"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้
อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Codename 5567"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้
[ Introduction ]
"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"
หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป
แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม
'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม
ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...
กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล
อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...
เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้
'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'
แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้
ยิ น ดี ต้ อ น รั บ
เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต
::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::
สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'
ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)
สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD
หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก
ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น
และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...
- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)
เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD
Radiance (Ch.6)
สิ่งที่ชายหนุ่มตามหาไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่มันข้องเกี่ยวกับที่บริษัทฮอฟฟ์แมนน์ต้องการ หากแต่มันคือเรื่องราวของยุทโธปกรณ์ทางการทหาร ซึ่งมันคือฐานยิงขีปนาวุธที่ถูกเรียกว่า ‘ฟลอเรนซ์ (Florence)’
“ถึงจะนานมากจนฉันจำรายละเอียดพวกนั้นไม่ได้ แต่พอฉันลองค้นหาข้อมูลของมันจากภายในฮาร์ดไดร์ฟที่ขโมยมาก็พบว่ามันมีแบบแปลนสามมิติของฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางนี่ไปอยู่ เจ้าของ ๆ มันคือ เซอร์เพนท์ อินดรัสทรี หรือหากเอาชื่อที่ทั้งฉันและเธอก็น่าจะคุ้นเคยที่สุด–”
“องค์กรอสรพิษ”
นานมาแล้วนับตั้งแต่ที่วันเวลามันได้ผ่านมาจากหลังช่วงปี ค.ศ.2005 ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจในโลกต่างได้เติบโตขึ้น และแน่นอนว่าสิ่งที่มันตามมาเองก็คือการแข่งขันกันสร้างยุทโธปกรณ์อาวุธอย่างลับ ๆ โดยมีบริษัทด้านการทหารผุดขึ้นมาอยู่หลากหลายแห่ง แน่นอนว่าช่วงเวลานั้นเองหนึ่งในบริษัทที่สร้างชื่อมากที่สุดก็เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก เซอร์เพนท์ หนึ่งในบริษัทผู้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือให้กับเครือข่ายอาชญากรรม และเป็นหัวหอกสำคัญที่ทำให้ระยะเวลานั้นที่เครือข่ายกำลังฟื้นตัวจากช่วงหลังผ่านสงครามเย็นมาได้ มีการพัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างลับ ๆ เสริมเครือใยแมงมุมให้มีความแข็งแรงและเชื่อมต่อถึงกัน ตราบจนมาถึงช่วงเวลานี้ที่มันได้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ไปในบันดล
“เธอรู้ ทุกคนรู้ พวกเขารู้ แม้แต่ฉันเองก็แปลกใจมากว่าทำไมจู่ ๆ มันถึงดันไปอยู่กับไอ้บริษัทที่ฉันเพิ่งจะไปฆ่าผู้ก่อตั้งพวกเขาหมาด ๆ ได้ แต่ยังไงเอง ในเมื่องานที่ฉันรับไปมันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายไปจากที่ฉันจินตนาการไว้อยู่แล้ว เพราะงั้นหากจะให้พูด ฉันคงเดาว่ามันมีเอี่ยวอะไรกับงานที่เธอเคยรับอยู่นะ เฮเลน่า”
“เกี่ยวเหรอ? พูดอะไร ฉันไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด!”
เคออส ไม่แสดงอาการตื่นกลัวกับท่าทีของเธอ หากแต่เลือกจะเดินสลับไปนั่งบนโซฟารับแขก แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ควันจากบุหรี่ที่ออกมาให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกับกาแฟ ทว่ารสชาติของมันกลับขมขื่นเสียยิ่งกว่าชีวิตที่เขาต้องเผชิญหน้ากับมันมาโดยตลอดเวลา
“อะไร?” เฮเลน่า โพล่งออกไป
“ฉันพูดในส่วนของฉันไปแล้ว กำลังรอให้เธอพูดในส่วนของตัวเอง”
ฟังดูเป็นประโยคประชดประชันที่ทำเอาสาวผมสลวยสีขาวรู้สึกโกรธเคืองหนักกว่าเดิม หากแต่เธอกลับค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้ทำอะไรที่ข้องเกี่ยวกับข้าวของภายในสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากนั่นอาจนำมาซึ่งผลลัพท์ที่เลวร้ายกว่านี้เป็นได้ แน่นอนว่าถึงจะเป็นคนที่อารมณ์รุนแรงมากแค่ไหน แต่ในเมื่อตรงหน้าที่นั่งอยู่คือ ‘ยมทูต’ ผู้พรากชีวิตคนไปมากมาย นั่นแปลว่าเธอจะต้องรักษาบรรยากาศนี้ไว้ให้ดีที่สุด
แต่ดูเหมือนช่วงเวลาของการฝืนอารมณ์นั้นจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อบุหรี่มวลแรกหมดลง ตามมาด้วยมวลอันที่สอง
“โอเค เอางั้นก็ได้ แต่อย่าคาดหวังเยอะว่ามันจะมีประโยชน์”
นับว่ามัน ‘เกินคาด’ สำหรับการที่เขาได้เห็นว่าฝั่งของหญิงสาวนั้นตัดสินใจปริปากพูดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างตราบเท่าที่เธอได้รู้มา
เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นจากการที่เธอได้รับมอบหมายงานจากตัวแทนของเครือข่ายอาชญากรรมในการทำหน้าที่โจรกรรมแร่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ไซทรอเนียม (Cytronium)’ โดยมันเป็นหนึ่งในแร่เพียงไม่กี่ชนิดบนโลกที่สร้างขึ้นจากการนำเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์และกากกัมมันตรังสี หลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะผ่านเข้าสู่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่เปลี่ยนให้กลายเป็นรูปร่าง ‘ของแข็ง’ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
“ฉันพอรู้จักแร่นั่น” เคออส กล่าวออกมา ขณะรับฟังสิ่งที่เฮเลน่าพูด
“กระบวนการแปรสภาพให้มันกลายเป็น ‘แร่’ ขึ้นมาได้จำเป็นต้องใช้เงินทุนสูง แถมยังไม่นับกับความอันตรายที่อาจถูกรังสีแกมมาหรือกัมมันตรังสีปนเปื้อนอีกต่างหาก ซึ่งถ้าให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา คนที่สามารถทำแบบนั้นได้ก็มีเพียงไม่กี่คน หลัก ๆ ที่เราเห็นก็คือหน่วยงาน เอ็กซิมิวส์”
เฮเลน่า เงียบกริบไประยะเวลายาวนานเกือบสามนาที ก่อนจะโพล่งออกมาเป็นประโยคคำถามตามประสาคนที่ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับข้อมูลเบื้องลึกของสิ่งที่ตัวเองทำและขโมยมันมา
“โอ…ฟังดูแล้วมันคงเป็นแร่ที่มูลค่าสูงใช่ย่อย”
“อ่าฮะ! อย่างที่พวกเราเห็นกัน จำนวนของเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์มีเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งยิ่งเทคโนโลยีมันพัฒนาไปข้างหน้าไกลมากเท่าไหร่ ของที่มันเคยทันสมัยก็ยิ่งตกยุคเร็วมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเธอลองติดตามข่าวเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมดี ๆ เธอน่าจะเห็นบ้างว่าเริ่มมีองค์กรมากมายที่พยายามรงณรงค์เกี่ยวกับการ ‘รีไซเคิล (Recycle)’ และ ‘รียูส (Reuse)’ นำเอาทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเจ้าแร่นั่นอยู่ในกรณีเดียวกันกับที่วงการวิทยาศาสตร์กำลังฮือฮาและแข่งขันกันว่าใครที่จะสามารถผลิตหรือสร้าง ไซทรอเนียม ได้เร็วและจำนวนเยอะมากกว่ากัน”
เขาติดตามเรื่องราวพวกนี้มาได้แล้วสักระยะหนึ่ง นับตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ เคออส ได้ใช้เวลาสำหรับการท่องไปในยังด้านมืดของอินเตอร์เน็ตมามาก และเขาก็ได้รู้ว่าการซื้อขายชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตกยุคเหล่านี้ไปมันเป็นสิ่งที่ต้องตาต้องใจสำหรับพวกเหล่านักแฮคเกอร์ ผู้ก่อการร้าย หรือแม้แต่กับอาชญากรทางไซเบอร์มากพอสมควร ทั้งนี้เองก็รวมไปถึงเขา
“ข้ามรายละเอียดนั่นออกไปดีกว่า ฉันอยากรู้ว่าอะไรดลใจถึงทำให้เธอเลือกรับงานที่อาจเสี่ยงต่อชื่อเสียงบริษัทแล้วก็ชีวิตของเธอได้มากขนาดนั้น?”
สองมือของเฮเลน่าเข้ามากุมเอาไว้ พร้อมกับท่าทางที่เธอเปลี่ยนท่านั่งบนโซฟาจากผ่อนคลายเป็นเคร่งเครียดและรู้สึกผิดกับตัวเอง
“บริษัทฮอฟฟ์แมนน์ กำลังอยู่ในช่วงถังแตก”
เคออส ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา ทว่ากลับเลือกจะยืนรับฟังมันอย่างตั้งใจ
“จริงอยู่ว่ามองจากภายนอก เราอาจดูเหมือนบริษัทที่รวยและมีชื่อเสียง แต่ว่าเงินทุนหลักที่เราได้จากการออกไปทำภารกิจนอกประเทศ มันไม่เพียงพอต่อการที่ฉันสามารถจ่ายเงินเดือนให้กับทหารรับจ้างของฉันได้ พอเอาเรื่องนี้ไปบอกกับ ‘เครือข่ายอาชญากรรม’ เข้า พวกเขาเลยตัดสินใจมอบหมายงานมาให้กับฉัน แลกกับให้การสนับสนุนด้านเงินกองทุนสำหรับทหารที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงยอมจ่ายเงินส่วนหนึ่งเพื่อต่อลมหายใจให้ ฮอฟฟ์แมนน์ สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ต่อให้มันจะขัดกับสิ่งที่พ่อของฉันเคยปลูกฝังมาก็ตาม…”
“เธอเกลียดมันหรือเปล่า?”
“เกลียดเหรอ? เรื่องนั้นเทียบกับสิ่งที่แกทำกับลูกน้องแล้วก็ทรัพย์สินของบริษัทไป ฉันว่าแค่เกลียดมันคงไม่พอด้วยซ้ำ!”
