่วนด้านในของตึกโดยไม่รีรอช้า

คุณกำลังอยู่ในชั้นที่ 77 สถานะคือ ปลอดภัย ไม่พบการตรวจจับค่ะ

‘กระเป๋าอุปกรณ์’ ที่เขานำสะพายติดตัวมาถูกเปิดขึ้น เคออส ใช้เวลาสำหรับการเปลี่ยนจากชุดอำพรางล่องหนนั้นกลายเป็นชุดเครื่องแบบประจำตัวที่เขามักสวมใส่อยู่ตลอดเวลา นั่นคือเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลเก่า ๆ ที่ตัวของมันมีความสามารถมากกว่าที่เห็น โดยระหว่างนั้นเขาเองก็ไม่ลืมที่จะพกเอาระเบิดควัน มีดสามแฉก ระเบิดดาวกระจาย และที่ขาดไม่ได้คืออาวุธคู่ใจที่มันคือ มีดคอมแบท ที่ช่วยชีวิตเขาไว้อยู่หลายครั้ง

“โอเค ได้เวลาออกทำงานแล้ว”

จุดที่มีการเลี้ยงฉลองกันนั้นเกิดขึ้นในชั้นที่ 52 แน่นอนว่ามันอยู่ห่างลงไปจากจุดที่เขาอยู่มาก และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ชายหนุ่มจำต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เป้าหมายของเขาสำหรับภารกิจนี้คือการตามหาใครคนหนึ่งและสังหารเขาซะ ซึ่งมันดูเป็นงานง่าย ๆ ถ้าไม่ติดเพียงว่าสถานที่แห่งนี้มันดันไปตรงกับเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับตัวองค์กรเก่าที่เขาเคยทำงานอยู่ ซึ่งมันมีข้อมูล ๆ หนึ่งที่เขาได้ยินและรับรู้เมื่อนานมาแล้วในช่วงที่ตัวเองยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่

เคออส ลักลอบพาตัวเองหลบเลี่ยงจากโดรนตรวจจับและคนติดอาวุธภายในชั้นปัจจุบันที่เขาอยู่ จากข้อมูลโดยคร่าวที่เขาได้มาคือตึกแห่งนี้มีทั้งหมด 80 ชั้น โดยนับจากส่วนที่ถูกใช้งานมากที่สุดคือส่วนของชั้นที่ 40 ถึง 60 ซึ่งถัดขึ้นไปอีกเป็นส่วนพื้นที่เขตหวงห้ามที่ไว้เฉพาะกับกลุ่มนักธุรกิจที่ร่วมประชุมกันว่าด้วยหัวข้อของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการรบและการเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมการจัดการด้านไอทีและระบบปัญญาประดิษฐ์ อันเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่มันถูกปกปิดไว้ไม่ให้คนภายนอกรับรู้

และใช่ เป้าหมายแรกของเขาคือการเข้าถึงเขตหวงห้ามเหล่านั้น เพื่อทำการสืบค้นและนำเอาข้อมูลที่ถูกปกปิดไว้มาใช้ประโยชน์ของตัวเอง

“อลิส แทรกซึมเข้าฐานข้อมูลรักษาความปลอดภัย ฝังไวรัสที่ฉันเขียนขึ้นมาให้ที ดูเหมือนว่าระบบของที่นี่จะไม่ได้ถูกอัพเดทมานานมากแล้ว”

รับทราบค่ะ ต้องการให้ใช้ไวรัสแบบไหนคะ?

“D กับ T ทำลายระบบรักษาความปลอดภัย แพร่กระจายคำสั่งลวงให้พวกโดรนทั้งหมดต่อสู้กับยามรักษาความปลอดภัยและกลุ่มติดอาวุธ”

ระหว่างของการรอให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ในหน้ากากแก๊สทำงานตามความประสงค์ของตัวเองไป เคออส ใช้จังหวะเวลาช่วงนี้สำหรับการพาตัวเองลอดไปตามช่องลมภายในตึก ก่อนจะโผล่ออกมาอยู่ในห้องเก็บของที่ ๆ หนึ่งที่แน่นอนว่าคราวนี้มันไม่มีพวกโดรนอยู่แล้ว

หากแต่มีพวกบรรดากลุ่มคนติดอาวุธ พลติดเกราะหนัก และแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปอีกอย่างคือป้อมปืนกลอัตโนมัติที่ใช้กระสุนเจาะเกราะแทน

เคออส เอาหลังแนบพิงกำแพงและเลือกจะผ่อนลมหายใจเข้า - ออกช้า ๆ รอเวลาที่เจ้าป้อมปืนนั้นทำการหันตรวจมองโดยรอบไป ก่อนที่จากนั้นเขาเองจะใช้จังหวะนี้สำหรับการเลือกเข้าไปกบดานอยู่ในช่องมุมมืดที่ไม่มีแสงจากหลอดไฟหรือใครผ่านเข้ามา

ไวรัสถูกฝังเสร็จสมบูรณ์ ระบบรักษาความปลอดภัยถูกทำลาย สถานะ ระมัดระวัง พบการตรวจจับความผิดปกติจากบริเวณชั้นที่ 52 ถึง 57 ค่ะ

เสียงจากปัญญาประดิษฐ์แจ้งเตือนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ ภาพหน้าจอระบุถึงตำแหน่งที่เคออสอยู่ โดยเขาอยู่บนชั้นที่ 73 ซึ่งแน่นอนว่าห่างจากตัวบริเวณที่มีการเลี้ยงฉลองมากพอสมควร ซึ่งดูเหมือนแผนการฝังไวรัสเข้าไปทำให้เหตุการณ์บริเวณนั้นมีความวุ่นวายที่มาจากทั้งเหล่าบรรดาผู้เข้าร่วมงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ซึ่งมันอาจไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับจุดที่เขาอยู่จริง หากแต่นั่นมันก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึง ‘บางอย่าง’ ที่มันเริ่มทำให้เหล่ากลุ่มติดอาวุธหรือระบบป้องกันเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติและเตรียมตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมเช่นเขา

