นี้คือเรื่องราวการผจญภัยแฃะเอาชีวิตรอดในโลกที่เปลี่ยนไป มาดูกันว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปแค่ไหนกันเถอะ

CHESS:พลิกกระดานเทพ - ตอนที่ 11.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราว โดย TKFD @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ชาย-หญิง,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

CHESS:พลิกกระดานเทพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,ผจญภัย,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

รายละเอียด

CHESS:พลิกกระดานเทพ โดย TKFD @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นี้คือเรื่องราวการผจญภัยแฃะเอาชีวิตรอดในโลกที่เปลี่ยนไป มาดูกันว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนไปแค่ไหนกันเถอะ

ผู้แต่ง

TKFD

เรื่องย่อ

ถ้าเกิดอยู่ๆ วันหนึ่งโลกที่พวกเราอาศัยอยู่มีมอนสเตอร์มาบุกพร้อมกับมีสิ่งประหลาดมากมายเกิดขึ้นมา เป็นคุณจะทำอย่างไร นี้คือบันทึกการเอาชีวิตรอด ของ ทาคุมะ อากิ ตัวละครหลักในเรื่องทีต้องเอาชีวิตรอดให้ได้

สารบัญ

CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 0 ปฐมบท,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 1 ระบบ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 2.1 อลิสและระบบเพิ่มเติม,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 2.2 การอัพเดทที่ 01.01 และ การสำรวจ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 2.3 ดาบและกลับที่พัก,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 3.1 พิธีกรรม?,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 3.2 บทเรียนราคาแพง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 3.3 RIP เตียง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 4.1 สหาย?,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 4.2 การจากลา?และการอัพเดทที่ 01.02,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 4.3 สำรวจหลังการอัพเดต,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 5.1 ไข้หวัด,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 5.2 ตัวกรับแดง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 5.3 จุดจบ?,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 6.1 เรื่องราวนะอีกฟากฝั่ง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 6.2 ถึงที่หมาย,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 6.3 บีบหัวใจ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 6.3.1 ราชาที่ไม่อาจเอ่ยนาม,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 7.1 ปลอมแปลงและหลอกลวง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 7.2 รางวัลที่ไม่อาจปฏิเสธ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 7.3 2 เดือนต่อมา...,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 8.1 ช่วยเหลือ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 8.2 กลับถึงห้องพัก,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 8.3 เข้าร่วมปาร์ตี้,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 8.3.1 เป้าหมายต่อไป,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 9.1 ผุ!!!,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 9.2 กับดัก,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 9.3 ล้มเหลว,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 6.1.1 เรื่องราวนะอีกฟากฝั่ง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 8.1.1 ช่วยเหลือและพักผ่อน,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 10.1 ติดเชื่อ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 10.2 234 กิโลเมตร,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 10.3 คำของ่ายๆ,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 11.1 สัญชาตญาณผู้หญิง,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 11.1.1 เพื่อนใหม่?,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 11.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราว,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 11.3 สถานการณ์อีกด้าน,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 11.3.1 อาการแย่ลงและความต่างของเวลา,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 12.1 อันซงและหลีกวน,CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 12.2 ก็อบบลายท์(Gobblight),CHESS:พลิกกระดานเทพ-ตอนที่ 12.3 โพชั่นชำระล้าง

เนื้อหา

ตอนที่ 11.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราว

    "จิมมี่:ท่านเมิ่งซิน ข้าอยากเห็นว่ามุมมองจากด้านบนนั้นมันเป็นอย่างไร"


 


    "เมิ่งซิน:ได้เลย ถ้าเจ้าอยากดู"


 


    เมิ่งซินหลับตาลงเพียงครู่ ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะเปลี่ยนไป


 


    เธอนึกถึงความทรงจำหนึ่ง—วันที่ได้ขึ้นไปยัง At The Top SKY จุดชมวิวบนชั้นสูงสุดของตึกเบิร์จคาลิฟา เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์


 


    ทันทีที่ภาพนั้นปรากฏขึ้น ตรงหน้าก็คือวิวทิวทัศน์อันงดงามและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เมืองทั้งเมืองที่เคยใหญ่โตกลับดูเล็กจิ๋วราวกับของเล่นในกล่องโชว์ ตึกระฟ้าเรียงตัวกันอย่างสง่างามภายใต้แสงอาทิตย์ที่ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า


 


    เอริน่าและจิมมี่เบิกตากว้าง ใบหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและประทับใจ


 


    ^เอริน่า:สิ่งก่อสร้างในโลกของเจ้าดูยิ่งใหญ่และงดงามยิ่งนัก... ราวกับเป็นเมืองของเหล่าทวยเทพ^


 


    "จิมมี่:เมิ่งซิน… เจ้ามีภาพตอนอยู่ใกล้ๆ ขอบไหม? ข้าอยากเห็นว่าด้านล่างจะเป็นยังไง"


