ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1 - ตอนที่ 6 ความน่ากลัวเหนือขอบประตู โดย Kevinth M. PoTae @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1 โดย Kevinth M. PoTae @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง

ผู้แต่ง

Kevinth M. PoTae

เรื่องย่อ

อธิบาย/เรื่องย่อ

นามปากกา : Kevinth M. PoTae

วาดปก (เล่ม 1) : strawberriblood

...

.

หลี่อี้ เข้าเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในเฉิงตู แล้วได้เจอกับร้านชาลึกลับติดกับป่าช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักของตน

ร้านแห่งนี้จะเปิดหลังเที่ยงคืน แต่กลับขายดีมาก เพราะมีนักเที่ยวกลางคืนมานั่งกินกันมากมายจนดูครึกครื้น แต่ในทุกคืนวันขึ้น 4 ค่ำนั้น จะเป็นวันที่ประตูผีเปิดออก เพื่อเปิดโอกาสให้วิญญาณที่รับโทษแล้วได้กลับขึ้นมาเกิด นั่นจึงทำให้มีวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีเล็ดลอดออกมาได้

ทำให้หลังจากวันนั้น หลี่อี้ก็จะถูกวิญญาณร้าย และพบเห็นร่างไร้วิญญาณอยู่เรื่อย ๆ หลี่อี้จึงพาตัวเองไปทำงานพิเศษที่นั่นเพื่อตามหาความจริง แล้วได้พบว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็คือ คุณนายเมิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ที่เป็นคนทำเรื่องราวทั้งหมดนี้…

นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน ดังนั้นตัวละคร/สถานที่/เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง จึงถูกสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทุกคำพูด ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…

ฝากเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยการกดไลก์ คอมเมนต์ และกดเข้าชั้นหนังสือด้วยนะครับ

 

ฝากช่องทางการติดต่อไว้ด้วยนะครับ^^

Threads : mungkorn_kevinth

Twitter : Kevinth_M

Tiktok : kevinth_m.author

Facebook : kevinthm.author

 

สารบัญ

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 1 งานพิเศษ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 2 ร้านธรรมดาที่มีความไม่ธรรมดา,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 3 หวังซู,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 4 ดาราที่ทู่เอ๋อชื่นชอบ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 5 หญิงสาวชุดแดง,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 6 ความน่ากลัวเหนือขอบประตู,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 7 ทู่เอ๋อเสิน…เทพแห่ง LGBTQ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 8 เสี่ยวมู่จื่อ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 9 วิญญาณลักพาตัว,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 10 หวังปว๋อและเป่าเหลียน,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 11 ดวงตาพิเศษ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 12 เพื่อนรักแต่วัยเยาว์ (จบเล่ม 1)

เนื้อหา

ตอนที่ 6 ความน่ากลัวเหนือขอบประตู

ตอนที่ 6

ความน่ากลัวเหนือขอบประตู

 

“แว๊กกกกกกกกกกก ปีศาจ ๆ”

“หลี่อี้ เดี๋ยวก่อน…ใจเย็น ๆ ตั้งสติก่อน ที่นี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น นายลองมองดี ๆ สิ ที่นี่คือห้องของนายยังไงล่ะ”

หวังซูรีบเข้ามาคว้าตัวของหลี่อี้เอาไว้ เมื่อหลี่อี้รู้สึกตัวและโวยวายจนแทบสิ้นสติไปอีกครั้ง แล้วทำท่าจะลุกหนีไป เพราะกลัวว่าเพื่อนรักของตนจะตกใจจนคุมสติไม่อยู่ แล้วจะวิ่งหนีจนทะลุกระจกออกไปที่ระเบียงบ้านจนตกลงไปบาดเจ็บไปเสียอีก

“หวังซู ฉันเจอปีศาจ นายต้องไม่เชื่อแน่ ๆ เลย ฉันรู้แล้วว่าที่ร้านนั้นมันคือที่แบบไหน ที่นั่นมีปีศาจจิ้งจอก ฉันเห็น ๆ”

“นายใจเย็นก่อนเถอะ ฉันว่านายต้องฝันไปแล้วแน่ ๆ ฉันเองก็อยู่กับนายที่นั่น ถ้ามันมีปีศาจจริง ๆ ทำไมฉันถึงไม่เห็นล่ะ?”

