"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

Codename 5567 - - Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2) โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Codename 5567

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

อาชญากรรม,ผู้ใหญ่,ไซไฟ,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ + ระทึกขวัญ (Science Fiction+Thriller),สงคราม,สืบสวนสอบสวน,อนาคต,อาชญากรรม

รายละเอียด

Codename 5567 โดย Chaotic Voice @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ความวุ่นวาย" และ "การแก้แค้น" ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอยู่เสมอ เฉกเช่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ของชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับ 'หายนะ' จากสิ่งที่เขาได้ก่อเอาไว้

ผู้แต่ง

Chaotic Voice

เรื่องย่อ

[ Introduction ]

"ในทุกความเป็นไปได้ล้วนก่อเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันหยุดนิ่งของมนุษย์"

หากแต่ในความทะเยอทะยานนั้น กลับถูกแบ่งแยกออกไปเป็นทั้งหมดสามฝั่ง สามเส้นทาง และสามเป้าหมายของผู้ที่ถูกจองจำภายใต้อุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามันคือสิ่งที่ 'มนุษยชาติ' ควรมุ่งตรงไป

แม้ว่าหากมองภาพรวมใหญ่ ๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันกลับลงเอยด้วยผลกระทบอย่างรุนแรงแสนสาหัส จนเป็นการยากที่จะซ่อมแซมมันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ก็ตาม

'อาชญากรรม' และ 'ความรุนแรง' แพร่กระจายออกไป ณ ทั่วทุกแห่งหน ความป่าเถื่อนของสัญชาตญาณดิบในตัวของมนุษย์หล่อหลอมจนเป็นสาเหตุหลักทำให้มันจำเป็นต้องมี 'ตัวแทน' สำหรับการไกล่เกลี่ยและคอยควบคุมความสมดุลเหล่านั้น แม้จะต้องใช้วิธีการที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมและจริยธรรมไปก็ตาม

ดำดิ่งลงสู่ห้วงอเวจีของความวิปลาส ตามหาซึ่งวิวัฒนาการที่สูญหาย ก่อกำเนิด 'โครงการ (Project)' ที่มันกำลังจะนำไปสู่ความวินาศสันตะโรในทุก ๆ ก้าวเดิน...

กระบวนการของอำนาจทางกฎหมายที่ถูกลดทอนลง เป็นผลทำให้ไม่เพียงแต่มันแสดงถึงการแทรกแซงเข้ามาของผู้มีอำนาจและอิทธิพล หากแต่กระนั้นยังส่งผลทำให้มันคุกรุ่นไปด้วย 'ความขัดแย้ง' ที่ไม่อาจลงรอยได้ อุดมการณ์ของสองฝักฝ่ายที่เป้าหมายเหมือนกัน คงเป็นการยากยิ่งที่กระบวนการของพวกเขาทั้งคู่จะสามารถไปด้วยกันได้โดยลื่นไหล

อย่างไรเองก็ดี เมื่อมันขึ้นชื่อว่า 'ภารกิจ (Mission)' นั่นย่อมหมายความว่ามันจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในการหันมาเป็น 'พันธมิตร' ด้วยกันในเวลาชั่วคราว...

เฉกเช่นเดียวเองที่เมื่อ "สมรภูมิรบ" มันกลับไม่ได้ถูกจำกัดแต่เพียงในพื้นที่สงคราม หากแต่มันยังลุกลามและแฝงตัวอยู่ภายใต้เหตุการณ์อันสงบเงียบ หลบซ่อนอยู่ภายใต้สังคมที่ถูกฉาบด้วย 'เปลือกนอก' ที่ถูกเคลือบให้หนามากกว่าเดิมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'ผลประโยชน์ของประเทศ' จนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ตัวแทนของมหาอำนาจจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มผู้คอยกำจัดเสี้ยนหนามที่เรียกว่า 'การก่อการร้าย' ให้หมดไป โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียไปจากการเลือกเดินในเส้นทางที่มันถูกปูเอาไว้โดยเหล่าผู้มองไม่เห็นถึง 'คุณค่าของชีวิต' ที่มันกลับสั้นเสียเกินกว่าจะยุติทั้งหมดไปได้

'ปฏิบัติการ (Operation)' ที่พวกเขากำลังมุ่งไปพร้อมคำถามจำนวนนับอนันต์ พ่วงมาด้วยศัตรูผู้รายล้อมในทุกทิศทาง แบกรับซึ่งภาระอันหนักอึ้งที่เรียกว่า 'มวลมนุษยชาติ'

แด่ความวิปริตทั่วทั้งมวล
แด่ความยุติธรรมที่ยากจะเท่าเทียมได้โดยแท้จริง
แด่ทุกการสูญเสียที่ดำเนินมาสู่จุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้

ยิ น ดี ต้ อ น รั บ

เ ห ล่ า ผู้ ร อ ด ชี วิ ต

::: Talking with the Void (ครั้งที่ 1) :::

สวัสดีเหล่านักอ่านทุกท่าน รวมไปถึงใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในหน้าเว็บตรงนี้ด้วยนะครับ (และใช่... ในแอพลิเคชั่นด้วยเช่นเดียวกัน xD)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักเล็กน้อย นามของตัวผู้เขียนนั้นคือ 'Chaotic Voice'

ไม่ใช่ทั้ง 'นักเขียนหน้าใหม่' และ 'นักเขียนหน้าเก่า' แต่น่าจะเรียกว่าเป็นนักเขียนผู้หลบซ่อนอยู่ในซอกลืบแห่งหนึ่งของมิติพิศวงที่ไหนสักแห่ง (ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นที่แห่งหนใดบ้าง ไปสืบหากันเอาเองล่ะ ;p)

สำหรับสถานที่แห่งนี้ เรียกได้ว่ามันค่อนข้างเป็น 'เรื่องใหม่' มากทีเดียวในระดับหนึ่ง ส่วนตัวยอมรับตามตรงว่าอาจจะรู้สึกเกร็ง ๆ ไปบ้างเพราะด้วยความที่พอต้องขยายฐานไป ก็ล้วนหนีไม่พ้นต้องมาสร้างจุดแวะเวียนพูดคุยกับนักอ่านใหม่อยู่ดี XD

หากแต่ก่อนอื่น เพื่อที่พวกเราจะได้ทำความเข้าใจตรงกัน สำหรับใครก็ตามที่มาจากทางหน้าเว็บ Dek-D หรือ Readwrite อันนี้ไม่ต้องห่วง ส่วนของการพูดคุยนั้นจะยังเหมือน ๆ กัน เว้นแต่ส่วนของสถานที่แห่งหนใหม่ตรงนี้ ผมอยากจะขอใช้พื้นที่สำหรับการเน้น 'ประชาสัมพันธ์' ในส่วนสำคัญแบบสั้น ๆ เพื่อไม่เป็นการทำให้ผู้อ่านเสียเวลาไปมากนัก

ข้อแรก - นิยายที่มีการนำมาลงทั้งหมด ล้วนเป็นเนื้อหาแบบเดียวกับทั้งสองเว็บไซต์ที่ทางผู้เขียนได้ทยอยอัปเดตลงไปแล้ว
ข้อสอง - จำนวนตอนที่มีการอัปเดตลงไปในเว็บนี้ จะมีระยะเวลาล่าช้ากว่าในช่วงแรก ๆ แต่จะเริ่มขยับขึ้นมาเร็วเท่ากันภายหลังจากจบเรื่องราวในส่วนของ Phase 1 (ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ส่วนของ Project เป็นต้นไป)
ข้อสาม - กระบวนการเขียนแต่ละตอนของผู้เขียนนั้นจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร หากแต่ทั้งนี้จะมีการอัปเดตออกมาเรื่อย ๆ ผ่านตัวของทั้งช่องทาง Bluesky และหน้านิยายของทางสองเว็บไซต์ที่ได้บอกไปข้างต้น

และข้อสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...