 


    เมิ่งซินพยักหน้าเบาๆ แล้วเปลี่ยนภาพไปยังช่วงเวลาที่เธอเดินออกไปที่ระเบียงกระจกใส


 


    ภาพเบื้องล่างทอดยาวออกไปสุดสายตา


 


    ตึกสูงระฟ้า บ้านเรือน รถยนต์ และถนนที่เคยดูใหญ่โต กลับกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ราวกับฉากจำลองขนาดย่อส่วน


 


    มันทั้งสวยงามและน่าทึ่งในเวลาเดียวกัน


 


    "จิมมี่:ว้าว... ขนาดข้าบินได้ ข้ายังไม่เคยขึ้นมาสูงขนาดนี้เลย มันสูงแค่ไหนกันเนี่ย?"


 


    "เมิ่งซิน:จำตัวเลขเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 800 เมตรแน่ๆ"


 


    "จิมมี่:อีกแค่ 200 เมตรก็ครบหนึ่งกิโลเมตรแล้วไม่ใช่รึ!? มนุษย์โลกนี้... บ้ากันจริงๆ!"


 


    เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ พลางหันไปมองจิมมี่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์


 


    "เมิ่งซิน:มีบ้ากว่านี้อีกนะ... อยากดูไหมล่ะ?"


 


    "จิมมี่:ดูอะไร?"


 


    เมิ่งซินไม่ตอบ แต่ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที


 


    ตอนนี้ทั้งสามอยู่ในห้องทรงยาว ภายในเต็มไปด้วยคนที่สวมชุดแปลกตาและแว่นป้องกันขนาดใหญ่


 


    "จิมมี่:ที่นี่มันที่ไหนรึ?"


 


    "เมิ่งซิน:รอดูต่อไปเถอะ"


 


    จากนั้น ประตูท้ายเครื่องบินก็ค่อยๆ เปิดออก


 


    สายลมแรงพัดเข้ามาปะทะ พร้อมกับภาพของท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่เปิดโล่งอยู่ด้านนอก


 


    เมิ่งซินเดินไปยังประตูท้าย ท่ามกลางสายตาทั้งสองที่จับจ้อง


 


    ภาพเบื้องล่างยังคงไกลจนมองไม่เห็นพื้น


 


    "จิมมี่:ท่านขึ้นมาสูงมากเลย... แต่ขึ้นมาทำไมกันล่ะ?"


 


    เมิ่งซินหันมายิ้มให้เฉยๆ โดยไม่ตอบ


 


    เอริน่าที่เฝ้ามองอยู่ก็เบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงหลง


 


    ^เอริน่า:เจ้าอย่าบอกนะ... ว่าจะกระโดด!?^


 


    "เมิ่งซิน:ใช่แล้ว"


 


    จากนั้น ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซิน


 


    เธอกระโจนออกไปจากเครื่องบิน ร่างลอยละลิ่วกลางเวหา


 


    ^เอริน่า:ว้าย!^


 


    "จิมมี่:อ้าาาาาาาาา!!!"


 


    ภาพตอนนี้เปลี่ยนเป็นมุมมองจากตัวเมิ่งซินที่กำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า


 


    แต่แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับดูสนุกสนานอย่างเหลือเชื่อ


 


    เธอหมุนตัวกลางอากาศอย่างอิสระ บางจังหวะก็เหวี่ยงตัวไปรอบๆ ราวกับกำลังเล่นสนุกกับแรงลมที่ปะทะเข้ามา


 


    "จิมมี่:เจ้าทำอะไรอยู่เนี่ย!? เจ้าไม่กลัวตายหรือไง! นี่เจ้ากำลังดิ่งลงพื้นนะ!"


 


    ขณะที่จิมมี่กำลังโวยวาย


 


    เอริน่าไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่ยกมือขึ้นปิดหน้า แต่ก็ยังแอบมองลอดระหว่างนิ้วอย่างลุ้นระทึก


 


    เมิ่งซินยังคงเล่นอยู่บนฟ้าอีกพักใหญ่ จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที


 


    ในที่สุด เธอก็กางร่มชูชีพออก


 


    ลมต้านแรงดึงรั้งตัวเธอไว้อย่างนุ่มนวล


 


    ความเร็วในการร่วงหล่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด


 


    "จิมมี่:ตกช้าลงแล้ว... เฮ้อ... ไอ้ที่ใช้เมื่อกี้คืออะไรขอรับ?"


 


    "เมิ่งซิน:มันคือลมชูชีพ เอาไว้ใช้หลังจากกระโดดจากเครื่องบิน เพื่อให้ลงพื้นได้อย่างปลอดภัย"


 


    "จิมมี่:งั้นแสดงว่าท่านปลอดภัยแล้วใช่ไหมขอรับ?"