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เผลอ ๆ เองดูเหมือนว่าเคออสกลับรู้สึกว่าเขาทำเกินกว่าเหตุมากจนเกินไป ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับอีกฝ่ายในแบบที่ไม่ต้องหันอาวุธหรือเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกับเธอ ในฐานะที่เขาเป็น ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ประจำเครือข่ายอาชญากรรมไปในตอนนี้ และแน่นอนว่านั่นมันมาพร้อมกับกรรมสิทธิ์มากมายระดับที่อาจต้องแลกมาด้วยการยอมทำงานที่สกปรกและผิดศีลธรรมมากที่สุด เพื่อให้ตัวของเครือข่ายใยแมงมุมอยู่รอดต่อไปในอนาคต
ความโกรธของเฮเลน่าเริ่มทุเลาลง เหลือเพียงแต่ความรู้สึกผิดและตกอยู่ในความนิ่งเงียบ ไม่แสดงอาการใด ๆ นอกจากเพียงแววตาว่างเปล่าของตัวเอง
“ภารกิจโจรกรรมนั่นล้มเหลวไม่เป็นท่า พวกเขาแย่งมันกลับไปได้ ส่วนฉันกับบริษัทก็ได้แต่ค่าทำขวัญศพที่โอนเข้ามาในจำนวนน้อยนิด”
หากว่าเธอย้อนเวลากลับไปได้ เธออาจเลือกหนทางอื่นที่ไม่ใช่การตกลงรับงานจากพวกเครือข่ายฯ หากแต่อาจเป็นการติดต่อไปยังหน่วยงานของรัฐบาลหรือเอกชนแทน โดยมอบความคุ้มครองให้เป็นสิ่งตอบแทน
ทว่าเรื่องนั้นมันกลับไม่เคยเกิดขึ้น หรือหากพูดอีกนัยหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“คงไม่น่าแปลกใจ คนจากหน่วยงานระดับโลกนั่นมีอำนาจเหนือกว่าเราทุกคน ยอร์มุนกานดร์ คงไม่ปล่อยให้สิ่งที่หน่วยงานทำถูกแย่งชิงไปง่าย ๆ หรอก นอกเสียจากว่าเขาจะมีแผนการอะไรแอบแฝงเอาไว้”
ยอร์มุนกานดร์ คือชื่อนามแฝงของตัวผู้บัญชาการใหญ่ของหน่วยงานเอ็กซิมิวส์ ชื่อเต็มของเขาคือ ‘อเล็กซานดรา โคโลโบรอฟ วินอฟสกาย้า’ โดยเป็นผู้เข้ามาแทนที่ตัวของผู้บัญชาการก่อนหน้าที่รู้จักกันดีในนามของ ‘ซานเคฟ โยโกวาริช’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจที่เคออสรู้ว่าตัวเองไม่ควรจะต่อกร
“แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้”
ชายหนุ่ม ลุกขึ้นจากโซฟา และเดินไปที่ตัวเก้าอี้ที่อยู่ใกล้กับแผงควบคุมการสังเกตการณ์
“เรื่องเดียวที่ฉันต้องการจากเธอคือใครเป็นคนส่งตำแหน่งที่อยู่นี่มากกว่า เพราะคนที่รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ก็มีแค่ไม่กี่คน ถ้าไม่ใช่กับหุ้นส่วนที่ฉันทำข้อตกลงร่วมกันด้วย ก็เป็นคนที่ฉันสนิทใจและยินยอมให้พวกเขาเข้ามาที่นี่ และในกรณีนี้ ฉันกำลังพูดถึงคนที่กำลังจ้องจะล้วงข้อมูลของฉันอยู่”
ท่าทีของเคออสเปลี่ยนไปจากเดิมที่เขาแสดงอาการนิ่งเงียบ กลับกลายเป็นเริ่มตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่ตัวของเฮเลน่า แน่นอนว่าการได้พบกับอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัวเป็นครั้งแรก ในสถานการณ์ที่คนทั้งคู่ต่างง้างหมัดเข้าใส่กัน มันไม่ใช่การพบเจอกันที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่สำหรับเขา
“อะไร? แกคิดว่าฉันพิศวาสแกมากเหรอ?!”
หญิงสาวเจ้าของผมสลวยสีขาว โวยออกไปเสมือนว่าตัวเองกำลังถูกพูดถึงอยู่ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกโมโหขึ้นมากกว่าเดิม
“ใครมันอยากจะรู้จักไอ้คนที่วัน ๆ หาแต่เรื่อง ไม่ทำห่าอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเหมือนกับที่แกทำกันวะ เคออส!”
ชายหนุ่มหันควับมามองที่หญิงสาวผมสลวยยาวสีขาว ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาเล็ก ๆ แน่นอนว่าเขาอาจไม่ถือสาในเรื่องของคำก่นด่าหรือคำสาปแช่งจากปากคนอื่นเท่าไหร่ เนื่องจากเพราะอยู่กับตัวเองเป็นเวลานานจนเริ่มเข้าใจถึงความต้องการเบื้องลึก บวกกันกับได้เจอกับมนุษย์หลาย ๆ ประเภทด้วย มันเลยทำให้เขามีมุมมองที่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไป
อย่างไรเองก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งที่เฮเลน่าพูดมันจะชวนยัวะพอตัวจนเขาทนไม่ไหว เอื้อมมือไปรินกาแฟลงในถ้วยแล้วยกซดหนึ่งอึกไปแบบเต็ม ๆ แม้ว่ามันจะร้อนจนแทบจะลวกปากเขาไปก็ตาม
“ฉันแนะนำให้เธอลองหาหนังสือเกี่ยวกับ วิธีการควบคุมอารมณ์โกรธ มาหาอ่านดูบ้างนะ เฮเลน่า”
พลันได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเฮเลน่าก็เปลี่ยนไป เหมือนจะรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการที่ไม่ควรทำเมื่ออยู่ต่อหน้ากับคนที่เพิ่งจะถล่มคนของตัวเองไป หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเขาคือ ‘ยมทูต’ ที่กำลังกุมชะตากรรมของเธอเอาไว้
“อย่าลืมเสียว่าตอนนี้เธออยู่ในสถานะ ‘ตัวประกัน’ และแม้ว่าต่อให้ฉันไม่ต้องจับเธอขึงอยู่กับเตียงหรือว่าทรมานจนช้ำในตาย เรื่องสำคัญที่ฉันอยากรู้คือเป้าหมายเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของฐานยิงขีปนาวุธที่เรียกว่า ‘ฟลอเรนซ์ (Florence)’ กับหัวรบขีปนาวุธที่ชื่อ ‘ไนติงเกล (Nightingale)’ สองอย่างนั่นคือสิ่งที่มันรบกวนความคิดในหัวฉันเอามาก ๆ ในตอนนี้”
“ขอแทรกนิดนึงนะ ไอ้สองอย่างที่แกว่ามันคืออะไร? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยสักนิดเดียว”
เฮเลน่า ลุกขึ้นจากโซฟา เป็นจังหวะเดียวกับการที่เคออสเลือกจะหยิบน้ำเปล่ามาดื่ม ก่อนลุกจากเก้าอี้ เดินไปที่เครื่องฉายโฮโลแกรม และเปิดโปรแกรมค้นหาข้อมูลผ่านทางระบบปัญญาประดิษฐ์ พร้อมกับเลื่อนหน้าจออินเตอร์เฟสเพื่อแสดงให้เฮเลน่าดูในสิ่งที่เขากำลังหมกมุ่นไปกับมัน ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจจากที่บราซิลเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
“เซอร์เพนท์ เป็นคนสร้างเจ้านี่ขึ้นมา ที่เธอกำลังมองอยู่มันคือเจ้าพิมพ์เขียวสามมิติที่อยู่ในช่วงก่อนการผลิต (Pre-Production) ซึ่งปัจจุบันมันถูกสร้างขึ้นเป็นที่เรียบร้อย หากแต่มันกลับมีหลายส่วนที่เปลี่ยนไปจากตัวต้นแบบที่สร้างขึ้นมาตามแบบจำลองพิมพ์เขียวสามมิติ นั่นคือขนาดของยานเกราะอัจฉริยะที่มีความหนาและแข็งแรงมากขึ้น มีการเพิ่มเติมในส่วนของโปรแกรมคำสั่งให้สามารถสั่งยิงขีปนาวุธจากระยะไกลได้มากกว่าสิบกิโลเมตร แถมยังมีการอัปเดตระบบปัญญาประดิษฐ์จากเวอร์ชั่น 5.0 กลายเป็น 6.0 ซึ่งมันคือรูปแบบของอลิสในเวอร์ชั่นทดลองใช้งาน”
ส่วนของระบบยุทธวิธีอัจฉริยะที่มันถือเป็นหัวใจหลักของงานประดิษฐ์ที่เคออสทำ แน่นอนว่าเขาขโมยมันมาจากองค์กรเก่าที่ตัวเองเคยทำงานมาก่อน ซึ่งเขาเริ่มตั้งชื่อมันว่า อลิส ตั้งแต่ช่วงที่เขามีอายุได้ประมาณสิบแปดปีขึ้น โดยเขาใช้เวลาสำหรับการเขียนโปรแกรมใหม่มาทั้งหมด และทำการเรียบเรียงข้อมูลพวกมันใหม่เพื่อให้เข้ากันได้กับอุปกรณ์และเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มันมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และผลที่ได้คือมันมีความก้าวกระโดดออกไปจากตัวระบบเก่าในระดับที่มากโข
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ดูเหมือนว่ามันเป็นช่วงที่เขาถูกลอบสังหารจากกลุ่มคนในองค์กรเก่าผู้ตามล่าตัวเอง จนในท้ายที่สุด เคออส ก็ได้ตัดสินใจขายระบบปัญญาประดิษฐ์ในเวอร์ชั่น 5.0 ไปเพื่อแลกกับการที่เขาได้รับการคุ้มครองจากเครือข่ายอาชญากรรม รวมถึงไม่ต้องถูกไล่ล่าจากองค์กรเก่าอีกเป็นครั้งที่สอง
“จะเรียกว่า ‘ทดลองใช้งาน’ คงไม่ได้ ถึงอย่างงั้น เทียบกับระบบปัญญาประดิษฐ์ในเวอร์ชั่นปัจจุบันที่ฉันกำลังใช้งานอยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่ามันก้าวกระโดดมากเสียจนใกล้เคียงกับคำว่า ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’ ไปจริง ๆ แบบที่เธอหรือโลกอาจนึกคาดไม่ถึง”
เฮเลน่า ดูจะหัวโล่งไปกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดสาธยายออกมา ข้อมูลทางเทคโนโลยีพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะทำความเข้าใจได้ง่ายนัก ต่างจากตัวของเคออสที่เขากลับดูเหมือนคนที่คลั่งไคล้ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือว่าหุ่นยนต์เอามาก ๆ และมันคงไม่แปลกว่าความชอบเหล่านี้ของตัวเขาเอง มันจะถูกนำไปสานต่อกลายเป็นว่าเขากลายเป็น ‘นักประดิษฐ์’ ตัวยง ผู้ที่หาตัวจับได้ยากในเวลาตอนนี้
“แล้ว…มันต่างกันยังไง?” หญิงสาว เอ่ยถามออกมา
“ในเวอร์ชั่น 5.0 ที่ฉันเคย ‘ขาย’ ให้กับทางองค์กรเก่าไป มันคือเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด ข้อผิดพลาดทางโปรแกรมหรือทางเทคนิคใด ๆ ฉันเป็นคนจัดการแก้มันทั้งหมดด้วยมือของตัวเอง ยอมรับว่าตอนนั้นอาจเพราะด้วยถูกข่มขู่เรื่องที่ว่าทางฝั่ง ‘ศัตรูที่ดีที่สุดตลอดกาล’ ของฉันต้องการจะเปิดโปงแผนการให้กับเครือข่ายอาชญากรรม นั่นเลยทำให้ฉันมีความจำเป็นต้องยอมให้พวกเขาซื้อ อลิส เวอร์ชั่นนั้นไป แลกกับคำมั่นสัญญาว่าพวกเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายให้คนภายนอกได้รับรู้”
เคออส อธิบายแบบคร่าว ๆ พร้อมทั้งเลื่อนนิ้วไปแสดงภาพของตัวระบบการทำงานของปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้เฮเลน่าได้เข้าใจ
“เวลาการประมวลผลของมันจะอยู่ที่ 0.005 วินาทีต่อการป้อนหนึ่งคำสั่ง หากป้อนคำสั่งที่สองเข้าไปจะเพิ่มเป็น 0.010 วินาที ปัจจัยการทำงานทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับตัวชิพประมวลผล รูปแบบแผงวงจรที่ใช้ ความซับซ้อนในการออกแบบโปรแกรม รวมไปถึงขนาดชิ้นงานที่ยิ่งมีความซับซ้อนทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มากเท่าไหร่ เวลาการประมวลผลของมันก็ยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้น”
“ขอโทษทีนะ แต่ขอฟังเป็นภาษาแบบบ้าน ๆ ให้เข้าใจได้ไหม?”
