โอ๊ยยยยย เมื่อไหร่ลุงซาเหรินจะยอมให้น้องสี่คนนี้เข้าไปอยู่ในหัวใจสักที!!!
รัก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ตลก,วาย,ชาย-ชาย,ชายรักชาย ,nc,yaoi,bl,รักต่างวัย,ตลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
น้องสี่ คนดีขยี้ใจ [มี E-book]โอ๊ยยยยย เมื่อไหร่ลุงซาเหรินจะยอมให้น้องสี่คนนี้เข้าไปอยู่ในหัวใจสักที!!!
สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนนะคะ นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องที่ห้าของโมแล้วค่ะ โดยเรื่อง ‘น้องสี่ คนดีขยี้ใจ’ จะเป็นเรื่องราวของหนึ่งในแฝดสี่จากตระกูลอัศวนาคินทร์ ซึ่งผลงานเล่มนี้เป็นหนึ่งในนิยายเซ็ตที่โมได้มีโอกาสเขียนร่วมกับนักเขียนท่านอื่นค่ะ
ประกอบไปด้วย
#เฮียหนึ่งxหวาหว่า จากเรื่อง : ข้อผูกมัดมาเฟีย เขียนโดย ดาววันศุกร์
#เฮียสองxคุณฉัตร จากเรื่อง : เป็นเหยื่อก็ ก็เขมือบเสือได้แล้วกัน เขียนโดย แทะเม็ดแตง
#เฮียสามxคุณลาฟ จากเรื่อง : สุนัขทรงเลี้ยงของคุณลาติฟาห์ เขียนโดย หทัยปรีดิ์
และเรื่องสุดท้ายคือ #น้องสี่xลุงซา จากเรื่อง : น้องสี่ คนดีขยี้ใจ เขียนโดย ภุมโม
ซึ่งเรื่องน้องสี่ คนดีขยี้ใจ โมจะเน้นไปที่ความอ้อนความอ่อยของสี่ที่ทำให้คนขับรถอย่าง ‘ซาเหริน’ ต้องเคลิ้มอยู่ตลอด มาลุ้นไปด้วยกันค่ะว่าความรักระหว่างลูกเจ้านายกับคนขับรถจะลงเอยอย่างไร
ขอกระซิบว่าความจริงแล้วอยากเขียนนิยายเรื่องนี้ให้เป็นแนว pwp แต่ยังไปได้ไม่สุดทางเพราะมีปมดรามาความหลังฝังใจของแต่ละตัวละครเข้ามามีบทบาททำให้นิยายเข้มข้นขึ้น แต่มีฉาก nc ให้อ่านอย่างจุใจ หวังว่าทุกท่านจะสนุกสนานและรู้สึกฟินจนจิกหมอนไปด้วยกันนะคะ >///< สามารถติดตามผลงานเรื่องอื่นได้จากนามปากกา ภุมโม ค่ะ
คำเตือน
เนื้อหาในนิยายเรื่องนี้อาจมีบางส่วนที่ค่อนข้างรุนแรง รวมไปถึงพฤติกรรม การกระทำหรือคำพูดบางอย่างที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มเสริมเติมแต่งเพื่อให้เนื้อหามีอรรถรสมากขึ้น หวังอย่างยิ่งว่าทุกคนจะเข้าใจนะคะ
ทั้งนี้ภุมโมไม่มีเจตนาส่งเสริมการกระทำใดก็ตามที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง ฉะนั้นโปรดใช้วิจารญาณในการอ่านนะคะ หากนักอ่านท่านใดไม่สะดวกใจ สามารถอ่านนิยายเรื่องอื่นของโมได้ค่ะ😊
ปล. เนื้อหาในนิยายเป็นเพียงจินตนาการของภุมโมเท่านั้น ขอให้ดื่มด่ำบรรยากาศและสนุกไปกับการอ่านค่ะ🍀
หลังจากค่ำคืนอันร้อนแรงในรถเมื่อตอนนั้น เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปนานนับปี จนกระทั่งใกล้ถึงวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบเอ็ดปีของผม ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาผมกับลุงก็ใช้ชีวิตแบบแอบกินกันอยู่ตลอด แน่นอนว่าผมก็พอใจที่ความสัมพันธ์ของเรากำลังคืบหน้า(?)