 


    "เมิ่งซิน:ใช่แล้วล่ะ"


 


    จากนั้น ภาพก็แสดงให้เห็นเธอลอยอยู่กลางอากาศ กางร่มชูชีพรับลมเอาไว้อย่างสง่างาม


 


    ด้านล่างคือทิวทัศน์กว้างใหญ่สุดสายตา ทั้งเมืองใหญ่ ป่าเขา และแม่น้ำที่ทอดตัวไปไกล


 


    เธอค่อยๆ ลอยตัวลงอย่างช้าๆ ใช้เวลาราว 4-5 นาที


 


    ก่อนจะแตะพื้นอย่างปลอดภัย ท่ามกลางสายลมที่ยังพัดผ่านเบาๆ


 


    "จิมมี่:ท่านนี่เล่นเสี่ยงชีวิตจริงๆ ท่านคงไม่ได้ทำแบบนี้บ่อยๆ ใช่ไหม..."


 


    เมิ่งซินที่ได้ยินกลับหยุดยิ้มลงในทันที


 


    เธอเอียงหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะเลิ่กลั่กอย่างที่พยายามไม่ตอบตรงๆ


 


    จิมมี่ที่สังเกตเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันใด


 


    "จิมมี่:...ท่านทำใช่ไหม?"


 


    เมิ่งซินไม่ได้เอ่ยอะไร


 


    เธอเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ...


 


     เป็นการยอมรับเงียบๆ ที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จิมมี่ที่เห็นอบบนั้นเลยพูดว่า


 


    "จิมมี่:...เอาเป็นว่า...เราไปดูอย่างอื่นเถอะ"


 


    "เมิ่งซิน:ก็ได้..."


 


    น้ำเสียงของเธอเบากว่าปกติ


 


    แม้ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพิ่มเติม แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังคลออยู่ในอากาศ


 


    ทว่าเมิ่งซินก็ไม่ปล่อยให้บรรยากาศหม่นหมองอยู่นาน


 


    เธอเริ่มเปลี่ยนภาพในหัวเป็นเรื่องราวอื่น—ประสบการณ์มากมายจากการท่องเที่ยวทั่วโลกของเธอ


 


    เธอพาทั้งสองเดินทางผ่านภาพความทรงจำ


 


    จากหอไอเฟลในกรุงปารีส


 


    ไปยังเทพีเสรีภาพกลางมหานครนิวยอร์ก


 


    จากทุ่งหิมะขาวโพลนใต้เงาภูเขาเอเวอร์เรสต์


 


    ถึงอ่าวสวยงามในนอร์เวย์ที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก


 


    เธอเล่าเรื่องแต่ละที่ด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งตื่นเต้น ทั้งอ่อนโยน ราวกับเธอกำลังพาเพื่อนรักทั้งสองท่องไปในความทรงจำส่วนตัวของตัวเอง


 


    ...จนกระทั่ง...


 


    ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาตัดการบรรยายของเมิ่งซิน...


 


    "โครก~~~"


 


    จิมมี่และเอริน่าที่ได้ยินก็เงียบไปทันที ต่างคนต่างพยายามกลั้นหัวเราะ แม้จะเห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นมาจากใคร เมิ่งซินก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ


 


    "จิมมี่:ข้าว่า... ใกล้ถึงเวลาดินเนอร์มื้อเย็นแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าไปทำอะไรให้กินสักครู่"


 


    พูดจบ เขาก็บินหายไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เมิ่งซินกับเอริน่าอยู่กันตามลำพัง...


 


    บรรยากาศจู่ๆ ก็เงียบลงอย่างประหลาด ไม่มีใครเอ่ยปาก ต่างคนต่างนิ่ง จนกระทั่ง เอริน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่จริงจัง


 


    ^เอริน่า:สิ่งที่เจ้าให้ดูเมื่อกี้... มันมีแต่เรื่องที่สนุกสนาน...^


 


    ^เอริน่า:ทำไมเจ้าไม่ให้เราดู... ด้านอื่นๆ บ้างล่ะ^


 


    เมิ่งซินนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาของเธอทอดมองออกไปไกล เหมือนกำลังย้อนกลับไปในความทรงจำ ก่อนจะตอบกลับมาช้าๆ


 


    "เมิ่งซิน:ก็... มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก ฉันอยากให้พวกเธอเห็นแต่สิ่งดีๆ"


 


    "เมิ่งซิน:เพราะไม่อยากให้มองโลกในแง่ร้าย... ไม่อยากให้รู้สึกเหมือนโลกมันเลวร้ายน่ะ"


 


    เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงด้วยความอยากรู้ลึกๆ


 


    ^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าอยากเห็น^


 


    ^เอริน่า:ข้าอยากรู้ ว่ามันจะแตกต่างจากโลกที่ข้าอยู่ไหม^


    "เมิ่งซิน:...ได้"