ชายหนุ่ม เงียบกริบไปสักระยะหนึ่ง ถอนหายใจออกมาราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ได้เข้าหัวหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย จนสุดท้ายเขาเลยจำเป็นต้องใช้คำอธิบายแบบคร่าว ๆ แทนการพูดถึงโครงสร้างการทำงานหรืออะไรที่มันอาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจในระยะยาวไปแทน
“ฐานยิงขีปนาวุธที่ชื่อว่า ‘ฟลอเรนซ์’ ใช้เวลาในการประมวล 5 วินาทีต่อหนึ่งคำสั่ง และถ้าหากไม่นับถึงหัวรบขีปนาวุธอย่าง ‘ไนติงเกล’ ช่วงเวลาก่อนที่มันจะตกถึงพื้นหรือประจุระเบิดทำงาน คือประมาณ 10 วินาทีก่อนตกกระทบหรือชนวนการระเบิดถูกจุดขึ้นมา หากบวกรวมควบกับความเร็วในการแล่นจากจุด A ไปยังจุด B ด้วยความเร็วมากกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เท่ากับว่าเธอจะมีเวลาเพียงแค่ 35 วินาทีก่อนที่มันทำลายล้างทุกอย่างให้เป็นจุล”
ฟังมาถึงตรงนี้ เฮเลน่าเองก็พอนึกภาพตามได้ ความเร็วที่มากระดับนั้นถือว่าค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียว
“นั่นยังไม่นับกับเรื่องของการออกแบบแผงวงจรการทำงานมันด้วยอีก ยิ่งถ้าหากมันบรรจุชุดคำสั่งที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ใช้ตัวชิพประมวลผลที่มีความเร็วมากกว่า 2.5 จิกะเฮิรตซ์ (2.5 GHz) ไหนจะไม่นับรวมกับการที่มันสามารถบรรจุสารเคมีอะไรก็ได้ลงไปในหัวรบด้วยอีก คิดดูเล่น ๆ เอาเลยแล้วกันว่ามันจะอันตรายและคร่าชีวิตคนไปได้มากแค่ไหน”
ฟังจากสิ่งที่เคออสพูดมาทั้งหมด นั่นทำให้เฮเลน่าพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้แม้ว่าจะแค่ส่วนเล็ก ๆ ไปก็ตาม
ภาพโฮโลแกรมบนหน้าจอถูกสับเปลี่ยนจากการทำงานของ ‘ระบบยุทธวิธีอัจฉริยะ’ กลายเป็นภาพของตัวรูปร่างขีปนาวุธที่มันถูกตั้งชื่อว่า ‘ไนติงเกล (Nightingale)’ ซึ่งเจ้าลักษณะของมันเทียบเคียงได้กับขีปนาวุธขนาดประมาณ 5.67 เมตร โดยส่วนหัวรบนั้นยาวประมาณ 1.75 เมตร ซึ่งแน่นอนว่าผิวเผินของมันไม่ต่างอะไรจากขีปนาวุธที่เอาไว้ใช้ยิงหวังผลในระยะใกล้ถึงปานกลาง ไม่ได้ไกลไปมากกับเครื่องยิงขีปนาวุธที่มีใช้กันในปัจจุบัน
หากแต่จุดสังเกตที่ตัวเฮเลน่ามองเห็น นั่นคือการที่มันมีข้อความบรรทัดหนึ่งเขียนขึ้นเป็นภาษาอิตาลี ซึ่งเมื่อแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษอ่านได้ความหมายว่า เอ็กซ์เซอคิวชั่น เคมิคอล ซิสเต็ม (Execution Chemical System)
“ตรงใกล้ ๆ กับแผงวงจรของหัวรบขีปนาวุธนั่น เหมือนมันจะมี–
“ระบบคำสั่งปล่อยสารเคมีแบบอัตโนมัติ” เคออส โพล่งออกมา
“ที่น่าสนใจคือ สารเคมี ที่ว่านั่นมันคืออะไร ฉันพยายามหาความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นก๊าซพิษที่เคยใช้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สารฟอสฟอรัสขาว หรือไม่ก็อาจเป็นไวรัสชีวภาพที่สามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นผีดิบเดินได้ แน่นอนว่าฉันไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในนั่น และคงไม่อยากจินตนาการด้วยว่าถ้าหากมันทำงานขึ้นมาจะเหมือนกับพวกหัวรบขีปนาวุธนิวเคลียร์ขนาดเล็กที่พวกประเทศมหาอำนาจใช้ในการจุดชนวนสงครามหรือเปล่า แต่ที่ฉันมั่นใจได้เลยคือไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม หากไม่หยุดหรือทำลายเจ้าสิ่ง ๆ นั้นเข้า ทั้งเธอและฉันเราอาจได้ไปเจอกันที่ขุมนรกในสักวันเพราะไอ้ขีปนาวุธนั่นก็ได้”
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ทฤษฎีของเคออสที่เขาคิดขึ้นมาตามความเข้าใจของตัวเอง หากแต่ความเป็นจริงเบื้องลึกกลับยากยิ่งเกินกว่าจะรู้ได้ว่ามันคืออะไร ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่เขาคาดคะเนไว้คือ หากว่าสิ่งนั้นกลับไม่ใช่สารเคมีเข้มข้นระดับสูง ก็อาจเป็นเชื้อไวรัสชีวภาพที่ลุกลามจนเกิดกลายเป็นโรคระบาดรูปแบบใหม่ บางอย่างที่อาจร้ายแรงยิ่งกว่าไข้ทรพิษ แอนแทรซ์ หรือกาฬโรค ซึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไร หากแต่เขาไม่เห็นด้วยกับการสร้างอาวุธชีวภาพขึ้นมาอย่างแน่แท้
“ถึงมันจะไม่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่อนาคตก็ไม่แน่”
“อ่าฮะ! แล้วมันเกี่ยวกับแกยังไง คงไม่ใช่ว่าอยากจะเล่นบทเป็น ‘ฮีโร่’ ที่ช่วยชีวิตผู้คนนับพันล้านบนโลกนี้ได้หรอกนะ”
เฮเลน่า พูดเชิงเหน็บแนมออกมา ราวกับเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำมันดูเป็นสิ่งที่ควรถูกยกย่อง ทว่าเมื่อเธอกลับลองย้อนไปคิดดูถึงมันรอบที่สอง มันก็มีความเป็นไปได้ที่ว่าอาวุธทำลายล้างสูงแบบนั้นมันไม่สมควรที่จะนำไปใช้งานได้โดยง่ายจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วนั่นอาจนำพามาซึ่งผลเสียร้ายแรงที่ไม่ว่าจะมองในทางไหนก็มีแต่สูญเสียแทบจะทั้งหมด
และบางทีเอง เหตุผลของการที่พวกหน่วยงานเอ็กซิมิวส์พยายามชิง ไซทรอเนียม กลับไป ก็อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาพยายามใช้มันเป็นอาวุธต่อกรกับสิ่งที่กองทัพต้องการทำ
“สนธิสัญญาห้ามสร้างอาวุธชีวภาพมีมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ยอมรับว่าแรก ๆ มันช่วยทำให้ฉันมองเห็น ‘เครื่องมือ’ ในการใช้ทำประโยชน์อีกมากมาย กระทั่งเริ่มตระหนักได้ถึงผลเสียและผลลัพท์ที่มันจะทิ้งเอาไว้กับโลกทั้งใบ ฉันก็เลยตัดสินใจพยายามทำลายโครงการพวกนั้นทิ้งไปเพราะรู้ว่าถ้าขืนยังดื้อดึงต่อไป สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะได้รับอาจเป็นการที่ตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งที่สามารถคร่าชีวิตคนที่ฉันรัก และอาจต้องอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชั่วโคตรขนาดที่ต่อให้ตายแล้วเกิดอีกสักสิบชาติก็ชดใช้กรรมไม่หมด–”
“โว้ว ๆ พอก่อน พ่อนักยอดกวี เข้าใจแล้วว่าทำไมแกถึงทำแบบนั้น”
เฮเลน่า ดูตกใจกับคำพูดและความคิดของชายหนุ่มไปครู่หนึ่ง จนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่าเขาอาจรู้อยู่เต็มอกถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป หากแต่สาเหตุเบื้องลึกจริง ๆ เขาอาจทำเพียงแค่เพราะปกป้องบางสิ่งบางอย่างที่เขาหวงแหนมันมากเป็นพิเศษไว้ก็เพียงเท่านั้น
“ฉันไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี เฮเลน่า และฉันก็ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นคนชั่วในเวลาเดียวกันด้วย”
ส่วนของข้อมูลถูกปิดลง เหลือเพียงแค่หน้าจอว่างเปล่าที่รอการป้อนคำสั่งจากตัวของเขา
“สรุปแล้วแกต้องการอะไรกันแน่ อยากจะเป็นวีรบุรุษหรือว่าต้องการขัดขวางแผนการจากคนที่ชั่วช้ามากกว่าตัวเอง?”
