"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4)

Projectile (Ch.4)

วันเวลานั้นได้เปลี่ยนผ่านไป พร้อมกับสถานการณ์โลกในช่วงปี ค.ศ.2025 ที่ดูเหมือนว่าหนึ่งในปัญหาใหญ่สุดที่โลกต่างกำลังเผชิญ นั่นคืออัตราการก่ออาชญากรรมที่มันพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ และพ่วงมาพร้อมกับความรุนแรงที่บางส่วนของพื้นที่ในโลกได้มีการปะทุขึ้นกลายเป็น สงครามกลางเมือง ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรายังคงติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องกับเหตุการณ์การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นหน้าบริเวณสถานที่ราชการทั่วโลก โดยตอนนี้ทางหน่วยงานเอ็กซิมิวส์ ได้ให้สัมภาษณ์กับเราว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นสายปลายเหตุมาจาก คนที่ไม่ควรเอ่ยชื่อ และสันนิษฐานว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นนี้อาจมาจากเรื่องราวในอดีตที่ถูกขุดขึ้นมาครั้งอดีตเมื่อช่วงปี ค.ศ.2020 หรือช่วงเวลาห้าปีก่อนที่จะมีการจัดตั้ง ‘กลุ่มรัฐบาลใหม่’ ขึ้นมา ซึ่งเชื่อกันว่าการประท้วงนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดเองที่ทางผู้บัญชาการใหญ่คนปัจจุบันไม่ได้ออกมาชี้แจงถึงข้อวิพากษ์ครั้งเมื่อตอนที่ ซานเคฟ โยโกวาริช ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ครับ!

หากแต่นั่นคงไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอะไรกับเธอ ผู้ที่บัดนี้ได้ใช้เวลาอยู่ภายในร้านขายเครื่องดื่มในย่านที่ถูกเรียกว่า นิวท์ สไตร์เดอร์ อันมีที่ตั้งอยู่ภายในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

และมันเป็นหนึ่งในสถานที่ ๆ ผู้มีอิทธิพลเช่นเธอเป็นเจ้าของ รวมถึงปกครองอยู่ด้วย ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน

“อย่าเกร็งไป ไม่สิ ต้องเรียกว่านาน ๆ ทีฉันถึงจะใช้ชีวิตปกติธรรมดาในที่แบบนี้”

เจ้าของเรือนผมสีฟ้าเข้ม มาพร้อมกับแววตาสีน้ำทะเล และการแต่งตัวที่ผสานความเซ็กซี่และลึกลับน่าค้นหาในตัว จริงอยู่ว่าลักษณะการแต่งกายของเธอชวนดูทำให้นึกถึงใครบางคนที่ในสายตาของชาวโลกมองว่าเขาเป็น ‘บุคคลอันตราย’ ที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว หากแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยคืออิทธิพลของการสวมเสื้อโค้ทยาวสีน้ำตาลและสวมหมวกฮู้ดปิดคลุมศีรษะ มันได้กลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่ดูแหกขนบความเป็นอาชญากรสงครามหรือผู้ก่อการร้ายแบบเดิมไป ซึ่งแน่นอนว่าการแต่งกายในลักษณะเช่นนี้ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกเล่นงานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และพวกหน่วยงานเอ็กซิมิวส์เอาได้

ทว่ามันก็ไม่ได้หยุดยั้งทำให้เธอจำเป็นต้องรักนวลสงวนตัว หรือเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ยิ่งแน่นอนว่าเธอมีอิทธิพลมากในระดับสามารถครอบครองพื้นที่ ๆ หนึ่งในประเทศมหาอำนาจแบบนี้ได้โดยไม่มีใครกล้าข้องเกี่ยวแล้ว นับประสาอะไรกับชุดที่มันดูเหมือนจะมีอะไรอยู่ตลอดเวลา

“ที่นี่เป็นของฉันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครหรือผู้ใดก็ตามที่เข้ามาอยู่ในย่านแห่งนี้ ทุกคนจะต้องทำตามกฎระเบียบที่ฉันเขียนเอาไว้ แต่ได้ยินแบบนี้มันก็ไม่ใช่ว่าจะเคร่งครัดไปหมดหรอก อะไรที่เห็นควรหย่อนได้ ฉันก็จะทำ อย่างน้อยเพื่อความสบายใจของนายเอง และคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”

เธอไม่ได้เปิดเผยชื่อของตัวเองให้คนตรงหน้าได้รู้จัก ที่จริงแล้วมันแทบไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากว่าทุกคนในย่านแห่งนี้ล้วนรู้ดีว่าคนที่กำลังนั่งดื่มค็อกเทลอยู่นั้นเป็นใครไม่ได้นอกจาก ‘เนเลส’ แม่ค้าอาวุธสงคราม และหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธที่กำลังมีปัญหากับหน่วยงานเอ็กซิมิวส์อยู่ในเวลานี้

“ใช่…ใช่แล้ว”

เนเลส ยกแก้วขึ้นจิบค็อกเทลบนมือ พร้อมส่งสายตาเหลือบมองไปยังตัวของชายหนุ่มผู้มีอายุไล่เลี่ยกันกับเธอ เจ้าของร้านขายเครื่องดื่มที่ตอนนี้เขากำลังทำหน้าที่ของตัวเอง พร้อมกับให้บริการผู้คนภายในร้านที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ประจำอยู่ในพื้นที่ นอกนั้นก็เป็นพวกบรรดาคนนอกที่เดินทางเข้ามาเพื่อเจรจาทางธุรกิจบางอย่าง

“เรื่องนั้นผมเข้าใจดี เนเลส ไม่ใช่ทุกคนที่จะต้อนรับคุณ แม้แต่กับคนที่มองว่าคุณเป็น ‘วัตถุทางเพศ’ มากกว่า ‘มนุษย์ปุถุชน’ คนหนึ่งที่ต่อต้านในอำนาจของกลุ่มรัฐบาลใหม่”

เจ้าของร้านกล่าวพูดกับตัวของหญิงสาว ประโยคคำว่า ‘วัตถุทางเพศ’ ดูเป็นคำที่ทำให้เธอรู้สึกแย่พอ ๆ กับการถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ‘คนจรจัด’ ไร้ซึ่งที่มาที่ไป แม้มันจะเป็นความจริงที่ว่าเธอเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายกว่าเด็กทั่วไป หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอกระทำ เธอไม่ได้ทำเพียงเพื่อตัวเธอเอง แต่กลับเป็นเพื่อให้คนในกลุ่มไม่ต้องรับเคราะห์ถึงขั้นต้องสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์

นั่นไม่ใช่ความต้องการที่เนเลสต้องการให้เป็น เธอต้องการเพียงอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงก็เท่านั้น

“แต่อย่าลืมสิ…ผมไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อใครหรืออะไร ผมแค่ต้องการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตตัวเอง เพียงเพราะเห็นว่าที่ ๆ ตัวเองอยู่มันไม่ได้เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมยังต้องหลบกระสุนและเห็นคนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา”

“แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วไม่เห็นเหรอ?” เนเลส กล่าวแย้ง

“ไม่ เนเลส มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยสักอย่างเดียว”

หญิงสาวชักสีหน้าผิดหวัง การกระทำของเธอค่อนข้างเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ก่อนหน้านี้มานาน และมันคงไม่แปลกหากว่าหลายครั้งเธอต้องจำใจทำในสิ่งที่สมควรทำ เพื่อไม่ให้เรื่องราวของเธอเล็ดลอดไปสู่โลกภายนอก และอาจหมายรวมไปถึงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งกองกำลังหน่วยรบหรือปฏิบัติการพิเศษเข้ามาในพื้นที่ หวังจะจับกุมเธอในข้อหาค้าอาวุธสงครามและแสดงความเป็นปรปักษ์ชัดเจนต่อตัวของกลุ่มรัฐบาลใหม่

