ได้เกิดใหม่มาแบบสับคือมีความสับสนเป็นที่สุด
จีน,เกิดใหม่,ครอบครัว,รัก,เสี่ยวหลิงยอดนักสู้,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่แบบสับสนกับวาสนาอลวนและชีวิตแสนอลเวงได้เกิดใหม่มาแบบสับคือมีความสับสนเป็นที่สุด
ภาระหน้าที่ของเทพเซียนบนสวรรค์คือช่วยเติมเต็มดวงชะตาและชีวิตที่บกพร่องของมนุษย์แต่เมื่อพวกเขาเป็นผู้สร้างความบกพร่องขึ้นเองด้วยความประมาทเลินเล่อการแก้ปัญหาแบบปัจจุบันทันด่วนจึงได้เกิดขึ้นซึ่งนั่นก็คือการส่งเซียนฝึกหัดตัวน้อยซึ่งอยู่ในช่วงพักผ่อนว่างเว้นจากภาระงานลงมาแก้ไขปัญหาโดยที่ไม่ถงไม่ถามสุขภาพหรือความยินยอมเลยสักคำ
ซึ่งนั่นก็ทำให้หลิงเสวี่ยหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ ต้องมีชะตาพลิกผันอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้แต่กว่าชีวิตจะได้อยู่อย่างสงบและแสนสบายก็เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว
หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ
กติกาการลงนิยาย
ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้
1. ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์ (4 เหรียญ)
2. ปลดเหรียญอ่านฟรี 1 สัปดาห์
3. หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบ (8 เหรียญ)
“เสี่ยวหลิงเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่ลูกรัก” เหยาซูเมิ่งตะโกนเสียงไม่ดังและไม่เบาจนเกินไปนักระหว่างที่เดินตามหาบุตรสาวคนเดียวที่หายหน้าหายตาไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ เห็นจะได้ซึ่งในปกติเสี่ยวหลิงของนางนั้นไม่ใช่เด็กที่จะหายไปไหนโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวแต่หลังจากที่ออกไปตักน้ำที่แม่น้ำบุตรสาวก็หายเงียบไปทำให้มารดาต้องมาเดินหาเช่นนี้
นานๆ ครั้งเหยาหลิงเสวี่ยจึงจะหายตัวไปเงียบๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือปัญหาเพราะมีไม่กี่ที่เลยที่บุตรสาวจะหลบมาซ่อนตัวเพราะถ้าหากนางไม่หนีไปนั่งเล่นที่ใต้ต้นพุทราป่าต้นใหญ่อายุหลายสิบปีที่ชายป่านางก็มักจะมายังบริเวณที่เป็นสถานที่พักไม้ฟืนของท่านตาและก็เป็นสถานที่ที่เหยาซูเมิ่งกำลังเดินหาบุตรสาวอยู่ในตอนนี้
“เสี่ยวหลิงออกมาหาแม่เถิดนะเจ้าอย่าได้หลบซ่อนตัวอยู่เช่นนี้เลย” มารดาของเด็กหญิงในวัยเพียงสิบปียังกล่าวด้วยความใจเย็นเนื่องจากในบริเวณนี้นางเริ่มเห็นรอยเท้าเล็กๆ วนเวียนอยู่ไม่ไกลจึงพอจะใจชื้นขึ้นมาได้บ้างว่าบุตรสาวน่าจะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้อย่างแน่นอน
สถานที่พักไม้ฟืนของบ้านเหมาเป็นเพียงเพิงขนาดกลางๆ มีหลังคาคุ้มแดดคุ้มฝนที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานแค่เพียงหลบแดดหลบฝนและพักไม้ฟืนที่ไปหาเก็บมาจากบนเขาซึ่งฟืนส่วนมากที่เพิ่งเก็บมานั้นจะไม่สามารถนำไปใช้จุดไฟได้ในทันทีเนื่องจากเนื้อไม้ยังมีความชื้นอยู่