“ถามได้ดี เป้าหมายที่ฉันกำลังเล็งไว้อยู่คือการ ‘ดาวน์เกรด (Downgrade)’ และปิดระบบคำสั่งปล่อยสารเคมีนั่นไม่ให้มันแพร่กระจายออกไปสู่คนทั้งโลกไป เท่าที่ฉันได้แทรกซึมไวรัสเพื่อล้วงข้อมูลการใช้งานเกี่ยวกับฐานยิงและหัวรบขีปนาวุธนั่น ฉันพบว่ายังไม่มีกองทัพประเทศไหนทดลองนำมันออกมาใช้งานจริงเลยสักครั้งเดียว แปลว่าตอนนี้เรายังมีโอกาสที่จะทำให้อาวุธมหาประลัยนั่นเป็นเพียงแค่ ‘ระเบิดสุดกากเดน’ ที่ไม่ต่างอะไรจากยุทโธปกรณ์ทางการทหารที่มีดีแค่ชื่อเรียก แต่นำไปใช้จริงกลับชำรุด ซ่อมบำรุง หรือไม่ก็มีไว้สำหรับดักควายพวกสติปัญญาต่ำตมเกินกว่าจะรู้ว่าปืนที่ตกบนพื้นบางกระบอกสามารถคร่าชีวิตพวกเขาได้”
ทำเอาเฮเลน่าถึงกับผิวปากออกมาราวกับแปลกใจในเหตุผลและเป้าหมายของเขา ซึ่งมันสรุปโดยง่ายคือฝั่งของชายหนุ่มต้องการใช้วิธีการตัดกำลังมากกว่ากำจัดมันทิ้ง คล้ายกับการที่เขา ‘ตัดขา’ คู่แข่งทางธุรกิจของตัวเองออกไป หากแต่การกระทำเช่นนี้มันส่งผลทำให้ฝั่งของบริษัทเอกชนอื่น ๆ สามารถไต่เต้าขึ้นมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ในรูปแบบที่เหนือกว่าหรือแตกต่างกว่าของที่เขาทำอยู่ โดยมันจะอยู่ภายใต้ขอบเขตที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมบนโลกที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาสั้น ๆ
“ฉันต่อต้านสงครามพอ ๆ กับการสร้างอำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อควบคุมความเป็นไปของโลกเพื่อให้มันดำเนินไปอย่างที่ตัวเองต้องการ ต่อให้มันจะถูกมองว่า โหดเหี้ยม หรือ ใจร้าย แต่มันควรต้องเป็นแบบนั้น”
“โอเคเลย พ่อหนุ่มผู้รักสันติภาพ นั่นฟังดูเป็นข้ออ้างเข้าข้างความคิดตัวเองชัด ๆ ถึงยังไงอย่าลืมว่าสิ่งที่แกทำกับทุกคนมันก็ยากจะให้อภัยอยู่นะ ถ้าตอบด้วยความเห็นที่ฉันมี”
เคออส ไม่ตอบอะไรกลับไป หากแต่เขาเลือกที่จะผละจากหน้าจอ แล้วเดินหันไปสบตามองเธอแบบใกล้ชิดแทน
แววตาสองสีจ้องไปยังสีหน้าแปลกประหลาดใจของหญิงสาวไปสักระยะ ทำเอาเฮเลน่าคิดบทสนทนาอะไรต่อไปไม่ออก เนื่องจากเธอไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้มากถึงขนาดเกือบสัมผัสถึงลมหายใจอ่อน ๆ นั่น ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับหนังแนวอิโรติกที่เธอเคยดูแม้แต่น้อย หากแต่เหมือนกับเป็นฉาก ๆ หนึ่งในหนังสยองขวัญที่เธอกำลังอยู่กับฆาตกรโรคจิตคนหนึ่งที่กำลังสาธยายแผนการตัวเองให้ฟัง ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน เขาจะล้มเลิกความสนใจทั้งหมดเพื่อกลับไปเล่นบทบาทตามที่ตัวเองเป็นไปแทน
ชายหนุ่ม ผละออกมาอยู่ห่างจากเธอเพียงแค่สามก้าวยาว ๆ พร้อมกันนั้น เขาเองก็ได้ทำท่ายืนกอดอกแล้วแอบถอนหายใจเล็ก ๆ มือข้างหนึ่งของเคออสหันไปหยิบซองบุหรี่จากในเสื้อโค้ทที่ตัวเขาสวมใส่อยู่เป็นประจำ ก่อนจะนำเอาบุหรี่มวลหนึ่งพร้อมกับจุดไฟแช็คยื่นให้กับเธอ
นั่นดูเหมือนเป็นการส่งนัยยะแอบแฝงบางอย่างที่เฮเลน่าไม่รู้…
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกหรือแม้แต่พวกเครือข่ายจะเข้ามาข้องเกี่ยวได้ เฮเลน่า”
เคออส กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากเดิมที่เหมือนตัวเขาจะปล่อยวางมันไป กลับกลายเป็นว่าเขาพุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ กระทั่งกระจายความมุ่งมั่นไปสู่คนรอบข้างจนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
“อย่าลืมว่าหน้าที่ของผู้ไกล่เกลี่ยประจำเครือข่ายอาชญากรรม คือการหาข้อตกลงและผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย นี่อาจอยู่นอกเหนือจากภารกิจที่พวกเขามอบหมายให้ฉันก็จริง แต่มันมีส่วนสำคัญสำหรับเธอแล้วก็ฉันมาก ๆ ที่อาจลุกลามไปถึง ‘สมดุลในเครือข่ายอาชญากรรม’ และจะทำให้เราทำงานกันได้ลำบากทั้งคู่”
“สมดุลของเครือข่ายอาชญากรรม?” เฮเลน่า โพล่งขึ้นอย่างงุนงง หากแต่เธอเลือกรับบุหรี่ที่เขาจุดมาให้แล้วสูบมันเข้าไปเต็มปอด พร้อมกับพ่นควันออกมาด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยความสงสัย
“ตอนนี้เธออาจยังไม่เข้าใจ เฮเลน่า เรื่องนี้มันส่งผลกระทบโดยรวมถึงสิ่งที่เครือข่ายอาชญากรรมกำลังทำอยู่ เผลอ ๆ อาจทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที หากไม่มีใครคิดที่จะขจัดมันในตอนนี้ ก็คงอาจเป็นโอกาสครั้งหน้าในช่วงเวลาถัดไปอีกนับหนึ่งหรือสองร้อยปีที่มันจะทำได้ยากเกินความสามารถของฉัน”
“ถึงวันนั้น เธอจะได้รู้ถึงความสำคัญที่ทำไมฉันถึงเหมาะสมกับตำแหน่ง ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ มากที่สุด…”
- 1 -
มุมใดมุมหนึ่ง ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่า ‘โลก’ ณ สถานที่อันก่อตั้งอยู่ในจุดที่ตัดขาดไปจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
หลงเหลือไว้เพียงแต่กลุ่มคนเป็นจำนวนมาก หมายรวมไปถึงจักรกล อากาศยาน และสิ่งต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ตระการตาที่น้อยคนจะได้เห็นภาพเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มันมีมูลค่าสูงพอสมควร และจุดประสงค์ของการที่ผู้สร้างสิ่งพวกนี้ต้องการก็หนีไม่พ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องคุ้มกันภัยจากนอกตัวเกาะ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางการทหารและเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไม่มีใครอาจเทียบเคียงได้
แม้ ณ เวลานี้เองส่วนใหญ่ จะมีบริษัทมหาใหญ่ยักษ์ถือกำเนิดขึ้นมาอยู่ก็ตาม
หากแต่ถ้าเทียบกับบริษัทชั้นนำอย่าง ‘เซอร์เพนท์ อินดรัสทรี่ (Serpent Industries)’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘เซอร์เพนท์’ แน่นอนว่ามันคือบริษัทที่มีตัวตนลึกลับพอสมควร หากแต่ความลึกลับของมันกลับมีอิทธิพลมากต่อวงการธุรกิจค้ายุทโธปกรณ์ทางการทหาร รวมไปถึงเรื่องของการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาปรับใช้จนสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนทั่วไป ตราบไปจนถึงบุคลากรผู้ทำงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยหรือการรบได้ แน่นอนว่าอำนาจของบริษัทสัญชาติอิตาลีแบบนี้ มันคงไม่แปลกที่หากจะถูกจับตามองจากเหล่าผู้ร่วมลงทุนทางการค้าไปด้วย
“หุ้นวันนี้ยังคงขึ้นเหมือนเคยเลยสินะ”
ริฟินาเล่ แมนทัส ชายผู้เป็นหนึ่งในเจ้าขององค์กรเซอร์เพนท์ บุคคลผู้ที่ถูกจับตามองในหลาย ๆ วงการ โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือวิศวกรรม เวชภัณฑ์ยารักษา และที่ขาดไม่ได้คือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่แสนจะฉลาดล้ำและมีความก้าวหน้าจนสามารถสร้าง ‘จุดเปลี่ยน’ ทำให้ใครหลายคนชะรอยเดินตามเขา แน่นอนว่าแม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปจากที่เป็นคนร่างกายผอมแห้ง แรงน้อย และออกไปในทางของผู้รอบรู้และใช้ความคิดเป็นส่วนใหญ่ หากแต่กลับกัน ตอนนี้เขากลับดูบึกบึนกว่าเดิมมาก ที่สำคัญยังไม่นับกับการผ่านประสบการณ์ฝึกฝนวิชาการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงอีกหลาย ๆ สิ่งที่ ‘นักธุรกิจ’ ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบเขา
“ค่ะ ยอดการสั่งจองยานเกราะก็พุ่งขึ้นสูงด้วย มีแววว่าคุณอาจต้องเพิ่มเงินเดือนให้สายโรงงานผลิตของเราแล้ว”
วัยวุฒิที่เพิ่มมากขึ้นก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น หากแต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นการที่ชายวัยกลางคนเช่นเขาได้ใช้เวลาในการลงทุนลงแรงไปกับการทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งในที่นี้เขามีเกือบทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ หากแต่สิ่งหนึ่งที่กลับขาดไปคือบางอย่างที่มัน ‘สะกิดใจ’ เขาอยู่ตลอดมานับตั้งแต่ช่วงเวลาในอดีตจนถึงปัจจุบัน
“กำหนดการสำหรับวันนี้มีบ้างหรือเปล่า”
แมนทัส ข้ามเรื่องคำแนะนำที่เลขานุการสาวของตัวเองแนะนำมา ก่อนหันไปถามถึงเรื่องของงานตัวเองแทน
“เอ่อ…ค่ะ ๆ มีบ้างนิดหน่อย ดิฉันจะส่งข้อมูลไปให้นะคะ”
เพียงไม่นานข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการของแมนทัสก็ถูกโอนเข้ามาบนโต๊ะทำงานที่มีตัวฉายเป็นภาพโฮโลแกรมขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาต้องทำสำหรับในวันนี้ ซึ่งมันคือการเดินทางออกไปเพื่อร่วมงานสัมมนาบางอย่างที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เขากำลังให้ความสนใจในตอนนี้
ตารางเวลาของหัวหน้าบริษัทเซอร์เพนท์ ไม่เคยที่จะมีช่องว่างให้สำหรับการพักผ่อน เช่นเดียวกันสำหรับตัวของเลขานุการสาวที่เธอนั้นยินยอมเจียดเวลาส่วนใหญ่ของตัวเองไปกับการบริหารและจัดการเรื่องราวต่าง ๆ หรือแม้แต่การทำหน้าที่ในยามที่เขาออกไปพบปะกับสังคมผู้คนภายนอก ซึ่งยิ่งมาจากตระกูลผู้มีชื่อเสียงมานานด้วยแล้ว นั่นยิ่งต้องทำให้เธอต้องใช้เวลาไปกับการกดดันตัวเองอย่างมาก และทำให้เขารู้สึกพึงพอใจได้
