ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1 - ตอนที่ 3 หวังซู โดย Kevinth M. PoTae @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1 โดย Kevinth M. PoTae @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง

ผู้แต่ง

Kevinth M. PoTae

เรื่องย่อ

อธิบาย/เรื่องย่อ

นามปากกา : Kevinth M. PoTae

วาดปก (เล่ม 1) : strawberriblood

...

.

หลี่อี้ เข้าเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในเฉิงตู แล้วได้เจอกับร้านชาลึกลับติดกับป่าช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักของตน

ร้านแห่งนี้จะเปิดหลังเที่ยงคืน แต่กลับขายดีมาก เพราะมีนักเที่ยวกลางคืนมานั่งกินกันมากมายจนดูครึกครื้น แต่ในทุกคืนวันขึ้น 4 ค่ำนั้น จะเป็นวันที่ประตูผีเปิดออก เพื่อเปิดโอกาสให้วิญญาณที่รับโทษแล้วได้กลับขึ้นมาเกิด นั่นจึงทำให้มีวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีเล็ดลอดออกมาได้

ทำให้หลังจากวันนั้น หลี่อี้ก็จะถูกวิญญาณร้าย และพบเห็นร่างไร้วิญญาณอยู่เรื่อย ๆ หลี่อี้จึงพาตัวเองไปทำงานพิเศษที่นั่นเพื่อตามหาความจริง แล้วได้พบว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็คือ คุณนายเมิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ที่เป็นคนทำเรื่องราวทั้งหมดนี้…

นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน ดังนั้นตัวละคร/สถานที่/เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง จึงถูกสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทุกคำพูด ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…

ฝากเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยการกดไลก์ คอมเมนต์ และกดเข้าชั้นหนังสือด้วยนะครับ

 

ฝากช่องทางการติดต่อไว้ด้วยนะครับ^^

Threads : mungkorn_kevinth

Twitter : Kevinth_M

Tiktok : kevinth_m.author

Facebook : kevinthm.author

 

สารบัญ

โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 1 งานพิเศษ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 2 ร้านธรรมดาที่มีความไม่ธรรมดา,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 3 หวังซู,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 4 ดาราที่ทู่เอ๋อชื่นชอบ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 5 หญิงสาวชุดแดง,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 6 ความน่ากลัวเหนือขอบประตู,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 7 ทู่เอ๋อเสิน…เทพแห่ง LGBTQ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 8 เสี่ยวมู่จื่อ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 9 วิญญาณลักพาตัว,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 10 หวังปว๋อและเป่าเหลียน,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 11 ดวงตาพิเศษ,โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1-ตอนที่ 12 เพื่อนรักแต่วัยเยาว์ (จบเล่ม 1)

เนื้อหา

ตอนที่ 3 หวังซู

ตอนที่ 3

หวังซู

 

“หลี่อี้…นี่นายเป็นอะไร? ฉันเห็นนายยืนเหม่อมาสักพักแล้ว สีหน้าอิดโรยขนาดนี้ อย่าบอกนะว่านายได้งานใหม่แล้วน่ะ…”

หวังซู…คือเพื่อนในที่ทำงานเก่าของหลี่อี้ ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยเท่าที่มี เพราะทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเสียด้วย ‘ก็ใครจะอยากรู้จักกับเด็กกำพร้าฐานะปานกลางค่อนไปทางต่ำต้อยอย่างผมกันเล่า…จริงมั้ย’

.

.

“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันได้งานแล้วน่ะ?”