เคออส ประเมินความสามารถของคนติดอาวุธเหล่านี้ จากสายตาคร่าว ๆ ที่เขาเห็นพวกเขาส่วนใหญ่เหมือนจะไม่ได้มีความรอบรู้ทางด้านเทคโนโลยีมากนัก เรียกได้ว่าแค่ผิวเผินมันด้วยซ้ำ หน้าที่หลักคือการประจำในพื้นที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาในระดับน้อยถึงปานกลาง ขณะที่ถ้าเป็นในฝั่งของระดับสูงขึ้นไปจะถูกป้องกันโดยเครื่องจักรแทน ซึ่งแน่นอนว่าการบุกเข้าไปโต้ง ๆ ไม่มีทางแน่ที่มันจะได้ผล ด้วยเหตุนี้เองสิ่งต่อไปที่เขาต้องระวังให้มากคือเหล่าเครื่องจักรพวกนี้ และรองลงมาคือพวกพลติดเกราะหนักที่แบกปืนกระบอกโตไว้ข้างกาย

นี่คือคำสั่งด่วนจากหัวหน้ารักษาความปลอดภัย เราพบร่องรอยของการเจาะระบบเข้ามา คาดว่าคงเป็นพวกแฮกเกอร์หรือไม่ก็ผู้ไม่หวังดีบางกลุ่ม ขอให้ระมัดระวังตัวด้วย 

ขอย้ำ ขอให้ระมัดระวังตัวด้วย

สัญญาณวิทยุที่มาจากการติดต่อสื่อสารกับเหล่าคนติดอาวุธดังเข้ามา ตรงกันกับช่วงเวลาเดียวกันที่ตอนนี้ เคออส ได้เข้าใกล้มาถึงจุดที่เขาเห็นว่ามันเป็นพื้นที่ปิดที่มีกลุ่มคนจำนวนไม่มากอยู่ และแน่นอนว่ามันเหมาะสำหรับการที่เขาจะใช้เวลานี้เพื่อ ‘เก็บ’ คนเหล่านั้นด้วยมีดคู่กายของตัวเอง

และอุปกรณ์ที่เขาเตรียมนำมันมา…

“อลิส บอกให้ฉันชื่นใจทีว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ชั้นไหน?”

ตำแหน่งของคุณในตอนนี้อยู่บนชั้นที่ 65 ค่ะ

“จำนวนศัตรูทั้งหมดที่ฉันต้องจัดการมีกี่คน?”

ทั้งหมด 25 คน แบ่งเป็นพลติดเกราะหนักอีก 12 นอกนั้นเป็นกลุ่มติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจม กลมือ และปืนลูกซองค่ะ

ยี่สิบห้า? โอเค…อาจจะต้องมีนองเลือดกันสักหน่อย งานนี้”

ความล้ำสมัยอาจมาพร้อมกับความสะดวกสบายไปก็จริง หากแต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็เทียบเท่าไม่ได้กับสัญชาตญาณและลางสังหรณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนมาอย่างเป็นเวลาช้านาน

เคออส หยิบสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘มีดสามแฉก (Tri-knife)’ ออกมาถือไว้บนมือทั้งสองข้าง ลักษณะของมันเหมือนเป็นกงจักรคล้ายแผ่นดิสก์ หากแต่มีความหนามากกว่าและแน่นอนว่าใต้ตัวกงจักรมีใบมีดอยู่จำนวนทั้งหมดสามด้านเอาไว้ โดยมันจะทำงานก็ต่อเมื่อมันถูกล็อกตำแหน่งโดยระบบปัญญาประดิษฐ์เป็นจำนวนสามตำแหน่ง ซึ่งโดยหลัก ๆ ของมันมีไว้เป็นอาวุธที่เบี่ยงเบนความสนใจ และไว้สำหรับเป็นการลอบสังหารศัตรูในระยะไม่เกินเจ็ดสิบห้าเมตร

ชายหนุ่ม ควงกงจักรสองข้างบนมือตัวเอง ตำแหน่งที่เขาล็อกเอาไว้ขึ้นมาเป็นจำนวนอยู่หกเป้าหมาย นั่นคือคนติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมสอง ปืนลูกซองสอง และพลติดเกราะหนักอีกสองคน ใบมีดจากด้านในนั้นมีความแหลมคมมากและสามารถเจาะเข้าในบริเวณจุดรวมของเส้นประสาทต่าง ๆ ของร่างกายที่นอกจากมันจะทำให้เป็นอัมพาตชั่วคราวไปแล้ว ยังเคลือบด้วยพิษร้ายแรงที่ทำลายระบบทุกส่วนของร่างกายโดยเฉียบพลันในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสามวินาทีอีกต่างหาก

แน่นอนว่าด้วยความสามารถของเจ้ามีดสามแฉกนี่ มันก็อันตรายมากเพียงพอสำหรับการใช้เป็นอาวุธสังหารคนได้โดยเงียบ ตอบสนองความต้องการของอดีตหัวหน้านักลอบสังหารที่เขาไม่ต้องการประจันหน้ากับศัตรูโดยตรง

‘มีดสามแฉก’ ถูกปาออกไปจากหลังกำแพงที่เคออสหลบซ่อนตัวอยู่ มันพุ่งออกไปในรูปแบบของ ‘บูมเมอแรง’ ที่ร่อนออกไปตามตำแหน่งที่ถูกล็อกเป้าหมายผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ และยิงใบมีดที่ซ่อนอยู่ใต้กงจักรออกไปในระยะไม่ถึงห้าเมตรจำนวนสามตำแหน่งด้วยกัน ก่อนที่ภายหลังมันจะวนกลับมาขึ้นมือของเจ้าของผู้ใช้งานอีกครั้ง

คนทั้งหกล้มลงไปนอนกับพื้น ท่ามกลางสายตาของเหล่าบรรดาคนที่เหลือซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพวกเขาตรวจสภาพแล้ว แทบไม่ต้องสืบเลยว่าตายเพราะอะไร หากแต่กลับติดปัญหาตรงที่เนื่องด้วยพวกเขาไม่สามารถจับทิศทางหรือตำแหน่งของผู้บุกรุกเข้ามาได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำจึงเลยมีเพียงแค่การแยกกำลังออกไปลาดตระเวนดูโดยรอบอย่างระมัดระวัง