แม้จะไม่ถึงขั้นยอมเอาร่างกายเข้าแลก แต่ก็มากพอที่มันทำให้ตารางชีวิตของเธอรวนไปพอสมควร
“เลื่อนไอ้ตรงที่ฉันต้องออกไปพบปะกับพวกกลุ่มติดอาวุธนั่นเป็นวันเสาร์หน้าได้ไหม? ดูเหมือนมีบริษัทใหญ่ ๆ ต้องการพบคุยกับฉันอยู่”
“แต่ว่าคุณรับปากกับพวกเขาไว้แล้วนี่คะ? ถ้าทำแบบนั้นเท่ากับว่า–”
ร่างบึกของชายในชุดสูทสีน้ำเงิน ยกมือขึ้นมาเป็นเชิงให้เธอหยุดพูด ก่อนที่จากนั้นจะเผยรอยยิ้มเย็นเยือกออกมาจนทำเอาคู่สนทนาที่ยืนมองถึงกับตัวสั่นเทา
“ของดีมีคุณภาพก็ต้องรอกันหน่อย เป็นแค่ไอ้พวกเศษสวะชั้นต่ำแท้ ๆ แต่ดันกล้าริอาจมาเพื่อร้องขอให้ฉันยอมเอาผลงานชิ้นโบว์แดงตัวเองไปเพื่อก่อการร้ายเหรอ? ให้ตายสิ…ถ้าไม่ติดเพราะว่ามันดันข้องเกี่ยวกับเครือข่ายอาชญากรรม ป่านนี้ฉันคงสั่งกวาดล้างพวกเขาราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว”
คำกล่าวนั้นไม่เกินจริงกับพลังอำนาจที่เขามี ผิวเผินขององค์กรเซอร์เพนท์นั้นเมื่อเทียบกับระดับมหาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ณ เวลานี้อย่าง ‘โกลบัล วอร์เทค’ แน่นอนว่าสิ่งที่เซอร์เพนท์เป็นมันดูช่างเล็กน้อยเสียเกินกว่าที่จะเป็นจุดสนใจให้กับใครได้ จะมีอยู่เพียงแค่อย่างเดียวที่พอกู้หน้าได้บ้างคือการที่มันมีโรงงานผลิตอาวุธและยุทโธปกรณ์ของตัวเอง ซึ่งมันอยู่ในเครือของบริษัทอย่าง ‘ไวเปอร์ร่า’ อันเป็นนามของลูกข่ายที่อยู่ในองค์กรเดียวกับที่แมนทัสกำลังบริหารอยู่ในตอนนี้
ถ้าไม่ติดเพียงเพราะว่าผู้ทำหน้าบริษัทดังกล่าวอยู่ แท้จริงกลับเป็นใครคนหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรม คนหนึ่งที่มีส่วนร่วมกับเขาในฐานะของ ‘หุ้นส่วน’ และมีผลประโยชน์ร่วมกันชนิดที่เขาไม่แม้แต่จะตัดออกไปได้
“ส่งข้อความบอกพวกเขาว่าคราวหน้าฉันจะส่งตัวแทนไปขอโทษพร้อมกับ ‘กระเช้า’ เป็นการไถ่โทษที่ต้องเลื่อนเวลาออกไป อ่อ แล้วก็…เตือนด้วยว่าอย่าให้พวกเขาเล่นให้ ‘หนัก’ มากล่ะ ฉันไม่อยากให้มันกระทบกับความสัมพันธ์กับคนในเครือข่ายฯ”
เขาลดมือตัวเองลง และหันไปสนใจกับหน้าจอโฮโลแกรมที่อยู่ตรงหน้าตัวเองที่ซึ่งกั้นกลางระหว่างตัวเองกับเลขานุการสาวที่ได้แต่อ้ำอึ้งและแสดงอาการลุกลี้ลุกลนออกมาอย่างนึกหวั่นเกรง ก่อนจะรีบถอยออกมาเพื่อให้แมนทัสได้มีพื้นที่ของตัวเขาเอง
“ค-ค่ะ! รับทราบแล้ว งั้น…ดิฉันขอตัวไปที่ห้องทำงานก่อนนะคะ คุณแมนทัส”
“อื้ม ต้องอย่างงี้สิถึงจะเป็นเลขานุการของฉัน~”
รูปลักษณ์ภายนอกอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือสีหน้ากับรอยยิ้มที่แฝงไว้ถึงเล่ศนัยบางอย่างที่ไม่ต่างจาก ‘อสรพิษ’ ตามอีกชื่อหนึ่งในเครือข่ายอาชญากรรม พิษสงของมันร้ายกาจมากกว่าที่เห็น ว่ากันว่าเมื่อใดเองที่ใครทำให้แมนทัสรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ เมื่อนั้นอาจถึงคราวที่มหันตภัยเข้ามาเยือนถึงตัว ชนิดที่ไม่อาจรู้ตัวด้วยซ้ำว่าทุกอย่างมันอยู่ในแผนการของเขาแล้วตั้งแต่ทีแรก
แมนทัส เลื่อนจากหน้าจอกำหนดการของเขา ก่อนเช็คไปยังตัวของคำร้องขอจากบรรดาเหล่ากลุ่มติดอาวุธในองค์กรของตัวเองที่ขึ้นด้วยนามแฝงและรหัสการเรียกที่มันบ่งบอกถึงตำแหน่งหน้าที่ กลุ่ม สังกัด และลำดับชั้น ซึ่งทั้งสี่อย่างคือระบบที่มันต่อยอดมาจากของเดิม ๆ จากตัวของหัวหน้าองค์กรก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่ามันเป็นเพียงอดีตที่ถูกลบเลือนหายออกไปจากความทรงจำของเขา
เว้นแต่สำหรับใครบางคนอาจไม่ใช่แบบนั้น…
หน้าจอถูกปัดเลื่อนไปยังด้านหลังที่มันเป็นแผ่นกระจกขนาดใหญ่ เปลี่ยนจากแค่โฮโลแกรมมาเป็นการแสดงผลด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเป็นจริงเสมือน (Augmented Reality)’ ที่มันปรากฎอยู่ในรูปของมนุษย์และการระบุถึงสถานะต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วมันเชื่อมต่อกับคนทุกคนภายในองค์กรของเขา แน่นอนว่าการสื่อสารแบบนี้มันเหมาะมากสำหรับการที่ไม่ต้องพบปะกันแบบตัวต่อตัว และเขาที่อยู่ในฐานะของหัวหน้าองค์กรก็ล้วนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ
“ฉันยังคงหวังอยู่ว่าจะมีใครบ้างที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องของ ‘สินค้า’ ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะผลิตออกมา และ…หวังว่ามันจะเป็นข่าวดี”
แมนทัส เอ่ยออกมาทันทีเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือบุคลากรของเขา โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงอายุอานามใด ๆ สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นคืออีกฝ่ายแสดงท่าทางเคร่งขรึมและไม่กล่าวอะไรออกมา นอกจากฟังในสิ่งที่ผู้เป็นหัวหน้าองค์กร ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะตัดสินใจถอนหายใจเล็ก ๆ แล้วตอบโต้ออกไปด้วยประโยคคำพูดที่ทำเอาร่างบึกในชุดสูทสีน้ำเงินถึงกับผิดหวัง
ขอโทษด้วยที่ผมอาจต้องพูดแบบนี้นะครับ แต่ว่าเรื่องที่ผมมาพูดในวันนี้คือ ‘สินค้า’ ตามที่คุณเพิ่งจะผลิตออกมา เราได้รับทราบมาว่าแม่พิมพ์ของมันถูกอัปโหลดขึ้นผ่านระบบ ‘มาเธอร์คลาวด์ (Mother Cloud)’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่าผลงานของคุณกำลังจะกลายเป็นของสาธารณะในอีกไม่นานครับ
มาเธอร์คลาวด์ (Mother Cloud) คือชื่อเรียกของเครือข่ายเซิฟเวอร์ก้อนเมฆส่วนกลางที่มันเชื่อมต่อกับระบบสื่อสารไร้สายทั่วแทบทั้งโลก ไม่มีใครในวงการวิศวกรรมหรือนักสร้างโปรแกรมไม่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าหากเปรียบเทียบแล้วมันเปรียบได้กับเป็น ‘ฐานข้อมูล’ ขนาดใหญ่มหึมาที่รวบรวมทุกสิ่งอย่างเอาไว้เข้าด้วยกัน และแน่นอนว่าผู้ที่เป็นเจ้าของ ๆ มันคือองค์กรผู้ให้การดูแลเกี่ยวกับข้อมูลดิจิทัลอย่าง ซินดิเคด (Syndicate)
แมนทัส เงียบกริบไปสักพัก เสมือนว่าเขากำลังกลั้นอารมณ์ความโกรธของตัวเองไว้ หากแต่แทนที่เขาจะระเบิดมันออกมาต่อหน้าลูกน้องตัวเอง กลับกลายเป็นซักถามถึงฝีมือของผู้ที่ทำแบบนั้นไปแทน
“สืบหาได้ไหมว่าเป็นใคร?” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป จากเดิมที่อารมณ์ดีกลับกลายเป็นอารมณ์บูดบึ้งไปในบันดล
ทางทีมงานหลังบ้านกำลังทำเรื่องขอทราบชื่อผู้อัปโหลดข้อมูลขึ้นไปอยู่ครับ เรากำลังสืบหาร่องรอยว่าเป็นใครหรือพวกไหน เรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้คุณไว้วางใจได้คือข้อมูลที่รั่วไหลออกไปจะถูกจำกัดไม่เกินสามวัน อย่างช้าที่สุดคือห้า แต่ไม่เกินไปมากกว่านี้–
“ช่างหัวเรื่องนั้นไปก่อน ฉันอยากรู้แค่ว่าใครเป็นคนทำ ไม่ใช่วิธีจัดการกับข้อมูลนั่น”
ปลายสัญญาการติดต่อเงียบกริบไปสักพักหนึ่ง เสมือนกับลังเลใจที่จะบอกว่าคนที่แพร่งพรายข้อมูลของพิมพ์เขียวขึ้นสู่คลาวน์นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่พวกเขาเคยตามล่ามาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
เราคิดว่าอาจเป็น เขา ครับ…
หนึ่งในเรื่องที่สะกิดใจเขาในช่วงแรกมันผุดเปิดออกมาพร้อมกับความทรงจำให้เขาได้เห็น ในวันที่มันควรจะมีเรื่องดี ๆ เข้ามาหาเขา กลับถูกแทนที่ด้วยการถูกบุคคลนิรนามผู้แอบแทรกแซงและโจมตีเขาอย่างลึกลับ จริงอยู่ว่าในบรรดาเหล่าองค์กรคู่แข่งของเซอร์เพนท์จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก หากแต่แมนทัสสามารถรับมือกับคนพวกนั้นได้แบบสบาย ๆ ชนิดที่เขาไม่จำเป็นต้องถ่อเอาตัวเองลงไปถึงสมรภูมิ
เว้นแต่กับ เคออส เวนเจกซ์ หนึ่งในผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมา ชายผู้เป็นถึงตำแหน่ง ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ประจำเครือข่ายอาชญากรรม ผู้ที่ชีวิตของเขาขับเคลื่อนไปด้วยความเกรี้ยวกราดและเพลิงแห่งความแค้นที่ไม่อาจประเมินได้
แมนทัส ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนหนึ่งสำหรับการฮุบองค์กรนี้เป็นของตัวเอง และอีกส่วนหนึ่งคือการควบคุมให้ ‘อสรพิษ’ อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หากแต่ความพยายามแทบทั้งหมดที่เขาทำกลับสูญเสียไปได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะบุคลากรสำคัญคนหนึ่งกลับเลือกจะหนีออกไป พร้อมกับขโมยผลงานทุกอย่างที่เขาทำ ความโกรธแค้นในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยลืมเลือน เฉกเช่นเดียวกับช่วงเวลาในอดีตที่ตระกูลริฟินาเล่เคยถูกทางการอิตาลีจับกุม ในข้อหาค้าเหล้าเถื่อนและมีเอี่ยวด้วยกับพวกแก๊งมาเฟีย ซึ่งในภายหลังเขาตัดสินใจหลีกหนีออกจากตระกูลของตัวเอง และปฏิเสธการสืบทอดตำแหน่ง ‘บอส (Boss)’ ของครอบครัวที่มาจากพ่อผู้ให้กำเนิดเขามา
“จะให้ดำเนินการเลยไหมครับ?”
