ได้เกิดใหม่มาแบบสับคือมีความสับสนเป็นที่สุด

เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง - ตอนที่ 6 จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้คนพาล โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,เกิดใหม่,ครอบครัว,รัก,เสี่ยวหลิงยอดนักสู้,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,เกิดใหม่,ครอบครัว,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เสี่ยวหลิงยอดนักสู้,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่

รายละเอียด

เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ได้เกิดใหม่มาแบบสับคือมีความสับสนเป็นที่สุด

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ภาระหน้าที่ของเทพเซียนบนสวรรค์คือช่วยเติมเต็มดวงชะตาและชีวิตที่บกพร่องของมนุษย์แต่เมื่อพวกเขาเป็นผู้สร้างความบกพร่องขึ้นเองด้วยความประมาทเลินเล่อการแก้ปัญหาแบบปัจจุบันทันด่วนจึงได้เกิดขึ้นซึ่งนั่นก็คือการส่งเซียนฝึกหัดตัวน้อยซึ่งอยู่ในช่วงพักผ่อนว่างเว้นจากภาระงานลงมาแก้ไขปัญหาโดยที่ไม่ถงไม่ถามสุขภาพหรือความยินยอมเลยสักคำ

ซึ่งนั่นก็ทำให้หลิงเสวี่ยหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ ต้องมีชะตาพลิกผันอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้แต่กว่าชีวิตจะได้อยู่อย่างสงบและแสนสบายก็เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้

1. ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์ (4 เหรียญ)

2. ปลดเหรียญอ่านฟรี 1 สัปดาห์

3. หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบ (8 เหรียญ)

สารบัญ

เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 1 หลิงเสวี่ยลูกไม่มีพ่อ,เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 2 หลานสาวคนเก็บฟืน,เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 3 ชีวิตอับโชค,เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 4 เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่ใช่ข้าคนเดิม,เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 5 ข้าผู้นี้ก็มีบิดาเช่นเดียวกับพวกเจ้า,เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวง-ตอนที่ 6 จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้คนพาล

เนื้อหา

ตอนที่ 6 จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้คนพาล

เรื่องการทะเลาะวิวาทกับคนที่ตลาดของเหยาหลิงเสวี่ยทำเอามารดาถึงกับต้องออกปากห้ามมิให้นางมาขายของในตัวอำเภอสักพักหนึ่งด้วยเกรงว่าบุตรสาวจะเกิดอันตรายเพราะเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้มารดาของคู่กรณีของเสี่ยวหลิงคือคนที่ทำให้เหยาซูเมิ่งต้องงัดหลักฐานที่มีเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหมดที่มีออกมาแสดงต่อหน้าท่านผู้นำหมู่บ้านเพื่อยืนยันว่าตัวนางกับสามีนั้นแต่งงานกันอย่างถูกต้องจึงมีบุตรสาวออกมาได้เหยาหลิงเสวี่ยมิใช่บุตรนอกสมรสอย่างที่ใครๆ กล่าวหา

และสาเหตุที่ทำให้สตรีผู้นั้นจงเกลียดจงชังอยากจะเอาเรื่องเหยาซูเมิ่งให้ได้ก็เพราะความซวยที่สามีไม่รักดีของเจ้าตัวเกิดมาถูกตาต้องใจสตรีที่มิได้มีสามีอยู่ใกล้ตัวทางนั้นจึงคอยจะหาเรื่องทุกทางโดยนางต้องการให้คนบ้านเหยาทั้งบ้านถูกลงโทษตามจารีตประเพณีทั้งๆ ที่เหยาซูเมิ่งเองก็ไม่เคยคิดเป็นอื่นกับสามีของนางนอกจากเป็นเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกันและเป็นลูกค้าที่แวะเวียนมาซื้อไม้ฟืนเท่านั้นเอง