สองข้อหานี่เพียงพอสำหรับการที่เธอถูก ‘จับตาย’ ได้อย่างไม่ต้องสืบค้น

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่การออกเดินทางออกไปนอกเขตพื้นที่ทุกครั้ง เธอจึงมักเก็บตัวอยู่แต่ในรถหุ้มเกราะอยู่เสมอ ไม่เปิดเผยตัวเองให้ใครเห็น และมักจะส่งตัวแทนอย่าง ‘นาฟุกะ’ ไปเป็นผู้เจรจากับเหล่าผู้ซื้อ แทนตัวของเธอที่ประจำการณ์อยู่ที่นี่ ภายในแผ่นดินประเทศแห่งเสรีภาพที่เธอมีอำนาจมากพอจะต่อรองกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลได้โดยไม่ถูกแทงข้างหลัง

“อีกสามวันร้านนี้จะถูกขายให้กับคนอื่น ถึงตอนนั้นคุณคงอาจคิดถึงรสชาติของค็อกเทลที่ผมทำให้คุณ”

นั่นฟังดูเหมือนเป็นได้ทั้งคำกล่าวลาและทิ้งท้ายเอาไว้ หากแต่กระนั้น เนเลส กลับรู้สึกได้ถึงความห่างเหินบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันทำให้ชีวิตของความเป็นหญิงสาวธรรมดา ๆ ห่อเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรแล้ว เธอก็ไม่ได้หวังจะรั้งเขาแต่อย่างใด เนื่องจากเธอเป็นพวกปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองมาตั้งแต่กำเนิด ฉะนั้นสิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือการที่ตัวเองต้องกลับไปทำงานอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

และต้องรับรู้กับข่าวอันเศร้าสลดว่ากลุ่มติดอาวุธของเธอเสียชีวิตไปแล้วกี่คนต่อกี่คน

“ใช่ ฉันจะคิดถึงเสมอ”

เธอใช้เวลาสำหรับการดื่มด่ำภายในร้านไปสักพัก กระทั่งเมื่อถึงเวลาช่วงใกล้พลบค่ำ ก็ได้ตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปยังพื้นที่ทำการของตัวเองโดยมีกลุ่มติดอาวุธคอยทำหน้าที่รับ - ส่ง และอำนวยความสะดวกให้แก่ตัวเธอเอง ก่อนที่จากนั้นผู้เป็นตัวแทนจะติดต่อเข้ามาผ่านทางเครื่องมือสื่อสารล้ำสมัยที่เธอพกพาติดตัวอยู่เป็นประจำ

ขออภัยที่ต้องให้รอนาน แต่ยืนยันได้แล้วว่าศพทั้งสามคนที่เสียชีวิตเป็นใคร

“ทำได้ดี นาฟุกะ ส่งข้อมูลมาที่ แผงควบคุมส่วนกลาง ของฉันได้เลย”

แผงควบคุมส่วนกลาง เปรียบได้กับเป็นคำเรียกของอุปกรณ์ที่แน่นอนว่ามันมีลักษณะเหมือนเป็นตัวช่วยในการจัดการเรื่องข้อมูลที่ถูกบันทึกในรูปแบบของ ‘ดิจิทัล’ ซึ่งในปัจจุบันมันได้ถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดสุดคือบรรดาพวกบริษัทเอกชนและรัฐบาล ที่พวกเขานั้นนำเอามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการควบคุมจำนวนข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในแต่ละวัน ซึ่งแน่นอนว่าการที่ใครสักคนจะมี แผงควบคุมส่วนกลาง เป็นเจ้าของได้นั้น อาจต้องแลกมาด้วยจำนวนเงินที่มากถึงหลักสิบล้านดอลลาร์ และที่สำคัญคือต้องทำข้อตกลงกับผู้ให้บริการเครือข่ายสุดยอดคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีอยู่หลายเจ้ามากในปัจจุบัน

หากแต่หนึ่งในเจ้าของผู้ให้บริการที่คนรู้จักมากที่สุด คงหนีไม่พ้น ซินดิเคด (Syndicate) อันเป็นผู้ให้บริการอันดับหนึ่งของโลกที่ก้าวล้ำหน้าไปกว่าเจ้าผู้ให้บริการอื่น ๆ

เนเลส เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ก่อนจะเดินตรงไปยังแผงควบคุมส่วนกลางที่ว่า โดยมันอยู่ในรูปแบบคล้ายคลึงกับโต๊ะรูปทรงวงกลมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ ณ ใจกลางห้องที่แน่นอนว่ามันเชื่อมต่อติดกับตัวของโต๊ะทำงานส่วนตัวที่แยกออกจากกัน อันแสดงให้เห็นถึงว่าข้อมูลบางส่วนมันมีการถ่ายโอนเข้า - ออก และมีการดัดแปลงอยู่ตลอดเวลาตามความต้องการของผู้ที่เป็นเจ้าของเช่นเธอ

ภาพการตายของศพทั้งสามฉายปรากฎขึ้นผ่านการแสดงผลของหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่โปร่งใส แน่นอนว่ามันโผล่ขึ้นมาทันทีโดยที่เธอไม่ได้ทำอะไรกับแผงควบคุมนั่น แน่นอนว่าสิ่งดังกล่าวนี้มันค่อนข้างที่จะใช้งานยากในระดับหนึ่ง หากแต่เพราะด้วยความช่วยเหลือและการเรียนรู้จากคู่มือวิธีการใช้ ทำให้เนเลสสามารถที่จะรับรู้เรื่องราวหลากหลายอย่างได้มากมาย แม้ว่านั่นอาจจะแลกมาด้วยการที่มันเป็นส่วนที่ต้องใช้พลังงานอย่างมากไปก็ตาม อันเนื่องมาจากเครื่องมือดังกล่าวยังอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนา

หากแต่เพียงแค่นี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีนั้นมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากขนาดไหน ยิ่งในช่วงที่การสื่อสารทั่วโลกนั้นพัฒนาไปไกลมากขึ้นด้วย ยิ่งไม่ต้องถามเลยว่าสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต นั้นมันรวดเร็วมากเสียจนแทบเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยความต้องการที่ห้าของมนุษย์ไป

“โซย่า ซายาฟ ลูเคียฟ”

ถึงอย่างนั้นแล้วมันก็มีผลกระทบอันเลวร้ายที่อาจตามมาซึ่งการชักนำห้วงอารมณ์และความรู้สึกอันหลากหลายที่ยากจะปฏิเสธไปได้

นั่นแค่สามศพแรกของเดือนที่แล้ว เดือนนี้คาดการณ์ว่าจะมีเพิ่มมาอีก

“รู้ตัวคนทำหรือเปล่า?”

ไม่ คุณเนเลส แต่เดาได้ว่าคงเป็นฝีมือของพวกเขาไม่ผิดแน่

เนิ่นนานมากแล้วนับแต่ภายหลังจากที่ผู้บัญชาการคนเก่าของเอ็กซิมิวส์ได้เสียชีวิตไป หากแต่กระนั้นสงครามระหว่างกลุ่มผู้ต่อต้านและผู้สนับสนุน ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อย ๆ และมันเองก็ส่งผลมายังตัวของกลุ่มติดอาวุธของเนเลส โดยทั้งนี้จุดเริ่มต้นของมันมาจากการที่เธออาสาจะเป็นคนรับผิดชอบแทนตัวของกลุ่มกองกำลังที่ก่อตั้งโดยผู้ก่อการร้ายลำดับที่สามของโลก นามว่า กองกำลังปฏิวัติอิสระ ซึ่งในเวลานี้สมาชิกในกลุ่มส่วนใหญ่แยกตัวออกไปหลบซ่อนหรือวางมือในเรื่องของการเป็นผู้แทรกแซงอำนาจที่กลุ่มรัฐบาลใหม่กำลังเป็นเจ้าของอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน

“โอเค อย่างงั้นก็กระจายข่าวไปให้คนของเรารับทราบ บอกพวกเขาให้เก็บตัวเงียบไว้ก่อน ส่วนเรื่องของการส่งสินค้าครั้งหน้า ไว้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”

รับทราบแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย เนท

“เช่นกัน ฟุกะ”

เครื่องมือสื่อสารบนตัวของหญิงสาวหยุดทำงานทันที เหลือเพียงแต่ตัวแผงควบคุมส่วนกลางที่มันยังแสดงภาพการตายอันน่าสลดของคนทั้งสามให้เธอรู้สึกเจ็บช้ำใจเล็ก ๆ

ความอาลัยอาวรณ์นั้นคงอยู่กับเนเลสได้เพียงไม่นาน ก่อนที่ ณ เวลาต่อมาเธอจะสับเปลี่ยนไปเป็นด้านของการส่งสัญญาณติดต่อสื่อสารไปยังตัวของผู้ซื้อขายอาวุธสงครามราวประมาณสามถึงสี่คน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายแทบทั้งหมด อาจมีเพียงอยู่แค่คนเดียวในกลุ่มที่ดูเหมือนจะแสดงถึงอากัปกิริยาที่รู้สึกโกรธเคืองและไม่พอใจอยู่เล็ก ๆ หลังจากที่เธอชี้แจงถึงเหตุผลและความล่าช้าในการส่ง ‘สินค้า’ ให้กับพวกเขา นอกนั้นก็เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และเฝ้ารอเวลาสำหรับการรับเอาอาวุธที่เธอส่งไปขายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

“ขอบคุณที่เข้าใจ แต่ว่าตอนนี้ขอให้ฉันได้ใช้เวลากับตัวเองก่อน”

เธอกล่าวกับคนทั้งสี่เป็นการทิ้งท้ายและบอกลา ก่อนจะสลับไปเป็นการติดต่อไปหาคนที่เธอต้องการมากที่สุดอย่าง เคออส เวนเจกซ์ ที่ปรากฎออกมาเป็นภาพที่เขาวุ่นอยู่กับงานประดิษฐ์ของตัวเอง

ไง เนเลส

ปลายสายกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แตกต่างจากตัวของเนเลสที่กลับมีสีหน้าอมทุกข์อย่างชัดเจน

กี่เดือนแล้วนะที่เธอไม่ได้วิดีโอคอลมาหาฉัน

“ไม่ถึงเดือนหรอก สามสัปดาห์เอง”

สามสัปดาห์เหรอ? จำผิดหรือเปล่าน่ะ ต้องเรียกว่า สามเดือน มากกว่า

การสนทนาระหว่างเขากับเธอค่อนข้างดำเนินไปแบบปกติ ทว่ามันกลับมีบรรยากาศในรูปแบบที่ว่าค่อนไปในทางการมากกว่าที่จะเป็นไปในเชิงของ ‘คู่รัก’ อันเนื่องมาจากเหตุผลอะไร พวกเขาต่างรับรู้กันเป็นอย่างดี

ช่างมันเถอะ สีหน้าเธอดูไม่ดีเท่าไหร่เลยนะ หวังว่ายังคงสบายดีนะ ใช่ไหม?

“ก็มีนิดนึง แต่คงอาจต้องพักผ่อนสมองบ้างหน่อย ช่วงนี้ติดงานหนักมากจนไม่ค่อยมีเวลาได้ดูแลตัวเองน่ะนะ”

โอ้! แย่เลยแฮะ ถ้างั้นสนใจ ‘พักร้อน’ สักหน่อยไหม ไปกลับที่เกาะฮาวายสักสองสามวัน

เครือข่ายของฉันพอมีคนรู้จักที่ให้บริการเรื่องความผ่อนคลาย หรือแม้แต่รับฟังเธออยู่นะ ต้องการหรือเปล่า?

“ขอบคุณสำหรับคำเป็นห่วง แต่ว่านั่นจะไม่ดูรบกวนเกินไปเหรอ?”

สายงานการทำงานที่ชายหนุ่มอยู่ค่อนข้างจะเคร่งครัดและจริงจัง แน่นอนว่าในด้านของการให้ความบันเทิงหรือเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนยามเมื่อถูกกดดันจากภายนอก แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ล้วนมีสถานที่คอยให้ไว้สำหรับเหล่าอาชญากรสงครามอยู่ด้วย และมันถูกดูแลโดยผู้ทรงอิทธิพลที่มีอำนาจเหนือกว่าผู้นำประเทศหรือแม้แต่ชนชั้นกษัตริย์ที่ถูกลดหย่อนระดับความสำคัญลงไป เหลือเพียงเสมือนเป็น สัญลักษณ์ สำหรับผู้ศรัทธาและนับถืออยู่

ซึ่งเธอไม่ใช่หนึ่งในนั้น และเขาเองก็ไม่ใช่ด้วย…

ไม่หรอก ๆ ออกจะเป็นการตอบแทนที่เธอได้ส่งภาพวาบหวิวมาให้ฉันดูด้วยซ้ำ

เนเลส หัวเราะออกมาเล็กน้อย เธอไม่ได้รู้สึกเขินอายเท่าไหร่กับการโชว์เรือนร่างอันสุดเย้ายวนให้กับชายหนุ่มดู แม้ว่าที่ผ่านมาทั้งคู่จะไม่เคยได้มีเซ็กส์ร่วมกันมาก็ตาม หากแต่มันอาจเป็นเพราะสถานที่กับงานด้วยที่หลายครั้งจุดบรรจบของมันก็ไม่ได้ผ่านเข้ามาอยู่บ่อย ๆ

“ไว้เดี๋ยวจะส่งอีก คราวนี้อยากได้รูปคู่ไหมล่ะ?”

ปลายสายถึงกับหน้าขึ้นสีแดงก่ำ แสดงอาการเลิกลั่กจนเกือบทำเครื่องมือช่างหลุดมือออกไป แน่นอนว่าสำหรับเคออสแล้ว รสนิยมทางเพศของเขาค่อนข้างหลากหลายพอสมควร และส่วนที่เขาชอบมากที่สุดคือการมีอะไรกันแบบกลุ่ม หรือหากเรียกง่าย ๆ คือ เซ็กส์หมู่ (Gangbang) ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ยากยิ่งแก่จะลืมเลือน

เอ่อ…ก็ไม่ขัดอะไรหรอก เธอก็รู้ว่าฉันเป็นพวกติดเซ็กส์อยู่แล้ว เนท

ได้ยินแบบนั้นรอยยิ้มของเนเลสก็ผุดขึ้นตรงมุมปากเล็ก ๆ แน่นอนว่ามันถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์และผ่อนคลายอารมณ์ความเคร่งเครียดของเธอได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นแล้วการจะเข้าถึงกิจกรรมพวกนั้นได้ เธออาจต้องเริ่มจากการสะสางงานต่าง ๆ ก่อนเป็นอย่างแรก เหมือนกับที่เขานั้นก็กำลังวุ่นอยู่กับงานประดิษฐ์ของตัวเองจนไม่ได้มีเวลามาใส่ใจความรู้สึกของเธอ

“ช่างเถอะ ราตรีสวัสดิ์ล่ะ ฉันว่าจะพักผ่อนสักหน่อย ไว้เจอกันเมื่อถึงเวลา”

นอนหลับฝันดีล่ะ ส่วนฉันขอโฟกัสกับงานนี่ก่อนแล้วค่อยพักผ่อนทีหลัง

“อย่าฝืนตัวเองมากนัก อย่าลืมสิว่าฉันเป็นแฟนคนที่สามของนาย”

ช-ใช่แล้ว ฮะ ๆ ใช่ ไม่ฝืนตัวเองหรอก!

เนเลส ตัดสินใจกดปุ่มวางสายการติดต่อไปทันที พอได้เห็นท่าทางของแฟนหนุ่มที่เขาแสดงอาการไม่ต่างจากผู้ชายเวลาที่กำลังเขินออกมา อย่างไรก็ตาม บรรยากาศความน่ารักกุ๊กกิ๊กเช่นนี้ไม่ได้มีให้ปรากฎขึ้นบ่อย ๆ และต่อให้มันอาจเคลือบแฝงความขมขื่นเอาไว้อยู่บ้าง กระนั้นแล้วมันก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้มันจืดชืดจนสูญเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์

“เรื่องชวนวุ่นซะจริง…”

เธอบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนใช้เวลาที่เหลือสำหรับการจัดแจงและประกอบกิจวัตรประจำวันในการพักผ่อนและเตรียมตัวเข้านอนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันเวลาที่ตัวเองต้องออกทำงานอีกครั้งในเช้าวันถัดไป

- 1 -

“แก-มัน-ไอ้-หน้า-โส-โครก!!!”

