ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง
รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,จีน,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โรงน้ำชาคุณนายเมิ่งหลังเที่ยงคืน เล่ม 1ร้านชาของคุณนายเมิ่งยินดีต้อนรับ ทางร้านมีชาหลากหลายให้ท่านได้ลิ้มลอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่จะทำให้ท่านรื่นรมย์จนลืมหายใจ แต่อย่าดื่มมากไปล่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะกลายเป็นผู้ที่ไร้ลมหายใจไปเสียเอง
อธิบาย/เรื่องย่อ
นามปากกา : Kevinth M. PoTae
วาดปก (เล่ม 1) : strawberriblood
...
.
หลี่อี้ เข้าเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ในเฉิงตู แล้วได้เจอกับร้านชาลึกลับติดกับป่าช้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักของตน
ร้านแห่งนี้จะเปิดหลังเที่ยงคืน แต่กลับขายดีมาก เพราะมีนักเที่ยวกลางคืนมานั่งกินกันมากมายจนดูครึกครื้น แต่ในทุกคืนวันขึ้น 4 ค่ำนั้น จะเป็นวันที่ประตูผีเปิดออก เพื่อเปิดโอกาสให้วิญญาณที่รับโทษแล้วได้กลับขึ้นมาเกิด นั่นจึงทำให้มีวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีเล็ดลอดออกมาได้
ทำให้หลังจากวันนั้น หลี่อี้ก็จะถูกวิญญาณร้าย และพบเห็นร่างไร้วิญญาณอยู่เรื่อย ๆ หลี่อี้จึงพาตัวเองไปทำงานพิเศษที่นั่นเพื่อตามหาความจริง แล้วได้พบว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็คือ คุณนายเมิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ที่เป็นคนทำเรื่องราวทั้งหมดนี้…
นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน ดังนั้นตัวละคร/สถานที่/เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่อง จึงถูกสมมุติขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ทุกคำพูด ทุกตัวละครไม่มีอยู่จริง…โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน…
ฝากเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยการกดไลก์ คอมเมนต์ และกดเข้าชั้นหนังสือด้วยนะครับ
ฝากช่องทางการติดต่อไว้ด้วยนะครับ^^
Threads : mungkorn_kevinth
Twitter : Kevinth_M
Tiktok : kevinth_m.author
Facebook : kevinthm.author
ตอนที่ 3
หวังซู
“หลี่อี้…นี่นายเป็นอะไร? ฉันเห็นนายยืนเหม่อมาสักพักแล้ว สีหน้าอิดโรยขนาดนี้ อย่าบอกนะว่านายได้งานใหม่แล้วน่ะ…”
หวังซู…คือเพื่อนในที่ทำงานเก่าของหลี่อี้ ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยเท่าที่มี เพราะทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเสียด้วย ‘ก็ใครจะอยากรู้จักกับเด็กกำพร้าฐานะปานกลางค่อนไปทางต่ำต้อยอย่างผมกันเล่า…จริงมั้ย’
.
.
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันได้งานแล้วน่ะ?”
“ไม่รู้สิ ก็ฉันเห็นนายยืนเหม่อตั้งแต่เข้ามาในชั้นเรียนแล้ว อย่าหักโหมมากนักเลยน่า ถึงนายจำเป็นจะต้องใช้เงิน แต่ถ้าร่างกายเหนื่อยขนาดนี้นายจะไม่สบายเอาได้นะ”
หวังซู ชายหนุ่มผมสีดำแซมน้ำตาลทอง ตบบ่าของหลี่อี้เบา ๆ ก่อนที่จะเอาบะหมี่ผักออกมาวางตรงหน้าของหลี่อี้ตอนพักเที่ยง
ทั้งสองออกมาหาอะไรกินกันข้างนอกที่ร้านบะหมี่ต้าเมี่ยนที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัยที่ทั้งสองเรียนอยู่เพียงสองป้ายรถเมล์ ตั้งอยู่ตรงถนนโซ่วหลุน ซึ่งไม่ไกลกันมากกับบ้านที่หลี่อี้อยู่อาศัย ระยะทางห่างกันเท่ากับร้านเมิ่งฉาที่ทำงานใหม่ของหลี่อี้อย่างพอดิบพอดีแบบเป๊ะ ๆ
“ที่นายพูดมานั่นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ว่านายคิดไปเองหรือไง?” หวังซูเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ ราวกับว่าไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่หลี่อี้พูดมากนัก
“ใช่สิ ฉันจะโกหกไปทำไม ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ฉันเริ่มทำงานในร้านนั้น ฉันก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่พี่ทู่เกอ พนักงานคนที่เป็นรุ่นพี่ของฉันในร้านนั้น ก็ดูไม่ค่อยจะมีความรู้สึกสักเท่าไหร่ อย่างกับคนที่ไม่มีวิญญาณอย่างนั้นแหละ จนเมื่อฉันได้เจอกับเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้าน ฉันก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นและความรู้สึกที่เย็นชาจนน่าขนลุก มันถึงทำให้ฉันสงสัยไง ว่าที่ร้านนั้นมันต้องมีอะไรแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะอยู่ได้ยังไงหากไม่มีลูกค้าเลยสักคน”
“นายเองก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ร้านนั้นน่ะเขาจะมีลูกค้ามาตอนหลังเที่ยงคืน บางทีนั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาทำเงินของเขาก็ได้นะ”
“แต่นายไม่สงสัยหรือไง ว่าลูกค้าแบบไหนจึงจะมานั่งดื่มชาหลังเที่ยงคืนแบบนั้น นายดื่มหรือไง?”