- เนื้อหาทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงแต่อย่างใด ทั้งชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสมมุติขึ้นมาโดยนำเค้าโครงความเป็นจริงบางส่วนมาปรุงเสริม เติมแต่ง และปราศจากเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นโปรดจงเสพผลงานอย่างมีวิจารณญาณและแยกแยะ ‘โลกความเป็นจริง’ และ ‘โลกในจินตนาการ’ ออกจากกันด้วย -

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอฝากเรื่อง Codename 5567 ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ ส่วนของการขายนั้นจะยังไม่ขอพูดถึงก่อนเพราะ ณ ตอนนี้ต้องบอกว่าทางผู้เขียนกำลังอยู่ในช่วง 'นีทเกม' และ 'เผชิญโชค' อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (หมายรวมไปยันเรื่องของการต่อสู้ทางความคิดในหัวของตัวเองที่มันยุ่งเหยิงกัน สมกับเป็นชื่อนามปากกาตัวเอง 5555)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งอาชญากรรม ณ บัดนี้ได้เลยครัช :DDD

สารบัญ

Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Prologue (Ch.0),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Nightingale (Ch.1),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] A Golden Light (Ch.3),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Projectile (Ch.4),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Unstable Peace (Ch.5),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Radiance (Ch.6),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Decadence (Ch.7),Codename 5567-- Phase 1 - [Project Nightingale] Best Foe Forever (Ch.8)

เนื้อหา

- Phase 1 - [Project Nightingale] Newcomer (Ch.2)

Newcomer (Ch.2)

ย้อนกลับไปยัง ณ ช่วงเวลาก่อนที่ชายหนุ่มจะเติบโตกลายเป็นในปัจจุบัน ตอนนั้นเองเขายังคงเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องฝืนทนและใช้ชีวิตอยู่อย่างทรหด ท่ามกลางความกดดันและการเอาชีวิตรอดเพื่อถีบตัวเองให้ขึ้นกลายเป็นคนสำคัญขององค์กร ๆ หนึ่งที่เขารับใช้และทำงานอยู่ภายใต้เงามืดของมัน

“เอาใหม่อีกรอบ!”

การต่อสู้นั้นเริ่มต้นขึ้นบนเวทีสังเวียนมวยที่สร้างอยู่ในบริเวณใต้เกาะ ซึ่งลึกลงไปมากกว่าหลายพันเมตร โดยแน่นอนว่ารอบข้างของมันมีเหล่าผู้คนที่อายุเท่า ๆ กันกับเขา หรือแม้แต่กับพวกผู้ใหญ่คอยทำหน้าที่จับตามองดูร่างของคนสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มผู้ปกปิดใบหน้าส่วนบนและล่าง เหลือไว้เฉพาะเพียงดวงตาที่มองออกไปยังตรงหน้า ส่วนอีกคนเป็นร่างสูงที่ตัวใหญ่กว่าเขา อาจจะเรียกได้ว่ามีขนาดเท่ากับ ‘ยักษ์’ จริง ๆ ด้วยความสูงมากกว่าสองเมตรขึ้นไป ต่างจากเขาที่ยังมีขนาดตัวสูงเพียงไม่ถึงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แถมยังมีพละกำลังและความแข็งแกร่งที่น้อยกว่าตัวของคนตรงหน้าไปอีกต่างหาก

เขาพุ่งฝีเท้าตรงออกไป จากนั้นเริ่มด้วยการปล่อยหมัดตรงไปหาร่างยักษ์นั่น แน่นอนว่าผลที่ได้คือมันแทบไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกระคายเคืองเลยสักนิดเดียว หนำซ้ำนั่นยังทำให้เขาถูกสวนกลับมาด้วยหมัดที่รุนแรงกว่าจนเซถอยออกไปด้านหลังอีก หากแต่ยังโชคดีที่เด็กหนุ่มสามารถยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ดเพื่อป้องกันหมัดของชายร่างยักษ์ที่ปล่อยออกมาได้ทันท่วงที

“ดีมาก คราวนี้ก็สวนด้วยปลายเท้าเข้าที่ลำคอโดยตรง ซัดมันให้หมอบไปในครั้งเดียวซะ!”

กลิ่นคาวเลือดนั้นลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเวที ปะปนทั้งเหงื่อ น้ำลาย หรือแม้แต่กับสิ่งสกปรกอันมาจากการที่ตัวเด็กหนุ่มต้องรับมือกับการต่อสู้กับคนที่มีความสามารถมากกว่าเขา ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งที่เก้าแล้ว ภายหลังจากเวลาที่ผ่านมาเขาได้ต่อสู้กับคนพวกนี้จนความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อมันส่งสัญญาณเตือนให้เขารู้ว่าถึงเวลาที่ควรพัก

หากแต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น…

“ฉันบอกให้สวนกลับด้วยปลายเท้าไง!”

ความสูงใหญ่ของร่างกายนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขา เว้นเพียงแต่ความที่สังเวียนการต่อสู้ด้วยหมัดและเท้านั้นย่อมอาศัยการใช้พละกำลัง ความคล่องตัว และความเร็วที่แม่นยำฉับไว ทำให้มันเป็นการยากสำหรับตัวเด็กหนุ่มที่เขาจะคงสติสัมปชัญญะของตัวเองเพื่อตั้งใจกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าได้

เด็กหนุ่ม ขยับตัวออกไปทางด้านข้าง โยกหลบหมัดกับลูกเตะที่ชายร่างใหญ่นั้นตอบโต้กลับมาอยู่หลายครั้ง มุมมองจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทุกคนต่างคิดเป็นสิ่งเดียวกันว่าไม่มีทางที่เขาจะรอดพ้นไปจากสังเวียนนี้ได้ แน่นอนว่าการต่อสู้ดังกล่าวนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่การฝึกฝนธรรมดาทั่วไป แต่มันคือการชี้ชะตากรรมว่าพวกเขาควร ‘อยู่’ หรือ ‘ตาย’ อันเป็นหนึ่งในคติธรรมของผู้ที่ต้องการขึ้นเป็นนักลอบสังหารให้กับองค์กรอสรพิษ

และนั่นคือเป้าหมายแรกของเขา คือเส้นทางแรกที่เขาเป็น…

“แกไม่คู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้านักลอบสังหาร เคออส แกไม่มีวันที่จะเป็นแบบนั้นได้ ถ้าหากแกยังอืดอาดแบบนี้ เพราะงั้นจัดการให้มันจบ ๆ ไปเสียที ฆ่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าของแกด้วยร่างกายนั่นซะ!”

ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นไปด้วยความโทสะ ประกอบกับที่เรี่ยวแรงทั้งหมดตอนนี้ของเด็กหนุ่มแทบไม่เหลือ นั่นเองจึงทำให้จังหวะที่กำลังจะโดนร่างยักษ์ตรงหน้าปิดฉากด้วยหมัดเสยนั้น เขาตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายของตัวเอง ภายหลังจากผละถอยหมัดนั้นของร่างยักษ์ ก่อนจะหมุนตัวสองรอบ และใช้ปลายเท้าเตะฟาดใส่คนร่างยักษ์ไปทันทีเป็นจำนวนสองครั้ง

ครั้งแรกสำหรับการแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวที่มาจากการถูกรุกเข้าใส่จนไม่มีโอกาสได้สวนกลับ

และครั้งสุดท้าย สำหรับการที่เขาได้แผ่จิตสังหารอย่างรุนแรงออกมา หวังที่จะปลิดชีพร่างนั้นลงไปสลบเหมือดแบบไม่มีวันฟื้นขึ้นมาตลอดกาล

“โอเค พักยกได้ คู่ต่อไปขึ้นมา!”

โดยไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องหันกลับไปมองหรือสนใจใยดีกับชีวิตที่เขาได้พรากมันไป ต่อหน้าเหล่าผู้คนที่ต่างทึ่งกับผลการต่อสู้ที่พลิกล็อกกลับมาได้แบบไม่ได้ตั้งตัว

เด็กหนุ่ม ถือโอกาสนี้เดินลงออกจากสังเวียนไป ปล่อยให้เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปตามแบบที่มันควรเป็น เว้นเพียงแต่เขาที่ตัดสินใจใช้ระยะเวลาภายหลังจากนั้นในการเข้าไปเพื่อชำระล้างร่างกายของตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ บวกกับแผลอักเสบตามจุดต่าง ๆ ที่เกิดจากการต่อสู้กับคนมากหน้าหลายตา ซึ่งแต่เดิมพวกเขาล้วนเคยเป็น ‘พรรคพวก’ และ ‘เพื่อน’ มาก่อน กระทั่งสังเวียนการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ความเป็นมิตรภาพเหล่านั้นก็หายแวบไปในทันที เหลือไว้เพียงแต่สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดที่ทุกคนต่างต้องงัดมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ฆ่า หรือ ถูกฆ่า คือกฎของผู้ที่ต้องการขึ้นมาเป็นนักลอบสังหารให้กับองค์กรอสรพิษ

และเขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายทิ้งทุกอย่าง เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพท์ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ เหมือนดั่งเช่นตอนยังแบเบาะ และถูกอุ้มชูโดยใครคนหนึ่งที่ ‘เขา’ ได้หายสาบสูญไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเรื่องราวดังกล่าวนั้นจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อตัวของเด็กหนุ่มมากนัก ด้วยความที่ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาวนอยู่กับการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิ ๆ หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฉากหน้าขององค์กรที่มันได้แผ่ขยายอำนาจไป จนกลายเป็นที่รู้จักกันในวงการอาชญากรรมมาอย่างช้านาน

“เคออส เสร็จจากนี่แล้ว รีบไปพบผู้บัญชาการด่วน เขามีงานที่ให้แกต้องทำ”

เด็กหนุ่ม ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ นอกเหนือจากที่แค่ตัวเขาตัดสินใจถอดผ้าพันแผลบนใบหน้าของตัวเองออก ก่อนที่จากนั้นจะหยิบหน้ากากกันแก๊สขึ้นมาสวมใส่ พร้อมกับแต่งกายด้วยชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีดำ ซึ่งเป็นชุดลำลองที่ทางองค์กรได้ทำไว้สำหรับตัวของผู้ที่เป็นนักลอบสังหาร

“อย่าช้านักล่ะ งานนี้มันสำคัญพอตัว”

เขาพยักหน้าเบา ๆ ตอบกลับไปหาตัวของชายร่างสูงผิวคล้ำ ผู้เป็นหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ฝึกฝนด้านศิลปะป้องกันตัวให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินมุ่งหน้าขึ้นลิฟท์ใต้มหาสมุทรไปสู่พื้นผิวของสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ภายในใจกลางของเกาะที่แทบทุกบริเวณมันเปรียบเสมือน ‘ฐานบัญชาการ’ ขนาดใหญ่ไปแล้ว

การเดินทางขึ้นสู่พื้นผิวดินนั้นใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานนัก ผ่านตัวของพื้นผิวใต้มหาสมุทรที่ส่วนใหญ่มันเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด โดยหนึ่งในสิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือ ‘ฉลามขาว’ ที่บางตัวถูกติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างที่เขาไม่รู้จัก ลักษณะของมันเป็นเหมือนกับ ‘ตัวกระจายสัญญาณ’ ทั้งนี้แล้วเขาไม่รู้ว่าหลักการทำงานของมันเป็นยังไง หากแต่รู้ว่ามันทำให้พฤติกรรมของฉลามกลุ่มนั้นก้าวร้าวและดุร้ายมากกว่าปกติ จนถึงขั้นที่บางตัวมันพยายามจะพุ่งเข้าใส่อุโมงค์ทางเดินที่เขาเดินอยู่ ทั้งนี้แล้วท่าทางของพวกมันดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นักในมุมมองของเขา

เคออส เลือกจะไม่หันไปสนใจสิ่งเหล่านั้น เขาเดินมุ่งหน้าขึ้นลิฟท์อีกตัวหนึ่งไป และมันก็ได้พาให้เขาขึ้นสู่พื้นผิวของบริเวณตัวฐานที่มันรอเปิดประตูต้อนรับเขาอยู่

น้อยคนจะล่วงรู้ถึงสถานที่แห่งนี้ องค์กรอสรพิษไม่ได้เป็นเพียงแต่องค์กรอาชญากรรม หากแต่มันยังเป็นเสมือนพื้นที่ของเหล่านักธุรกิจและผู้แสวงหาทางลัดไปสู่ความมั่งคั่ง อำนาจ เกียรติยศ และการถูกยอมรับจากสังคม เพราะเหตุนั้นจึงไม่แปลกที่รอบตัวฐานกองบัญชาการมันถึงได้มีอะไรมากกว่าการเป็นฐานบัญชาการกองทัพ ซึ่งนอกเหนือไปจากที่ตรงนี้แล้ว มันเองยังมีการสร้างโรงคลังเก็บยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ เทคโนโลยี หรือแม้แต่พื้นที่สำหรับการก่อสร้างทางวิศวกรรม อันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรนี้ถือเป็น ‘หัวใจหลัก’ ที่แตกต่างจากองค์กรอาชญากรรมหลายแห่ง

งานหลักของพวกเขาไม่ได้จำกัดแค่ด้านของอาชญากรรม แต่ยังรวมไปถึงเรื่องของการส่งออกเทคโนโลยีและวิศวกรรมทางการทหาร หมายรวมไปถึงการจัดตั้งกองกำลังกึ่งทหารผู้ซื่อสัตย์และขึ้นตรงต่ออำนาจของผู้นำองค์กรแต่เพียงผู้เดียว ผู้ที่เขาได้เป็นเจ้าของชีวิตของเด็กหนุ่มไปแบบเต็ม ๆ