ทุกการปลดปล่อยห้วงอารมณ์ที่มีแต่ความเกรี้ยวกราดและร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงแห่งความพิโรธ นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าตัวของ เฮเลน่า ฮอฟฟ์แมนน์ ได้เปลี่ยนบุคลิกของตัวเองจาก ‘หน้ามือ’ เป็น ‘หลังมือ’ ท่ามกลางสายตาของผู้คนกว่านับสิบคนที่พวกเขาแสดงออกถึงความหวาดระแวง ความกลัว หมายรวมไปจนความตื่นตระหนก ภายหลังจากที่เธอปล่อยหมัดทั้งสองข้างออกไปยังร่างของผู้ที่กำลังถูกแขวนกลายเป็น ‘กระสอบทราย’ ส่วนตัวเพื่อให้เธอได้ใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ และฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้ระยะประชิดในแบบที่ตัวเองช่ำชองมานาน

ร่องรอยของกลิ่นคาวเลือด เสมหะ หรือแม้แต่กับกลิ่นคาวเหม็นอับนั้นดูจะไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่ามันขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย กลับกันเลยมันทำให้เธอยิ่งแสดงออกถึงความรุนแรงออกมามากกว่าเดิม ผ่านการย่ำยีร่างที่ส่งเสียงสะอื้นในลำคอและทนรับอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการถูกหญิงสาวผู้หนึ่งต่อยและเตะเข้าซ้ำ ๆ ทั้งนี้ยังไม่รวมไปกับการที่เธอได้ใช้อาวุธอย่างพวกท่อนเหล็ก สนับมือ ไม้เบสบอล หรือแม้แต่หมัดเปล่า ๆ ที่มันหุ้มด้วยถุงมือสีดำที่บัดนี้มันได้ปล่อยไฟออกมาลุกลามตามแขนทั้งสองข้าง ดูแล้วเสมือนกับว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำสมัยใด ๆ ทัดเทียบได้ หากแต่กลับเป็นในส่วนของสิ่งเหนือธรรมชาติที่มันได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงต้นกำเนิดบางอย่าง หรือไม่มันก็คือ ‘อาวุธคู่กาย’ ชนิดเดียวที่มันไหลเวียนอยู่ในร่างของเธอ

และในตอนนี้…อาวุธนั้นก็ได้สร้างบาดแผลตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายให้มันช้ำเป็นห้อเลือดมากกว่าเดิม ประกอบกับทวีคูณความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้

“ฉันเคยบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าสะเออะไปทำเสียเรื่อง แต่แก…แกกลับเสือกทำพลาดขึ้นจนฉันถูกพ่อด่าจนหูชา แล้วรู้ไหมว่าฉันอุตส่าห์พยายามทำตัวให้ดีแค่ไหน หา!!”

“ได้โปรดเถอะครับ ค-คุณหนูเฮเลน่า! ผมสำนึกผิดไปแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะ–”

“หุบปากเน่า ๆ ของแกไปซะ ไอ้หน้าโสโครก!! ฉันจะไม่ให้แกได้ตายสงบ ๆ อย่างที่แกต้องการ และแกจะได้มาเป็นที่รองมือรองเท้าให้กับฉัน!!”

แม้จะร้องอ้อนวอนเพียงอย่างไร ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเฮเลน่ารู้สึกเห็นใจถึงความเห็นใจพวกนั้น

เธอยังคงรัวหมัดใส่ไปไม่ยั้ง ประหนึ่งกับว่านอกจากมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมากแล้ว ยังตามมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่สะอื้นออกมาไม่เป็นจังหวะ และนั่นเองในฝั่งของคนที่มองเธออยู่กลับได้แต่ยอมรับต่อภาพความน่าสลดที่เห็น แม้จะมีใครบางคนพยายามห้ามปราม แต่นั่นก็ไม่เป็นผล

พวกเขาต่างรู้กันดีว่าคนที่ชื่อ เฮเลน่า ฮอฟฟ์แมนน์ คือผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของบริษัทการทหารเอกชน นามว่า ‘ฮอฟฟ์แมนน์ มิลิทารี่ คอนแทร็คเตอร์’ หรือ ‘เฮชเอ็มซี (HMC)’ ผู้ทรงอิทธิพลเป็นอันดับต้น ๆ ในด้านการให้ความสำคัญกับเหล่าทหารผ่านศึกผู้ที่เผชิญปัญหาในเรื่องทางการเงิน การเป็นคนไร้บ้าน หรือแม้แต่ต้องการมองหาโอกาสในการมีอาชีพการงานที่ดีและมั่นคง โดยแลกมาพร้อมกับความเสี่ยงอันตรายที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในทุกเมื่อในสงคราม

เฮชเอ็มซี มีบทบาทอย่างมากทั้งในและนอกตัวประเทศ พวกเขาเปรียบเสมือนเป็น ‘ตัวตายตัวแทน’ ที่ทางผู้นำประเทศให้ความสนใจมากในช่วงเวลานับตั้งแต่หลังสงครามเย็นได้จบลง มันถูกก่อตั้งมาในช่วงเวลาที่เหตุการณ์ ‘การรวมประเทศเยอรมนี’ ถือกำเนิดขึ้นมา โดยมันเป็นความตั้งใจของผู้เป็นพ่อของเฮเลน่า ที่มีชื่อเรียกว่า โธมัส ฮอฟฟ์แมนน์ ซึ่ง ณ เวลาต่อมาทุกคนในบริษัทจะเรียกแทนว่า ผู้อาวุโสโธมัส เนื่องจากเขามอบหมายตำแหน่งของตัวเองให้กับผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวอย่าง เฮเลน่า ทำหน้าที่แทน

สาเหตุนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงมากนักว่าเพราะเหตุอันใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนมันจะถูกจับตามองมากที่สุด คงเป็นการที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในทางการทหารที่มันดูค่อนข้างเป็น ‘เรื่องใหม่’ ในสายตาของผู้บัญชาการกองทัพเยอรมัน และในสายตาของชนชาติอเมริกาที่พวกเขาให้ความสนใจถึงแนวทางต่อไปในอนาคตของบริษัทแห่งนี้

แน่นอนว่าการแบกชื่อเสียงของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ มันล้วนสร้างความกดดันให้แก่ตัวของเฮเลน่าเสมอ นับแต่การที่เธอสลัดคราบความเป็นหญิงสาวผู้แสวงหาความสะดวกสบายและความหรูหราอู้ฟู่ สู่เส้นทางของการเป็นหญิงแกร่งผู้ที่ถูกขึ้นมามีความสำคัญต่อตัวประเทศชาติ แน่นอนว่านี่มันดูไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องเพ้อฝันสักเท่าไหร่นัก

อย่างไรเองก็ตาม เธอก็ไม่ได้สนใจในคำวิจารณ์หรือสายตาที่มองมาแต่อย่างใด กลับกันคือเธอยังแสดงมาดความเป็นผู้นำที่แข็งกร้าว เด็ดขาด และที่สำคัญก็เป็นที่พึ่งพาได้กับคนหลายคน

หากแต่ในอีกด้านหนึ่งเอง ความแข็งกร้าวพวกนั้นมันก็ค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณพอเอาเรื่อง