สิ่งที่ต้องทำหลังจากไปเก็บฟืนหรือตัดฟืนมาแล้วก็คือต้องนำไม้เหล่านั้นมาตากแดดตากลมไว้สักระยะเพื่อให้เนื้อไม่มีความแห้งจึงจะได้ไม้ฟืนที่ติดไฟง่ายและที่สำคัญคือจะทำให้สามารถขายได้ในราคาดีอีกด้วย
ในขณะที่มารดาเดินตามหาบุตรสาวไปโดยรอบโรงพักไม้ฟืนพร้อมกับส่งเสียงเรียกไปด้วยนั้นร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีที่ตัวสั่นเพราะแรงสะอื้นกำลังพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ส่งเสียงให้มารดาต้องมาพบเจอเข้าด้วยมั่นใจว่านางจะต้องเป็นห่วงเมื่อมาพบเข้ากับสภาพของบุตรสาวคนเดียวที่ร้องห่มร้องไห้จนตาปูดบวม
เหยาหลิงเสวี่ยเป็นเด็กหญิงวัยสิบปีที่มีรูปร่างค่อนข้างผอมบางซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่ได้รับประทานอาหารดีๆ ครบสามมื้อและต้องช่วยครอบครัวทำงานหนักเกินวัยมาโดยตลอดแต่ในตอนนี้นางกลับไม่คิดว่าการเป็นเด็กตัวเล็กของนางจะมีประโยชน์จนกระทั่งมันช่วยทำให้นางหลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่เช่นนี้ได้
“เสี่ยวหลิงลงมาได้แล้วเจ้าอย่าให้แม่ต้องร้อนใจมากไปกว่านี้เลย” แต่แล้วเสียงเรียกของมารดาก็ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กต้องฝืนลืมตาบวมเป่งของตนเองมองไปยังเบื้องล่างซึ่งภาพที่นางเห็นผ่านพุ่มใบเขียวๆ ของต้นไม้ลงไปนั่นก็คือมารดาที่เงยหน้ามองขึ้นมาด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วงสุดหัวใจ
“ท่านแม่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” แม้จะร้องไห้จนปวดไปทั้งกระบอกตาและก้อนสะอื้นที่จุกไปทั้งลำคอก็ยังทำให้เสียงของเด็กหญิงฟังดูอู้อี้แต่กระนั้นแล้วเหยาหลิงเสวี่ยก็ยังเค้นเสียงเล็กๆ ของตนออกมาถามมารดาจนได้
“เพราะว่าแม่เป็นมารดาของเจ้าอย่างไรเล่าลูกรัก เอาเถิดรีบลงมาแล้วแม่จะรอรับเจ้าอยู่ตรงนี้” แม้จะตกใจในทีแรกที่เห็นลูกสาวนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่และกอดลำต้นที่แข็งแรงเอาไว้เพื่อเป็นหลักยึดมิให้ร่วงหล่นลงมายังพื้นดินแม้ความสูงเพียงเท่านี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่หากตกลงมาผิดท่าก็อาจทำให้แข้งขาเล็กๆ ของเหยาหลิงเสวี่ยหักลงได้เหมือนกัน
เมื่อถูกมารดาพบตัวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหลบซ่อนอีกต่อไปเหยาหลิงเสวี่ยจึงค่อยๆ ใช้ทั้งแขนทั้งขาของตนเองเกาะเกี่ยวต้นไม้ไม่ต่างจากลูกลิงแล้วค่อยๆ ไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง
“เสี่ยวหลิงลูกรักเรากลับบ้านด้วยกันเถิดนะวันนี้ท่านยายทำอาหารอร่อยๆ ไว้รอเจ้าด้วย” ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของเด็กหญิงเหยียบลงบนพื้นดินเหยาซูเมิ่งก็คว้าตัวบุตรสาวคนเดียวของตนเองมากอดไว้ด้วยความรักและความเป็นห่วงสุดหัวใจเพราะถึงแม้ว่าตัวนางจะมั่นใจเกินเจ็ดส่วนว่าบุตรสาวจะต้องปลอดภัยแต่ในใจก็ยังคงกังวลมากอยู่ดี
“ท่านแม่... เสี่ยวหลิงไม่มีบิดาจริงหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังใช้แขนเล็กๆ ของตนเองโอบกอดรอบตัวของมารดาอยู่ในขณะนี้เอ่ยถามพร้อมกับน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหลทำเอามารดามองแล้วรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจเลยที่ตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องถูกกลั่นแกล้งรังแกอยู่เช่นนี้
“เหตุใดเจ้าจึงถามแม่เช่นนั้นเล่าเด็กทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนต้องเกิดจากบิดามารดาด้วยกันทั้งสิ้น เด็กคนอื่นมีพ่อและแม่แน่นอนว่าเจ้าก็มีเช่นเดียวกับพวกเขา” เหยาซูเมิ่งตอบลูกสาวอย่างใจเย็นโดยในระหว่างนั้นก็ช่วยซับน้ำตาออกจากใบหน้าเล็กๆ ของเหยาหลิงเสวี่ยด้วยความอ่อนโยน
“แล้วเหตุใดคนในหมู่บ้านถึงชอบเรียกข้าว่าหลิงเสวี่ยเด็กไม่มีพ่อนอกจากพวกผู้ใหญ่จะเรียกข้าเช่นนั้นแล้วเด็กๆ ก็ยังทำตามด้วยแถมบางคนก็ชอบไล่ข้ายามที่เดินผ่านไม่ก็เอาหินขว้างปาข้าทำอย่างกับว่าหากเดินผ่านบ้านใครแล้วจะทำให้พวกเขาต้องประสบกับโชคร้าย” พูดจบเด็กหญิงก็ทิ้งกายลงกับพื้นดินนั่งร้องไห้โฮพร้อมกันนั้นก็เปิดแขนเสื้อของตนเองให้มารดาได้เห็นรอยเขียวช้ำบนแขนเล็กๆ ของตัวเองอีกด้วย
ตั้งแต่ท่านตาท่านยายพาย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อราวๆ หกปีก่อนเด็กหญิงก็ถูกผู้คนเรียกขานด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังนักเพียงเพราะครอบครัวของนางไม่ได้มีบิดาย้ายตามมาด้วยแม้ที่ผ่านมาจะถูกต่อว่าต่อขานหรือถูกหัวเราะเยาะแต่เหยาหลิงเสวี่ยก็ไม่ได้คิดอะไรมากจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่เด็กหญิงวัยสิบปีโดนทำร้ายร่างกายโดยไม่เป็นธรรมทำให้ต้องหลบหนีมาซ่อนตัวและร้องไห้อยู่ลำพัง
“ใครทำเจ้าเสี่ยวหลิง บอกแม่มาแม่จะไปเอาเรื่องคนผู้นั้นให้ถึงที่สุด” โดยปกติแล้วมารดาของเด็กหญิงนั้นใจเย็นไม่ต่างจากน้ำแข็งในทะเลสาบในยามฤดูหนาวแต่ในครั้งนี้เมื่อเห็นร่องรอยฟกช้ำบนร่างกายของบุตรสาวคนเดียวนางก็ถึงกับมีอาการโกรธจนลมออกหู
“หลานชายบ้านกุ้ยกับสหายเจ้าค่ะ” เหยาหลิงเสวี่ยจำได้ไม่หมดว่ามีใครที่รุมรังแกนางบ้างแต่ที่จะได้ไม่ลืมเลยก็คือเด็กชายบ้านกุ้ยผู้นั้นที่อายุมากกว่านางถึงสองปีซึ่งนอกจากเขาจะพาพวกพ้องมารุมล้อเลียนเมื่อถูกหมางเมินจึงเข้ามากลั่นแกล้งด้วยการผลักให้น้ำที่ตั้งใจหาบมาจากแม่น้ำหกเลอะเทอะจากนั้นก็รุมปาหินใส่ทำให้เหยาหลิงเสวี่ยต้องหนีมาร้องไห้อยู่คนเดียวที่นี่