แน่นอนว่าแมนทัสไม่ได้ตอบอะไรออกมา หากแต่เลือกที่จะทิ้งตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของเขาเอง จากนั้นเริ่มที่จะแสดงสีหน้าครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ความสัมพันธ์ของเขากับเคออส แม้จะเป็นศัตรูร่วมกันมาก็จริง หากแต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายอาจมีเหตุผลและวางแผนหลอกล่อให้เขาออกมา ซึ่งหากเขายินยอมส่งคนของตัวเองออกไป เท่ากับว่ามันมีโอกาสสูงที่เขาอาจกลับกลายเป็นฝ่ายถูกเล่นงานไปเสียเอง
ซึ่งมันไม่ใช่แนวทางในแบบที่อสรพิษเป็น หากพวกมันคิดจะจัดการศัตรูคู่อาฆาต มันจะเลือกใช้วิธีการในแบบที่เรียกว่า ‘พิษตัดพิษ’ หรือในอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือการส่งตัวตายตัวแทนเพื่อไป ‘สำรวจ’ ความเป็นมาเป็นไปของอีกฝ่ายเสีย
“ไม่ ยังก่อน นั่นยังเร็วเกินไป ฉันต้องการทราบมากกว่าว่าข้อมูลนั้นคืออะไร หากเป็นในโครงการใหม่ล่าสุดที่ฉันสร้างขึ้น อาจยังพอหาทางระงับมันไว้ได้ แต่ถ้าเป็นพวกของเก่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนล่ะก็ อย่างน้อย ๆ มันก็ยังมีแบ็คอัพสำรองเอาไว้อยู่”
รูปของข้อมูลที่รั่วไหลและถูกนำขึ้นในเครือข่ายก้อนเมฆ เป็นการยากสำหรับการทำลายหรือลบล้างมันไปได้ แม้จะให้เขียนไวรัสที่มีพิษสงร้ายแรงแค่ไหน หากแต่ถ้าไม่สามารถควบคุมพลังของมันไว้ให้อยู่ในกำมือ เท่ากับว่าเป็นการทำให้เกิดการสูญเสียแทบจะทุกฝ่าย
“ดูเหมือนว่านั่นจะเป็น– อ่ะ พบแล้วล่ะครับ!”
ภาพจากบนแผ่นกระจกขนาดใหญ่ ปรากฏออกมาเป็นอีกหน้าจอหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงรูปพรรณของสิ่งที่แมนทัสเรียกมันว่า ‘สินค้า’ ซึ่ง ณ ที่นี้มันคือแบบพิมพ์เขียว รวมไปถึงวัสดุการสร้างของฐานยิงขีปนาวุธชื่อว่า ‘ฟลอเรนซ์ (Florence)’ แน่นอนว่า ณ ปัจจุบันมันถูกสร้างและผลิตขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย และปัจจุบันมันก็ได้ถูกส่งออกไปขายให้กับทางกองทัพและกลุ่มกองกำลังอีกหลาย ๆ กลุ่มทั่วโลกในตอนนี้
ชื่อ : ไนติงเกล (Nightingale)
ประเภท : ยุทโธปกรณ์ทางการทหาร (Military Equipment)
ชนิดของโครงการ : ฐานยิงขีปนาวุธ พิสัยกลาง (Medium-range Missile Launch Base)
อัปโหลดเมื่อ : 02 มิถุนายน
ผู้อัปโหลด : [ ถูกแก้ไข ]
ภาพของสิ่งประดิษฐ์ที่มันเป็นเพียงแค่ไอเดียและพิมพ์เขียวในช่วงวัยที่เขาเป็นวิศวกรหนุ่ม แวบเข้ามาให้ตัวเขาได้ชื่นชมและภูมิใจกับรูปลักษณ์ของมัน หากแต่การฝังใจอยู่แต่ในช่วงเวลาอดีตไม่อาจช่วยให้ปัญหาในปัจจุบันหายไปได้ แน่นอนว่าสิ่งที่แมนทัสให้ความสนใจ กลับไม่ใช่ตัวของชื่อโครงการที่เขาคิด แต่เป็นชื่อของ ‘ผู้อัปโหลด’ เสียมากกว่า
“นั่นเป็นข้อมูลที่เราดึงมาได้เมื่อสามสิบห้าวินาทีที่แล้วครับ”
“แบบนี้เอง ถ้าอย่างงั้นอย่างน้อยเราพอมีทางจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อยู่”
ข้อมูลที่ถูกอัปโหลดขึ้นใน ‘มาเธอร์คลาวด์’ ไม่สามารถแก้ไขได้ตลอดเวลา หากแต่มันจะถูกจำกัดไว้ทุก ๆ ห้านาที ภายหลังจากที่มีการปรากฎขึ้นในเครือข่าย ซึ่งนั่นแปลว่ามันมีช่องโหว่ที่ทำให้แมนทัสสามารถที่จะใช้มันเพื่อแก้ไขความเป็นเจ้าของข้อมูลนั้น และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำต่อไปหลังจากนี้ คือการหันไปเปิดหน้าจอโฮโลแกรมอีกตัวหนึ่ง ก่อนจะใช้เวลาอันรวดเร็วในการเขียนโปรแกรมตัวหนึ่งขึ้นมา และนำมันอัปโหลดขึ้นสู่เครือข่ายเซิฟเวอร์นั้นไป
“จริงอยู่ที่อาจตามรอยคนที่อัปโหลดไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของ ‘หมอนั่น’ แต่ฉันคิดว่าเขาคงคาดไม่ถึงหรอก ถ้าหากว่าโดนมัลแวร์ของฉันเล่นงานไป”
“คุณแมนทัส คิดจะทำอะไรเหรอครับ?” ปลายทาง เอ่ยถามออกมา
“มัลแวร์ที่ฉันเพิ่งอัปโหลดขึ้นไป ฉันได้ติดตั้งโปรแกรมตรวจจับตำแหน่งเอาไว้ แน่นอนว่ามันอาจไม่ได้ระบุพิกัดที่ชัดเจน แต่อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้พวกเราเห็นว่า ‘เขา’ อยู่ที่ไหน ทำอะไร และที่สำคัญมันเองก็ไม่ถูกตรวจจับโดยตัวแทนของเครือข่ายอาชญากรรมด้วย”
แม้จะเป็นหัวหน้าองค์กร แต่ไฟในการทำงานและฝีมือในการรับมือกับสิ่งไม่พึงประสงค์ ยังถือเป็นหนึ่งสิ่งที่แมนทัสลับคมตัวเองอยู่ตลอดเวลา และเพียงไม่นานสิ่งที่เขาทำมันก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อมีเสียงสัญญาณเตือนและสัญลักษณ์บนหน้าจอโฮโลแกรมปรากฎให้เห็นว่าสถานะของ เคออส เวนเจกซ์ รวมไปถึงตำแหน่งที่เขาอยู่นั้นกำลัง ออนไลน์ (Online) อยู่ในขณะนี้
“ส่งตำแหน่งนี่ไปให้กับ ‘ราตรีทมิฬ’ พวกเขาจะรับช่วงต่อจากพวกแกเอง”
“จะดีเหรอครับ? แบบนั้นมันไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ คุณแมนทัส?”
“อย่าได้ดูถูกกองกำลังแนวหน้าที่ฉันคัดเลือกมาเองกับมือสิ อีกอย่างพวกแกคงไม่อยากกลายเป็นศพ ให้พวกอีกาแทะหรอก จริงไหม?”