ในทุกฝีก้าวที่พวกเขาเดินย่ำไปกับพื้น คือสิ่งที่แสดงให้เคออสเห็นว่าคนเหล่านี้พวกเขาเอาจริง และความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงความตายที่เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัว

สัญญาณการติดต่อสื่อสารระหว่างคนในกลุ่มดังเข้ามาในหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่เรื่อย ๆ เคออส ใช้จังหวะตอนที่พวกเขากำลังลาดตระเวนอยู่นั้น มองหาหนทางในการที่เขาสร้าง ‘ตัวล่อ’ เพื่อให้กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่พลติดเกราะหนักเข้าไปรวมตัวกัน แน่นอนว่าเขาใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ ประกอบกับหลบเลี่ยงและไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเปิดเผยตำแหน่งของตัวเองให้ได้รับรู้

‘บ้าชิบ! นี่มันใช่พวกแฮกเกอร์แน่เหรอ?!’

ใครคนหนึ่งกล่าวตะโกนออกมา แสดงสีหน้าหวาดหวั่นวิตกอย่างหนัก

‘ฉันว่าตัวเองใกล้จะสติแตกแล้วเต็มทีว่ะ ลาก่อน เงินเดือนและสวัสดิการของฉัน’

‘โยว่ ๆ ดึงสติตัวเองกลับมาหน่อย จบคืนนี้ไป เดี๋ยวเราก็ได้พักร้อนยาวกันแล้ว’

ประโยคบทสนทนาภายในกลุ่มผู้ติดอาวุธ สื่อสารกันแบบปากต่อปาก ขณะเดียวกันเองก็ถูกจับตามองโดยตัวชายหนุ่มผู้ที่เขาเองกำลังรอจังหวะสำหรับการที่ตัวเองจะได้ใช้อุปกรณ์ชิ้นที่สองที่เขาได้นำมา

‘ระเบิดควัน’ สำหรับเคออสมันมีมากกว่าแค่การใช้อำพรางหรือเพื่อหลบหนี หากแต่มันมีพิษสงร้ายกาจเสียจนเขาสามารถที่จะใช้สังหารหมู่ได้เพียงแค่ไม่กี่ลูก ซึ่งโอกาสที่มันจะถูกหยิบออกมาใช้งานก็ไม่ได้มีมากนัก เมื่อเทียบกับบรรดางานนอกสนามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ตลอดเวลา

เคออส เก็บกงจักรเข้าในเสื้อโค้ท สลับมาใช้เป็นในตัวของระเบิดควันจำนวนสองลูกที่แน่นอนว่าด้านในบรรจุเป็นตัวสารหลอนประสาทและบดบังวิสัยทัศน์โดยรอบไปในระยะเวลาชั่วคราว ทั้งสองถูกปาออกไปกลิ้งบนพื้น ซึ่งเป็นจังหวะเพียงแวบเดียวที่เขาปรากฎตัวให้กลุ่มติดอาวุธพวกนั้นมองเห็น ก่อนจะจางหายไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ทัน

ควันทั้งสองที่ฟุ้งกระจายออกไปกินพื้นที่ในบริเวณกว้างอยู่พอสมควร และแน่นอนว่ามันก็เป็นช่วงเวลาของการบรรเลงบทเพลงสังหารหมู่ที่มาจากฝีมือของอดีตหัวหน้านักลอบสังหารที่กว่าจะมีใครล่วงรู้ตัวก็กลายเป็น ‘เหยื่อ’ ของเขาไปโดยเสียแล้ว

เคออส ใช้มีดและฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดที่เน้นรวดเร็ว ฉับไว และเด็ดขาด ไม่เปิดโอกาสให้แม้เพียงแต่จะตอบโต้กลับไป หากแต่เลือกที่จะตัดกำลังเพื่อให้พวกเขาหมดสภาพ ก่อนจะปลิดชีพไปในทันทีจนนอนจมกับกองเลือดไป ซึ่งหากสังเกตดูดี ๆ พบว่าแต่ละคนที่ล้วนถูกสังหารไปแทบไม่มีใครลั่นไกปืนออกมาเลยแม้แต่สักคนเดียว กลับกันพวกเขาไม่มีโอกาสจะได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าสติสัมปชัญญะของตัวเองดับวูบลงไปแล้ว

เริ่มจากคนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหก ชะตากรรมของพวกเขาเรียกได้ว่าค่อนข้างไปในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน

เว้นแต่เมื่อพอมาถึงคนที่เจ็ดขึ้นไป แน่นอนว่านั่นเองที่ทำให้คนกลุ่มที่เหลือเริ่มรู้ตัว และตัดสินใจถอยกำลังพลออกไปในอีกจุดหนึ่ง พาตัวเองออกจากกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งเหล่านี้

‘รีบย้ายจุดออกจากที่นั่นซะ! และอย่าสูดไอ้ควันบ้า ๆ นี่ด้วย!’

ใครคนหนึ่งตะโกนออกมา ก่อนที่เขาจะพาตัวเองวิ่งฝ่าควันที่คอย ๆ เริ่มจางหายไป จะเหลือก็แต่พวกคนบางส่วนที่เหมือนจะโดนฤทธิ์หลอนประสาทจากควันที่พวกเขาเผลอสูดเข้าไปจนเริ่มหันเหมาทำร้ายพวกเดียวกันเอง

เคออส รู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้นมันส่งผลอะไรต่อไปข้างหน้า คิดได้แบบนั้น เขาเลยอาศัยจังหวะอันชุลมุนนี้ในการรีบตามใครคนหนึ่งไป ปล่อยให้พวกคนติดอาวุธที่ออกอาการสติหลุดเริ่มจะหันปืนเข้าหาตัวเองและคนอื่น ๆ ก่อนจะแผดเสียงกรีดร้องออกมา และลั่นไกกราดยิงปืนบนมือใส่แบบไร้ทิศทางจนมันส่งผลทำให้พวกคนที่กำลังจะหนีไปนั้นต้องหยุดชะงัก และได้แต่ตะเกียกตะกายพาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงนี้ โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้เลยถึงแผนการต่อไปที่ตัวของชายหนุ่มคิดจะทำหลังจากนั้น