 


    ภาพเปลี่ยนไปในทันที แสงสดใสและความคึกคักเมื่อครู่ ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเงามืดและความเงียบงัน


 


    เมิ่งซินเริ่มฉายภาพของสลัมที่แออัดในเมืองใหญ่


 


  ภาพของเด็กๆ ที่เดินเท้าเปล่าบนถนนที่เต็มไปด้วยขยะ ข่าวรายวันเรื่องความรุนแรง ยาเสพติด สงครามระหว่างมนุษย์ และความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกันอย่างไม่ไยดี


 


    ภาพของคนร่ำรวยที่กินอาหารหรูหราท่ามกลางไฟระยิบ ตัดสลับกับภาพของแม่ลูกที่ต้องนอนข้างถนนใต้สะพาน เพราะไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่


 


    เอริน่าเงียบไปนาน... สายตาที่มองจอมิใช่แค่ "ดู" แต่เหมือนพยายาม "เข้าใจ" ก่อนจะพึมพำออกมาช้าๆ


 


    ^เอริน่า:...ไม่ว่าโลกไหน ก็ยังมีความโหดร้ายอยู่ทุกทีสินะ...^


 


    "เมิ่งซิน:แล้วความโหดร้ายที่ดาวของท่านมันเป็นยังไง?"


 


    ^เอริน่า:เจ้าอยากดูจริงๆ เหรอ?^


 


  "เมิ่งซิน:อืม"


 


    เอริน่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ


 


      เลื่อนลูกแก้วเข้ามาใกล้ตัว


 


    จากนั้นเธอก็เริ่มฉายภาพ...


 


    ภาพแรก... คือหมู่บ้านที่เงียบงัน


 


    ก่อนเสียงกรีดร้องจะแทรกขึ้นมา จากเงามืดของแนวป่าด้านหลัง


 


    มอนสเตอร์ขนาดใหญ่พุ่งทะลุแนวไม้เข้ามา


 


    ร่างของผู้คนถูกฉีกกระชากอย่างกับตุ๊กตา เนื้อสดๆ กระเด็นสาดไปทั่ว


 


    เสียงหัวเราะของอสูรกายดังก้องเหนือเสียงร้องไห้ของเด็กๆ


 


    หญิงสาวถูกลากไปต่อหน้าครอบครัวของตนเอง...


 


    เมิ่งซินรู้สึกได้ทันทีถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง


 


    หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะกระเด็นออกจากอก


 


  ภาพต่อมา... คือสงคราม


 


    ทหารในชุดเกราะฟาดฟันกันกลางทุ่งศพ ดาบที่เปื้อนเลือดฟันแขนขาขาดกระเด็น


 


    เวทมนตร์ที่ใช้ไม่ได้มีเพียงเพื่อปกป้อง แต่บางลูกก็ใช้เผาหมู่ให้กลายเป็นขี้เถ้า


 


    เสียงกรีดร้อง... เสียงเนื้อแตก เสียงของทหารหนุ่มที่เรียกหาพ่อแม่ทั้งที่ร่างพวกเขาถูกสับจนเละ


 


    บางร่างยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีแขน ไม่มีขา


 


    เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกเวทไฟแผดเผาทั้งเป็นจนหนังลอกติดกระดูก


 


    เมิ่งซินถึงกับเบิกตากว้าง มือเธอสั่น ใบหน้าเริ่มซีดเผือด


 


    แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น


 


    กลุ่มมนุษย์ในคุก ถูกบังคับให้สู้กันเองด้วยมือเปล่าเพื่อความบันเทิงของผู้มีอำนาจ


 


    คนที่พ่าย ถูกเฉือนแขนออกทั้งเป็นแล้วโยนให้สัตว์เวทกลืนกินตรงหน้า


 


    เสียงกัด เสียงกระดูกแหลกชัดเจนราวอยู่ตรงหน้า...


 


    "อ—อุ่ก..."


 


    เมิ่งซินเอามือปิดปากทันที สีหน้าเธอซีดเผือดเหมือนคนจะอาเจียน


 


    ร่างกายสั่นจนหยุดไม่ได้ หัวใจเต้นถี่ เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วหลัง


 


    ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยภาพสะท้อนของความตายอันโหดร้าย


 


  เอริน่าที่เห็นแบบนั้นก็หยุดภาพทั้งหมดทันที


 


    เธอเงียบไปก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา


 


    ^เอริน่า:ข้าว่าข้าพอแค่นี้ดีกว่า...^


 


    เมิ่งซินยังคงนั่งนิ่ง น้ำตาซึมตรงขอบตา


 


    ดูเหมือนสมองของเธอกำลังพยายามสลัดภาพเหล่านั้นออก


 