“วันเกิดสี่แฝดปีนี้ บ้านเราจัดงานฉลองแบบไหนกันดี” จู่ ๆ ป๊าก็พูดขึ้นมาเพื่อถามความคิดเห็น แต่ทุกคนในบ้านก็รู้ดีกว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม มันคือประโยคบอกเล่าที่พูดย้ำเตือนว่าพวกเราเป็นลูกป๊าต่างหาก
“แล้วแต่ป๊าเลยครับ” เป็นเฮียหนึ่งเสมอที่ตอบคำถามแบบนี้ของป๊าได้โดยไม่แสดงสีหน้าหรืออาการอะไร
ถึงผมจะเป็นลูกรักของป๊าและเป็นดวงใจของคนในบ้านแต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะกล้าพูดกล้าทำหรือกล้าแสดงความคิดเห็นส่วนตัวให้ป๊ารับรู้โดยไม่เผลอชักสีหน้าใส่อีกฝ่ายได้สักหน่อย
“อืม งั้นเอาแบบปีที่แล้วละกัน ง่ายดี วันงานก็อย่าลืมทำตัวให้สูงส่งเข้าไว้ล่ะ แขกคงมากันเยอะเหมือนทุกปี” แม้จะได้ยินคำพูดเดิม ๆ ทุกปีแต่ก็ทำใจให้ชินได้ยาก
บางครั้งผมก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าการที่ใครสักคนมีลูกนั้น เขาก็จำเป็นจะต้องรักและห่วงใยลูกเป็นธรรมดาใช่ไหม ฉะนั้นการที่ป๊ามีพวกผมก็แปลว่าป๊าต้องรักและห่วงใยพวกผมสิ ว่าแต่ทำไมเหมือนป๊าไม่ได้รักพวกผมเลย
“ครับ” คิดไปก็ปวดหัวเสียเปล่า ยังไงก็ทำได้แค่ตอบว่าครับและก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองตามบทบาทที่ได้รับมาดีกว่า เวลาว่างก็ค่อยไปเติมพลังใจจากลุง อิอิ
ทว่าเมื่อถึงวันงานจริง ๆ แขกกลับมาเยอะกว่าทุกปีเพราะบ้านไหนมีลูกสาวมีหลานสาวก็พากันยกโขยงกันมาทั้งบ้าน คงจะอยากหยิบฉวยโอกาสที่พวกผมบรรลุนิติภาวะในการเกี่ยวดองสินะ แต่ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่สนใจผู้หญิง เหอะ! ไม่ได้แอ้มผมหรอก!
ผมพยายามปั้นหน้ายิ้มและทำตัวให้สดใสร่าเริงอยู่เสมอเพื่อให้สมกับภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์สร้างมากว่ายี่สิบปี ไม่อยากจะเชื่อว่าคนพวกนี้ดูไม่ออกเรื่องที่ผมแสร้งยิ้ม หรือไม่ก็เป็นเพราะพวกเขาแสร้งยิ้มให้ผมเช่นเดียวกัน
ทันทีที่คณะดนตรีสดบรรเลงขึ้น ผู้คนภายในงานก็เริ่มสนใจเจ้าภาพน้อยลง ผมฉวยโอกาสนั้นพุ่งตรงไปหาลุงทันที ก่อนจะคว้าข้อมือแกร่งไว้แน่นและลากอีกฝ่ายให้เดินตามมา
“เราจะไปไหนกันครับคุณสี่” ลุงถามด้วยความสงสัยแต่ก็เดินตามผมมาแต่โดยดี
“สวนดอกไม้” ผมพูดชื่อสถานที่นั้นออกไปเสียงเบาเพราะไม่อยากให้ใครคนอื่นได้ยิน
“ไปสวนดอกไม้ตอนนี้เหรอครับ” น้ำเสียงงุนงงของลุงดังขึ้นอีกครั้ง ผมเลยหยุดเดินและหันกลับไปตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ใช่! สี่รู้ว่าวันนี้คนสวนจะตกแต่งสวนดอกไม้ให้สวยที่สุดเพราะเป็นงานวันเกิดของสี่ สี่เลยอยากชวนลุงไปดูดอกไม้ด้วยกัน”
“ชวนไปดูดอกไม้ตอนกลางคืนเนี่ยนะครับ” ลุงกระตุกยิ้มเล็กน้อยพร้อมหรี่ตามองผมราวกับจะสื่อว่าท่าทีของผมดูมีพิรุธ