เสียงปืนที่ดังลั่นภายในโถงลานกว้างของชั้นที่ 65 ดังลงไปถึงส่วนของบริเวณชั้นหลังจากนั้นถัดมากันเป็นทอด ๆ และสิ่งหนึ่งที่เหมือนว่ามันเกิดขึ้นมาโดยไม่คาดคิดเอาไว้ นั่นคือระบบรักษาความปลอดภัยขั้นที่สองที่ทำงานขึ้นมาอัตโนมัติโดยทันที

ตรวจพบระบบรักษาความปลอดภัยขั้นที่สอง สถานะ เสี่ยงอันตราย จำนวนศัตรูเพิ่มขึ้นเป็น 7 คนค่ะ

“นองเลือดอย่างที่ว่าไว้จริงสินะ…”

กองกำลังเสริมเข้ามาในบริเวณจุดที่เคออสอยู่ และแน่นอนว่าหนึ่งในงานช้างแรกที่เขาได้เจอคือบรรดาพวกพลติดเกราะหนักจำนวนสามคน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้พบเห็นตัวของชายหนุ่มโดยบังเอิญ และมันก็ได้พลิกผันจาก ‘หน้ามือ’ เป็น ‘หลังมือ’ ไปในทันที

อาวุธที่พวกเขาใช้เป็นปืนกลเบาที่ติดเครื่องยิงระเบิดเอาไว้ แน่นอนว่ามันค่อนข้างทำเอาเขาจำต้องรีบเคลื่อนตัวออกจากที่หลบไปโดยเร็ว เพราะแรงระเบิดจากเครื่องยิงนั้นมันค่อนข้างส่งผลต่อร่างกายของเขามากกว่ากระสุนที่พุ่งแฉลบเข้ามาถึงตัวเขาเป็นไหน ๆ ซึ่งยังดีที่เนื้อผ้าของเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเขายังพอช่วยทำหน้าที่เป็นเกราะเปลือกนอกรับกระสุนได้ หากแต่มันก็ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพันเท่า

หน้าจอบนเลนส์กระจกของหน้ากากกันแก๊ส ระบุถึงระดับความคงทนของเจ้าเนื้อผ้ากันกระสุนที่ระดับของมันลงลดจาก หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง สามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาไม่ถึงห้าวินาที

เคออส พุ่งสไลด์ตัวลงไปกับพื้น สองมือของเขาล้วง ‘ระเบิดดาวกระจาย’ ออกมาจำนวนสามลูก ก่อนจะปามันออกไปติดเข้าที่แผ่นหลังของพลเกราะหนักสามคน ระเบิดทั้งสามนั้นทำงานโดยทันทีเพียงแค่มันสัมผัสได้ถึงพื้นผิวทุกชนิด ซึ่งแน่นอนว่าพิษสงจากแรงระเบิดของมันอาจไม่ได้ทำให้ทั้งสามถึงกับล้มตายไป หากแต่ก็ต้องทรมานด้วยการถูกเศษเหล็กเคลือบพิษที่มันกระจายออกไปฝังเข้าถึงผิวหนังชั้นใน ทำลายประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที ชนิดที่ไม่แม้แต่จะรักษามันได้

พลเกราะหนักร่วงไปแล้วจำนวนมากกว่าครึ่ง ขณะที่ฝั่งคนติดอาวุธเองก็มีจำนวนเหลืออยู่ประมาณไม่ถึงยี่สิบคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือพวกไล่ล่ากับตั้งรับอยู่บนชั้นที่ 66 กับ 67 ตามข้อมูลที่ระบุไว้บนหน้าจอที่เขากำลังส่องอยู่ ณ ขณะนี้

“อลิส แจ้งสถานการณ์เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลลับสุดยอดให้ฉันฟังอีกครั้งที”

ข้อมูลเกี่ยวกับฐานยิงขีปนาวุธ ฟลอเรนซ์ (Florence) ถูกเก็บไว้อยู่ในตำแหน่งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องมีการเข้ารหัสผ่านแบบสามชั้น ชั้นแรก คือการยืนยันตัวตนผ่านดีเอ็นเอ ชั้นที่สอง ยืนยันผ่านม่านตา และชั้นสุดท้าย ยืนยันผ่านคลื่นเสียง ทั้งสามอย่างสงวนไว้เฉพาะหัวหน้ารักษาความปลอดภัยเท่านั้นค่ะ

“แสดงว่าใช้วิธีลัดคงไม่ได้สินะ ปกติระบบพวกนี้สามารถ บายแพส (Bypass) ได้ แต่คงใช้เวลานานและมีวิธียิบย่อยใช่เล่น”

ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นที่สองถูกเปิดใช้งาน ส่งผลทำให้การบายแพสเป็นวิธีการเสี่ยงต่อการเปิดเผยตำแหน่งค่ะ ฉันแนะนำว่าคุณควรใช้วิธีการแบบดั้งเดิมที่ได้ผลดีกว่า

“ใช่ แต่ยังไงมันก็เสี่ยงที่อาจทำให้เป้าหมายเกิดความเสียหายเช่นเดียวกัน”

ชายหนุ่ม มองหาเวลาสำหรับการหลบซ่อนเช่นเดิม พลางนึกแผนการในหัวไปด้วยว่าเขาควรทำยังไงต่อไป เขารู้ว่าตอนนี้แผนการที่วางไว้มันใช้การไม่ได้แล้ว ทว่าแทนที่จะมองว่าเป็นความผิดพลาด หากแต่มันกลับเปิดโอกาสให้เขาได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่มันช่วยขัดเกลาความคิดสร้างสรรค์ท่ามกลางความลุ้นระทึกและตื่นเต้นที่พ่วงมาด้วย ‘ความเป็น’ และ ‘ความตาย’ ซึ่งเขากำลังโหนตัวอยู่ในเส้นด้ายของความไม่แน่นอนพวกนี้กับผู้ช่วยส่วนตัวของเขา