“เด็กคนนั้นนับว่าเป็นอันธพาลตัวน้อยแม่จะพาเจ้าไปบ้านกุ้ยเพื่อบอกเขาว่าบุตรหลานของพวกเขารังแกเด็กผู้หญิงที่ทั้งอ่อนแอและอ่อนวัยกว่า เอาล่ะลูกรักอดทนอีกนิดเสร็จเรื่องแล้วแม่จะพาเจ้ากลับบ้านไปทายาและกินข้าว” จากนั้นเหยาซูเมิ่งก็จูงมือบุตรสาวเดินกลับเข้าหมู่บ้านโดยจุดหมายนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เรือนของตนเองแต่เป็นเรือนของคนสกุลกุ้ยซึ่งนับว่ามีฐานะมากกว่าชาวบ้านทั่วๆ ไปในหมู่บ้านแห่งนี้พอสมควร
“นี่เจ้าเอาอะไรมาพูดมีหลักฐานหรือไม่ว่าหลานชายข้าเป็นคนรังแกลูกสาวของเจ้า แค่คำพูดลอยๆ ไม่มีหลักฐานของนางเจ้าถึงกับต้องมาต่อว่าข้าถึงเรือนเลยหรือไร” คนที่ออกมาพูดคุยกับเหยาซูเมิ่งคือแม่เฒ่ากุ้ยผู้เป็นย่าของเด็กชายอันธพาลซึ่งทันทีที่นางฟังมารดาของเหยาหลิงเสวี่ยพูดจบก็เริ่มมีอาการฟาดงวงฟาดงาในทันที
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องมาโกหกผู้อาวุโสด้วยเล่า ที่ข้ามาบอกท่านก็เพราะไม่ต้องการให้มารังแกกันเช่นนี้อีกวันนี้บุตรสาวข้าแค่ร่างกายเขียวช้ำแต่วันหน้าหากเขาทำนางเลือดตกยางออกเล่ามันจะเป็นเช่นไรหากวันนี้ไม่ได้ห้ามปรามหรือสั่งสอนเข้าเสียบ้างเด็กก็อาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นผิด” แม้จะรู้อยู่แล้วว่าคนบ้านกุ้ยจะต้องกล่าวหาว่าบุตรสาวของนางโกหกแต่กระนั้นคนเป็นมารดาก็ยังเถียงแทนบุตรสาวที่ตั้งแต่เกิดมาเหยาหลิงเสวี่ยไม่เคยพูดปดเลยสักครั้งเดียว
“แล้วไหนเล่าหลักฐาน”
“ตัวข้าพอจะเป็นหลักฐานให้ได้หรือไม่ขอรับแม่เฒ่ากุ้ยพอดีว่าข้าเองที่เป็นคนเห็นเหตุการณ์แม้จะไม่ใช่ตั้งแต่ต้นแต่ก็ทันเห็นว่าหลานชายของท่านเป็นคนลงมือปาหินใส่บุตรสาวของบ้านเหยาก่อนและก็เป็นข้าที่นำถังไม้ใส่น้ำกับไม้คานไปคืนให้กับบ้านเหยา” คนที่ออกหน้ามาเป็นพยานและช่วยแก้ต่างให้กับเด็กหญิงผู้น่าสงสารคือบุตรชายของผู้นำหมู่บ้านจึงทำให้คนบ้านกุ้ยออกจะเกรงใจอยู่หลายส่วนแม่เฒ่ากุ้ยถึงกับรีบหุบปากที่กำลังจะต่อว่าสองแม่ลูกบ้านเหยาลงในทันที
“ในตอนแรกข้าก็คิดว่าที่เด็กๆ เสียงดังเพราะเล่นกันแต่มารู้ตัวอีกทีเด็กๆ ก็รุมปาหินใส่เด็กหญิงตัวเล็กๆ จนนางต้องวิ่งหนีแต่นอกจากพวกเขาจะไม่ยอมหยุดมือแล้วยังเอ่ยคำหยาบคายไม่น่าฟังล่วงเกินถึงบิดาและมารดาของนางอีกด้วย
ที่แม่นางเหยามาบอกกล่าวใว้ให้ท่านรับรู้เรื่องความประพฤติของบุตรหลานนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีอันที่จริงนางจะเรียกค่าเสียหายจากครอบครัวท่านที่ทำให้คนบาดเจ็บก็ย่อมได้แต่นี่นางกลับต้องการเพียงให้อบรมสั่งสอนบุตรหลานเท่านั้นหากไปทำเช่นนี้นอกหมู่บ้านแม้จะเป็นเด็กแต่ข้าสามารถบอกได้เลยว่าเขาต้องได้รับโทษโบยจนเนื้อแตกอย่างแน่นอน” ไหนๆ ก็มีโอกาสได้พูดแล้วจึงตั้งใจจะพูดในสิ่งที่เขาเห็นกับตาตัวเองทั้งหมดออกมาเพื่อเป็นการคืนความยุติธรรมให้เด็กหญิงบ้านเหยา