“เอาน่า ยอม ๆ สี่หน่อยเถอะ” แต่ถึงลุงจะรู้ทันความคิดผม ผมก็ไม่สนใจหรอก...เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะผมชอบลุงยังไงล่ะ! ผมไม่ได้รู้สึกขายหน้าเลยสักนิดที่โดนลุงรู้ทัน
“หึ โอเคครับ” ลุงตอบรับพลางยิ้มอ่อนและมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้พร้อมกับผม
หลังจากแอบเดินลัดเลาะมาทางด้านข้าง ผมและลุงก็มาถึงสวนดอกไม้ในที่สุด กลิ่นของหญ้าที่เพิ่งถูกตัดยังคงสดใหม่และลอยเข้ามาเตะจมูก ผมกวาดสายตามองรอบทิศเพื่อหามุมดี ๆ
ท่ามกลางความเงียบสงบ สายลมเย็นสบายในยามกลางคืนพัดโชยมาปะทะกับร่างกายเป็นระลอก มอบความรู้สึกสดชื่นและเหงาใจในเวลาเดียวกัน ผมเงยหน้ามองตรงแปลงดอกไม้แปลงหนึ่ง
แปลงนี้เป็นดอกไม้ที่ผมปลูกเอง ฟังดูไม่เข้ากับผมเลยใช่ไหม เด็กผู้ชายที่เติบโตจากครอบครัวอันตราย มีหน้าที่ดูแลอาวุธเลวร้าย แต่กลับมาปลูกดอกไม้หรือฝักใฝ่หาความรักในชีวิต...
“เป็นไง...สวยอย่างที่สี่บอกไหม” แม้จะรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ ไม่มีดอกไม้ดอกไหนในสวนจะเบ่งบานให้ได้เชยชม แต่ผมก็ยังอยากเอ่ยถามอีกฝ่ายราวกับต้องการคำปลอบโยน
ขณะเดียวกันก็ทำได้แค่จ้องมองไปยังแปลงดอกไม้ที่ตัวเองหวงแหนอย่างไม่ละสายตา ภายในความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่านทีละน้อย...คงต้องโทษบรรยากาศสินะที่เป็นใจ
“สวยมากครับ” วินาทีที่ผมได้ยินคำตอบจากลุง ผมรู้สึกได้ทันทีว่าดวงตาเรียวมีน้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้า คงเป็นความรู้สึกอิ่มใจและตื้นตัน ก่อนจะคิดได้ว่าดีจังที่ผมมีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างกาย
“ไปนั่งที่ศาลาตรงนั้นกันเถอะลุง” ผมชี้นิ้วไปยังศาลาที่ขาวที่หลบซ่อนอยู่หลังเงาต้นไม้ใหญ่ริมขอบสวน ก่อนจะเดินนำไป
“สบายใจขึ้นหรือยังครับ” ลุงถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ หลังจากที่เราสองคนมาถึงศาลา
“อื้อ! ขอบคุณมากนะลุง” ผมพยักหน้างึกงักอย่างอารมณ์ดี
“เห็นคุณสี่ยิ้มได้ ผมก็ดีใจครับ”
“แปลงดอกไม้ที่เราเดินผ่านก่อนหน้านี้เป็นของสี่เอง”
“ผมไม่เคยเห็นคุณสี่ปลูกดอกไม้เลยครับ” ลุงดูแปลกใจมาก
“สี่ปลูกในช่วงแรกที่เริ่มจัดสวนดอกไม้ใหม่น่ะ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้คนสวนดูแล” ผมอธิบายพลางนึกถึงความหลัง
“คุณสี่ปลูกดอกอะไรไว้ครับ” ผมไม่ทันสังเกตเลยว่าลุงเริ่มสนใจเรื่องเกี่ยวกับผมมากขึ้นขนาดนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ดอกแดนดิไลออน”
“...ขอโทษนะครับ ผมไม่รู้จักดอกไม้เท่าไหร่ ว่าแต่ทำไมถึงปลูกดอกไม้ชนิดนี้ล่ะครับ” ลุงเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมา
“เพราะความหมายนน่ะ ดอกแดนดิไลออนเป็นดอกไม้แห่งความรักที่พระเจ้าบันดาลให้ เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่จริงใจและบริสุทธิ์เหมือนกับกลีบที่เบาบางน่าปกป้องและน่าทะนุถนอม”
“น่าทะนุถนอมเหมือนคุณสี่เลยครับ”
“ลุงพูดแบบนี้ สี่ดีใจนะเนี่ย! จะว่าไป บางประเทศก็เชื่อว่าถ้าเราตั้งใจอธิษฐานและเป่าปุยเมล็ดของแดนดิไลออนให้หลุดไปทั้งหมดได้ในครั้งเดียว คำขอของเราจะเป็นจริงในสักวันหนึ่ง”
“คุณสี่เคยลองอธิษฐานไหมครับ”
“ยังไม่เคยเลย ไว้สักวันจะลองดู” ผมพูดพลางส่ายหน้ารัว ๆ
“แต่ถือเป็นดอกไม้ที่มีความหมายดีมากเลยนะครับ”
“ที่สี่พูดไป...เป็นสิ่งที่สี่เพิ่งมารู้ทีหลังน่ะ สี่ปลูกแดนดิไลออนเพราะมันสามารถล่องลอยไปกับสายลมได้อย่างอิสระ ไม่มีใครรู้ว่าจะลอยไปได้ถึงไหนหรือจะร่วงลงพื้นเมื่อไหร่”
“...” ลุงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ทว่าสายตาของลุงยังคงจับจ้องมาที่ผมอยู่เสมอราวกับกำลังสื่อความในใจอะไรบางอย่าง
“สี่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น สี่อยากมีความสุข โดยไม่ต้องผูกติดตัวเองไว้กับครอบครัว...ก็นะ เรื่องในสมัยเด็กค่อนข้างฝังใจน่ะ”
“ขอโทษนะครับที่ผมไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า ขอให้คุณสี่ผูกติดตัวเองไว้ที่ผมหรือผมจะทำให้คุณสี่มีความสุขเอง เพราะตัวผมก็เต็มไปด้วยจุดด่างพร้อยมากมาย”
“...ลุง”
“แต่ถึงยังไงผมก็เข้าใจความรู้สึกของคุณสี่ครับเพราะผมเองก็มีความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่ได้ดีมากนัก”
“แค่เข้าใจก็พอแล้วล่ะ” ผมยิ้มอ่อนให้กับการปลอบใจนั้น ก่อนจะพูดขออะไรบางอย่างจากอีกฝ่าย
“ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันเกิดสี่ สี่ขอของขวัญหน่อยสิ”
“ขอโทษครับคุณสี่ ผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้คุณสี่เลย”
“ลุงจูบสี่หน่อยได้ไหม” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลุง
“ที่ผ่านมา เรามีอะไรกันก็หลายครั้ง...แต่ยังไม่เคยจูบกันเลย อย่างน้อยก็ถือซะว่าให้สิ่งนั้นเป็นของขวัญวันเกิดสี่ในปีนี้นะ”
สิ้นสุดประโยค มือแกร่งของซาเหรินก็จับและตรึงท้ายทอยของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะประกบริมฝีปากหนาของตัวเองบดเบียดเข้ากับริมฝีปากสวยของอีกฝ่าย
ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปเก็บเกี่ยวความหอมหวานที่หลบซ่อนอยู่ในภายโพรงปากเล็กอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน แล้วทั้งคู่ก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางสวนดอกไม้ภายใต้แสงจันทร์อันอบอุ่น
.
.
.