“ช่างเถอะ อลิส หาตำแหน่งของเป้าหมายที่สอง ส่งสัญญาณออกไปหาเครือข่ายอาชญากรรม บอกพวกเขาว่าเตรียมเรือเอาไว้ หลังจบงานนี้ฉันจะไปถึงที่จุดนัดพบในอีกสามชั่วโมง”

รับทราบค่ะ

เคออส ออกจากที่หลบซ่อน ก่อนคว้าร่างของคนติดอาวุธมาใช้เป็นโล่มนุษย์เพื่อตั้งรับกับเหล่าบรรดากลุ่มคนที่แน่นอนว่าพวกเขาในตอนนี้รับรู้แล้วถึงการมาของตัวเอง แน่นอนว่าหากเป็นในสถานการณ์ของการเป็นนักลอบสังหาร การอยู่ท่ามกลางฝูงศัตรูเช่นนี้คงเสี่ยงต่อการถูกฆ่าได้ในทันที

เว้นเสียแต่คราวนี้เองที่เขากลับเปลี่ยนจากการต่อสู้ในระยะประชิด มาเป็นการที่ตัวเองได้ตัดสินใจชักปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างเอวของกลุ่มติดอาวุธออกมาถือไว้บนมือแทน

ชายหนุ่มใช้ระยะเวลาเพียงแวบหนึ่งสำหรับการมองหาพวกคนที่หลบอยู่หลังกำบัง ก่อนที่เขาจะลั่นไกปืนยิงออกไปเป็นจำนวนหนึ่งนัด เน้นเข้าบริเวณกลางศีรษะกับระเบิดลูกเกลี้ยงที่เหมือนว่าทันทีที่มันถูกกระทบด้วยกระสุนปืนก็เกิดเป็นแรงระเบิดในบันดล

เขาทำแบบนั้นไประหว่างฝ่าวงล้อมจากคนเหล่านั้น จนกระทั่งต้องทิ้งโล่มนุษย์ออกไป และกระโจนหลบออกด้านข้างและสับฝีเท้าอย่างเร็วเพื่อหลบกระสุนจากปืนกลเบาที่พลติดเกราะหนักประเคนใส่เข้ามา

กระสุนบางนัดที่แล่นเข้าใส่หน้ากากกันแก๊สทำความเสียหายไปเพียงระดับเล็กน้อย เมื่อเทียบกันแล้วกับบริเวณใต้เสื้อโค้ทด้านในที่แน่นอนว่ามันเป็นชุดเกราะกันกระสุนที่เขาสวมใส่ไว้อยู่ แน่นอนว่ามันอาจเพียงพอต่อการทำให้ร่างของเขาชะงักไปบ้าง หากแต่มันกลับไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสใด ๆ เนื่องมาจากเขานั้นชินชาแล้วกับการต้องฝ่าดงสมรภูมิที่ดุเดือดมากยิ่งกว่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อบวกรวมเข้ากับความเดือดดาลผ่านสีหน้าที่แสดงออกมาใต้หน้ากาก นั่นยิ่งทวีคูณอารมณ์และอะดรีนาลีนที่สูบฉีดอย่างต่อเนื่องเสียชนิดที่ว่ายากยิ่งจะมีอะไรหยุดเขา

เคออส ไล่สังหารพวกคนติดอาวุธที่คอยขวางทางเขาไม่ให้ไปถึงตัวของหัวหน้ารักษาความปลอดภัย ประกอบกันกับที่เขาเองก็ได้ตอบโต้ด้วยการใช้ระเบิดดาวกระจายใส่พวกพลติดเกราะหนัก และทิ้งระเบิดควันที่ทรงอานุภาพมากกว่าสองอันก่อนหน้า ซึ่งด้านในมันบรรจุเป็น ‘ฟอสฟอรัสขาว’ ที่ผสมเข้ากับ ‘สารเคมีอุตสาหกรรม’ ที่ไต่ระดับความรุนแรงจากเพียงหลอนประสาท กลายเป็นการกัดกร่อนผิวหนังและทำลายวัตถุโดยรอบในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้พวกบรรดากองกำลังเสริมที่อยู่ในตึกจำต้องถอยกำลังออกไปเพื่อไม่ให้ถูกควันที่ลอยฟุ้งออกมาเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง

สถานะ อันตรายสูง ชีพจรของคุณกำลังเต้นเร็วมากกว่าปกติ 5 เท่า

“ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ อลิส แต่จะดีกว่านี้ถ้าช่วยบอกว่ามีสเต็มแถวนี้ให้ฉันบ้างไหม?!”

ถึงจะเหนือมนุษย์มากแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะคงกระพันไปเสมอ…

ผลพวงจากการฝ่าฟันอันตรายมากมาย ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่มันต้องมาพร้อมกับอาการความเจ็บปวดที่แน่นอนว่าแม้จะไม่ถึงขั้นวิกฤตหนัก แต่ก็เพียงพอที่เซลล์ตัดแต่งพันธุกรรมในร่างกายของชายหนุ่มนั้นฟื้นฟูได้ไม่รวดเร็วมากเพียงพอกับความรุนแรงที่เขาได้รับ แน่นอนว่าระหว่างการที่เขาเองกำลังมองหาข้อมูลลับสุดยอดที่ต้องการ เขาเองก็ได้บังเอิญเจอกับใครคนหนึ่งที่เหมือนว่าจะเป็นชายอายุมากกว่าเขาราวสิบห้าปี โดยมาพร้อมกับชุดเครื่องแบบอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขาพอคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็น ‘หัวหน้ารักษาความปลอดภัย’ ของที่นี่

‘ชิบแล้ว! มันมาถึงนี่เลย!!’