    เอริน่าที่เห็นแบบนั้นแล้วเลยร่ายเวทย์มนต์ช้าๆ เสียงกระซิบของมนตราดังเบาๆ


 


    ^เอริน่า:Calma Mentis^


 


    แสงสีฟ้าบางเบาไหลผ่านเข้าหัวใจของเมิ่งซิน ราวกับสายลมเย็นปลอบโยนจิตใจ


 


    เธอหลับตาลง ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นจังหวะ


 


    หัวใจเต้นช้าลง อาการคลื่นไส้ค่อยๆ หายไป


 


    "เมิ่งซิน:... ขอบคุณ"


 


    ^เอริน่า:ไม่เป็นไร... ข้าเองก็มีส่วนผิด ที่แสดงอะไรแบบนั้นให้เจ้าดู^


 


    "เมิ่งซิน:ฉันก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันรุนแรงจริงๆ เพราะเรื่องแบบนี้... พวกเราชาวโลกเคยเห็นแค่ในหนังเท่านั้นแหละ"


 


    ^เอริน่า:หนัง? นั่นคืออะไรงั้นหรือ^


 


    "เมิ่งซิน:เอ่อ... มันเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งน่ะ จะมีคนมารับบทเป็นตัวละครแล้วแสดงเรื่องราวต่างๆ ให้เราดู เหมือนกับเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหว"


 


    ^เอริน่า:น่าสนใจดีนี่นา เจ้าพอจะให้ข้าดูได้ไหม^


 


    "เมิ่งซิน:ได้สิ"


 


    เอริน่าที่เห็นโอกาศก็ทำการชวนเมิ่งซินคุยเรื่องอื่นทันทีเพื่อช่วยให้เธอลืมภาพก่อนหน้านี้


 


    ส่วนเมิ่งซินก็เริ่มฉายภาพยนตร์จากความทรงจำให้เอริน่าดู ทั้งสองนั่งชมกันอย่างเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศผ่อนคลาย ขณะที่จิมมี่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น


 


    เวลาผ่านไปประมาณสี่สิบนาที จิมมี่ก็กลับมาพร้อมถาดอาหารที่ลอยตามหลังมาด้วย เขานำจานอาหารไปวางตรงหน้าเอริน่าก่อน แล้วค่อยวางให้เมิ่งซิน จากนั้นก็บินขึ้นมาอยู่ข้างๆ เอริน่า พลางเอียงหน้าถามด้วยความสงสัย


 


    "จิมมี่:กำลังดูอะไรกันอยู่งั้นรึ?"


 


    ^เอริน่า:ข้ากำลังดูสิ่งที่เรียกว่าหนัง เมิ่งซินบอกว่ามันเป็นความบันเทิงของมนุษย์ โดยที่พวกเขาจะสวมบทบาทต่างๆ แล้วแสดงเรื่องราวให้ผู้ชมดู^


 


    จิมมี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ พวกเธอ แล้วเริ่มดูหนังด้วยกัน สามคนดูหนังแนวจอมยุทธกำลังภายในต่ออีกประมาณยี่สิบนาที จนกระทั่งจบหนึ่งตอน


 


    จิมมี่ที่ดูไปด้วยสีหน้าเข้มข้น ถึงกับลอยตัวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น ก่อนจะหันไปถามเมิ่งซินทันที


 


    "จิมมี่:เดี๋ยวนะ! ไหนเจ้าบอกว่าโลกของเจ้ามันไม่มีมานา แล้วทำไมมนุษย์ในเรื่องถึงปล่อยพลังตูมตาม เดินกลางอากาศได้ล่ะ?"


 


    "เมิ่งซิน:อ๋อ... พลังพวกนั้นมันไม่ได้มีจริงหรอก มันเป็นเทคโนโลยีของมนุษย์ที่เรียกว่า Visual Effects หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า VFX น่ะ เป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ให้ดูเหมือนจริง ส่วนที่เห็นกระโดดสูงหรือบินได้น่ะ บางทีก็ใช้ลวดเส้นเล็กๆ หรือเหล็กเส้นช่วยยกตัวให้ลอยขึ้นมา"


 


    "จิมมี่:มนุษย์นี่คิดอะไรแปลกๆ ได้เก่งจริงๆ... ถ้าพวกเจ้ามีมานาล่ะก็—อาจจะทำอะไรได้ยิ่งกว่านั้นอีกนะเนี่ย"


 


    "เมิ่งซิน:นั่นสิ~ ถ้ามีมานาจริงๆ หนังแบบนี้อาจจะดูเหมือนการ์ตูนธรรมดาไปเลย ฮ่าฮ่า!"


 


    "จิมมี่:ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว อยากดูตอนต่อไปแล้วสิ!"


 


    เมิ่งซินหัวเราะเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองอาหารตรงหน้า


 


    'เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า ฉันเข้าใจความรู้สึกเขาดีนะ แต่...ให้ฉันกินก่อนได้ไหม หิวจะแย่แล้ว... แต่จะพูดออกไปก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่'


 


    "เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า..."