“ไม่รู้สิ ก็ฉันเห็นนายยืนเหม่อตั้งแต่เข้ามาในชั้นเรียนแล้ว อย่าหักโหมมากนักเลยน่า ถึงนายจำเป็นจะต้องใช้เงิน แต่ถ้าร่างกายเหนื่อยขนาดนี้นายจะไม่สบายเอาได้นะ”

หวังซู ชายหนุ่มผมสีดำแซมน้ำตาลทอง ตบบ่าของหลี่อี้เบา ๆ ก่อนที่จะเอาบะหมี่ผักออกมาวางตรงหน้าของหลี่อี้ตอนพักเที่ยง

ทั้งสองออกมาหาอะไรกินกันข้างนอกที่ร้านบะหมี่ต้าเมี่ยนที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัยที่ทั้งสองเรียนอยู่เพียงสองป้ายรถเมล์ ตั้งอยู่ตรงถนนโซ่วหลุน ซึ่งไม่ไกลกันมากกับบ้านที่หลี่อี้อยู่อาศัย ระยะทางห่างกันเท่ากับร้านเมิ่งฉาที่ทำงานใหม่ของหลี่อี้อย่างพอดิบพอดีแบบเป๊ะ ๆ

“ที่นายพูดมานั่นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ว่านายคิดไปเองหรือไง?” หวังซูเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ ราวกับว่าไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่หลี่อี้พูดมากนัก

“ใช่สิ ฉันจะโกหกไปทำไม ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ฉันเริ่มทำงานในร้านนั้น ฉันก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่พี่ทู่เกอ พนักงานคนที่เป็นรุ่นพี่ของฉันในร้านนั้น ก็ดูไม่ค่อยจะมีความรู้สึกสักเท่าไหร่ อย่างกับคนที่ไม่มีวิญญาณอย่างนั้นแหละ จนเมื่อฉันได้เจอกับเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้าน ฉันก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นและความรู้สึกที่เย็นชาจนน่าขนลุก มันถึงทำให้ฉันสงสัยไง ว่าที่ร้านนั้นมันต้องมีอะไรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะอยู่ได้ยังไงหากไม่มีลูกค้าเลยสักคน”

“นายเองก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ร้านนั้นน่ะเขาจะมีลูกค้ามาตอนหลังเที่ยงคืน บางทีนั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาทำเงินของเขาก็ได้นะ”

“แต่นายไม่สงสัยหรือไง ว่าลูกค้าแบบไหนจึงจะมานั่งดื่มชาหลังเที่ยงคืนแบบนั้น นายดื่มหรือไง?”

“อือ ก็ไม่นะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนอยู่ดี ดูอย่างร้านบะหมี่นี่สิ เปิดตั้งแต่ตอนเช้าถึงตีสาม มันก็เวลาเดียวกับร้านชานั่นเลยไม่ใช่เหรอ?” หวังซูพยายามออกความเห็นค้านข้อสงสัยของหลี่อี้เพื่อนสนิท

“แต่อย่างน้อย ที่นี่ก็ยังชัดเจนว่าเปิดเพื่อรองรับนักเที่ยวที่ออกมาหาอะไรกินก่อนกลับบ้านไง อีกอย่างแถวนี้ก็ยังมีแหล่งบันเทิงรายล้อม มันก็ยังสมเหตุสมผล แต่ที่นั่นมันทั้งห่างไกล ทั้งยังเป็นซอยที่แทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่าน ในเวลาแบบนั้น นักเที่ยวที่ไหนจะกล้าเดินเข้าไป”

“ฉันว่านายคิดมากไปแล้วล่ะ แต่ก็นะ ถ้านายสงสัยขนาดนั้น ทำไมนายถึงไม่แอบไปดูล่ะ” หวังซูแกล้งยุส่ง ๆ ไปงั้น แต่ใครจะคิด ว่าสิ่งนี้มันกลับจุดประกายหลี่อี้ให้กลับคิดขึ้นมาได้ในสิ่งที่หวังซูพูด

.

.