‘กระจายกำลังออกไป ที่เหลือปกป้องเครื่องเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ อย่าให้มันเข้าถึงที่นี่ได้’

เพียงแวบเดียวที่เคออสสังเกตเห็น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถัดไปประมาณร้อยกว่าเมตร หัวหน้ารักษาความปลอดภัยคิดจะทำอะไรต่อไปในเวลาข้างหน้า

จำนวนของพวกกลุ่มติดอาวุธนั้นเหลือน้อยแล้ว ภาพหน้าจอบนเลนส์กระจกหน้ากากกันแก๊สแสดงถึงจำนวนของพวกพลติดเกราะหนักที่ตอนนี้มันขึ้นเป็นเลขศูนย์ บ่งบอกว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้อีก นอกจากพุ่งเป้าไปที่การชิงข้อมูลจากในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่เหมือนว่าคนที่เข้าไปด้านในนั้นดันเป็นไปในตัวของหัวหน้ารักษาความปลอดภัยแทน ซึ่งมีหรือที่เขาจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยออกไป

และนั่นเองที่ทำให้เขาจำต้องงัดทักษะการวิ่งปีนป่ายสิ่งกีดขวาง รวมไปถึงการประเคนอาวุธที่มีอยู่ทั้งหมดปาเข้าใส่พวกกลุ่มติดอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นตัวระเบิดควันหนึ่งลูก หรือแม้แต่ระเบิดดาวกระจายที่บัดนี้มันเหลือเพียงแค่ห้าลูกแล้วภายในกระเป๋าเสื้อของเขา

ตัวควันที่ออกมาจากระเบิดที่เคออสปาลงไปเป็นควันที่มีไว้สำหรับรบกวนการทำงานของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในระยะเวลาชั่วคราว อานุภาพของมันไม่ได้ร้ายแรงเท่ากับสี่ลูกก่อนหน้าที่ผ่านมา หากแต่มันสามารถใช้เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ร่วมกับตัวระเบิดดาวกระจาย ซึ่งผลที่เกิดขึ้นทำให้เศษเหล็กเคลือบพิษกลายเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ที่มันลอยพุ่งใส่บรรดากลุ่มติดอาวุธไปจนหมด และแน่นอนว่าอาจเป็นเพราะมันทรงอานุภาพมากเกินกว่าที่คิดไว้ นั่นเลยเป็นเหตุทำให้เศษเหล็กดังกล่าวพุ่งออกไปปักเข้าที่ร่างของหัวหน้ารักษาความปลอดภัยที่ตัวเขาออกมาจากห้องเซิร์ฟเวอร์ที่กำลังถือวัตถุชิ้นหนึ่งเอาไว้บนมือตัวเองด้วย

ใช่ แวบหนึ่งที่ชายหนุ่มเห็น เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือ ‘ฮาร์ดดิสก์’ ที่กักเก็บข้อมูลของฟลอเรนซ์เอาไว้

เคออส ตีลังกาม้วนหน้า และลงมาที่พื้นในจุดที่ตัวหัวหน้ารักษาความปลอดภัยกำลังพยายามลากสังขารของตัวเองเพื่อจะออกไปที่ประตูลิฟท์ หากแต่กลับต้องชะงักลงเมื่อเขาได้เห็นฝีเท้าของใครบางคน ผู้บุกรุกเข้ามาและมีเจตนาต้องการแย่งชิงสิ่งที่เขากำลังปกป้องด้วยน้ำมือของตัวเอง

“แกมัน–”

ชายหนุ่ม ยกเท้ากระทืบใส่แผ่นหลังของหัวหน้ารักษาความปลอดภัยผู้นั้นเข้าอย่างจัง ก่อนจะแย่งฮาร์ดดิสก์บนมือนั้นมาทันที ตามมาด้วยใช้ข้อเข่าบิดลำคอของอีกฝ่ายจนนอนเสียชีวิตคาที่

ข้อมูลอยู่ในสภาพสมบูรณ์และครบถ้วนค่ะ จะให้เริ่มการถ่ายโอนเลยไหมคะ?

“ยังก่อน อลิส เรายังเหลืออีกหนึ่งงานที่ต้องทำ”

ควันที่ลอยฟุ้งออกมาค่อย ๆ จางหายไป พร้อมกับที่เหล่าคนติดอาวุธจำนวนมากทยอยล้มตายในสภาพที่ร่างของพวกเขาซีดขาวอันเนื่องมาจากผลจากพิษที่เคลือบมาบนตัวเศษเหล็กที่กระเด็นติดเข้ามา ขณะที่อีกด้านหนึ่งกลับโหดร้ายยิ่งกว่า เพราะอยู่ในสภาพที่เลือดและเครื่องในไหลทะลักออกมา บ้างก็จมกองเลือด ไปจนถึงแทบไม่เหลือเค้าโครงร่างกายมนุษย์ให้เห็น ซึ่งนั่นคือสิ่งที่บ่งบอกได้ถึงความเลือดเย็นและความโหดเหี้ยมที่มาจากตัวของชายหนุ่มเพียงผู้เดียว

และมันคงไม่แปลกอะไร ถ้าหากว่าการสังหารใครสักคนสำหรับเขามันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เขาทำต่อเนื่องแบบนี้มาเป็นมากกว่ายี่สิบปีแล้ว

“อลิส ระบุตำแหน่งของ คาโต้ ร็อบเบิร์น ให้ที ส่งข้อความไปหาเขาบอกด้วยว่า นักลอบสังหารหมายเลข 5567 ฝากความคิดถึง มาให้”

รับทราบค่ะ

โดยไม่ลืมว่างานหลักที่เขาได้รับจากผู้ว่าจ้างนั้นเป็นใคร พลันเมื่อภาพหน้าจอแสดงตำแหน่งของเป้าหมายให้เขารับรู้ เคออส ก้าวเท้าย่ำเข้าไปในลิฟท์ ก่อนจะกดปุ่มไปยังชั้นที่อยู่นั้นโดยทันที

พร้อมกับมีดคอมแบทที่เปื้อนไปด้วยเลือดของคนที่เขาได้สังหารไป…

- 3 -

ความวุ่นวายจากในบริเวณส่วนล่างของตึก ส่งผลมายังส่วนบนที่แน่นอนว่าทำให้พวกบอดี้การ์ดจำเป็นต้องรีบรุดเข้าไปเพื่อปกป้องคนสำคัญ