“อือ ก็ไม่นะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหนอยู่ดี ดูอย่างร้านบะหมี่นี่สิ เปิดตั้งแต่ตอนเช้าถึงตีสาม มันก็เวลาเดียวกับร้านชานั่นเลยไม่ใช่เหรอ?” หวังซูพยายามออกความเห็นค้านข้อสงสัยของหลี่อี้เพื่อนสนิท
“แต่อย่างน้อย ที่นี่ก็ยังชัดเจนว่าเปิดเพื่อรองรับนักเที่ยวที่ออกมาหาอะไรกินก่อนกลับบ้านไง อีกอย่างแถวนี้ก็ยังมีแหล่งบันเทิงรายล้อม มันก็ยังสมเหตุสมผล แต่ที่นั่นมันทั้งห่างไกล ทั้งยังเป็นซอยที่แทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่าน ในเวลาแบบนั้น นักเที่ยวที่ไหนจะกล้าเดินเข้าไป”
“ฉันว่านายคิดมากไปแล้วล่ะ แต่ก็นะ ถ้านายสงสัยขนาดนั้น ทำไมนายถึงไม่แอบไปดูล่ะ” หวังซูแกล้งยุส่ง ๆ ไปงั้น แต่ใครจะคิด ว่าสิ่งนี้มันกลับจุดประกายหลี่อี้ให้กลับคิดขึ้นมาได้ในสิ่งที่หวังซูพูด
.
.
“ฉันรู้สึกเหมือนว่าวันนี้นายจะไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงานเลยนะ”
วันต่อมาเมื่อหลี่อี้มาทำงานตามปกติ ในหัวสมองก็ได้แต่คิดในสิ่งที่หวังซูพูด ที่ว่า ให้หลี่อี้ลองซุ่มดูความเคลื่อนไหวของร้านในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน
นั่นจึงทำให้หลี่อี้เผลอใจลอยไปชั่วขณะ อันที่จริง ถือว่าวันนี้หลี่อี้ใจลอยอยู่บ่อยครั้งเลยทีเดียว ซึ่งมันไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับการเริ่มทำงานได้เพียงแค่สองวัน
“ผมเหรอครับ ก็…ไม่มีอะไรนี่ครับ ผมก็แค่คิดเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” หลี่อี้พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนึกคิด ที่กำลังประมวลผลอยู่ข้างใน แต่นั่นมันกลับไม่เนียนเอาเสียเลย มันยิ่งกลับทำให้ทู่เอ๋อยิ่งจับสังเกตหลี่อี้มากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่างานกะกลางวันมันคงจะว่างเกินไปสินะ เธอถึงมีเวลาไปเถลไถลในความคิดแบบนี้ได้”
.
.
‘เถลไถลในความคิดงั้นเหรอ คนปกติใครเขาพูดแบบนี้กัน มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’ หลี่อี้ลอบประเมินคำพูดนั้นในใจ
“อ้อ วันมะรืนนายไม่ต้องมาทำงานหรอกนะ…”
“ทำไมล่ะครับ ผมเพิ่งจะทำงานได้แค่สองวันเอง หรือว่าร้านปิดประจำสัปดาห์งั้นเหรอครับ?”
“ใช่ ฉันบอกนายล่วงหน้า เผื่อว่าวันนั้นนายจะมีแผนทำอะไรเป็นพิเศษน่ะ”
“ว่าแต่ทู่เกอมีแผนจะไปไหนหรือเปล่าล่ะครับ จริงสิ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ทู่เกอพักอยู่ที่ไหน?”
“นายไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอกน่า เชื่อเถอะว่านายไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก…”
.
.
หลังเลิกงาน 01:44 a.m.
‘นี่เราคิดอะไรอยู่เนี่ยถึงได้มาที่นี่ในเวลาแบบนี้ได้’
ในที่สุด ความสงสัยก็พาหลี่อี้มาถึงที่นี่ตามที่หวังซูแนะนำจนได้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เพราะหวังซูเสียทีเดียวหรอก แต่มันเป็นเพราะหลี่อี้เองนี่แหละ ที่อดทนกักเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้
จักรยานคันเก่าถูกจอดเอาไว้ที่ปากซอย เพราะกลัวว่ามันจะเสียงดังจนคนที่อยู่ข้างในได้ยิน ซอยที่ทั้งเงียบและเปลี่ยวขนาดนี้ มีบ้านอยู่แค่ไม่กี่หลังแถมยังตั้งอยู่ห่าง ๆ กันขนาดนี้ หากปั่นเจ้าแก่เข้ามาคงได้ดังเอี๊ยดอ๊าดลั่นซอย
“เงียบจัง คงกลับกันหมดแล้วสินะ”
หลี่อี้พึมพำกับตัวเองเมื่อจ้องมองเข้าไปในร้านที่ปิดสนิทแล้วแต่กลับไม่เจอกับอะไร…พรึบ…
“นั่นใครน่ะ!!!”