“ฉันรู้สึกเหมือนว่าวันนี้นายจะไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเลยนะ”

วันต่อมาเมื่อหลี่อี้มาทำงานตามปกติ ในหัวสมองก็ได้แต่คิดในสิ่งที่หวังซูพูด ที่ว่า ให้หลี่อี้ลองซุ่มดูความเคลื่อนไหวของร้านในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน

นั่นจึงทำให้หลี่อี้เผลอใจลอยไปชั่วขณะ อันที่จริง ถือว่าวันนี้หลี่อี้ใจลอยอยู่บ่อยครั้งเลยทีเดียว ซึ่งมันไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับการเริ่มทำงานได้เพียงแค่สองวัน

“ผมเหรอครับ ก็…ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมก็แค่คิดเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” หลี่อี้พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนึกคิด ที่กำลังประมวลผลอยู่ข้างใน แต่นั่นมันกลับไม่เนียนเอาเสียเลย มันยิ่งกลับทำให้ทู่เอ๋อยิ่งจับสังเกตหลี่อี้มากยิ่งขึ้น

“ดูเหมือนว่างานกะกลางวันมันคงจะว่างเกินไปสินะ เธอถึงมีเวลาไปเถลไถลในความคิดแบบนี้ได้”

.

.

‘เถลไถลในความคิดงั้นเหรอ คนปกติใครเขาพูดแบบนี้กัน มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’ หลี่อี้ลอบประเมินคำพูดนั้นในใจ

“อ้อ วันมะรืนนายไม่ต้องมาทำงานหรอกนะ…”

“ทำไมล่ะครับ ผมเพิ่งจะทำงานได้แค่สองวันเอง หรือว่าร้านปิดประจำสัปดาห์งั้นเหรอครับ?”

“ใช่ ฉันบอกนายล่วงหน้า เผื่อว่าวันนั้นนายจะมีแผนทำอะไรเป็นพิเศษน่ะ”

“ว่าแต่ทู่เกอมีแผนจะไปไหนหรือเปล่าล่ะครับ จริงสิ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ทู่เกอพักอยู่ที่ไหน?”

“นายไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอกน่า เชื่อเถอะว่านายไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก…”

.

.

หลังเลิกงาน 01:44 a.m.

‘นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ยถึงได้มาที่นี่ในเวลาแบบนี้ได้’

ในที่สุด ความสงสัยก็พาหลี่อี้มาถึงที่นี่ตามที่หวังซูแนะนำจนได้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เพราะหวังซูเสียทีเดียวหรอก แต่มันเป็นเพราะหลี่อี้เองนี่แหละ ที่อดทนกักเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้

จักรยานคันเก่าถูกจอดเอาไว้ที่ปากซอย เพราะกลัวว่ามันจะเสียงดังจนคนที่อยู่ข้างในได้ยิน ซอยที่ทั้งเงียบและเปลี่ยวขนาดนี้ มีบ้านอยู่แค่ไม่กี่หลังแถมยังตั้งอยู่ห่าง ๆ กันขนาดนี้ หากปั่นเจ้าแก่เข้ามาคงได้ดังเอี๊ยดอ๊าดลั่นซอย

“เงียบจัง คงกลับกันหมดแล้วสินะ”

หลี่อี้พึมพำกับตัวเองเมื่อจ้องมองเข้าไปในร้านที่ปิดสนิทแล้วแต่กลับไม่เจอกับอะไร…พรึบ

“นั่นใครน่ะ!!!”

เสียงนั้นดังจนลูกจ้างหนุ่มที่กำลังลอบมองร้านของตัวเองหลังเลิกงานต้องหันกลับไปมอง มันคือเสียงกระพือปีกของอะไรสักอย่างตรงพุ่มไม้นั่น หลี่อี้แน่ใจว่ามันไม่น่าจะใช่นกหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน เพราะเสียงนั้นมันดังมากจนคิดได้ว่า หากนั่นคือเสียงกางปีกจริง ๆ มันคงสามารถพาคนทั้งคนลอยขึ้นไปบนอากาศได้ทีเดียว

จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับออกมา ‘หรือเราหูฝาดไปเองกันแน่นะ’ หลี่อี้คิดในใจ

“ช่างเถอะ รีบกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนอีก วันหลังค่อยว่ากันก็แล้วกัน”

“นายทำอะไรน่ะ!!!”