‘ราตรีทมิฬ’ หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ ‘แบล็ค โอเปอเรชั่น (Black Operation)’ กองกำลังชั้นแนวหน้าผู้มีฝีมือและสมาชิกไม่ถึงสิบคน จำนวนของพวกเขาอาจมีน้อยเมื่อเทียบกับกองกำลังติดอาวุธทั่วไป หากแต่ในด้านของความเชี่ยวชาญและฝีมือที่เกินกว่าหน้าที่ในการเป็นผู้เปิดเส้นทางการขนส่งสินค้าให้กับองค์กรเซอร์เพนท์นั้น แน่นอนว่าพวกเขาช่วยเหลือมาอยู่นานแสนนาน และแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสได้เฉิดฉายในฐานะของกองกำลังชั้นนำ ทว่าสิ่งหนึ่งที่สร้างความสะพรึงกลัวให้กับกลุ่มติดอาวุธและกลุ่มนักลอบสังหารประจำองค์กรนี้ คือการที่มันเกี่ยวเนื่องกับผู้นำกลุ่มที่ถนัดในการตามล่าสิ่งที่ไม่สามารถล่ามาได้
“ข-เข้าใจแล้วครับ จะรีบดำเนินการให้เดี๋ยวนี้”
“อ้อ! ใช่ ฝากความคิดถึงไปให้ด้วยล่ะ บอกไปว่าถ้าทำให้มันอัมพาตได้ เรื่องปิดบัญชีแค้นนั่นให้ฉันเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง”
หน้าจอทั้งหมดถูกปิดลงทันที ภายหลังจากที่แมนทัสจบบทสนทนาระหว่างคนในองค์กรของเขา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ต่อด้วยการเปิดลิ้นชักเพื่อนำปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือ
ลักษณะของมันดูเหมือนกับเป็นปืนลูกโม่ขนาดใหญ่ ซึ่งคงไม่ต้องสาธยายก็พอเดาได้ว่ามันทรงอานุภาพมากขนาดไหน ยิ่งถ้าหากบวกรวมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ควบเข้ากับการออกแบบด้วยมือของผู้ที่สร้างมันขึ้นมาด้วย ยิ่งทำให้มันกลายเป็น ‘อาวุธประจำตัว’ ที่ดูเด่นและสะดุดตามากกว่าปืนกระบอกอื่น ๆ ที่แมนทัสเคยจับต้องมาก่อน
“เจอกันทั้งที ไหน ๆ แล้วก็ขอฝากรอยแผลไว้สักหน่อยแล้วกัน~”
ความแตกต่างของปืนกระบอกใหญ่โตที่แมนทัสใช้ นอกเหนือจากรูปทรงที่หลุดออกมาจากอนาคต อีกอย่างหนึ่งที่มันถือเป็นความเฉพาะตัวเอามาก ๆ คือชนิดของกระสุน ซึ่งคนที่รู้ดีว่าสิ่งที่ออกมาจากปากกระบอกปืนเป็นอะไรคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตัวเขา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกได้ถึงการมีอำนาจมากมายเช่นนี้มาก่อน เฉกเช่นกับจำนวนกระสุนที่มีอยู่เพียง ‘ห้านัด’ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นปืน ‘แมกนั่ม (Magnum)’ มากกว่าแค่ ‘ลูกโม่ (Revolver)’ ก็ไม่ปาน
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร สิ่งเดียวที่แมนทัสมั่นใจเสียมากกว่าปืนบนมือ คือการที่เขาได้รับรู้ถึงชะตากรรมของชายผู้ที่ทั้งโลกต้องการตัวมากที่สุดเป็นอันดับสาม ณ เวลาตอนนี้
- 2 -
วันเวลาของความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ โดยเฉพาะกับเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมและเด็ดขาดมากที่สุดในโลกอย่าง ‘เอ็กซิมิวส์ (Eximuis)’ ซึ่งภายหลังจากเสร็จจากการทำหน้าที่กวาดล้างและลงโทษพวกผู้ก่ออาชญากรรมขั้นรุนแรงจนเสร็จสรรพแล้ว สิ่งต่อไปที่พวกเขาทุกคนต้องทำคือการส่งรายงานไปยังตัวของหัวหน้ากองกำลังของตัวเอง และเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงาน
“ทั้งหมดที่พวกแกทำฉันหวังว่าพรุ่งนี้มันจะดีขึ้นและต้องให้ได้มากกว่าเมื่อวาน เข้าใจใช่ไหม?”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอ็กซิมิวส์ ขานขึ้นมา
“ครับ/ค่ะ!”
“เรายังมีงานอีกมากมายที่ต้องเคลียร์ แต่สำหรับตอนนี้ รีบออกไปเตรียมตัวกันได้แล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาสำหรับปฏิบัติ เพราะงั้น…แยกย้ายได้!”
ณ สถานที่ตั้งของหน่วยงานที่อยู่ภายในใจกลางของมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ไม่ปรากฎพิกัดอันชัดเจน หากแต่มันอยู่ในรูปของเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดมหึมา และแน่นอนว่าเจ้าเรือดังกล่าวนี้มันแทบจะอยู่นิ่งกับที่โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำให้มันแตกต่างไปจากเรือแบบปกติ คือบรรดาสถานที่และสิ่งปลูกสร้างมากมายที่สร้างขึ้นทั้งภายนอกและภายในตัวเรือ อันบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และตระการตาเสียจนเกินกว่าจะเรียกว่าเป็น ‘เรือ’ ได้ก็ไม่ปาน
ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการสนับสนุนโดยกลุ่มรัฐบาลใหม่ และบรรดารัฐวิสาหกิจและเอกชน รวมไปถึงกองทุนจากเหล่ามหาเศรษฐีผู้เชื่อในอุดมการณ์ของเอ็กซิมิวส์อย่างแรงกล้า จนถึงขั้นยินยอมให้ตัวเองอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตัวเอง
เป็นเวลามากกว่าสามเดือน สำหรับปฏิบัติการถอนรากถอนโคนกลุ่มติดอาวุธนอกกฎหมาย ที่มันต่อยอดมาจากผู้บัญชาการหน่วยงานคนแรกอย่าง ซานเคฟ โยโกวาริช ซึ่งได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานทั้งหมดทำให้ฝั่งของเจ้าหน้าที่ เอ็กซิมิวส์ รุ่นที่หนึ่ง (The First Eximuis) ได้ถูกลดทอนบทบาทตัวเองลง ทั้งนี้เป็นผลมาจากเสียงวิจารณ์ของผู้คนเเป็นจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงที่พวกเขาได้กระทำเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คนที่รู้ว่าวิธีแบบนี้มันใช้ไม่ได้ผลกับพวกผู้ก่อความไม่สงบ กลับมีอยู่เพียงแค่จำนวนหยิบมือเท่านั้น และมันเองก็ทำให้ผู้บัญชาการคนปัจจุบันอย่าง ยอร์มุนกานดร์ รู้ว่าตัวเขาต้องจัดการด้วยวิธีการเช่นไร
“เฮ้ ๆ สวัสดีท่านผู้บัญชาการ~”
ใครคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีขาวเรียบและเป็นโค้ทตัวยาว เดินปรากฎตัวเข้ามายังภายในห้องของชายร่างสูงใหญ่ ผู้ที่เขาแต่งกายไม่ต่างจากอีกฝ่ายมากนัก เว้นเพียงแต่สิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งที่ต่างกันอย่างชัดเจน คือการที่ฝั่งของผู้นำหน่วยงานแสดงออกถึงท่าทางไม่แยแสและหยิ่งผยองเกินกว่าจะหันมาสนใจกับการมาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
“พอดีว่าอยากมาส่งงานที่มอบหมายไว้สักหน่อย ถ้าไม่รบกวนมาก ผมอยากขอร้องอะไรสักอย่างหนึ่งได้ไหม~?”
ท่าทางการวางตัวของชายหนุ่มคนนั้น ดูเหมือนจะเป็นกันเองและไม่ได้ใส่ใจกับความเคร่งขรึมที่ชายสูงใหญ่หันหลังให้กับเขา เว้นเสียแต่ว่าทันทีที่ได้ยินคำร้องขอนั้น ทำให้เขาเองถึงกับหันมามองด้วยสายตาดุดันประหนึ่งกับราชสีห์ผู้เป็นเจ้าแห่งพงไพรในคริสต์สหัสวรรษที่ 3
ยอร์มุนกานดร์ ไม่กล่าวอะไร นอกจากกอดอกมองไปที่ตัวของชายตรงหน้าสักพัก และพูดขึ้นว่า
“ต้องการอะไร ราฟาเอล”
ประโยคสั้น ๆ ที่ปนมาด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หากแต่เนื่องด้วยวัยที่ล่วงเลยไปจนเหลือเวลาอีกเพียงห้าปี ก่อนที่มันจวนจะถึงคราวสำหรับการเกษียณ แน่นอนว่าสิ่งที่ชายร่างสูงใหญ่คิดเอาไว้ หาใช่การยกตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของหน่วยงานให้กับคนอื่น แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่มาพร้อมกับเจตนารมณ์อันแรงกล้าและสุดโต่งในการกวาดล้างอาชญากรรมและการก่อการร้ายทุกรูปแบบออกไป ประกอบกับความต้องการขยายอำนาจของหน่วยงานให้มีบทบาทสำคัญมากกว่าการอยู่ภายใต้ ‘กลุ่มรัฐบาลใหม่’ ผู้ซึ่งคอยชักใยและจับตาดูการกระทำของเขาในตอนนี้
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ท่านยอร์มุนกานดร์ นอกจากเพียงรายงานจากพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่พวกเขาส่งมาให้กับผม ผลประกอบการจากที่ชายแดนยูเครน แล้วก็แถวอิหร่าน จำนวนของพวกผู้ก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธแถวนั้นตอนนี้ลดเหลืออยู่แค่ สองเปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมดที่มันมีอยู่ แปดสิบเปอร์เซนต์ ไปแล้ว ก่อนหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ จะเข้ามาแทรกแซงล่ะครับ~”
เจ้าของนามว่า ‘ราฟาเอล’ ไม่พูดเพียงปากเปล่า หากแต่เปิดหน้าจอโฮโลแกรมออกมา และเริ่มส่งข้อมูลการรายงานทั้งหมดเข้าไปยังตัวของเครื่องฉายบนโต๊ะของผู้บัญชาการผู้บัญชาการใหญ่ โดยไม่ลืมที่จะแนบภาพการสังหารโหดด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันด้วยว่ากองกำลังทั้งหมดของชายหนุ่มนั้นได้เป็นคนปิดฉากด้วยฝีมือตัวเอง
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักเท่าไหร่ นอกจากมีเพียงอย่างเดียวที่ผมอยากนำเสนอให้คุณได้รับทราบเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณใช้ให้ผมไปตกลงกับบริษัทฮอฟฟ์แมนน์ เรื่องที่ว่าเรายืมมือของเธอเพื่อไปจัดการ ‘คุมความประพฤติ’ และ ‘สั่งสอน’ คนที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจดี”
“ได้ผลหรือเปล่า?” ยอร์มุนกานดร์ ถามกลับไป
“อืม…เรื่องส่วนนั้น ผมอาจต้องโชว์ให้คุณดูเป็นขวัญตาเสียมากกว่านะครับ~”
ข้อมูลรายงานที่ส่งเข้ามาถึงตัวเครื่องฉายภาพนั้นไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงงานที่ชายอาวุโสได้มอบหมายไป แต่มันยังรวมไปถึงไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอที่แสดงถึงหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเจรจาพูดคุยกับใครบางคนอยู่ภายในร้านอาหาร ซึ่งภาพดังกล่าวมันมีตัวของชายหนุ่มรวมอยู่ในนั้น
ยอร์มุนกานดร์ มองภาพพวกนั้นที่ฉายออกมาในทีแรก ฟังบทสนทนาที่ดำเนินไประหว่างคนของตัวเองกับคนจากฝั่งขั้วตรงข้าม ทุกอย่างมันดำเนินไปตามรูปแบบที่เขาต้องการ หากเพียงถ้าไม่ติดว่ามีจังหวะหนึ่งที่เหมือนกับว่าฝั่งของผู้รับงานเช่น ‘เฮเลน่า ฮอฟฟ์แมนน์’ กลับเหมือนแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่บ่งบอกว่าเธอได้ส่งสารไปยังผู้ติดต่อที่ไม่รู้จัก ภายหลังจากที่ตัวของราฟาเอลได้เดินออกจากร้านอาหารไป
“น่าเสียดายที่เราเจาะเข้าเครือข่ายฯ นั้นไม่ได้ ไม่งั้นป่านนี้ผมคิดว่าเราคงอาจได้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ชักใยศัตรูของเราไปแล้ว”
ภาพจากกล้องวงจรปิดจิ๋วขนาดไมโคร เริ่มซูมเข้าไปใกล้กับตัวหญิงสาวผมสีขาวนั้นที่ยกหูพูดกับคนปลายสาย ถึงจะจับบทสนทนาไม่ได้ หากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับตัวของยอร์มุนกานดร์ เนื่องด้วยเขาคุ้นเคยดีกับการตีความอ่านสีหน้าของผู้คน รวมถึงการขยับปากของอีกฝ่ายที่เมื่อเขาจับใจความได้คร่าว ๆ ก็ค้นพบว่าเธอกำลังทำงานอยู่ฝั่งของเครือข่ายอาชญากรรมด้วย
“แต่ก็คงว่ากันไม่ได้ เพราะยังไงคุณเองก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ต้น จริงไหม?”