เฮเลน่า ถอยออกมาจากตัวของกระสอบทรายตรงหน้า หลังจากที่เธอเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวจากการใช้พละกำลังทั้งหมด รวมไปถึงสิ่งที่เธอเรียกมันว่า ‘พรวิเศษ’ ตามแบบที่เธอเองเข้าใจ ทรวดทรงที่สวยงาม มีกล้ามเนื้อพอประมาณ และรวมไปถึงท่อนแขนทั้งสองข้างที่ดูผิวเผินไม่ต่างอะไรจากคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างต่อเนื่องและมีสีผิวคล้ำน้ำตาลนิด ๆ แน่นอนว่ารูปลักษณ์ของเธออาจไม่ได้เป็นที่หมายปองสำหรับผู้ชายในประเทศสักเท่าไหร่ หากแต่เมื่อยามที่เธอออกไปนอกประเทศ เธอกลับเป็น ‘สเปคในฝัน’ ของผู้ชายที่ต้องการอยากขอเธอเป็นแฟนด้วย ซึ่งส่วนมากมักจบลงด้วยการถูกปฏิเสธหรือไม่ก็ถูกเธออัดน่วมจนต้องหลีกหนีออกไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เฮเลน่า ไม่ใช่ผู้หญิงที่อันตรายหรือไม่เป็นมิตร เธอเป็นพวกที่ใช้อารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว เก่งเรื่องการใช้กำลัง และแน่นอนว่าเอาแต่ใจค่อนข้างมาก ซึ่งมันเป็นหนึ่งในปัญหาที่แม้แต่ผู้เลี้ยงดูของเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนท้ายสุดจำต้องยอมปล่อยวาง และควบคุมไม่ให้เธอเผลอไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของทางวงศ์ตระกูล ฮอฟฟ์แมนน์ เพราะอาจนำพาความล่มจมมาได้ทุกเมื่อ

“แม่งเอ้ย!!” เธอสบถคำหยาบคายออกมา

“ใจร่ม ๆ ไว้หน่อยเถอะครับ คุณเฮเลน่า เรื่องแบบนี้มันพลาดกันได้ อย่างน้อย ๆ เราก็รักษาชีวิตคนของเราไว้ได้ บางทีพ่อของคุณเขาอาจแค่ขาดการมองภาพรวมในความเป็นจริงก็ได้ เหตุการณ์มันถึงได้กลับตาลปัตรไปแบบนี้”

เธอรับฟังคำกล่าวจากใครคนหนึ่งผู้ทำหน้าที่เป็นทหารรับจ้างภายในบริษัท และสนิทสนมกับเธอในฐานะที่เขาเป็นคนจำพวกแรก ๆ ที่สมัครเข้ามาและผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน คอยช่วยเหลือและสนับสนุนการกระทำของประธานบริษัทอย่างโธมัส ตราบไปจนถึงตัวของเฮเลน่า ผู้ที่เขาแทบจะไม่เคยถูกก่นด่าใด ๆ เลยจากหญิงสาวสักครั้ง

“จริงของแก…” เฮเลน่า เงียบกริบไปสักพัก

“บางทีฉันอาจต้องบอกพวกเขาไปตรง ๆ เกี่ยวกับเรื่องงานที่ฉันพึ่งรับมา”

‘งาน’ ที่ว่านั้นคืออะไรไม่มีใครรู้ นอกจากเป็นตัวของหญิงสาวที่เธอมีส่วนน้อมรับความรับผิดชอบและจัดการกับมัน หากแต่ก่อนหน้านั้น เธออาจจำเป็นต้องติดต่อหาใครบางคนเพื่อรายงานถึงสถานะที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งหาเหตุผลนับร้อยแปดอย่างเพื่อไม่ทำให้ ‘เบื้องบน’ เกิดแสดงอาการความผิดหวัง ซึ่งนั่นอาจส่งผลทำให้จำนวนเม็ดเงินที่เข้าในบริษัทลดน้อยลง ภายหลังจากที่ผ่านมามันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกปี

รวมไปถึงงานว่าจ้างนอกกฎหมาย อันเป็นแหล่งทำเงินที่เชื่อมต่อโดยตรงกับบัญชีธนาคารที่หญิงสาวเป็นเจ้าของ

“แยกย้ายออกไปซะ ส่วนเจ้าหมอนี่พาตัวไปรักษาแผล รอให้อาการพักฟื้นกลับมาดีขึ้น หลังจากนั้นฉันจะอนุมัติคำร้องขอลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์”

“สองสัปดาห์? นั่นมันไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ?”

“ไม่ล่ะ ใจจริงฉันอยากให้เดือนนึงด้วยซ้ำ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ช่วงนี้พ่อของฉันเขาค่อนข้างจริงจังกับงาน เพราะงั้นแค่สองสัปดาห์มันก็เหลือ ๆ แล้วที่พวกแกจะได้เก็บซ่อนตัวจากกลุ่มรัฐบาลใหม่”

เธอไม่ได้กล่าวทิ้งท้ายหรืออำลา นอกเหนือจากที่แค่นำเสื้อนอกสีดำตัวโปรดของตัวเองขึ้นพาดบ่า แล้วตัดสินใจเดินออกไปจากโกดังขนาดใหญ่ที่มันเป็นจุดที่เธอใช้สำหรับฝึกวิชาหมัดมวยและศิลปะต่อสู้ของตัวเอง และก็เป็นจุดรวมพลสำหรับผู้ที่สมัครใจเข้ารับภารกิจตามที่เธอได้มอบหมายไว้

อย่างที่เธอรู้มาตลอดว่าการที่บริษัทเติบโตขึ้นมาไม่ได้เพียงเพราะแค่ฝีมือของผู้เป็นบิดาเพียงอย่างเดียว ทว่ากลับเป็นเครือข่ายลับใต้ดินที่พวกเขาเสนอตัวเข้ามาสนับสนุนและมีส่วนร่วมในกิจการที่ล้วนแล้วมีผลประโยชน์แอบแฝงบางอย่างด้วยกันทั้งนั้น โดยหนึ่งในนั้นที่ขาดไม่ได้คือเหล่าตัวแทนผู้มาจาก ‘เครือข่ายอาชญากรรม’ ที่จะมีการติดต่อเข้ามาในทุกเดือนเพื่อมอบหมายงานชิ้นใหม่ ภารกิจใหม่ รายงานถึงผลประกอบการที่ได้รับและส่งผลตอบแทนเข้าสู่ในบัญชีของตัวเธอเอง ไปจนถึงขั้นส่งคำเชิญให้เธอเข้าร่วมองค์การประชุมกับตัวพวกเขาเอง

[ สวัสดี เฮเลน่า ]

ระหว่างใช้เวลาอยู่ภายในห้องอาบน้ำ สัญญาณการติดต่อที่ผ่านเข้ามายังตัวของระบบปัญญาประดิษฐ์ภายในห้องพักของเธอก็ดังขึ้น โดยมีสัญลักษณ์รูปของตราจักรวรรดิรัสเซียปรากฎมาอยู่ตรงกระจกกั้นที่เธอกำลังแช่น้ำฝักบัวอยู่

“มาได้จังหวะกำลังดีนี่ โชคดีที่หัวฉันยังเย็น ๆ อยู่ ไม่อย่างงั้นคงได้ปรี๊ดแตกแหง”

[ อารมณ์และความรู้สึกของคุณเป็นสิ่งที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง ]

[ เราต้องการทราบถึงสถานะของงานที่เราได้ให้ไปว่ามัน สำเร็จ หรือ ล้มเหลว ? ]

เธอเงียบกริบไปสักพัก ยื่นมือไปปิดฝักบัว ก่อนจะเอามือไปคว้าสบู่มาถูไถตามลำตัวและเรือนกายอันเปลือยเปล่าของตัวเอง พร้อมกันนั้นนึกย้อนไปถึงงานที่ได้รับมอบหมายมาตามที่ปลายสายติดต่อเข้ามา

งานที่ว่านั่นมันเกี่ยวกับการลำเลียงของ ๆ ชิ้นหนึ่ง โดยเธอมีหน้าที่จำเป็นต้องส่งให้กับผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในประเทศลิเบีย ซึ่งรายละเอียดไม่ได้มีการระบุไว้ว่าของชิ้นนั้นมันคืออะไร ทว่าจากที่เธอคาดเดา มีโอกาสที่มันอาจเป็นแร่ไซทรอเนียมที่ถูกขโมยมาจากเหมืองแร่ที่หน่วยงานเอ็กซิมิวส์เป็นเจ้าของ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่ามูลค่าของมันสูงเกือบเฉียดพันล้านปอนด์