“แว๊กกกกกกกกกก…หวังซู?”

“ก็ใช่น่ะสิ นายคิดว่าเป็นใครกันล่ะ”

“แล้วฉันจะรู้หรือไง เวลาแบบนี้อยู่ ๆ ก็มีคนมาจี้จากด้านหลังฉันก็คิดว่าเป็นโจรน่ะสิ แล้วนายตามฉันมาทำไมกันเนี่ย?”

“ก็ฉันเป็นห่วงนายน่ะสิ ว่าแต่นายคิดว่าฉันเป็นโจรจริง ๆ งั้นเหรอ แต่จากสีหน้าของนายตอนตกใจแล้ว ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ”

“ก็ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะเป็นแบบไหนกันล่ะ?”

“หน้านายเหมือนกำลังตกใจอะไรสักอย่าง ที่มันน่ากลัวมาก ๆ อย่างเช่น…ผี…”

“บ้าน่า ใครเขาให้พูดแบบนี้ในเวลาแบบนี้กันล่ะ”

“หรือไม่ใช่ล่ะ ก่อนหน้านี้นายเห็นอะไรกันแน่?”

“ไม่รู้สิ ฉันได้ยินเสียง…ปีก”

“ปีกงั้นเหรอ นกฮูกล่ะมั้ง”

“ฉันก็อยากจะคิดงั้น แต่ความรู้สึกของฉันน่ะ เหมือนมันจะใหญ่มากเลยนะ”

“ก็ถ้ามันใหญ่ขนาดนั้น แล้วตอนนี้มันอยู่ตรงไหนกันล่ะ?”

“ไม่มีไง ฉันได้ยินแค่เสียง”

“หรือนายอาจจะหูฝาดไปเอง…”

“อืมช่างเถอะฉันง่วงมากแล้วเรากลับบ้านไปนอนกันเถอะ”

“เฮ้ย งั้นคืนนี้ฉันนอนที่บ้านนายนะ”

หวังซูวิ่งตามหลี่อี้มาโดยไม่สนใจคำตอบ เพราะความที่ทั้งสองสนิทกันมากจนแทบไม่ต้องพูดอะไร หวังซูเองก็มานอนที่บ้านของหลี่อี้อยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

.

.

เช้าวันต่อมา

“หวังซู ตื่นได้แล้วน่า นี่มันสายมากแล้วนะ”

“อือออออ อีกหน่อยได้มั้ย ฉันเพิ่งจะได้นอนเองนะ”

“นายต้องไปเข้าคลาสตอนเก้าโมงนะ นี่ก็แปดโมงแล้วเดี๋ยวนายจะเตรียมตัวไม่ทันนะ”

“อีกตั้งชั่วโมงนึง นายจะรีบไปไหนเนี่ย?”

“ก็ฉันต้องเข้าคลาสตอนแปดโมงครึ่ง เดี๋ยวถ้าฉันออกไปใครจะปลุกนายกันเล่า”

“งั้นนายไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า”

“นายนี่นะ กลางวันงัวเงียกลางคืนตาสว่างอย่างกับพวกค้างคาว…”

หลี่อี้เดินบ่นออกไปจากในห้องนอน แล้วเดินออกไปจากบ้านเพื่อปั่นจักรยานไปเรียนอย่างทุกวัน ปล่อยให้หวังซูเพื่อนรักของตนนอนหลับอุตุอยู่อย่างนั้น

แต่เห็นงัวเงียแบบนั้น เมื่อถึงเวลาเรียน หลี่อี้ก็มักจะเห็นหวังซูไปทันเข้าชั้นเรียนเสมอ เพราะงั้น…ช่างเถอะ ขืนมัวแต่ยืดยาดหลี่อี้เองนี่แหละที่จะไปเรียนสายเสียเอง

.

.