แน่นอน เคออสไม่ได้เติบโตมาอยู่ในสังคมแบบที่คนปกติเป็น หากแต่เขาอยู่ในสังคมที่ถูกจำกัดด้วยกฏเกณฑ์ ข้อปฏิบัติ และวินัยที่มันล้วนมาจากการที่เขาอุทิศชีวิตให้กับการเป็นหนึ่งในทหารคนหนึ่งขององค์กรนี้ ก่อนจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็น ‘นักลอบสังหาร’ เนื่องด้วยสาเหตุบางอย่างที่ทางผู้นำคนปัจจุบันอย่าง ริฟินาเล่ แมนทัส ต้องการให้เขาเป็น ชายผู้มองเห็นศักยภาพในตัวของเด็กหนุ่มผู้มาพร้อมกับหน้ากากกันแก๊สปิดบังใบหน้าตลอดเวลา

ที่แห่งนี้เป็นได้ทั้ง ‘บ้าน’ และ ‘ที่ทำงาน’ ในเวลาเดียวกัน แมนทัส มอบอภิสิทธิ์ให้ตัวของเด็กหนุ่มสามารถใช้เวลาในการออกเดินโดยรอบตัวฐานและทั่วรอบเกาะแห่งนี้ได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะในยามที่ไม่ได้ถูกเรียกตัวไปเพื่อรับมอบหมายภารกิจที่เขาต้องออกไปทำ ซึ่งนั่นเองมันทำให้เขาพอมีเวลาสำหรับการจัดตารางเวลาให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะทั้งด้านการฝึกฝนหรือแม้แต่การพักผ่อน ทั้งนี้ในส่วนของมันจะต้องได้รับการพิจารณาจากคนในลัทธิที่เขาอยู่ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะได้รับอนุญาตโดยผู้นำขององค์กร

“อรุณสวัสดิ์ เจ้าหนุ่ม ฉันได้ยินว่าผู้บัญชาการมีงานเข้ามาหาแก แต่ว่าไม่จำเป็นต้องรีบมากหรอก มันไม่ได้ด่วนมากขนาดเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ยังไงซะ ขอให้เป็นวันที่ดีแล้วกัน”

ใครคนหนึ่งผู้เป็นทหารอยู่ภายใต้องค์กรกล่าวกับเขา ก่อนจะส่งเข็มฉีดยาบางอย่างให้เป็นการแสดงความห่วงใยเล็ก ๆ

เคออส รับเข็มฉีดยานั่นมา ก่อนจะนำมันปักเข้าที่หน้าอกแล้วกดฉีดมันเข้าไปในร่างกายทันที และโยนเข็มนั่นทิ้งลงในกล่องที่อยู่ข้าง ๆ บริเวณที่มีป้ายกำกับไว้ว่า สเต็ม (Stem) โดยมันมีไว้สำหรับใช้เพื่อฟื้นฟูบาดแผลสำหรับเหล่านักสู้หรือพวกนักลอบสังหารที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นที่ใต้มหาสมุทร

“ยาตัวใหม่จากแล็ปเหรอ?” เขาถามออกไปหาทหารผู้นั้น

“ใช่ ล็อตตัวเก่ามันล้าสมัยไปแล้วน่ะ ผู้บัญชาการบอกว่าของใหม่มันช่วยได้ดีกว่า เพราะงั้นเลยเอามันไปขายให้กับพวกคนทั่วไปแทน”

เวชภัณฑ์ยาและการทดลองวิทยาศาสตร์ ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งสำหรับการเพิ่มพูนรายได้ให้กับทางองค์กร โดยมันมาจากสถานีวิจัยที่ชื่อว่า ‘ไบโอโลจิคอล รีเสิร์จ อคาเดมี่ (Biological Research Academy)’ หรือชื่อย่อของมันคือ บี.อาร์.เอ (B.R.A)

“อย่าวิตกไป เจ้าหนุ่ม คิดซะว่านี่เป็นการขอบคุณจากฉัน คนที่ช่วยให้แกได้เข้าไปเป็นนักลอบสังหารได้”

“ผมควรขอบคุณตัวเองมากกว่า” เด็กหนุ่ม แย้งกลับไป

“ฮ่ะ ๆ ใช่ ๆ เอาเถอะ โชคดีแล้วกัน”

ต้นเหตุของการที่สถาบันวิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วนสำคัญกับตัวองค์กรนอกกฎหมายคือสิ่งที่เขาไม่อาจทราบได้ อย่างไรเอง เรื่องหนึ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็นคือพวกเขาไม่ได้วนเวียนอยู่กับแค่เรื่องการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมไปถึงการคิดค้นวิทยาการใหม่ ๆ ที่ร่วมมือกับคนจากองค์กรอสรพิษไปอีกด้วย ไม่ใช่มีเพียงตัวของนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิมากมาย แต่ยังมีเหล่านักวิศวกร นักออกแบบ โปรแกรมเมอร์ หรือแม้แต่กับผู้มีความสามารถด้านการสร้างสรรค์หลากหลายสายงาน

ซึ่งทั้งนี้ส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราว ‘อีกด้าน’ ขององค์กรดังกล่าว เว้นแต่จะมีเพียงพวกเหล่านักธุรกิจที่เป็นคู่ค้าร่วมกัน หรือแม้แต่ผู้ถือหุ้นส่วนขององค์กร

เคออส ใช้เวลาไปกับการเดินเพื่อมุ่งหน้าไปหาตัวของผู้บัญชาการตามที่เขาถูกเรียกตัวไป ระหว่างนั้นในเวลาเดียวกัน เขาเองก็ได้เห็นว่ามีพวกคนในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเป็นจำนวนบางส่วนเดินอยู่ในบริเวณลานกว้างที่ใช้สำหรับในการขนส่งสินค้าหรืองานปฏิบัติการทางยุทธวิธีตามที่พวกทหารขององค์กรได้รับคำสั่งมา ชวนให้เขารู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่นัก นอกเหนือจากที่เขาทำคือการเดินผ่านออกไป ปล่อยให้พวกเขาได้ทำหน้าที่อย่างที่ตัวเองต้องทำ

“เฮ้! นั่นเขานี่ เคออส! มาทางนี้หน่อย!”

พลันพอถูกเรียกแบบนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มแปลกใจขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจเดินไปตามต้นเสียงที่เพิ่งจะเรียกชื่อของเขาขึ้นมา

“มีอะไรเหรอครับ?”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก คือว่าเราอยากรู้ว่านายเป็นยังไงบ้างน่ะ”

เรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งสำหรับเคออส และอาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาพาตัวเองคลุกคลีเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม คือการที่เขาสนิทกับคนในชุดกาวน์สีขาวพวกนั้น มากกว่าเป็นตัวของพันธมิตรในกลุ่มนักลอบสังหารด้วยกันเอง หรือแม้แต่กับพวกทหารที่มองเขาเหมือนกับ ‘เด็ก’ คนหนึ่ง

“คุณคงพอเดาออกว่าผมเป็นยังไง ด็อกเตอร์”

“เรื่องนั้นเรารู้ แต่ช่างเถอะ คงจะไปรับงานอีกสินะ ถ้าแบบนั้นก็โชคดีล่ะ ไม่รบกวนแล้ว”

การสนทนาเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีความหมายอะไรแอบแฝงไว้ สำหรับเคออสแล้วมันคือสิ่งที่ช่วยยืนหยัดทำให้เขามีความรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อมากเสียยิ่งกว่าการทำงานกับคนเห็นแก่ตัวเช่นเจ้าขององค์กรคนปัจจุบันไปซะอีก

เฉกเช่นเดียวกับในสังคมของกลุ่มนักลอบสังหาร แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักไม่ได้สนใจอะไรกับการต้องผูกสัมพันธไมตรีจิตกับคนที่ไม่ได้ทำงานแบบเดียวกับตัวเอง

เคออส ใช้เวลาสำหรับการเดินทางต่อไป มันอาจไม่ได้เป็นเวลาที่นานนักสำหรับการไปถึงส่วนสำคัญอย่างเช่นตึกสูงใหญ่ตระการตาที่อยู่ในที่ ๆ เรียกว่า ‘ศูนย์บัญชาการทางทหาร’ ได้แบบเต็มภาคภูมิ แน่นอนว่ามันเปรียบเสมือนเป็นส่วนสำหรับการสั่งการและเป็นที่พบปะสำหรับพวกนักธุรกิจที่ล้วนมีผลประโยชน์ร่วมกับองค์กร ตามเท่าที่เด็กหนุ่มได้เรียนรู้มาจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในส่วนตรงนั้น

“เชิญด้านหลังเลย เจ้าหนุ่ม ด้านหน้าสำหรับพวกนักธุรกิจเท่านั้น”

ยามรักษาการผู้ติดอาวุธสองคนกล่าวขึ้น หลังจากเห็นตัวของเด็กหนุ่มเดินมาทางด้านหน้าของตึกอาคารที่แน่นอนว่ามันมีคนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ พร้อมกับชี้ให้เขาเดินไปทางด้านหลังของตึก เพื่อเข้าไปพบกับคนที่เขาต้องการเจอ

อย่างที่ทุกคนในองค์กรนั้นรู้ และมันถือเป็นธรรมเนียมเฉพาะสำหรับตัวกลุ่มทหารและนักลอบสังหารที่พวกเขานั้นถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ฉะนั้นแล้วมันจึงย่อมมีเส้นทางเฉพาะกลุ่มถูกจัดเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

นักลอบสังหารหมายเลข 5567 เข้ามาพบท่านแล้วค่ะ

“เยี่ยม เชิญเข้ามาได้”

เป็นธรรมดาหากว่าการเดินทางจากตัวชั้นล่างของตึก จนกระทั่งมาถึงส่วนสำหรับทางเดินที่นำไปยังส่วนของห้องทำงานของหนึ่งในผู้นำองค์กรนั้นจะถูกตกแต่งด้วยงานศิลปะและการออกแบบที่ไปในทางทันสมัยและย้อนยุค โดยรวมมันให้กลมกลืนเข้าด้วยกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่แน่นอนว่ามันดูเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกนำไปเผยแพร่ยังโลกภายนอก หากแต่จำกัดไว้เฉพาะเพียงในเกาะแห่งนี้ ที่ ๆ เขาสามารถควบคุมความเป็นไปได้ทุกอย่าง แม้แต่เป็นเจ้าของชีวิตคนหนึ่งก็ยังได้

และมันคงไม่แปลกอะไร หากว่าเขาต้องการกำหนดโชคชะตาของเด็กหนุ่มให้พบพานกับเรื่องราวชวนปวดใจอันมากมายนั้น

“เป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยนะ ว่าไหม?”

ริฟินาเล่ แมนทัส ชายหนุ่มนักธุรกิจผู้ไฟแรงและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หากแต่กลับกันก็แฝงไว้ซึ่งความไม่น่าไว้ใจอันแปลกประหลาด ซึ่งมันทำให้บรรยากาศโดยรอบของห้องทำงานที่เด็กหนุ่มยืนอยู่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและกดดัน อันเป็นหนึ่งในสาเหตุของการที่คนในองค์กรมักไม่อยากที่จะถูกเขาเรียกตัวมาพบหน้ากันโดยตรง

“อากาศข้างนอกนั่นดูดีเป็นบ้า เสียดายที่หากฉันดันไม่ติดกระจกกั้นเอาไว้ ป่านนี้คงจะยืนรับลมไปแบบสบาย ๆ แล้ว แต่พูดก็พูดเถอะ กับงบประมาณที่เสียไปกับตึกนี่ก็แทบเยอะแล้ว ไม่นับไปถึงเรื่องในศูนย์บัญชาการไปอีก เดาว่าผู้บัญชาการคนเก่าคงสร้างที่นี่เอาไว้ดีมาก ๆ เลยสิท่า”

เคออส ไม่ตอบอะไรกลับไปหาเขา หากเพียงแต่จ้องมองไปยังเสื้อผ้า หน้าผม แล้วก็แววตาสีน้ำทะเลที่ปรากฎออกมา จริงอยู่ว่าเขาอาจดูเป็นเด็กเพียงอายุสิบสองปี หากแต่ความคิดความอ่านและการตีความของเขาถือว่ามีวุฒิภาวะมากกว่าคนในวัยทั่วไป อันเนื่องมาจากเพราะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับด้วยสภาพแวดล้อมที่มันผลักดันให้เขาต้องเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนเย็นชาและจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด

ทั้งนี้ไม่นับกับการที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ของการฆ่าคน กายวิภาค และอื่น ๆ อีกมากที่เขาจำต้องรู้เกี่ยวกับมันให้เร็วที่สุด แม่นยำที่สุด เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าความเข้มข้นของการฝึกฝนการเป็นนักลอบสังหาร ทำให้เด็กหนุ่มได้รับความรู้หลากหลายอย่างมากมายเลยทีเดียว

“ทุกอย่างมันแย่ลงตั้งแต่ที่คุณเข้ามา” เด็กหนุ่ม โพล่งพูดออกไปตามความคิดของตัวเอง

“แน่ใจเหรอ? ไม่คิดว่าฉันจะทำให้ที่นี่มันดียิ่งกว่าเดิมเลยหรือไงกัน”

ชายหนุ่ม เริ่มจะร่ายยาวออกมาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เปลี่ยนแปลงมันไป นับไปตั้งแต่โครงสร้างขององค์กร วิธีการทำงาน หมายรวมไปถึงการจัดตั้งกองกำลังทหารรับใช้ส่วนตัวที่ไม่ได้มาจากการเกณฑ์คน หากแต่เป็นการยื่นข้อเสนอที่ไม่ว่าใครต่างก็ได้แต่ใฝ่ฝันถึง แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ที่เขาทำไปนั้นไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือของตัวเองเพียงคนเดียว แต่เป็นเพราะผลพวงจากตระกูล ริฟินาเล่ อันเป็นตระกูลของผู้มีความมั่งคั่งมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศอิตาลี อันเป็นบ้านเกิดของเขาเอง