หน้าจอโฮโลแกรมถูกปิดลง ชายร่างสูงใหญ่พ่นลมถอนหายใจออกมา ไม่ได้แสดงถึงความกังวลใจเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น หากแต่กลับล่วงรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าการตกลงปลงใจกับผู้ที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน ย่อมมักจะนำพามาซึ่งเรื่องราวที่มันแสดงออกถึงการแทงด้านหลังกันเสมอ
“สนธิสัญญาจากตัวแทนเครือข่ายฯ ไม่แปลกใจเสีย ถ้าหากว่ามันจะลงเอยด้วยอะไรแบบนี้”
ไม่กี่ครั้งที่ตัวของ ยอร์มุนกานดร์ แสดงความเห็นออกมา ขณะที่ราฟาเอลเปลี่ยนจากท่าทางสบาย ๆ ไปเป็นการที่เขาเริ่มจริงจังและแสดงออกถึงความเคร่งครัดมากขึ้น แม้จะยังติดนิสัยความขี้เล่นไปอยู่เพียงเล็กน้อย ทว่าการอยู่ต่อหน้าผู้ที่สร้างเขาขึ้น ย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะส่งผลให้ตัวเขาต้องแสดงความเป็นหัวหน้ากองกำลังภาคปฏิบัติการพิเศษออกมา
“ฉันยังคงจดจำเมื่อครั้งที่แผ่นดินรัสเซียมีความยิ่งใหญ่เหนือเกินกว่าที่จะมีผู้ใดกล้ามาขัดแข้งขัดขา แต่ว่าในตอนนี้ ความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งอดีตนั้นมันได้หายไปแล้ว นับแต่ที่ ‘เขา’ ได้จากลาโลกใบนี้ไป นับแต่ที่ทุกคนหันมาอยู่กับความวุ่นวายที่ยุ่งเหยิงจนไม่มีใครกล้าขจัดมันออกไปจากที่แห่งนี้”
“อยากจะให้มันกลายเป็นปึกแผ่นเดียวกันคงยากสักหน่อยนะครับ ผู้การอเล็กซานดรา~”
ราฟาเอล พูดแทรกขึ้นมา พร้อมด้วยกล่าวถึงชื่อเต็มของอีกฝ่ายแทนนามสมมุติที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงถึงอำนาจในแบบที่อีกฝ่ายมี
“ไม่หรอก ความยากไม่ได้อยู่ที่เราลงมือทำเมื่อไหร่หรือตอนไหน มันอยู่ตรงที่ตราบใดเรายังอยู่ภายใต้ ‘เบื้องบน’ แบบนี้ เท่ากับว่าเจตนารมณ์และอุดมการณ์ที่เราวางไว้ก็ไม่มีวันเดินหน้าไปไหน มันยังติดอยู่แค่การเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งฉันไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น”
ยอร์มุนกานดร์ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเครือข่ายอาชญากรรมทำ ไม่เว้นแม้แต่กับการยินยอมรับในสนธิสัญญาที่พวกเขาได้ร่างไว้ เขารู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าทั้งหมดมันมีขึ้นเพื่อคงความสมดุลระหว่าง ‘ความชั่ว’ และ ‘ความดี’ ทั้งที่มันล้วนเป็นเพียงสิ่งนามธรรมที่จับต้องไม่ได้
เอ็กซิมิวส์ ไม่อาจเป็น ‘อัศวินขี่ม้าขาว’ ได้อยู่ตลอดเวลา…
เหมือนอย่างเช่นที่เขาถวิลหาซึ่งการถือครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ และการเป็นต้นแบบของมนุษย์ชาติที่แสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวและตลอดไป
“ฉันไม่ได้หวังจะครอบครองทุกสิ่ง หากแต่โลกที่ฉันเห็นตอนนี้ มันกำลังถูกปกคลุมด้วยความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน ซึ่งแกคงรู้เหตุผลของฉันดี ราฟาเอล สาเหตุหนึ่งที่ว่าทำไม ‘โซดิแอค (Zodiac)’ ถึงได้เป็นบทบาทสำคัญที่ทำให้แกเกิดมา”
รอยยิ้มบางปรากฎบนใบหน้าของชายหนุ่ม นับแต่การตื่นมาลืมตาดูโลกครั้งแรก เขาก็รับรู้แล้วว่าตัวเองไม่ใช่ ‘มนุษย์ปกติ’ อย่างที่ตัวเองเข้าใจ นิยามของความเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อย เทียบกันไม่ได้กับผู้ที่พยายามก้าวล้ำขีดจำกัดของตัวเอง จนในท้ายที่สุดมันก็ได้ก่อกำเนินสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์ผสมเทียม’ ขึ้นมา และแม้ว่าสถานะของมัน ณ เวลานี้จะยังอยู่ช่วงของการทดลอง หากแต่ความทุ่มเทของเหล่านักวิทยาศาสตร์และบรรดาบุคลากรมากมายที่ล้วนอยู่ภายใต้เงื้อมมือของยอร์มุนกานดร์ พวกเขาล้วนแล้วมีปณิธานอันแรงกล้าที่จะยกระดับความก้าวหน้านี้ไปสู่จุดที่ไม่อาจมีใครจินตนาการได้
“ท่านก็พูดไป อย่าลืมสิ ผมเกิดมาเพื่อรับใช้ท่านอยู่แล้ว เรื่องอื่น ๆ ที่เหลือนี่ก็เป็นแค่ ‘สนามเด็กเล่น’ สำหรับผมไปเท่านั้น มีอีกหลายสิ่งมากที่ผมยังต้องเรียนรู้ และถึงต่อให้มันไร้สาระมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดผมก็เข้าใจดีถึงจุดประสงค์ที่ท่านเองคาดหวังมาโดยตลอด”
เบื้องหน้าของเอ็กซิมิวส์อาจเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกจับตามอง หากแต่เบื้องหลังกลับคือการสร้างและทดลองสิ่งต่าง ๆ มากมายที่มันมีไว้เพื่อเปลี่ยนโฉมโลกทั้งใบนี้ให้อยู่ภายใต้การปกครองอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครต่างรู้ตัว
ยอร์มุนกานดร์ เริ่มดำเนินการจุดประสงค์นี้ของเขามาได้สักพักแล้ว บทบาทของการเเป็น ‘ผู้นำทางการทหาร’ อาจเป็นเพียงบทบาทหนึ่งที่โลกเห็นว่าเขากำลังเป็น ทว่าแท้จริง ความต้องการของเขากลับมีมากกว่าแค่การอยู่ภายใต้อำนาจ หากแต่เขาต้องการกลายเป็น ‘อำนาจ’ เสียเอง ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คน นอกเหนือจากเพียงราฟาเอล ก็ยังมีอีกสองคนที่เขาไม่ได้เอ่ยถึง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผนวกรวมกับเขาก็นับว่ามีอยู่ทั้งหมดสี่คน
“แกอยากเป็นเจ้าของโลกใบนี้หรือเปล่า?” ชายอาวุโส เอ่ยถามออกไป
“แหม ๆ คำถามง่ายซะขนาดนี้ ทำไมผมถึงจะไม่อยากล่ะ~?”
ยอร์มุนกานดร์ เผยรอยยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจในคำตอบของเขา
“เช่นนั้นมันเป็นของแก ราฟาเอล ฉันจะใช้เวลาที่เหลือก่อนจะถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของตัวเอง ดื่มด่ำกับความสงบสุขอยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คน ห่างไกลจากทุกสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี่ และเหลือไว้เป็นเพียง ‘ตำนาน’ ที่ไม่ว่าใครจะต้องจดจำชื่อของฉัน…ตลอดกาล”
ยามเมื่อวันเวลาที่อัศวินได้เฉิดฉายสู่สายตาชนชาวโลก นั่นคือช่วงเวลาแห่งความหวังที่มันได้ก่อตัวขึ้นมากอบกู้ความสงบสุขมาสู่โลกที่มันดำเนินอยู่ แม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ล้วนเกิดจากความรุนแรงอันเป็นอนันต์ หากแต่สุดท้ายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ท้ายสุดมันจะจบลงด้วยการหวนกลับเข้าสู่ ‘จุดเริ่มต้น’ ไปเสมอ
และก่อนถึงเวลานั้น สิ่งที่ยอร์มุนกานดร์ต้องการคือการควบคุมทุกสิ่งอย่างให้อยู่ภายใต้อาณัติของเขา เหมือนอย่างที่กลุ่มรัฐบาลใหม่กำลังทำในตอนนี้…