หวังซูที่พยายามครองสติของเพื่อนเอาไว้ไม่ให้เตลิด ด้วยการโกหกคำโตนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่หวังซูจะทำได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วในเวลานี้

“ไม่ ฉันไม่ได้ฝัน ฉันเห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น นายดูที่คอของฉันสิยังเจ็บอยู่เลย”

“ทำไมจะไม่เจ็บล่ะ ก็นายเดินสะดุดแล้วดันไปฟาดเข้ากับโซฟาตัวใหม่สีแดงที่เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งจะซื้อมา แต่ฉันทายาให้นายแล้วอีกเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น นายอย่าคิดมากเลยน่า”

“แต่ว่า…ก็นี่ไงนายไม่เห็นเหรอ นี่มันรอยบีบชัด ๆ ทำไมถึงจะไม่ใช่ล่ะ?”

หวังซูไม่ตอบอะไร แต่หันไปหยิบกระจกบานเล็กที่วางอยู่ด้านหลังมายื่นให้กับหลี่อี้ที่กำลังสติแตก หลี่อี้รับกระจกนั้นมาดูเพื่อให้คลายสงสัย

แต่แล้วสิ่งที่น่าประหลาดนั่นก็คือ ที่คอของหลี่อี้นั้นกลับไม่มีรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่มีบาดแผล อันที่จริงตอนนี้ไม่เจ็บเลยด้วยซ้ำ 

“ทำไม ไม่มีอะไรเลยล่ะ แถมยังไม่เจ็บเลยสักนิด”

“ก็มันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกยังไงล่ะ จุดที่นายควรจะรู้สึกเจ็บจริง ๆ คือตรงนี้ต่างหากล่ะ”

พูดจบหวังซูก็เปิดผ้าห่มส่วนที่คลุมขาของหลี่อี้ออก เพื่อเผยให้เห็นบาดแผลที่แท้จริง

“ฮะ นี่มันอะไรกัน ทำไมฉันถึงมีแผลที่หัวเข่าได้ล่ะ?”

“ก็ฉันบอกแล้วไง ว่านายน่ะหมดสติไปเพราะเดินสะดุดเข้ากับโซฟาสีแดงนั่น จนหัวของนายอาจไปฟาดเข้ากับอะไรโดยที่ไม่ทันมอง ส่วนเข่านี่ก็คงจะไปกระแทกกับพื้นตอนล้มนั่นแหละ ทู่เอ๋อกับพี่หลิงเซียงช่วยนายเอาไว้ แล้วเอานายมาส่งที่นี่ยังไงล่ะ”

.

.

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ?”

“อ้าวพี่หลิงเซียง พี่มาได้ยังไงครับเนี่ย?”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกันอยู่ หลิงเซียงก็เดินเข้ามาในห้องนอนของหลี่อี้พร้อมกับอาหารที่จัดใส่จานมาเป็นอย่างดี และแก้วน้ำที่มีน้ำสีแดงชมพูประหลาดอยู่ในนั้น

“ก็ฉันกับทู่เอ๋อเป็นคนพาเธอมาส่งที่นี่ ฉันก็เลยอาสาอยู่ดูแลเธอยังไงล่ะ ส่วนทู่เอ๋อก็กลับไปจัดการเรื่องกวนใจที่ร้านน่ะ…”

“เรื่องกวนใจงั้นเหรอครับ?”

.

.

“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าทำร้ายเด็กคนนั้น”

หญิงวัยกลางคนสวยสง่าในชุดกี่เพ้าสีดำสนิทเดินโบกพัดไปมาระหว่างที่กำลังชำระความกับคนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านั่นด้วยความสั่นกลัว

“แต่นายหญิงเจ้าขา ข้าไม่รู้จริง ๆ นะเจ้าคะ ว่านั่นคือคนที่นายหญิงต้องห้าม หากข้ารู้…”

“หากเจ้ารู้ เจ้าก็จะไม่ทำอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ ค่ะนายหญิง ได้โปรดยกโทษให้ข้าเถิด อย่าทำอะไรข้าเลย หากพี่ต๋าจีรู้เรื่องนี้พี่ต๋าจีก็คงจะ...”

จิ้งจอกสาวที่แม้ท่าทางในตอนนี้จะดูหวาดกลัว แต่ในใจที่แท้แล้วกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด เพราะถือว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับต๋าจี หากเกิดอะไรขึ้น ต๋าจีคงจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ และคุณนายเมิ่งเองก็รู้ถึงข้อนี้ดี

“นังจิ้งจอกชั้นต่ำ นี่เจ้าคิดจะเอาต๋าจีมาขู่ข้าเช่นนั้นหรือ?”