“ต้องขอบคุณเส้นสายของบรรดาญาติ ๆ ที่ฉันไม่เคยจะกล่าวถึงพวกเขา รู้ใช่หรือเปล่าว่าองค์กรอสรพิษตอนนี้ขนาดของมันกว้างใหญ่กว่าที่นายคิด เราไม่ได้มีอำนาจแค่บนเกาะนี่ แต่เป็นทั่วโลกและเครือข่ายอาชญากรรม คนจากตระกูลชั้นสูงของรัสเซีย เบลารุส อังกฤษ หรือแม้แต่โคลอมเบีย จินตนาการได้เลยว่าฉันทำการค้ากับคนหลากหลายชาติมากแค่ไหน”

แน่นอนว่าชื่อขององค์กรอสรพิษ ถือเป็นเพียงชื่อองค์กรที่ถูกเรียกกันในมุมมืด หากแต่ในด้านสว่างมันถูกเรียกด้วยชื่อเป็นภาษาอังกฤษแทนว่า เซอร์เพนท์ อินดรัสทรี่ โคเปอเรชั่น (Serpent Industries Corporation) หรือ เอส.ไอ.ซี (S.I.C)

“โอ๊ะ! ตายจริง นี่ฉันเผลอพล่ามยาวนานขนาดไหนกัน ให้ตายสิน่า…ไอ้ตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการ’ อะไรนี่มันไร้สาระชะมัดเลย เรียกว่าเป็นหัวหน้าองค์กรคงฟังดูดีกว่านี้ จริงไหม?”

“ครับ” เคออส ตอบกลับห้วน ๆ

“ว่าไปนั่น ฉันคิดว่าตัวเองคงต้องลดการพูดให้น้อยลงดีกว่า”

แมนทัส เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดหลังโต๊ะทำงานของเขา บนโต๊ะแทบจะไม่มีคอมพิวเตอร์ตั้งกั้นกลางไว้อยู่เลย มีก็เพียงแต่โคมไฟตัวหนึ่ง รูปปั้นทำมือขนาดเล็ก และโลโก้ที่ทำจากแก้วซึ่งออกแบบให้มีสัญลักษณ์เป็นรูปงูในตำนานตัวหนึ่ง อันเป็นสัตว์ตามความเชื่อที่เคออสไม่รู้จัก

ได้เวลาเลยไหมคะ? ท่านแมนทัส

“อา…”

เสียงสังเคราะห์จากภายในห้องทำงานเอ่ยถาม ก่อนจะขานรับและได้เปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบให้ตกอยู่ในความมืดมิด กระจกขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของแมนทัส ถูกแทนที่ด้วยการที่มันเปลี่ยนกลายเป็นพื้นหลังสีฟ้าซึ่งปกปิดทัศนีย์ภาพของมหาสมุทรไปหมด ก่อนจะปรากฎออกมาเป็นช่องของภาพหน้าจอที่แสดงเกี่ยวกับข้อมูล รูปภาพ เอกสาร และรวมไปถึงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มันล้วนเกี่ยวข้องกับงานชิ้น ๆ หนึ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองแทบทั้งหมด

“จำที่เคยบอกไปได้ใช่ไหม เคออส ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดค้นเทคโนโลยีชิ้นหนึ่งที่ฉันได้มีส่วนร่วมในฐานะของนักออกแบบมา แต่ว่ากลับถูกมือดีที่ไหนไม่รู้แย่งชิงมันไป แถมยังฮุบข้อมูลและดีไซน์ทั้งหมดนั่นเก็บไว้กับตัวอีก”

เด็กหนุ่ม ฟังจากสิ่งที่ชายตรงหน้าเล่าออกมาอย่างตั้งใจ ผิดกันกับตอนแรกที่เขาแทบไม่แยแสอะไรเลยกับสิ่งที่เขาได้พูดออกมาเมื่อครู่นี้

“จนล่าสุดมานี้ เทคโนโลยีชิ้นนั้นมันก็ถูกตั้งชื่อแบบสวย ๆ ว่า ‘ไนติงเกล (Nightingale)’”

แมนทัส ผละเก้าอี้ออกไปเพื่อให้เด็กหนุ่มได้ซึมซับข้อมูลจากบนหน้าจอที่แสดงออกมา เทคโนโลยีตามที่ตัวของเขาว่ามันคืออาวุธชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับเครื่องยิงขีปนาวุธขนาดเล็ก หากแต่มีลักษณะเด่นคือมันเป็น ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (Surface-to-Air Missile) ที่ทำงานผ่านยานเกราะอัจฉริยะตัวหนึ่งที่สามารถทำงานได้ตามอัตโนมัติ ซึ่งมีพิสัยการทำลายล้างที่ค่อนข้างไกลและมีอานุภาพรุนแรงในระดับสูง

“ฉันออกแบบให้เจ้าขีปนาวุธนั่นสามารถใช้เพื่อจู่โจมในระยะไกล ผลการทดสอบล่าสุด รัศมีการทำลายล้างของมันมีมากกว่า 1,700 เมตรต่อหนึ่งลูก ซึ่งเพราะความรุนแรงของมัน เลยทำให้มีกองทัพจากหลายนานาประเทศต้องการสั่งซื้อมันไป หากแต่ใช่ว่ามันจะนำไปใช้ได้เลย เพราะว่ามันยังขาดอุปกรณ์สำคัญอย่างเจ้ายานเกราะตามที่แกเห็นอยู่ ใช่…เดาสิว่ามันมีชื่อว่าอะไร?”

ฟลอเรนซ์ (Florence)” เด็กหนุ่ม ตอบกลับ

“อ้า! ถูกต้อง ใครจะรู้ล่ะว่ามีคนเอาชื่อของพยาบาลคนหนึ่งในประวัติศาสตร์มาใช้กับอาวุธมหาประลัยที่มันทำลายชีวิตของผู้คนมากกว่ารักษา”

เคออส ไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับมัน สิ่งเดียวที่เขามีคือการมุ่งไปจริงจังกับตัวงานที่ได้รับ โดยนำเอาข้อมูลที่ได้มาจากตัวของนักธุรกิจหนุ่มมาเป็นข้อมูลเสริมก่อนจะออกไปปฏิบัติการจริง ๆ

เขามีหน้าที่เพียงแค่นั้น แค่ทำไปตามที่นักลอบสังหารเช่นเขาควรเป็น

ไม่มีหน้าที่อื่นใดนอกเหนือไปจากนี้…

“คุณอยากให้ผมทำอะไร?” เด็กหนุ่ม ถามออกไป

“อา ตรงนั้นแหละที่เป็นทีเด็ดเลย”

ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนจากตัวของขีปนาวุธกลายเป็นตัวของยานเกราะที่แน่นอนว่ามันมีชื่อเรียกตามที่เด็กหนุ่มพูดไว้ แน่นอนว่าขนาดของมันดูไม่ต่างอะไรกับรถยิงขีปนาวุธพิสัยไกลทั่วไป หากเพียงมีลักษณะเด่นตรงที่เจ้ายานเกราะนั้นไม่มีคนขับอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก มีเพียงแต่ระบบกลไกทางเทคโนโลยีและตัวของปัญญาประดิษฐ์แบบเพียว ๆ ที่มันนั้นขึ้นตรงตามคำสั่งของผู้ใช้งาน และสามารถควบคุมได้ผ่านทางแท็ปเล็ตที่ติดตั้งโปรแกรมแบบเฉพาะตัว ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างล้วนแล้วมีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการใช้ทางการรบในสงคราม ทางปฏิบัติการทหาร และเพื่อป้องกันภัยอันตรายจากบนน่านฟ้า