“หากครั้งนี้มารดาของเด็กพวกนั้นมาหาเรื่องเจ้าอีกแม่จะเอาหนังสือที่เคยประทับรอยนิ้วมือต่อหน้าท่านผู้นำหมู่บ้านไปร้องเรียนกับทางการเอาเรื่องพวกนางให้ถึงที่สุด” เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังคงกลับมาวนเวียนสร้างความเดือดร้อนให้คนบ้านเหยาอย่างไม่จบไม่สิ้นแต่ครั้งนี้หากใครมากล่าวหาบุตรสาวของนางอีกเหยาซูเมิ่งสัญญากับตัวเองเลยว่าจะสู้ขาดใจ

“ข้าก็ไม่กลัวพวกเขาแล้วเจ้าค่ะเด็กผู้ชายคนนั้นก็โตเพียงแต่ตัวหาได้ใจกล้าเหมือนท่าทางที่แสดงออกไม่ครั้งหน้าหากพวกเขามาระรานอีกข้าจะไม่เอาแค่ถาดไม้ฟาดหัวเขาแน่” เหยาหลิงเสวี่ยเองก็ไม่ยอมแพ้เพราะทั้งชีวิตนี้นางยอมให้พวกคนไร้สติปัญญาทำเรื่องไร้สาระมานานมากเกินไปแล้ว

“การใช้กำลังมิใช่ทางออกและอีกอย่างเจ้าก็เป็นสตรีไปวิวาทต่อยตีกลางตลาดมันใช้ได้เสียที่ไหนเอาเป็นว่าสองสามวันนี้แม่จะเป็นคนไปขายของให้เจ้าเองหากเหตุการณ์สงบจริงเจ้าจึงค่อยกลับไปขายของเองดังเดิม” เมื่อคำสั่งมารดาถือเป็นที่สุดเหยาหลิงเสวี่ยจึงไม่ดื้อดึงยอมรับฟังและทำตามแต่โดยดี

เหตุการณ์หลังจากนั้นบ้านเหยาเองก็ขายของที่ตลาดได้ตามปกติจะมีบ้างที่คู่กรณีเดินผ่านมาแต่ก็ไม่ได้มาก่อกวนเนื่องจากเหยาซูเมิ่งก็บอกเองว่านางพร้อมจะแสดงหลักฐานการเกิดของบุตรสาวแม้สามีนางจะไม่ได้มาอยู่เคียงข้างแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่มีและเมื่อพิสูจน์ได้ว่าตนเองไม่มีความผิดนางก็จะเรียกร้องทั้งค่าเสียหายและบทลงโทษให้กับชาวบ้านที่มีปากแต่ไม่รู้จักใช้มันในทางที่สร้างสรรค์

โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ดูมันจะรุนแรงมากกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาเพราะแต่ไหนมาแล้วบุตรสาวของเหยาซูเมิ่งมิใช่คนที่จะลุกขึ้นมาตอบโต้ใครแต่ครั้งนี้นอกจากตอบโต้ด้วยวาจาแล้วนางยังทำร้ายผู้อื่นนับว่ามารดานั้นตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้เป็นอย่างมาก

“ครั้งนี้ที่เขาไม่ตอบโต้ก็นับว่าเป็นโชคของเจ้าแล้วลูกรักลองตรองดูเถิดหากเขาคว้าอาวุธวิ่งเข้าใส่เจ้าแล้วแม่จะทำเช่นไรไหนจะท่านตากับท่านยายอีกอย่าลืมว่าเจ้าขายของอยู่ตัวคนเดียวส่วนท่านตาก็ไปส่งไม้ฟืนไม่มีผู้ใดเลยที่อยู่ข้างกายเจ้าทั้งข้างร้านนั้นก็เป็นท่านป้าที่มีอายุมากกับหลานสาวแล้วหากเกิดการวิวาทใหญ่โตแล้วผู้อาวุโสถูกลูกหลงบาดเจ็บไปด้วยคงจะไม่ใช่เรื่องดี แม่ดีใจนะที่ลูกรู้จักตอบโต้กลับไปเสียบ้างแต่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเลย”