ผู้เป็นทั้ง ‘เป้าหมาย’ และ ‘นายจ้าง’ ที่บัดนี้เขาเองแสดงความวิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก

“ไป! รีบไปซะ! ตามหามันและฆ่ามันให้ได้! อย่าให้มันเข้า–”

ชายร่างท้วนในชุดสูทสีน้ำเงิน พูดกับพวกบรรดากลุ่มติดอาวุธที่เหลืออยู่ หมายรวมไปถึงพวกผู้ติดตามของตัวเองที่ดูเหมือนว่าไม่ทันไรพวกเขาจะถูก บางอย่าง พุ่งเจาะตัดเส้นเลือดบนลำคอจนเลือดไหลทะลักออกมา

“มา…”

เคออส ปรากฎตัวอีกครั้ง หลังจากเดินออกมาจากประตูลิฟท์และมีดสามแฉกบนมือของตัวเอง แน่นอนว่าทันทีที่เขาเห็นห้องทำงานของชายผู้เป็นเป้าหมายนั้น เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาชื่นชมในการออกแบบที่มันดูทันสมัยและล้ำอนาคตพอสมควร

ชวนให้นึกถึงเมื่อครั้งที่เขาเคยทำงานให้กับ ศัตรูคู่อาฆาต ตอนสมัยเด็ก ต่างกันแค่ครั้งนั้นเขาไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดของตัวเองออกมา

“แค่จะมาทักทายแท้ ๆ แต่ดันส่งแขกมารับเชิญซะเยอะเลยนะ คาโต้ ร็อบเบิร์น

ราวกับถูกมนต์สะกดจนร่างกายแข็งทื่อ ชายร่างท้วน หยุดนิ่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของตัวเองโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดออกมา แน่นอนว่าเห็นแบบนี้ หากแต่เขาเองก็ระวังตัวไว้อยู่แล้วในระดับหนึ่ง ดูได้จากการที่มีปืนลูกโม่ โคลท์ อนาคอนด้า ที่ใช้กระสุนขนาด .44 แม็กนั่ม แน่นอนว่าในด้านของอานุภาพทำลายล้างมันคงไม่ต้องพูดถึง ความรุนแรงที่หากถูกยิงเข้าอย่างจังในระยะเผาขนคงสามารถคร่าชีวิตของเขาได้ในทันที เว้นเสียแต่ถ้าเป็นในระยะใกล้ อีกฝ่ายคงอาจต้องใช้ความพยายามสักเล็กน้อย เนื่องด้วย ณ เวลานี้นักลอบสังหารหนุ่มได้จัดการกับผู้ติดตามของเขาไปจนหมดแล้ว

“ให้พูดกันตามตรง ผมผิดหวังนิดหน่อยที่คุณไม่ได้เก็บไฟล์สำคัญนั่นกับตัว หากแต่เอาไว้กับตัวเครื่องเซิร์ฟเวอร์ แล้วก็ลิ่วล้อที่บทบาทของเขามีเพียงแค่เป็นตัวล่อเป้าให้กับผม ทั้งที่คุณเองก็น่าจะรู้ว่าการทำแบบนั้นมันมีแต่จะ–”

กระสุนนัดหนึ่งแล่นเข้าใส่ร่างของเคออสไป เป็นฝีมือของชายร่างท้วนเองที่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับฟังในสิ่งที่ผู้มาเยือนพูดออกมา แน่นอนว่าสำหรับชายหนุ่ม มันให้ความรู้สึกไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการถูกต่อยเข้าตรงจุดตายอย่างจัง เว้นแต่ในกรณีนี้กลับเป็นโชคดีที่เขาสวมเสื้อเกราะกำบังเอาไว้ เลยพอดูดซับความเสียหายได้บ้าง หาใช่ถึงขั้นทำให้หงายล้มลงไปกับพื้น

เคออส ถอนหายใจออกมาเล็ก ๆ ยืนนิ่งและชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ไม่ทันไร สีหน้าความเดือดดาลภายในหน้ากากกันแก๊สจะแสดงออกมา ซึ่งมันตามมาด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วผิดมนุษย์มนาให้ฝั่งของชายร่างท้วนได้เห็น

นัดที่สอง สาม สี่ และห้า ตามมาต่อเนื่องท่ามกลางบรรยากาศความเงียบสงัดและความหวาดระแวงที่มาจากตัวเจ้าของปืนลูกโม่กระบอกนั้น เคออส หลบกระสุนที่ผ่านเข้ามาได้อย่างโดยง่าย ไม่ต่างอะไรจากการที่เขาหลบหลีกหมัดที่สวนเข้ามาของคู่ต่อสู้ หากแต่มันหนักหน่วงและสาหัสกว่ามาก กระสุนนัดแรกที่ฝังเข้าในตัวชุดเกราะค่อย ๆ ถูกดึงออกมา ก่อนที่กระสุนนัดสุดท้ายนั้นจะแล่นตรงมายังส่วนตรงกลางหน้ากากกันแก๊ส ซึ่งก่อนที่มันจะกระทบมาถึงตัวกลับถูกหยุดไว้ด้วยคมมีดที่เกิดจากการตอบสนองในชั่วเวลาเพียงพริบตาที่เขาได้กระทำต่อหน้าตัวของมนุษย์ผู้ตกอยู่ในความกลัวแบบสุดขีด

“ก-แก…แกเป็นตัวบ้าอะไร? แก…ไม่ใช่มนุษย์!!”