“แต่ข้าไม่ผิดนางสมควรโดนแล้วหลิงเสวี่ยลูกไม่มีพ่อ” แทนที่เด็กชายที่หลบอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสจะรู้สึกว่าตนเองนั้นกระทำผิดเขากลับกล้าตีฝีปากเถียงกับผู้ใหญ่ได้อย่างหน้าตาเฉย
“แล้วใครบอกเจ้าว่าบุตรสาวของข้าไม่มีบิดานางมิได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่หรอกนะ แน่นอนว่านางมีบิดาเช่นเดียวกับที่เจ้าและสหายทุกคนมีเพียงแต่บิดาของเสี่ยวหลิงนั้นมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาจึงไม่สามารถมาอยู่ดูแลนางได้เขาจึงไม่ได้อยู่กับพวกเรา” อันที่จริงไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่จะต้องมาพูดเรื่องในครอบครัวของตนเองให้คนนอกครอบครัวได้ฟังแต่ครั้งนี้นางต้องทำเพื่อปกป้องลูกน้อยและศักดิ์ศรีของครอบครัว
“เป็นพ่อประสาอะไรจึงเห็นความสำคัญของสิ่งอื่นมากกว่าครอบครัวเจ้าอย่ามาพูดจาเลอะเลือนดีไม่ดีเจ้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกันแน่ที่เป็นบิดาของลูกเจ้า” เด็กไม่ฟังนั้นไม่เท่าไหร่แต่นี่ผู้อาวุโสกล้าเอ่ยวาจาว่าร้ายผู้อื่นซึ่งหน้าทำเอาเหยาซูเมิ่งถึงกับอ่อนใจและแม้จะโกรธอยู่มากที่ถูกหมิ่นศักดิ์ศรีแต่ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้เพราะเรื่องบิดาของบุตรสาวนั้นมิอาจปริปากพูดออกไปได้จริงๆ
“แล้ววันหนึ่งพวกท่านจะได้เห็นว่าบุตรสาวของข้านั้นมีบิดาและนางก็มิได้เป็นบุตรนอกสมรสเมื่อถึงวันนั้นต่อให้เป็นผู้อาวุโสข้าก็จะให้ท่านมาคุกเข่าขอโทษบุตรสาวข้าที่ทำให้นางต้องเสียใจ ขอบคุณพี่ชายเฉิงที่ช่วยพูดเป็นปากเป็นเสียงให้ครอบครัวของข้านะเจ้าคะข้าเหยาซูเมิ่งสัญญาว่าจะไม่มีทางลืมวันนี้อย่างแน่นอน” เหยาซูเมิ่งค้อมกายแสดงความขอบคุณบุตรชายของท่านผู้นำหมู่บ้านด้วยความนอบน้อมจากนั้นก็จูงมือบุตรสาวกลับไปที่เรือนเพื่อจัดการสำรวจบาดแผลและทาน้ำมันแก้ฟกช้ำให้นาง
“สิ่งที่แม่พูดกับบ้านกุ้ยนั้นทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องจริงท่านพ่อจากพวกเราไปตั้งแต่เจ้ายังเล็กนักและเหตุผลที่เขาต้องจากครอบครัวไปก็เพราะว่ามีหน้าที่ที่ใหญ่หลวงในการป้องกันแว่นแคว้นของเรา บิดาของเจ้าเป็นทหาร เขาเป็นนักรบดังนั้นบ้านเมืองจึงต้องมาก่อนครอบครัวแม่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจท่านพ่อนะเสี่ยวหลิง”
เมื่อได้อยู่กันตามลำพังสองคนแม่ลูกเหยาซูเมิ่งจึงไม่ลังเลเลยที่จะบอกเล่าเรื่องของสามีหรือบิดาของบุตรสาวให้นางฟังพร้อมทั้งแสดงหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของเขาให้นางเห็นซึ่งนั่นก็คือป้ายหยกมันแพะแกะสลักเป็นตัวอักษรที่ดูจะมีราคาเกินกว่าที่คนบ้านเหยาจะซื้อหามาครอบครองได้