ผู้เป็นมารดาไม่ได้ตำหนิบุตรสาวแม้แต่ครึ่งคำแต่ที่ทำคือการอธิบายด้วยเหตุผลรวมถึงยกตัวอย่างให้นางได้เข้าใจมากขึ้นซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เหยาหลิงเสวี่ยที่พื้นฐานเป็นคนจิตใจอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยเนื้อแท้ย่อมฉุกคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำลงไปนั้นหาใช่เรื่องที่ดีแต่อย่างใดเลย

“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่ต่อไปจะคิดให้รอบคอบก่อนลงมือทำอะไรลงไปและไม่ปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือเหตุผลอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ” อันที่จริงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อเซียนน้อยมาสวมวิญญาณในร่างของมนุษย์และจะเผลอแสดงนิสัยและตัวตนของตนเองออกมาเนื่องจากภายในร่างยังมีรอยต่อเล็กๆ ที่ยังผสานกันไม่สนิทของวิญญาณสองดวงแม้ว่าในตอนนี้ร่างกายและจิตวิญญาณของเหยาหลิงเสวี่ยทั้งคนเก่าและคนใหม่จะผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วก็ตาม

“แม่ดีใจที่ลูกเข้าใจในสิ่งที่แม่สอนเพราะทุกอย่างมิใช่เพียงจะช่วยให้ลูกอยู่รอดปลอดภัยแต่เพราะแม่เห็นมากับตาว่าการใช้กำลังนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีดูอย่างที่บิดาเจ้าต้องพลัดพรากจากพวกเราไปก็เพราะสงครามเป็นเพราะการใช้กำลังของคนสองกลุ่มที่ห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่

แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องระหว่างแคว้นเราที่เป็นเพียงชาวบ้านตัวเล็กๆ ไม่อาจแสดงความคิดเห็นอะไรได้เรามีหน้าที่ทำตามคำสั่งและปกป้องแคว้นของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง”

มารดาของเหยาหลิงเสวี่ยแม้จะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาแต่นางก็มีความคิดความอ่านต่างจากสตรีทั่วๆ ไปด้วยเหตุนี้บิดาของนางจึงตกหลุมรักมารดาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พูดคุยกันแม้ในขณะนั้นตัวเองจะบาดเจ็บเจียนตายแต่ก็ยังคงมีแก่ใจมาเกี้ยวพาสตรีจนได้แต่งงานกันในที่สุดแม้ตอนนั้นนางจะยังไม่ทันได้เกิดมาแต่ทั้งท่านแม่ ท่านยายและท่านตาต่างก็พร้อมใจกันเล่าทุกเรื่องราวให้เหยาหลิงเสวี่ยฟังหลังจากที่นางโตจนรู้ความแล้ว

ได้ฟังที่มารดาพูดแล้วเหยาหลิงเสวี่ยก็ไม่กล้าคิดเลยว่าในสงครามที่กินเวลายืดเยื้อมาเป็นสิบกว่าปีนั้นจะสามารถยุติได้ตอนไหนและถึงแม้มันจะจบสิ้นลงไปแล้วแต่จะสามารถหาตัวบิดาของนางพบได้หรือเปล่าสงครามจะเป็นสิ่งที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากครอบครัวของเราจริงๆ อย่างนั้นหรือ

“แม้การรอคอยมันที่ไม่รู้จุดหมายปลายทางจะแสนทรมานแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรอคอยมันทำให้เราใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความหวังและแม่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบิดาของเจ้าจะยังอยู่รอดปลอดภัยหรือต่อเขาต้องกลายเป็นคนพิการแม่ก็ยังยินดีที่จะดูแลเขาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต”