“อยากฟังคำตอบแบบไหนล่ะ? ฉันไม่ได้เป็นพวกรักษาน้ำใจคนหรอกนะ”

[ เฮเลน่า คุณมีตัวเลือกแค่สองคำตอบ สำเร็จ หรือ ล้มเหลว ]

[ เราไม่ได้ติดต่อมาเพื่อเสียเวลาฟังคำข้ออ้างใด ๆ หากแต่เพียงต้องการทราบถึงสถานะของมัน ]

“ก็ได้ ๆ ถ้างั้นจะตอบให้ชื่นใจไปเลยแล้วกัน”

คำตอบจากปากของเธอทำเอาฝั่งปลายสายเงียบกริบไปนานพอสมควร ระหว่างที่เธอยังคงทำความสะอาดร่างกายหลังฟอกสบู่ไปทั้งตัว ตามมาด้วยการตรวจร่างกายของตัวเอง ก่อนจะมาบรรจบตรงที่ใช้ไดร์เป่าผมสลวยสีขาวซีดของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าสีผมนั้นไม่ได้มาจากการย้อมหรือแต่งขึ้น แต่มันมาจากยีนส์พันธุกรรมในครอบครัวที่เกิดความผิดปกติบางอย่างโดยหาสาเหตุไม่ได้

อาจเป็นไปได้ว่ามันคือ ‘คำสาป’ ของวงศ์ตระกูล หรือไม่ก็เกิดขึ้นโดยที่มีการสืบทอดพลังเหนือธรรมชาติจนทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้มาแบบดื้อ ๆ

แต่ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลอะไร มันไม่ได้ส่งผลต่อวิถีชีวิตของเธอมากนัก เว้นเสียแต่อาจจะถูกมองด้วยสายตาแปลกประหลาด แต่ในท้ายที่สุดมันกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นลักษณะเด่นที่ทำให้ผู้คนต่างรู้จักเธอ

“ผิดหวังหรือเปล่าที่ได้รู้น่ะ? อยากจะตัดเงินเดือนหรืออะไรก็ช่าง แต่ว่ามันคงไม่สำคัญแล้วสำหรับฉัน”

[ ของยังอยู่ดีหรือเปล่า? ]

“ถูกริบคืนไปแล้ว”

[ เช่นนั้นก็เป็นไปอย่างที่เราคาดเดา พวกเขาไม่ปล่อยเอาไว้ไปจริง ๆ ]

ฟังมาถึงตรงนี้ เฮเลน่าเกิดความสงสัยขึ้นมา น้ำเสียงของปลายสายนั้นดูเหมือนไม่ได้ตกใจ ผิดหวัง หรือแม้แต่โกรธเคืองกับผลลัพท์ที่ล้มเหลวนั้น แต่กลับเหมือนตระหนักรู้ถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา

บางอย่างที่อาจหมายความว่าทั้งหมดนั้นเป็น ‘ภารกิจลวง’ ที่พวกเขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

[ คุณยังคงได้รับเงินเช่นเดิม เฮเลน่า เราขอบคุณมากสำหรับคำตอบที่ได้รับ ]

[ หน้าที่ของคุณต่อไปหลังจากนี้ เราจะส่งรายละเอียดและสิ่งที่ต้องทำให้กับคุณโดยตรง ]

[ ข้อสำคัญ : งานนี้คุณต้องทำคนเดียว และไม่มีใครอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนได้ ]

“เฮ้ ๆ เดี๋ยว ๆ ฉันยังไม่–”

[ เราจับตามองดูคุณเสมอ ]

สายการติดต่อถูกตัดไปโดยทันที เหลือไว้เพียงแต่ความสงสัยที่วนเวียนอยู่ในหัวของหญิงสาวไปในแบบที่ตัวเองกำลังรู้สึกเคว้งคว้างและงุนงงอยู่แบบนั้น

เฮเลน่า ใช้เวลาสำหรับการจัดการตัวเองอยู่ลำพัง ขณะที่เธอเองมีคำถามมากมายที่อยากจะติดต่อกลับไปหาตัวแทนของเครือข่ายอาชญากรรม ทว่าสิ่งที่เธอได้กลับพบเพียงแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครหรืออะไรส่งข้อความตอบกลับเธอมา ทุกอย่างดูเหมือนว่าเธอและบริษัทถูกตัดหางปล่อยวัดไปดื้อ ๆ ตลอดระยะเวลาที่เธอได้ใช้เวลาบริหารกิจการอยู่แบบนั้น

มันรบกวนความคิดและความรู้สึกของเธอ ไม่ว่าจะทั้งในยามหลับ ยามตื่น ยามทำงาน ยามพักผ่อน หรือแม้แต่หมายรวมไปจนถึงยามที่เธอสนุกไปกับงานอดิเรกและสิ่งที่เธอชอบของตัวเอง นั่นคือการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศลำพัง พร้อมกับนักบินส่วนตัวผู้ที่เธอได้ว่าจ้างให้เขามาเป็นบอดี้การ์ดและผู้ติดตาม

“คุณทำหน้าเหมือนมีอะไรว้าวุ่นในใจเลยนะครับ คุณหนู”

เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดนั้นของเขา นอกเหนือจากมองเป็นแค่ ‘เพื่อนร่วมเดินทาง’ ที่มีหน้าที่รับใช้เธอเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าเธออาจไม่ใช่พวกบ้าอำนาจถึงขนาดที่กดขี่หรือใช้เขาเป็นเหมือน ‘ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์’ แต่กลับเป็นในสถานะของผู้คอยใกล้ชิดและควบคุมไม่ให้เธอออกนอกลู่นอกทาง

“ฉันควรตัดเงินเดือนแกหรือเปล่าที่จู่ ๆ ก็เรียกแบบนั้น”

“โอ๋ ๆ อย่าเลย ผมขอโทษครับ แต่คุณเลือกผมมาเองนะ แถมสัญญาที่เขียนไว้นั้นก็เป็นสัญญาที่คุณเขียนไว้แล้วนี่~”

“ชิ! น่ารำคาญเป็นบ้า”

เท่าที่เฮเลน่าพอรู้จักกับอีกฝ่ายมา เขามีชื่อว่า ‘ทัตสึโมโตะ เคียวยะ’ และแน่นอนว่าเป็นชาวญี่ปุ่น พื้นเพของเขาเกิดขึ้นในครอบครัวฐานะปานกลางอันพอมีจะกิน ซึ่งเขาทำงานและเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำภายในประเทศ ก่อนจะมาทำงานเป็นนักบินส่วนตัวให้กับบริษัทฮอฟฟ์แมนน์ในภายหลัง

โดยมากแล้วเขาไม่ได้รู้จักกับบริษัทที่เธอทำงานอยู่ หากแต่เป็นเพียง ‘คนภายนอก’ ที่ได้เรียนรู้และเข้าใจว่าเธอมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับองค์การกึ่งกองทัพทหาร ซึ่งมันค่อนข้างที่จะมีระบบระเบียบอยู่มากกว่าตัวกองกำลังปกป้องดินแดนในประเทศของเขามากโข หากแต่ว่ากลับให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจาก ‘พนักงานกินเงินเดือน’ ที่ทำงานอยู่ภายใต้สมรภูมิรบไปซะมากกว่า

“แล้วครั้งนี้อยากไปทำอะไรเหรอครับ?” ทัตสึโมโตะ เอ่ยถาม

“ฉันทำหลายอย่างมาเยอะแล้ว อย่างเดียวที่ไม่เคยคงเป็นซื้อบริการนั่นแหละนะ”

นักบินหนุ่มผงะไปครู่หนึ่ง พร้อมกับแปลกใจที่เขาไม่เคยได้ยินว่าหญิงสาวที่เขาทำงานให้จะไม่เคยทำอะไรแบบนั้น