 


    เธอยิ้มแห้งๆ ขณะหัวเราะเบาๆ แต่เอริน่าที่สังเกตเห็นอาการลังเลของเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


    ^เอริน่า:จิมมี่ ก่อนจะดูต่อ...เราควรให้แขกกินอาหารก่อนไหม เดี๋ยวมันจะเย็นไปกว่านี้นะ^


 


    จิมมี่ชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารีบถอยออกมาอย่างรู้ตัว ก่อนจะลอยมานิ่งๆ อยู่ข้างโต๊ะ ให้ทั้งสองคนได้กินกันอย่างสะดวก


 


    แต่ก่อนที่เมิ่งซินจะเริ่มลงมือ เอริน่าก็หันไปถามจิมมี่ด้วยความเป็นห่วง


 


    ^เอริน่า:แล้วของเจ้าล่ะ จิมมี่?^


 


    "จิมมี่:เรามีแขกอยู่ จะให้ข้ารับประทานด้วยได้อย่างไรล่ะ เดี๋ยวข้าไปกินทีหลังก็ได้"


 


    เมิ่งซินที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที


 


    "เมิ่งซิน:ข้าไม่ติดอะไรเลย มานั่งกินด้วยกันเถอะ ยิ่งมีคนร่วมโต๊ะ อาหารก็ยิ่งอร่อยขึ้น...ใช่ไหม ท่านเอริน่า?"


 


    เอริน่าชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจะไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบเสียงแผ่ว


 


    เอริน่า:ใช่...^


 


    เมื่อได้ยินคำตอบนั้น จิมมี่ก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธอีก เขาบินออกไปอย่างว่าง่าย เพื่อไปหยิบอาหารของตัวเองที่วางแยกไว้อยู่ไม่ไกล


 


    เมิ่งซินแอบหันไปมองตามอย่างอดสงสัยไม่ได้ และเมื่อเห็นอาหารของจิมมี่ เธอก็อดเบิกตาเล็กน้อยไม่ได้—ปริมาณอาหารของเขานั้นเกือบเท่าเอริน่าเลยด้วยซ้ำ!


 


    แต่ที่ทำให้เธอสะดุดใจยิ่งกว่าคือ...จานของตัวเองกลับเป็นจานที่เล็กที่สุด


 


    ถึงจะบอกว่า "เล็ก" แต่มันก็ยังใหญ่อยู่ดี เพราะของที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเนื้อบดทอดชิ้นใหญ่ที่แทบจะปิดจานได้ทั้งใบ... ขนาดเกือบเท่าใบหน้าของเธอเลยทีเดียว ส่วนของเอริน่าและจิมมี่—มันใหญ่ออกจะเกินพอดีไปหน่อย โดยเฉพาะของจิมมี่ที่ขนาดเนื้อชิ้นเดียว...ก็แทบจะใหญ่เท่าตัวเขาแล้ว


 


    'เมิ่งซิน:เอริน่าได้อันใหญ่ก็พอเข้าใจนะ ดูเข้ากับร่างกายเธออยู่...แต่จิมมี่เนี่ยนะ? นั่นมันจะเยอะเกินไปแล้วไหม! เนื้อทอดชิ้นนั้นมันใหญ่จะเท่าตัวเขาอยู่แล้ว!'


 


    เมิ่งซินได้แต่กลอกตาเล็กน้อยก่อนจะยอมเก็บคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ แล้วจึงหันกลับมาสนใจอาหารของตนเองแทน


 


    เธอหยิบส้อมและมีดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วค่อยๆ หั่นชิ้นเนื้อออกอย่างใจเย็น เนื้อบดที่ดูธรรมดาเมื่อผ่าออกมากลับเผยให้เห็นผักที่ถูกห่ออยู่ข้างในเป็นชิ้นพอดีคำ ทั้งมันฝรั่ง แครอท กะหล่ำ และหัวไชเท้า


 


    เมิ่งซินจิ้มชิ้นเนื้อที่ห่อผักไว้อย่างดี แล้วค่อยๆ นำเข้าปาก


 


    ทันทีที่กัดเข้าไป น้ำซุปอ่อนๆ ที่อยู่ในเนื้อก็ไหลออกมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมของเครื่องเทศผสมกับรสเค็มนิดๆ และความหวานของเนื้อบด แทรกด้วยความกรุบกรอบของผักทำให้เธอหลับตาพริ้มโดยไม่รู้ตัว


 


    ความอบอุ่นแผ่ซ่านในปาก...และในใจ


 


    รสชาติที่เรียบง่าย...แต่กลับอ่อนโยนและจริงใจจนเมิ่งซินเผลอยิ้มเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