แม้เหยาซูเมิ่งจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีของตนเองเพียงไม่กี่ปีแต่นางก็รู้ว่าเขาเป็นคนดีและเป็นชายหนุ่มที่ยึดมั่นในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองเป็นอย่างยิ่งทุกวันนี้แม้จะไม่เคยได้ยินข่าวคราวว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรแต่ยังคงภาคภูมิใจและคงยังรอคอยด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ข้ามั่นใจว่าท่านพ่อจะต้องปลอดภัยดีเจ้าค่ะหรือต่อให้ท่านพ่อโชคร้ายจริงๆ ข้าก็จะเป็นคนช่วยท่านแม่ดูแลท่านพ่อด้วยตนเอง” ไม่มีทางที่เหยาหลิงเสวี่ยจะทอดทิ้งบิดาให้ลำบากในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างแน่นอนเพราะถึงแม้ความทรงจำที่มีร่วมกับท่านพ่อจะรางเลือนจนแทบที่จะจำอะไรไม่ได้แล้วก็ตามแต่ถึงจะอย่างไรแล้วบิดาก็คือผู้ให้ชีวิตและจากคำบอกเล่าของทั้งท่านยายและท่านตาบิดาของนางก็เป็นคนดีดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องไปปฏิเสธหน้าที่ของบุตรสาว

“แม้เองก็เชื่อว่าท่านพ่อของเจ้าจะต้องปลอดภัย” เรื่องราวของบิดาของบุตรสาวนั้นเหยาซูเมิ่งคงต้องเว้นเอาไว้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแม้ที่ผ่านมานางจะใช้เรื่องของสามีเป็นความหวังในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็ตามเพราะเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าในตอนนี้คือเรื่องของบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาด้วยสองมือของตนเอง

 

“วันนี้ขายอะไรกันเหรอเสี่ยวหลิงถึงได้มีการจุดเตาตั้งกระทะกันด้วย” ท่านป้าร้านขายซาลาเปาร้านข้างๆ ถึงกับต้องร้องทักด้วยความตื่นเต้นเมื่อวันนี้บ้านเหยาขนทั้งเตาไฟทั้งกระทะมาตั้งคล้ายจะประกอบอาหารกันกลางตลาดนี้เลย

“วันนี้ข้ามีอาหารจานใหม่มานำเสนอเจ้าค่ะท่านป้าเป็นเห็ดและผักทอดปรุงรสสามารถกินเป็นกับข้าวก็ได้หรือจะกินเป็นของกินเล่นก็อร่อยเจ้าค่ะ” ที่หยุดขายของไปหลายวันเหยาหลิงเสวี่ยไม่ได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์นางคิดหาวิธีการปรุงอาหารแบบแปลกใหม่ออกมาขายได้หลายอย่างแล้วก็มาลงเอยที่เห็ดและผักทอดปรุงรสที่สามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยเพราะรสชาติของมันไม่จัดเกินไปสามารถกินได้เพลินๆ

ผักและเห็ดที่ต้องการนำมาชุบแป้งทอดนั้นต้องทำความสะอาดและหั่นซอยให้ได้ขนาดชิ้นพอประมาณเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทานและใช้เวลาทอดก็ไม่นานมากด้วยส่วนสูตรแป้งสำหรับชุบทอดนั้นก็มีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้าและแป้งมันสำปะหลังเติมเกลือเข้าไปเล็กน้อยเพื่อปรุงรส

วิธีการทำก็จะต้องคลุกผักเข้ากับแป้งที่ผสมน้ำไว้ตามสัดส่วนโดยต้องให้น้ำแป้งนั้นเคลือบชิ้นผักให้ทั่วจากนั้นก็นำลงทอดในกระทะที่ตั้งไฟร้อนปานกลางรอเอาไว้ทอดไปให้สุกเป็นสีเหลืองทองทั้งสองด้านก็ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมันเมื่อคลายความร้อนลงเล็กน้อยก็สามารถรับประทานได้เลยหรือโรยผลปรุงรสที่เหยาหลิงเสวี่ยทำขึ้นมาเองจากเกลือป่น น้ำตาล พริกไทยป่นและผงพริกป่นที่ไม่เผ็ดมากและที่ขาดไม่ได้คือเมล็ดงาคั่วที่นำไปบดหยาบๆ ก่อนการใช้งานเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น

อาหารแปลกใหม่ที่ขายในราคาไม่แพงได้รับความนิยมมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากนักทั้งเหยาหลิงเสวี่ยและเหยาซูเมิ่งต่างก็ช่วยกันทอดผักจนมือเป็นระวิงทำให้ท่านตาต้องไปช่วยตักกับข้าวขายแทน