“ฉันเคยฝอยให้นายฟังแล้วนี่ว่าตลอดระยะเวลาตั้งแต่ที่ฉันจวบจนอายุขึ้นเลขหลักสาม ฉันไม่เคยเสียความบริสุทธิ์ให้กับใคร นอกจากนิ้วมือและเซ็กส์ทอย แต่ก็ว่างั้นไปเถอะ ทั้งหมดนี่มันคงมาจากเพราะคุ้นชินแล้วกับการอยู่ในหมู่กลุ่มผู้ชายด้วยกัน เรื่องเพศเลยไม่ใช่ประเด็นหลักที่ฉันให้ความสนใจ”

“ฮ่ะ ๆ แบบนั้นแสดงว่ารสนิยมของคุณเองก็–”

“ฉันไม่ได้ขัดอะไรกับเรื่องพรรค์นั้น ไม่ได้เขินอาย แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิงด้วย”

สำหรับเขาหาได้ยากที่จะมีคนประเภทนี้ เท่าที่เขาเคยอาศัยอยู่มาทั้งในและนอกประเทศ หรือว่าตลอดการได้เดินทางเพื่อซึมซับภาษาและวัฒนธรรม นักบินหนุ่มได้มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย และหนึ่งในนั้นคือเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์และรสนิยมทางเพศ ที่นอกจากมันมีความหลากหลายมากขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่ามันยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจในเรื่องเหล่านี้อีกด้วย

ยิ่งสำหรับในประเทศบ้านเกิดของเขา โอกาสน้อยมากที่คนจะคิดถึงเรื่องการมีลูกหรือการมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น

“ปล่อยเรื่องนั้นไปก่อนเถอะ ตอนนี้ขอให้ฉันได้เช็คอีเมลสักหน่อย คงไม่ว่ากันถ้าหากว่านายจะไม่มีเพื่อนคุยระหว่างทางนะ”

“ได้เลยครับ ตามสบาย คุณเฮเลน่า”

เธอใช้เวลาส่วนตัวไปกับการหยิบแท็ปเล็ตยี่ห้อชื่อดังขึ้นมา พร้อมกับใช้นิ้วปัดเลื่อนกดเข้าไปตรงแอพลิเคชั่นตัวหนึ่งที่มีรูป ‘กล่องจดหมาย’ และ ‘เปลวเพลิง’ เป็นพื้นหลัง ซึ่งมันถูกระบุเอาไว้ด้วยนามของ ฮอฟฟ์แมนน์ และมันก็เป็นหนึ่งในช่องทางเฉพาะที่เธอใช้ติดต่อและส่งข้อความออกไปคุยกับเหล่าผู้ว่าจ้างของตัวเธอเอง หรือว่าง่าย ๆ มันคือเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ในการทำงานในเครือบริษัทของเธอ

การเปิดอ่านข้อความที่ส่งเข้ามาในทุกครั้งจะผ่านการตรวจสอบอยู่เสมอ และมันค่อนข้างรัดกุมพอตัว เนื่องจากมันเป็นช่องทางการสื่อสารในรูปแบบที่ไม่ได้เปิดไว้ให้คนทั่วไปเข้าถึง อย่างไรก็ดี เฮเลน่ามักจะเปิดขึ้นมาอ่านอยู่เสมอ ณ ช่วงเวลาที่เธอว่างเว้นจากหน้าที่การบริหารหรือระหว่างการเดินทาง ซึ่งมันคือกิจกรรมที่ช่วยแก้เบื่อให้กับเธอได้เป็นอย่างดี รองลงมาจากการเปลี่ยนไปเปิดแอพลิเคชั่นที่เอาไว้ใช้สำหรับความบันเทิงส่วนบุคคลของเธอเอง

เธอใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่งสำหรับการอ่านข้อความที่ส่งมา ประกอบกับการละสายตาออกไปมองนอกตัวเครื่องบินที่ไร้ซึ่งหมู่เมฆบดบัง มีเพียงแต่ความมืดครึ้มที่มันบ่งบอกได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำแล้วที่ตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปยังประเทศที่เธอมักจะแวะเวียนไปอยู่อย่างเสมอ ๆ

คุณได้รับข้อความใหม่จากผู้ไม่ระบุตัวตน 1 ข้อความ

เธอสับเปลี่ยนหน้าจอจากที่กำลังเล่นคลิปวิดีโอไลฟ์สดนั้น เปลี่ยนมาเป็นการอ่านข้อความที่ถูกส่งมาในทันที

“มาสักทีนะ”

ฝั่งของนักบินหนุ่มไม่ได้กล่าวอะไร หากเพียงแต่เขาได้ยินคำพึมพำจากตัวของหญิงสาว ทว่าไม่ได้ให้ความสนใจนอกจากกำลังพาเครื่องค่อย ๆ ร่อนลงสู่พื้นเวหา อันบ่งบอกได้แล้วว่าใกล้จะถึงที่หมายตามที่นัดเอาไว้

เฮเลน่า อ่านข้อความที่ส่งมาอย่างปริศนานั้น แน่นอนว่ามันไม่ระบุชื่อผู้ส่ง หากแต่มีเพียงแค่ตราสัญลักษณ์ที่เธอคุ้นเคยดี พร้อมกับเขียนอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ พร้อมแนบไฟล์สำคัญที่เธออาจต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการและสิ่งที่ตัวเองต้องทำ ซึ่งเมื่อจับประเด็นหลักแบบคร่าว ๆ ได้ มันเกี่ยวกับการที่เธอต้องไปเข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานเอ็กซิมิวส์

“ใกล้ถึงที่หมายแล้วล่ะครับ คุณเฮเลน่า”

นักบินหนุ่ม เอ่ยกล่าวออกไป หากแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับเข้ามาจากเธอ

“คุณหนู?”

“อ่ะ! ถึงแล้วเหรอ? เร็วกว่าที่คิดไว้นี่ ทัตสึโมโตะ”

สัญญาณผิดแปลกที่ดูเหมือนทำให้ฝั่งนักบินหนุ่มเกิดความสงสัย และในท้ายที่สุดก็อดใจไม่ได้ที่จะยิงคำถามออกไปทันทีว่า

“มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรือเปล่า? ผมเห็นคุณดูเหม่อไปสักพักใหญ่แล้วนะ แถมมีอาการหน้าซีดอีกต่างหาก”

มันดูผิดวิสัยจากสิ่งที่เขาเห็น เฮเลน่าไม่เคยแสดงอาการแบบที่ว่านี้ออกมาไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ๆ อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเธอกลับทำทีบ่ายเบี่ยงไม่สนใจกับอาการของตัวเอง นอกจากปิดแอพลิเคชั่นลง แล้วหันไปสนใจกับการเตรียมตัวลงจากเครื่องบินในทันที

“ฉันอาจจำเป็นต้องไปที่ ๆ หนึ่ง ครั้งนี้อาจจะอยู่ที่นี่นานกว่าเดิมเล็กน้อย”

เธอกล่าวกับตัวของทัตสึโมโตะ ขณะรอให้ประตูเครื่องบินเปิดออกมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางเข้าในเมือง

“หมายถึงเอ่อ…กิจกรรมที่คุณอยากทำเหรอครับ?”

“เปล่า ไม่ใช่ ธุระสำคัญน่ะ รับปากฉันอย่างหนึ่งได้หรือเปล่าว่าจะไม่ปากโป้งไปบอกใครเข้า?”