“ข้าเปล่านะเจ้าคะ ข้าเพียงจะบอกว่า พี่ต๋าจีอาจจะเสียใจหากรู้ว่าข้าไม่เชื่อฟังจนเกิดภัยเช่นนี้เจ้าค่ะ”

 “เจ้าอย่าหวัง ว่าคำพูดล่อลวงของเจ้าจะทำให้ข้าใจอ่อนลงได้ ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าหากใครมาทำผิดในที่ของข้า มันผู้นั้นจะไม่มีวันรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ตลอดไป…”

พูดจบ…เมิ่งถานฮวาก็ใช้นิ้วชี้แตะลงไปที่หว่างคิ้วของนางปีศาจจิ้งจอกที่ละเมิดกฎ จนทำให้ร่างกายของจิ้งจอกสาวค่อย ๆ กลายเป็นหมอกควัน…“กรี๊ดดดดดดดด”...และจางหายไปราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

.

.

“หวังซู นั่นนายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ กลิ่นหอมดีจัง?”

หลี่อี้เมื่อได้พักผ่อนจนรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น ก็ลุกออกจากที่นอนเพื่อตามกลิ่นหอมนั้นลงไปด้านล่าง หลังจากที่หลับไปเพราะฤทธิ์ยาเมื่อตอนเที่ยง

หวังซูกำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัว กลิ่นหอมฉุยลอยออกมาเตะจมูกของหลี่อี้ที่นั่งรออยู่ตรงโต๊ะอาหาร เพราะไม่อยากเข้าไปเกะกะในสภาพวิงเวียนแบบนี้

“นายตื่นแล้วเหรอ มาสิ ฉันไปซื้อไก่ดำมาต้มให้นายน่ะ…”

“ไก่ดำงั้นเหรอ?”

“ใช่ ฉันเอามาต้มเป็นน้ำแกงใส่หอมใหญ่แล้วก็ต้นหอมต้นใหญ่ของญี่ปุ่น นายจะกินเลยมั้ยเสร็จพอดีเลย”

“หูยน่ากินจัง…ฉันกำลังหิวอยู่พอดีเลย”

หวังซูยกน้ำแกงมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับอาหารอีกสองสามอย่าง ราวกับว่ากำลังนั่งอยู่ในร้านเหลาอย่างไรอย่างนั้น

“โห นี่นายทำเองหมดเลยเหรอ?”

“เปล่าหรอก ฉันทำแค่ต้มไก่น่ะ ส่วนที่เหลือก็พวกเพื่อนที่ร้านของนายเขาส่งมาให้น่ะ”

“พี่หลิงเซียงน่ะเหรอ?”

“เปล่าหรอก ทู่เอ๋อน่ะ…” หลี่อี้ต้องประหลาดใจในคำตอบนั้น เมื่อได้ยินว่าใครเป็นคนส่งมา

“ฮะ…อะไรนะ นายแน่ใจนะว่านายฟังไม่ผิดน่ะ”

“ไม่ใช่แค่ฟังไม่ผิด แต่ฉันเห็นกับตา เพราะเขาเป็นคนเอามาส่งด้วยตัวเอง”

“ส่งด้วยตัวเองงั้นเหรอ?”

“ทำไม นายไม่ชอบเขาหรือไง?”

“เปล่าเลย เขาต่างหากที่ไม่ชอบฉัน ตั้งแต่วันแรกที่ฉันทำงาน เขาดูเหมือนจะเอาแต่แขวะฉันอยู่ทุกนาทีเลย แต่ฉันชอบเขานะ”

“ถึงนายจะบอกแบบนั้น แต่ฉันว่านายน่าจะหางานอย่างอื่นทำนะ ฉันไม่สบายใจเลยสักนิดที่นายต้องไปอยู่ที่นั่นน่ะ”

“นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่า ฉันดูแลตัวเองได้…”

“...ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้”

“ฮะ…นายว่าอะไรนะ?”

“อ้อ เปล่า ๆ ๆ นายรีบกินเถอะ เดี๋ยวจะได้กินยา แล้ววันนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานหรอก พักที่นี่อีกวัน ทู่เอ๋อเขาอนุญาตให้นายลาเรียบร้อยแล้ว”

“น่าแปลก…”

“แปลกอะไรงั้นเหรอ?”