“ข้าดีใจนักที่พวกเจ้ามาขายของอยู่ข้างๆ กันเพราะตั้งแต่เจ้ามาลูกสะใภ้ข้าก็เจริญอาหารมากขึ้นแม้จะกินเข้าไปได้ไม่มากนักแต่ก็ยังกินได้เยอะโดยเฉพาะกับข้าวที่ทำมาจากเต้าหู้ จะว่าไปแล้วเต้าหู้ที่เจ้าใช้ปรุงอาหารซื้อมาจากร้านไหนเหรอเสี่ยวหลิงถึงไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวของถั่วข้าว่าจะไปหาซื้อมาปรุงอาหารให้คนที่บ้านกินบ้างเหมือนกัน” ท่านป้าร้านขายซาลาเปาป้องปากพูดเบาๆ เนื่องจากไม่ไกลกันนั้นมีแผงขายเต้าหู้ตั้งอยู่ด้วย

“เป็นเต้าหู้ที่ท่านยายและท่านแม่ข้าทำเองเจ้าค่ะเอาไว้วันหน้าหากทำอีกข้าจะแบ่งมาให้นะเจ้าคะ” เหยาหลิงเสวี่ยบอกไปตามตรงอีกทั้งแสดงความมีน้ำใจด้วยการเสนอจะนำเต้าหู้มาให้ท่านป้าในคราวหน้าตามประสาคนที่มีไมตรีต่อกัน

“ไม่เอาๆ ข้าขอแบ่งซื้อก็แล้วกันนะของซื้อของขายจะเอามาฝากได้อย่างไร” ตัวท่านป้าเองเข้าใจดีว่าเด็กสาวบ้านเหยามีน้ำใจแต่นางก็ไม่สามารถเอาเปรียบใครได้เช่นกัน

“เช่นนั้นข้าตามใจท่านป้าเจ้าค่ะ” เมื่อผู้อาวุโสว่ามาเช่นนั้นเหยาหลิงเสวี่ยก็ไม่คิดที่จะทัดทานหรือว่าต่อรองอะไรเด็กสาวหันไปช่วยมารดาเก็บร้านด้วยความระมัดระวังเพราะทั้งน้ำมันและกระทะอุปกรณ์ทุกอย่างยังคงร้อนอยู่เพราะเพิ่งยกลงมาจากเตาไฟ

วันนี้ผักทอดได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและยิ่งเหยาหลิงเสวี่ยสามารถอธิบายว่าผักที่นางนำมาทอดทั้งหมดนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้างลูกค้าทั้งหลายก็ยิ่งชอบอกชอบใจกันและที่มากไปกว่าการที่อาหารของนางขายดีก็คือมีท่านน้าท่านป้าหลายคนเดินกลับมาบอกว่าซื้อไปให้ลูกๆ กินและเด็กๆ ที่ไม่ชอบกินผักก็ไม่มีใครงอแงกันเลยสักคนมีแต่จะแย่งกันกินเพราะมันอร่อย

“พรุ่งนี้ข้าจะขายผักทอดอีกท่านป้าสามารถมาซื้อไปให้หลานๆ กินกันได้นะเจ้าคะต้องขอโทษจริงๆ ที่วันนี้ข้าเตรียมผักมาน้อยไป” กำลังเก็บร้านอยู่ก็มีท่านป้าคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาซื้อผักทอดซึ่งเหยาหลิงเสวี่ยก็ไม่อยากที่จะปฏิเสธลูกค้าแต่เมื่อมันหมดแล้วจริงๆ จึงต้องบอกให้มาอุดหนุนกันใหม่ในวันพรุ่งนี้

“น่าเสียดายยิ่งนักข้าน่าจะซื้อไปเยอะๆ สักหน่อยพวกเด็กๆ ที่เรือนต้องงอแงกันแน่ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้คงต้องบอกให้พวกเขารอกินในวันพรุ่งนี้ อย่างไรแล้วข้าจะรีบมาแล้วจะซื้อผักทอดของเจ้ากลับบ้านไปเยอะๆ เลย”