ฟลอเรนซ์ (Florence) ถูกสร้างมาเพื่อเป็นฐานยิงขีปนาวุธโดยเฉพาะ และแน่นอนว่าเจ้าขีปนาวุธที่ฉันสร้างขึ้นมาเองก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เทียบกับตัวของเจ้ายานเกราะอัจฉริยะนี่มันก็ไม่ต่างอะไรจากวัตถุดิบหลักบนจานอาหาร แน่นอนว่าฉันเลือกที่จะขายให้เพียงตัวขีปนาวุธ แต่ไม่ได้ขายเจ้าฐานยิงนี่ไป ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันถึงต้องการให้นายช่วย เคออส”

ข้อมูลของมันมีเยอะมากจนยากจะจำได้หมด อย่างไรก็ตามฝั่งของนักธุรกิจหนุ่มก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องหัวตื้อเพราะความรู้เหล่านั้น หากแต่เลือกที่จะสรุปเฉพาะตัวสาระสำคัญ ๆ เพื่อให้เขาเข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“ยังดีที่ตอนนี้เจ้าโปรโตไทป์ทั้งสองอย่างไม่ถูกสร้างขึ้น เพราะงั้นสิ่งที่นายเห็นเลยเป็นเพียงแค่แบบร่างที่ฉันทำเอาไว้ ซึ่งแผนการสร้างของมันก็นับไปในอนาคตอีกห้าหรือเจ็ดปีข้างหน้าหลังจากนี้”

นั่นฟังดูเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินกว่าที่เด็กหนุ่มจะจินตนาการถึง แน่นอนว่าสำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ อนาคตสำหรับเขาแล้วนั้นเขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าควรจะทำอะไรต่อไป นอกเหนือจากเพียงอยู่ภายใต้ร่มเงาขององค์กรอสรพิษนี้ไปตราบนานเท่านาน หากแต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาเองก็คิดเอาไว้แบบคร่าว ๆ แล้วเกี่ยวกับแผนการในอนาคตของตัวเอง

“ฉันอยากให้นายไปเอาแบบแปลนต้นแบบของมันกลับมา มันถูกบันทึกไว้ทั้งในรูปแบบของพิมพ์เขียวแล้วก็ข้อมูลดิจิทัล พิกัดของข้อมูลทั้งสองอย่างถูกแยกออกจากกันไปโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่านายอาจต้องมีทีมเอาไว้สำหรับการไปชิงมันมา”

‘ทีม’ สำหรับเคออสแล้วดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แน่นอนว่าทั้งนี้เองฝั่งของแมนทัสกลับไม่ได้คิดว่าตัวเขาเองจะฝากความหวังไว้กับเพียงแค่เด็กหนุ่มเพียงคนเดียว หากแต่กลับเลือกจะเปิดโอกาสและแนะนำบรรดาสมาชิกของคนในกลุ่มนักลอบสังหารให้เขารู้ด้วย นั่นหมายความว่าคนที่จะถูกคัดเลือกไปเป็นทีมนักลอบสังหารนั้นอยู่ที่ดุลยพินิจของเด็กหนุ่ม

หรือไม่…เขาอาจคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป

“ฉันจัดตั้งทีมปฏิบัติการเฉพาะกิจที่เรียกว่า ‘แบล็ค แมมบา’ ซึ่งมันประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหกคน และนายคือคนแรกที่ฉันจัดตั้งให้เป็นหัวหน้าสำหรับทีมนี้ และอีกห้าคนที่เหลือคือสมาชิกผู้มีเกียรติที่ฉันจัดให้เป็นนักลอบสังหารระดับหัวกะทิรุ่นแรก ๆ ที่ฉันได้จัดตั้งมันขึ้นมา”

ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปอีกเป็นรอบที่สาม คราวนี้มันเปลี่ยนจากฉายข้อมูลของยานเกราะ กลายเป็นข้อมูลของเหล่าสมาชิกผู้ที่แมนทัสได้คัดเลือกเอาไว้ สำหรับเด็กหนุ่ม เขารู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากับคนพวกนี้เป็นอย่างดี เนื่องด้วยก่อนหน้านี้พวกเขาส่วนใหญ่ประจำการอยู่ในฐานะของกองกำลังกึ่งทหารให้กับทางองค์กร หากแต่ในเวลาต่อมาก็ได้ถูกโยกย้ายไปเป็นนักลอบสังหารไปแทน ซึ่งนั่นทำให้คนทั้งห้าเหล่านี้ต่างถูกจับตามองเป็นอย่างมากในฐานะที่พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับหน้าที่สำคัญให้กับทางองค์กร

แตกต่างไปจากช่วงเวลาที่พวกเขายังคงเป็นทหารคนหนึ่งอยู่…

“แล้วจะเริ่มได้เมื่อไหร่?” เคออส กล่าวถามออกไป

“อา นั่นสินะ ฉันวางแพลนไว้ว่าจะให้เป็นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ระหว่างนี้นายก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่เตรียมฝึกฝนร่างกายให้พร้อม และรอการเรียกจากฉันอีกทีนึง รายละเอียดทั้งหมดจะถูกส่งให้ภายหลังจากที่คนของฉันไปสืบทราบข้อมูลเพิ่มเติมที่มากกว่านี้มาได้แล้ว”

เป็นธรรมดาที่ภารกิจใหญ่นั้นล้วนใช้เวลาสำหรับการเตรียมตัวที่ค่อนข้างนาน หากแต่มันไม่ใช่อุปสรรคใด ๆ ต่อตัวของเด็กหนุ่มเช่นเขา เนื่องจากเขาเองไม่ได้มีปัญหาถ้าหากว่าตัวเองจะต้องถูกส่งไปทำเรื่องเสี่ยงตาย อันถือเป็นสิ่งสามัญที่เขามักเจอจนคุ้นชินอยู่แล้วตั้งแต่ต้น

“เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้ หวังว่าคงเข้าใจได้ไม่มากก็น้อยนะ”

“ครับ คุณแมนทัส” เด็กหนุ่ม ตอบกลับไปแบบห้วน ๆ

“เยี่ยม ถ้าอย่างงั้นก็ออกไปได้ ไม่มีอะไรที่ฉันต้องให้อีกสำหรับนาย เคออส”

แมนทัส ดูจะปลื้มมากกับท่าทีของเด็กหนุ่ม แม้ว่าแท้จริงเขาเองจะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ลึก ๆ หากแต่ครั้นจะเขี่ยคนมีฝีมือเช่นอีกฝ่ายไป รังมีแต่จะทำให้องค์กรอสรพิษนั้นตกต่ำลงไปแทน ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาฮุบองค์กรนี้ เขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มไปแทน ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามที

เคออส หันหลังแล้วเดินออกไปในทางที่ตัวเองได้จากมา ไม่มีแม้แต่การหันไปมองรอบห้องทำงานของชายหนุ่ม หรือให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ใด ๆ เกี่ยวกับที่ตัวของผู้บัญชาการเช่นอีกฝ่ายอยู่ ความเย็นชาและไร้ซึ่งเยื่อใยที่แสดงออกมาผ่านหน้ากากกันแก๊ส มันบ่งบอกได้ถึงห้วงอารมณ์คุกรุ่นในตัวที่มันในตอนนี้เปรียบได้กับเป็นเพียง ‘จุดเริ่มต้น’ สำหรับความคิดเกี่ยวกับการที่เขาต้องการปลดแอกตัวเองจากการถูกควบคุมโดยองค์กรใหญ่ที่ชักจูงจมูกของตัวเอง

แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากแต่มันถัดไปอีกกว่าเป็นปีที่เขาได้ตัดสินใจกระทำสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง

อันเป็นการหลอมตัวตนของการเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ ในปัจจุบัน…

- 1 -

เรื่องราวในอดีตที่ถูกฝังกลบไว้นั้นถูกขุดขึ้นจากความทรงจำในสมองของชายหนุ่ม แน่นอนว่าช่วงแรกของมันอาจยังดูชวนให้อยากลืมมันไปอยู่ ตราบจนเมื่อความทรงจำครั้งต่อมามันก็ได้ไหลผ่านและฉายเป็นม้วนฟิลม์ที่เหมือนกรอไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ปลุกเขาจากภวังค์

“เดินทางมานานคงเพลียแย่เลยสิ สหาย”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เคออสเผลอปล่อยตัวเองให้ผล็อยหลับไป หากแต่สิ่งหนึ่งที่เขาจดจำได้ดีก็คือก่อนหน้านี้เขาได้ออกเดินทางจากเขตเมืองร้าง จนกระทั่งมาถึงที่ตัวของโรงแรมแห่งหนึ่งที่มันอยู่ใกล้ติดกับสนามบินของประเทศยูเครน อันเป็นหนึ่งในที่หมายที่เขาได้นัดกับเพื่อนคนสำคัญผู้คอยทำหน้าที่รับ - ส่งเขาไปยังที่หมายสำหรับการออกไปทำงานอยู่อย่างเสมอ

“เอ้า! อยากได้กาแฟเพื่อกระตุ้นสมองสักหน่อยไหม ก่อนออกไป?”

เขาพูดกับชายหนุ่ม พร้อมยื่นแก้วที่ข้างในใส่กาแฟดำเข้ม ๆ ให้เป็นการตอบแทน

“สักหน่อยก็ดี”

เคออส รับแก้วนั้นมาก่อนจะยกจิบดื่มมันอย่างไม่รีบร้อนนัก พลางหันมองไปโดยรอบของห้องพักในโรงแรมที่ตัวเองอยู่

“ยังคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ อยู่อีกเหรอ หืม?”

“อา” เคออส ตอบกลับ

“ไม่ต้องซีเรียสนักหรอกน่า สหาย อย่าลืมสิว่าฉันเป็นนักบินให้กับนาย เคออส”

“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือฉัน เปโตร”

“โอ้ว ไม่ ๆ ไม่ต้องเรียกชื่อนั้นหรอก เรียกแค่ว่า ‘นักบิน’ ไปก็พอ แต่เป็นภาษายูเครนนะ พวก”

ชายหนุ่ม ไม่ได้ตอบอะไรกลับออกไป นอกจากดื่มกาแฟแก้วนั้นจนหมด และหันไปหยิบหน้ากากพร้อมทั้งแต่งกายและนำของที่ได้เตรียมไว้ไปให้เรียบร้อย บ่งบอกเป็นสัญญาณว่าตอนนี้ได้เวลาสำหรับการออกเดินทางไปเป็นครั้งที่สองแล้ว

“ต้องรีบทำงานให้เสร็จ ฉันไม่อยากให้ผู้ว่าจ้างเขารอนาน”

ฝั่งของนักบินนั้นพอเข้าใจได้ และแน่นอนว่าเขาเองก็แสดงออกถึงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยกับตัวของชายหนุ่มในระดับหนึ่ง สังเกตได้จากการที่เขาพูดคุยกับเคออสอย่างเปิดเผยและเป็นมิตร แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ส่วนมากพวกเขาเหล่านั้นจะออกไปในทางมองว่าเขาเป็นเพียง ‘อากาศธาตุ’ หรือไม่ก็แค่คน ๆ หนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรไปมากกว่าแค่นักลอบสังหาร

แม้ว่าตำแหน่งที่เขาอยู่นั้นจะเป็นถึงกับ ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ประจำเครือข่ายอาชญากรรมไปก็ตาม

เคออส ใช้เวลาไม่นานสำหรับการนั่งรถที่นักบินส่วนตัวของเขาโดยสารไปยังที่สนามบิน แน่นอนว่าการเดินทางนั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่เขาขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวไป ซึ่งมันถูกเตรียมไว้แล้วก่อนหน้านี้

“ใครจะรู้ล่ะว่านี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายก็ได้”

นักบินของเขาโพล่งออกมา ขณะที่เจ้าตัวกำลังวุ่นอยู่กับการทำหน้าที่ตรวจดูสภาพของเครื่องบิน และปล่อยให้ตัวชายหนุ่มได้ใช้เวลานี้จัดแจงเก็บของเข้าที่

ลักษณะภายนอกของเครื่องบินเจ็ตนั้นดูทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรแปลกประหลาดมากนัก เฉกเช่นกับสภาพด้านในที่มันเองดูธรรมดามาก เว้นไว้เพียงแต่จะมีจุดหนึ่งที่ตัวเครื่องนั้นจะมีขนาดกว้างที่สามารถบรรจุคนได้ประมาณเกือบเจ็ดหรือแปดคน หากแต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่ใช้งานมันอยู่เป็นประจำ เห็นทีคงเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวของเคออสเอง

“มุ่งหน้าสู่วัลฮาลา!!”

ช่วงเวลาของการเดินทางนั้นดำเนินไปตามแบบอย่างที่มันควรเป็น ทันทีที่ตัวเครื่องออกบินขึ้นสู่น่านฟ้าในช่วงยามค่ำคืน สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นเองก็มีเพียงแค่เสียงดนตรีคลอเบา ๆ ภายในห้องโดยสารที่มันถูกเปิดขึ้นโดยฝีมือของตัวชายหนุ่ม ซึ่งมันถูกบรรเลงด้วยเครื่องเสียงสังเคราะห์ที่เลียนแบบเครื่องดนตรีที่มีอยู่จริงหลากหลายชิ้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณภาพเสียงของมันอาจเทียบกันไม่ได้กับเครื่องเล่นดนตรีแบบสด ๆ หากแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขาได้ออกไปท่องเที่ยวในโลกกว้างก็ไม่ปาน

หากแต่ ช่วงเวลาของการผ่อนคลายนั้นกลับไม่ได้อยู่นานตามที่คิดเอาไว้

และแน่นอนว่านั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้การเดินทางในครั้งนี้มันจึงไม่เหมือนกับครั้งก่อนหน้าที่เขาได้เจอมา