“ก็ที่ร้านชานั่นน่ะ คนที่เป็นเจ้าของจริง ๆ คือเถ้าแก่เนี้ยเมิ่งถานฮวา แต่นี่ก็เข้าวันที่สี่แล้ว ฉันกลับยังไม่เคยได้คุยกับเถ้าแก่เนี้ยจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง”

“ฉันไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน ถ้ายายเมิ่งนั่นออกมาตอนกลางวันสิถึงจะแปลก”

“เมื่อกี้นายเรียกเถ้าแก่เนี้ยว่ายายเมิ่งงั้นเหรอ?”

“อ้อ ฉันหมายถึงคุณนายเมิ่งน่ะ” หวังซูตอบแก้แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับว่าไม่อยากตอบ แต่หลี่อี้ค่อนข้างแน่ใจว่าเมื่อครู่ตนไม่ได้หูเพี้ยนอย่างแน่นอน

.

.

พรึบ…

“เฮ่ย ทำไมอยู่ ๆ ไฟถึงดับได้ล่ะ ฉันว่าฉันก็จ่ายค่าไฟแล้วนะ”

“คงไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก น่าจะเพราะว่าข้างนอกฝนตก ไฟก็เลยดับน่ะ”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะไปหยิบเทียนนะ”

“ไม่ต้อง นายเก็บไว้ตรงไหนเดี๋ยวฉันไปเอาให้ นายกินข้าวต่อเถอะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า นี่บ้านฉัน หลับตาเดินยังได้เลย ฉันไปหยิบเองน่าจะสะดวกกว่า” พูดจบหลี่อี้ก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกของหวังซูที่พยายามเรียกรั้งเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง

.

.

“นี่มันกลิ่นอะไร ทำไมถึงได้น่าขนลุกขนาดนี้…”

ในขณะที่หลี่อี้กำลังเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อหยิบเทียนไปจุด แล้วอยู่ ๆ หลี่อี้ก็ได้กลิ่นของบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมา

บรรยากาศภายในห้องนอนที่ใช้พักผ่อนในทุกค่ำคืน วันนี้ดูเหมือนว่าจะต่างออกไปจากทุกครั้ง เสียงฟ้าฝนที่กำลังคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ด้านนอก ฟ้าแลบแปลบ ๆ สะท้อนเงาของเสาไฟฟ้าให้ดูน่ากลัวยิ่งกว่าทุกวัน

“ทำไมอากาศถึงได้หนาวมากขนาดนี้กันนะ…”

“หลี่อี้!!!…นายอยู่ไหน?”

ทันใดนั้น หวังซูก็ส่งเสียงเรียกหาหลี่อี้ดังมาจากข้างนอกนั้น หลี่อี้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาโดยไม่ทันได้คิด ว่าการที่หวังซูเรียกหาตนด้วยน้ำเสียงนั้น มันหมายถึงอะไร

“ฉันอยู่ในห้อง…”

“ให้ฉันเข้าไปได้มั้ย?”

“นายก็เข้ามาสิ จะขอฉันทำไม…”

แล้วทุกอย่างก็เงียบไป ไม่มีเสียงของหวังซู มีแค่เสียงของลูกบิดประตูที่ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามา หลี่อี้หันไปมองตามเสียงนั้นแต่กลับไม่เห็นใคร ไม่มีแม้แต่เงาหรือเสียงของหวังซูที่ส่งเสียงเรียกก่อนหน้านี้

“หวังซู นั่นนายเหรอ…”

หลี่อี้หยั่งเชิงถามไปเผื่อว่าเพื่อนรักของตนจะแกล้งเล่นเพราะหวังซูรู้ดีว่าหลี่อี้นั้นกลัวผีเป็นที่สุด

“หวังซู อย่าทำแบบนี้สิ ฉันกลัวนะ…ว้ากกกกกกก

หลี่อี้ถึงกับหงายหลังถอยกรูดออกมายังที่นอน เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปยังขอบประตูด้านบน แล้วพบว่ามีคนกำลังห้อยโหนอยู่เหนือขอบประตู ไม่สิ นั่นไม่ใช่คน ด้วยสภาพที่เห็นแล้ว หากเป็นคน ก็น่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วเสียมากกว่า

“ช่วยด้วย!!!”

.

.