    'เมิ่งซิน:ตอนเห็นฉันคิดว่ามันแค่เนื้อทอดธรรมดา...แต่พอกินจริงๆ แล้ว น้ำซุปกลับซึมออกมาจากเนื้อเลย...รสเค็มอ่อนๆ กับความหวานของเนื้อเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ แถมผักยังกรอบอยู่อีกต่างหาก ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเขาทำยังไง'


 


    ในขณะที่เมิ่งซินกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติ เอริน่าที่นั่งเงียบข้างๆ ก็หันไปพยักหน้าให้จิมมี่เบาๆ เหมือนส่งสัญญาณบางอย่าง จิมมี่เองก็ยิ้มตอบกลับด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


 


    เขารู้ดีว่าอาหารจานนี้...คือของขวัญเล็กๆ ที่เขาตั้งใจทำให้


 


    เวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางเสียงช้อนส้อมกระทบจานและความรู้สึกอบอุ่นที่กระจายอยู่ทั่วโต๊ะ


 


    คนแรกที่ทานหมดคือเมิ่งซิน ตามด้วยเอริน่าที่กินช้าและเรียบร้อย ส่วนจิมมี่...เขาใช้เวลานานที่สุดเพราะอาหารในจานของเขาเยอะจนดูเกินตัวไปมาก


 


    เมื่อทุกอย่างหมดลง จิมมี่ก็นั่งหอบอยู่เล็กน้อย และที่สำคัญ—ร่างกายของเขากลมป่องจนดูเหมือนลูกบอลลอยได้!


 


    เมิ่งซินมองแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ มันเป็นภาพที่ดู...น่ารักอย่างประหลาด


 


    แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ร่างของจิมมี่ก็หดแฟ่บลงกลับเป็นปกติภายในพริบตา เมิ่งซินที่ยังยิ้มอยู่ถึงกับชะงัก แล้วทำหน้ามึนงงทันที


 


    "จิมมี่:พอดีเผ่าพันธุ์ข้าย่อยอาหารได้เร็วน่ะ ฮ่าฮ่า!"


 


    "เมิ่งซิน:..."


 


    'เมิ่งซิน:นั่นไม่ใช่เร็วแล้ว...นั่นมันหายไปเลยไม่ใช่รึไง'


 


    เธอได้แต่เบิกตากว้างอย่างพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ


 


    เพราะสำหรับวันนี้แล้ว—สิ่งแปลกใหม่พวกนี้...ก็เริ่มกลายเป็น “ปกติ” สำหรับเธอไปเสียแล้ว


 


    หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหาร ทั้งสามก็นั่งดูหนังด้วยกันต่อ ใช้เวลาไปร่วมสี่ชั่วโมงกว่า


 


    "จิมมี่:ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางหลีกวงจะทรยศอันซงในตอนสุดท้าย!"


 


    ^เอริน่า:เรื่องความสัมพันธ์นี่เข้าใจยากจริง ขนาดอยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังทำกันได้^


 


    เมิ่งซินที่ได้ยินทั้งคู่กำลังถกเถียงกันก็มองหน้าพวกเขา ก่อนจะพูดขึ้นว่า


 


    "เมิ่งซิน:ทั้งสองคนอย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ"


 


    "จิมมี่:ทำไมล่ะ?"


 


    "เมิ่งซิน:ก็...บางทีที่เธอทำลงไป อาจมีเหตุผลของเธอก็ได้"


 


    ทั้งจิมมี่และเอริน่าถึงกับหันมามองเธอด้วยสายตาเป็นประกายทันที


 


    "จิมมี่:เจ้าจะบอกว่ามันมีต่ออย่างนั้นเหรอ?"


 


    เมิ่งซินยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ แค่นั้นจิมมี่ก็ดูดีใจเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่


 


    "จิมมี่:งั้นดูต่อเลยไหม! ข้าอยากดูแล้ว!"


 


    "เมิ่งซิน:ฮ่าฮ่า แน่นอน ฉันจะเปิดให้เอง"


 


    เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแผ่วลงเล็กน้อยจนเอริน่าหันมามอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง


 


    ^เอริน่า:เมิ่งซิน เจ้าควรพักผ่อนก่อนนะ ข้าว่าเจ้าเริ่มเหนื่อยแล้ว^


 


    "เมิ่งซิน:ฉันดูเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?"


 


    จิมมี่ที่ได้ยินเอริน่าพูดก็รีบหันไปมองเมิ่งซินทันที แล้วเขาก็สังเกตเห็นชัดเจน—เธอดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด


 


    'จิมมี่:ข้ามัวแต่ตื่นเต้นกับหนังจนลืมสังเกตเลย...ตอนนี้เธอคงเหนื่อยสุดๆ แล้วล่ะ ข้าควรจัดห้องพักให้เธอ'


 


    "จิมมี่:ท่านเอริน่า ข้าขอจัดห้องพักให้นางได้หรือไม่?"