เสียงนั้นดังจนลูกจ้างหนุ่มที่กำลังลอบมองร้านของตัวเองหลังเลิกงานต้องหันกลับไปมอง มันคือเสียงกระพือปีกของอะไรสักอย่างตรงพุ่มไม้นั่น หลี่อี้แน่ใจว่ามันไม่น่าจะใช่นกหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่คุ้นเคยอย่างแน่นอน เพราะเสียงนั้นมันดังมากจนคิดได้ว่า หากนั่นคือเสียงกางปีกจริง ๆ มันคงสามารถพาคนทั้งคนลอยขึ้นไปบนอากาศได้ทีเดียว
จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับออกมา ‘หรือเราหูฝาดไปเองกันแน่นะ’ หลี่อี้คิดในใจ
“ช่างเถอะ รีบกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนอีก วันหลังค่อยว่ากันก็แล้วกัน”
“นายทำอะไรน่ะ!!!”
“แว๊กกกกกกกกกก…หวังซู?”
“ก็ใช่น่ะสิ นายคิดว่าเป็นใครกันล่ะ”
“แล้วฉันจะรู้หรือไง เวลาแบบนี้อยู่ ๆ ก็มีคนมาจี้จากด้านหลังฉันก็คิดว่าเป็นโจรน่ะสิ แล้วนายตามฉันมาทำไมกันเนี่ย?”
“ก็ฉันเป็นห่วงนายน่ะสิ ว่าแต่นายคิดว่าฉันเป็นโจรจริง ๆ งั้นเหรอ แต่จากสีหน้าของนายตอนตกใจแล้ว ฉันไม่คิดแบบนั้นนะ”
“ก็ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะเป็นแบบไหนกันล่ะ?”
“หน้านายเหมือนกำลังตกใจอะไรสักอย่าง ที่มันน่ากลัวมาก ๆ อย่างเช่น…ผี…”
“บ้าน่า ใครเขาให้พูดแบบนี้ในเวลาแบบนี้กันล่ะ”
“หรือไม่ใช่ล่ะ ก่อนหน้านี้นายเห็นอะไรกันแน่?”
“ไม่รู้สิ ฉันได้ยินเสียง…ปีก”
“ปีกงั้นเหรอ นกฮูกล่ะมั้ง”
“ฉันก็อยากจะคิดงั้น แต่ความรู้สึกของฉันน่ะ เหมือนมันจะใหญ่มากเลยนะ”
“ก็ถ้ามันใหญ่ขนาดนั้น แล้วตอนนี้มันอยู่ตรงไหนกันล่ะ?”
“ไม่มีไง ฉันได้ยินแค่เสียง”
“หรือนายอาจจะหูฝาดไปเอง…”
“อืมช่างเถอะฉันง่วงมากแล้วเรากลับบ้านไปนอนกันเถอะ”
“เฮ้ย งั้นคืนนี้ฉันนอนที่บ้านนายนะ”
หวังซูวิ่งตามหลี่อี้มาโดยไม่สนใจคำตอบ เพราะความที่ทั้งสองสนิทกันมากจนแทบไม่ต้องพูดอะไร หวังซูเองก็มานอนที่บ้านของหลี่อี้อยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
.
.
เช้าวันต่อมา
“หวังซู ตื่นได้แล้วน่า นี่มันสายมากแล้วนะ”
“อือออออ อีกหน่อยได้มั้ย ฉันเพิ่งจะได้นอนเองนะ”
“นายต้องไปเข้าคลาสตอนเก้าโมงนะ นี่ก็แปดโมงแล้วเดี๋ยวนายจะเตรียมตัวไม่ทันนะ”
“อีกตั้งชั่วโมงนึง นายจะรีบไปไหนเนี่ย?”
“ก็ฉันต้องเข้าคลาสตอนแปดโมงครึ่ง เดี๋ยวถ้าฉันออกไปใครจะปลุกนายกันเล่า”
“งั้นนายไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า”
“นายนี่นะ กลางวันงัวเงียกลางคืนตาสว่างอย่างกับพวกค้างคาว…”
หลี่อี้เดินบ่นออกไปจากในห้องนอน แล้วเดินออกไปจากบ้านเพื่อปั่นจักรยานไปเรียนอย่างทุกวัน ปล่อยให้หวังซูเพื่อนรักของตนนอนหลับอุตุอยู่อย่างนั้น
แต่เห็นงัวเงียแบบนั้น เมื่อถึงเวลาเรียน หลี่อี้ก็มักจะเห็นหวังซูไปทันเข้าชั้นเรียนเสมอ เพราะงั้น…ช่างเถอะ ขืนมัวแต่ยืดยาดหลี่อี้เองนี่แหละที่จะไปเรียนสายเสียเอง
.
.