นักบินหนุ่มถึงกับออกสีหน้าแปลกประหลาดใจ อย่างไรเอง เขาก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าหากต้องรับหน้าที่ในการเป็นผู้ติดสอยห้อยตามเธอ

“ได้เสมอครับ คุณเฮเลน่า”

“เรียกฉันแค่ ‘คุณหนู’ ก็พอ”

ความสงสัยมักมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น และมันก็ตามมาด้วยการตั้งคำถามที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวเจอหรือทำนั้นคืออะไร

อย่างไรก็ดี นักบินหนุ่มกลับเลือกจะปล่อยผ่านและทำหน้าที่ตามที่เขาต้องทำอย่างเป็นประจำ โดยไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเพียงคนภายนอกที่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยกับสิ่งที่หญิงสาวเจอ

แม้แต่กับงานที่เธอถูกมัดมือชกให้ทำอยู่เองก็ตาม…

- 2 -

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาของการทำงานนอกสถานที่ ก็เป็นช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนอันยาวนานอย่างที่ชายหนุ่มได้คาดหวังเอาไว้

“เหนื่อยโคตรเลยแฮะ อลิส เปลี่ยนเป็นเปิดเพลงสบาย ๆ แล้วก็ช่วยฉันเก็บกวาดเครื่องมือให้ที”

รับทราบค่ะ

ผลตอบแทนจากงานภาคสนามที่ได้สำเร็จไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ แม้มันจะไม่ได้เยอะตามความต้องการที่เขาคิดว่าตัวเองสมควรได้ อย่างไรแล้วเอง เขากลับมองว่าสิ่งที่ได้มาจากตัวงานนั้นมีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงินที่โอนตรงเข้ามาในบัญชีของเขาเอง หรือแม้แต่นามบัตรจากผู้ว่าจ้างที่แนบที่อยู่และช่องทางการติดต่อเพื่อเป็นการแสดงความยินดีและให้การช่วยเหลือ

อย่างที่เขาทราบดีว่าประวัติของผู้ว่าจ้างงานภาคสนามส่วนใหญ่ หากมาจากในตัวของเครือข่ายอาชญากรรม โดยมากมันจะถูกปกปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ว่าจ้างเอง เฉกเช่นเดียวกับชื่อของเขา

ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง มีเพียงแต่นามแฝงและความเชื่อใจที่แสดงออกมาผ่านคำพูดหรือการกระทำ

เพลงบรรเลงด้วยกีต้าร์โปร่งและเปียโน พร้อมกับเสียงของแขนกลที่มาจากตัวของระบบปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังจัดเก็บเครื่องมือในบริเวณพื้นที่ ๆ เขาเรียกมันว่า ‘เวิร์คช็อป (Workshop)’ หรือก็คือเป็นพื้นที่งานประดิษฐ์ของเคออสเอง

แน่นอนว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่ที่เดียว หากแต่มีอยู่ทั้งหมดสามที่ แต่ละที่จะแยกออกไปตามลักษณะงานที่เขาทำ โดยในกรณีนี้มันเป็นงานขนาดเล็กที่ใช้พื้นที่ไม่มากนัก ทำให้การทำความสะอาดและเวลาจัดเก็บมันไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก ต่างกันจากตัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่เขาจำเป็นต้องขยายพื้นที่ลึกลงไปยังชั้นใต้ดินของสถานที่ทำงานที่เขาอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพื้นที่จริง ๆ ที่เขาอยู่ โดยมากมันแทบจะเป็นใต้ดินทั้งหมดก็ไม่ปาน

เคออส ปกปิดความลับอะไรหลายอย่างมากมายเกี่ยวกับพื้นที่ของเขา ความกว้างและความลับอะไรต่าง ๆ ที่เขารู้หรือว่ากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน อุดมการณ์ โครงการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ไม่เคยถูกนำไปใช้ ไหนจะเรื่องของอิทธิพลทางด้านต่าง ๆ ที่มันมีคนอยู่เบื้องหลังตัวของเขาด้วยเช่นกัน

เคออส ใช้เวลาของเขาสำหรับการทำหน้าที่รับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ ที่เขาได้เป็นคนสร้างขึ้นมาจากน้ำมือตัวเองและบรรดาสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลายที่เขาเรียกมันว่า ‘เครื่องมือ’ แน่นอนว่ามันมีอยู่หลากหลายและเป็นจำนวนมากที่เขาทำขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการอำนวยความสะดวกในยามที่ตัวงานมีการขยับขยายใหญ่ขึ้นในระดับที่คน ๆ เดียวไม่สามารถรับผิดชอบได้ อย่างไรก็ดี การมาของปัญญาประดิษฐ์อันล้ำสมัย ผนวกรวมกับเทคโนโลยีจากยุคอนาคต นั่นเลยทำให้เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องเจียดเวลาไปกับการอยู่กับมันตลอดเวลา

ที่นี่เป็นได้ทั้งบ้าน ฐานบัญชาการ แหล่งซ่องสุม พื้นที่เขตหวงห้าม หรือแม้แต่การเป็นเมือง ๆ หนึ่งที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงแค่คนเดียวนั่นคือเขา

ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เคออสรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่มันทำให้เขารู้สึกสงบมากกว่าการออกไปสู่โลกภายนอก มันอาจไม่ถึงขั้นตัดขาดออกจากโลกปกติที่มนุษย์ทั่วไปอาศัยอยู่ แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นพื้นที่ที่มีเหล่าสองซาราสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการกลายพันธุ์โดยสารกัมมันตรังสีตกค้าง

“คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรต่อไปดี”

จากคำแนะนำของฉัน คิดว่าคุณควรนอนพัก ทานอาหารให้พอเหมาะ หลับให้เพียงพอ แล้วก็รักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้ดีค่ะ

“ขอบใจสำหรับคำแนะนำ อลิส พึ่งพาเธอได้จริง ๆ แบบนี้อาจคงต้องวางแผนพัฒนาระบบของเธอให้ดีและมากกว่านี้แล้ว~”

เสี้ยวหนึ่งจากเสียงสังเคราะห์ภายในบริเวณรับแขกที่มันจัดเอาไว้ทำกิจกรรมสันทนาการของเคออส เขาสังเกตเห็นเล็ก ๆ ได้ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ของเขามันมีการตอบสนองในรูปแบบที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย แน่นอนว่ามันผิดวิสัยไปจากที่เขาตั้งค่าเอาไว้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาทำทีไม่สนใจเนื่องหยุมหยิมเหล่านั้น นอกจากงีบหลับอยู่บนโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลายมากที่สุด

ความเหนื่อยล้าทางกายสำหรับเขาเป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับทางใจที่มันต้องอาศัยการคิดและการตัดสินใจที่รวดเร็วพอ ๆ กับการพาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงหน้าได้มากที่สุด การพักผ่อน ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมไม่กี่อย่างที่เขาได้ทำให้กับตัวเอง มากกว่าที่จะออกตระเวนอยู่ในเขตเมืองร้างหรือตรวจสอบตำแหน่งกล้องวงจรปิดนับร้อยกว่าตัวที่เอาไว้สังเกตความเป็นไปในเขตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยทำงานเอาไว้

มันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการทิ้งความกังวลพวกนั้น แม้จะแค่ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่ทำงานตลอดเวลาเช่นเขามันกลับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งที่จะมีโอกาสนี้

ตราบจนกระทั่ง…

คำเตือน : มีผู้บุกรุก ขอย้ำอีกครั้ง มีผู้บุกรุก

เสียงแจ้งเตือนภายในห้องแล็บนั้นดังออกมาจากระบบปัญญาประดิษฐ์ อลิส แสดงสัญญาณภาพจากเรดาร์ให้เคออสเห็นถึงจุดสีแดงที่มีข้อความระบุว่า Unknown ซึ่งแปลว่า 'ไม่รู้จัก' โดยมันมีอยู่จำนวนเจ็ดตำแหน่งได้จากที่เขาเห็น

“ดูเหมือนมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมตอนที่ฉันกำลังงีบพอดีสินะ”

น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้แตกตื่นกับสิ่งที่เห็น หากแต่เลือกที่จะลุกจากโซฟา แล้วยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดที่อยู่ใกล้ ๆ พร้อมกันนั้นได้เปิดคำสั่งให้ทำการเปิดแผงควบคุมรักษาความปลอดภัยขึ้นมาปรากฎตรงหน้าตัวเอง

“ขอฉันดูหน่อยแล้วกันว่าใครมา”