 


    ^เอริน่า:ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเถอะ^


 


    "จิมมี่:ขอรับ!"


 


    จิมมี่พูดจบก็บินอ้อมไปด้านหลังเอริน่า ก่อนจะหยิบกระดิ่งเล็กๆ ออกมาแล้วสั่นเบาๆ


 


    “กริ่ง!”


 


    เสียงกระดิ่งดังกังวาน และตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือน


 


    “คลื่น~~~”


 


    ชั้นหนังสือมากมายเริ่มขยับ เสียงกลไกดังขึ้นเป็นจังหวะ


 


    “คลื่น โครม คราก!”


 


    มันเหมือนกับฉากจิ๊กซอว์ที่ถูกประกอบเข้าหากันอย่างลงตัว ชั้นหนังสือค่อยๆ เคลื่อนไหว ก่อตัวเป็นห้องพักขนาดพอดี


 


    เมิ่งซินที่มองอยู่ก็ได้แต่พึมพำในใจอย่างเหนื่อยหน่ายปนขำ


 


    'เมิ่งซิน:ขนาดหนังสือบินเองได้ยังมี...แค่ชั้นหนังสือกลายเป็นห้อง คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกแล้วล่ะ'


 


    ไม่นานนัก ห้องพักก็เสร็จสมบูรณ์ จิมมี่บินกลับมาหาเมิ่งซินด้วยท่าทางภูมิใจ


 


    "จิมมี่:ห้องพักเสร็จแล้วขอรับ เชิญใช้ได้เลย"


 


    เมิ่งซินลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะหันไปโค้งให้เอริน่าเล็กน้อยพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ


 


    "เมิ่งซิน:ขอบคุณสำหรับห้องพักนะ ฉันขอไปพักก่อน"


 


    ^เอริน่า:เชิญเถอะ^


 


    เอริน่าก้มศีรษะตอบรับเบาๆ  แต่ในน้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกลับแฝงความห่วงใยไว้ชัดเจน


 


    เมิ่งซินเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้อง ข้อมือเล็กๆ ผลักบานประตูด้วยแรงไม่มากนัก พอเข้ามาก็เห็นชั้นหนังสือที่มีหนังสือเต็มแน่นทุกตารางนิ้วและไม่มีช่องว่าง ดูไปดูก็เหมือนกำแพงจริงๆ แค่เพียงมันทำมาจากหนังสือ เธอชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองด้วยแววตาแปลกใจปนทึ่ง


 


    กลางห้องมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ปูผ้าเรียบร้อยจนดูสะอาดสะอ้าน ด้านขวาของห้องมีประตูอีกบาน เมิ่งซินเดินเปิดไปดูก็พบว่ามันคือห้องน้ำ


 


    "เมิ่งซิน:ฉันน่าจะทำธุระส่วนตัวแล้วก็..."


 


    เมิ่งซินก้มดมที่เสื้อตัวเอง ลมหายใจเบาๆ พ่นออกจากจมูกพร้อมรอยย่นระหว่างคิ้ว


 


    "เมิ่งซิน:ฉันน่าจะอาบน้ำสักหน่อย"


 


    เมิ่งซินที่คิดได้อย่างนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ พอเข้ามาเธอจะไปทำธุระส่วนตัว แต่พอเห็นส้วมอันใหญ่ก็เผลอชะงักกึก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะหันมองของต่างๆ ในห้องน้ำอย่างละเอียด ก็พบว่าของส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่จนเกินตัวเธอไปมาก เธอเลยคิดในใจว่า


 


    'เมิ่งซิน:นี่คงเป็นห้องน้ำที่เอริน่าใช้แน่ๆ เพราะดูจากขนาดของใช้ต่างๆแล้ว มันไม่พอดีกับฉันซะเลย'


 


    เมิ่งซินถอนหายใจเบาๆ พร้อมรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกปลงในโชคชะตาตัวเอง


 


 


 


 


 


 



                  จากผู้แต่ง


    ถ้าทุกคนเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเมิ่งซิน… คุณจะทำยังไง?


สถานที่แปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…


ผู้หญิงตัวใหญ่สูงถึง 3 เมตร แฟรี่ 1 ตน ที่เก่งเวทมนตร์และสาวตัวใหญ่ที่มีพลังลึกลับที่เมิ่งซินโดน แต่ก็ทำได้แค่แกล้งลืมมันไป...


    ถ้าคัดใจไป อาจจะต้องเสี่ยงต่อชีวิต แต่ถ้าคิดตามน้ำไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปดี


    ถ้าคุณเป็นเมิ่งซิน…


    จะเลือกเดินไปตามเส้นทางที่ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง หรือจะหาทางเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่เหมือนมีอะไรกดดันอยู่ตลอด?