และก็เป็นอีกครั้งที่ในพริบตาเดียว ร่างของชายหนุ่มก็ได้มายืนอยู่ใกล้กับตัวชายร่างท้วน พร้อมกับปักมีดคอมแบทเข้าตรงกลางอกของคนตรงหน้าจนแววตาเบิกโพลงขึ้นมา

“ฉ-ฉันขอโทษ…ฉ-ฉ-ฉันไม่ได้…ตั้งใจ…ทั้งหมดมันเป็นเพราะ…เขา”

เคออส ไม่กล่าวคำพูดใด ๆ หากเพียงรับฟังในสิ่งที่ชายร่างท้วนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ทั้งความกลัว หวาดระแวงและเสียใจ สามห้วงอารมณ์นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นมาอยู่ตลอดเมื่อ ‘เหยื่อ’ ของเขากำลังสูญสิ้นลมหายใจไปทีละนิด ๆ แน่นอนว่าเขามีโอกาสสามารถทำให้อีกฝ่ายจากไปโดยไม่มีความจำเป็นที่ต้องปล่อยให้ทรมานแบบนี้ ทว่าสำหรับกรณีนี้กลับแตกต่างกัน เขาต้องการเห็นอีกฝ่ายมองเห็นอำนาจที่ถูกสั่นคลอนไปด้วยผลพวงจากการกระทำที่ตัวเขาเองได้ทำเอาไว้

การกระทำในอดีตกาลที่ชายหนุ่มได้เห็นและรับรู้ และมันเองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่เขาต้องการไฟล์ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์นั่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และเพื่อที่จะแก้แค้นต่อสิ่งที่องค์กรเก่าเคยทำไว้กับเขา

“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอ?” เคออส กดมีดลงไปให้ลึกขึ้นจนแทบจะมิดด้าม

“ม-ไม่…ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดแล้ว ที่แกเอามันมา…ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ไนติงเกล

“อ่าฮะ ก็พอรู้อยู่บ้าง ถึงยังไงก็เถอะ คิดเหรอว่าฉันจะมาเอาเพียงแค่นี้?”

ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระชากมีดดึงออกมาจากตัวของชายร่างท้วน ผละถอยออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะถีบเก้าอี้สำนักงานที่ตัวคนตรงหน้านั่งอยู่ให้กระเด็นออกไปทะลุกระจกด้านหลังจนร่วงหล่นไปสู่พื้นล่าง ซึ่งความสูงของมันมากเพียงพอที่อีกฝ่ายคงนึกสภาพของตัวเองได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร หากแต่ความคิดดังกล่าวกลับถูกทิ้งไปด้วยเหตุผลที่ว่าเขากำลังตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจต่อรองหรือทำอะไรได้

เป้าหมายถูกกำจัด คาโต้ ร็อบเบิร์น เสียชีวิตแล้ว…

เคออส มองเห็นภาพเบื้องล่างไกล ๆ ที่เขาเห็นว่าบรรดาพวกผู้คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายต่างผงะกับภาพที่เกิดขึ้นชนิดที่ไม่มีใครต่างคาดคิดว่าจะมีคนร่วงลงมาจากความสูงที่มากกว่าเจ็บสิบชั้น แน่นอนว่าบางส่วนเลือกที่จะแหงนมองขึ้นมาอย่างสงสัย ก่อนที่ภายหลังนั้นทุกอย่างจะเริ่มคลี่คลายเมื่อใครคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า

“นั่นเขา!! เป็นฝีมือของเขา!! เขาอยู่ที่นี่ เขาฆ่าคาโต้!!”

เคออส ไม่ใส่ใจกับเสียงของความวุ่นวายที่ตัวเองได้ยิน เว้นเพียงแต่เขามองเห็นว่า ณ เวลาตอนนี้เริ่มมีเหล่าเจ้าหน้าที่มากมายนับหลายนายกำลังกรูมายังพื้นที่ ๆ เขาอยู่ ซึ่งนั่นอาจคงต้องใช้เวลานานในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุที่ระบบรักษาความปลอดภัยบางส่วนถูกทำลายไปโดยไวรัสที่เขาฝังเอาไว้ และแม้ว่ามันจะมีขั้นที่สองที่ถูกเปิดใช้งานอยู่ไว้ อย่างไรก็ตามมันก็ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่สำคัญ ๆ ไปเท่านั้น หาใช่ทั้งหมดทั้งมวลภายในตึกสูงระฟ้าแห่งนี้

หน้าจออินเตอร์เฟสบนหน้ากากปรากฎขึ้นเป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามา เคออส กดรับสายไปทันทีโดยไม่ลังเล

“รอนานหรือเปล่า? เราเตรียมเรือเอาไว้ตามที่บอกแล้ว คุณมีเวลาแค่สี่สิบห้านาที ก่อนที่เราจะออกตัว”

“เร็วเกินคาด เดาว่าเธอคงรู้อยู่แล้วสิว่างานนี้มันจบเร็วกว่าที่คิด”

“อย่างที่เราบอกคุณเสมอ เคออส เวนเจกซ์ เราจับตามองคุณ ฉันกำหนดเส้นทางที่ปลอดภัยและเตรียมรถกับชุดปลอมแปลงไว้ให้แล้ว หวังว่าคุณจะพึงพอใจ”

“อ่าฮะ ก็นิดหน่อย แต่ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ตำแหน่งจากที่นี่จนถึงท่าเรือไกลโพดเลยนะ ต่อให้ขับทางวิบากยังไงก็ใช้เวลาไม่ถึงแน่”

“ฉันเชื่อว่าคุณทำได้ เคออส เร่งมือซะ แล้วเราจะต้อนรับเมื่อคุณมาถึงแล้ว”

สีหน้าเดือดดาลเปลี่ยนมาเป็นความสบายใจเล็ก ๆ ไร้ซึ่งความกังวลที่ดูเหมือนมันเองจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเขาไม่ควรใช้เวลาเสียเปล่ากับการต้องมาอยู่ที่แห่งนี้นาน

“อลิส กำหนดเส้นทางลัดไปที่ท่าเรือ ขอใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง แล้วก็ช่วยติดต่อไปหา คาตานะ บอกให้เธอเปิดคอมพ์เตรียมรอไว้ ฉันจะส่งข้อมูลในฮาร์ดดิสก์นั่นให้เธอวิเคราะห์มันอีกที”

รับทราบค่ะ จะให้นำข้อมูลขึ้นในระบบคลาวด์ก่อนไหมคะ?

“ทำได้ก็ดี”

เข้าใจแล้ว กำลังดำเนินการให้แล้วเสร็จ…

ภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรออกจากประเทศนี้ ก่อนที่เหตุการณ์มันจะบานปลายกลายเป็นอย่างอื่นที่ยากจะรับมือได้ในอนาคต