ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,วิปลาสทรชน,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิปลาสทรชนยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567
วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567
ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต
#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้
ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“อะไรนะคะ?”
“เป็นครอบครัวเดียวกันไง”
ปลายฟ้าที่ได้ยินคำพูดจากชายแก่ เธอก็สับสนและไม่เข้าใจเลยทีเดียว ทำไมถึงอยากได้เธอกันแค่หญิงสาวบอกความเจ็บปวดของร่างกาย มันเป็นเรื่องที่ดูไม่ยากเลยแท้ ๆ
“คือ..เอ่อ…”
“จะปฏิเสธเหรอ อย่าดีกว่าพ่อเราไม่ชอบคนที่พูดไม่รู้เรื่องน่ะ”
กรกฎพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหมือนเตือนด้วยความหวังดีแบบสัมผัสได้ หญิงสาวหันไปตามเสียงก็เห็นสีหน้าเขาเป็นคำตอบให้ตอบตกลงจะดีกว่า และเหมือนจะไม่ใช่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอคนเดียว คนอื่น ๆ ในห้องยกเว้นปวริศและชายแก่ที่ดูไม่ได้มีอะไรมากนักก็จริง
แต่ปลายฟ้า รินใจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันจนหัวใจเต้นรัว ปากก็เม้มแน่นเพราะต้องกลั้นสั่นกลัวนี้ไว้
“ค่ะ…หนูชื่อปลายฟ้านะคะคุณลุง ขอบคุณที่ให้อยู่ที่นี่ค่ะ”
เสียงหวานเอ่ยอย่างสั่นเทา ปลายฟ้ามองตักตัวเองหลบสายตาของชายแก่ตรงหน้า
“ดีมาก เอาล่ะต่อไปนี้ ผู้หญิงคนนี้คือครอบครัวเดียวกับพวกเรา หวังว่าจะไม่ทำตัวแย่ใส่นะ” สิระเอ่ย
“ไม่รับปากครับ” อดิสรณ์พูดขึ้น
“พูดเล่นอีกแล้วนะเด็กคนนี้”
“เปล่าสักหน่อย ให้คนที่ไม่รู้จักอะไรเลยแบบนี้มาอยู่ไป เดี๋ยวก็สิ้นใจตายก่อนแน่ ๆ ดูทรง”
หนุ่มลูกครึ่งพูดไม่สบอารมณ์ให้กับพ่อของเขา ซึ่งสิระเข้าใจได้
“ถ้าเธอตายจากสิ่งโดยนอกไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เธอแค่ขึ้นตรงต่อตระกูลเรา แต่ไม่ใช่คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร”
“หมายความว่าเป็นแค่ลูกจ้างประจำอะไรแบบนี้เหรอครับ?” วสันต์ถาม
“ใช่ แต่ไม่มีเงินเดือนให้”
“แล้วเธอจะกินอยู่ยังไงเหรอครับ ไม่มีให้แบบนี้?”
ลูกชายคนที่สองไม่เข้าใจพ่อตัวเองจริง ๆ จุดนี้ ให้เข้ามาในครอบครัวแต่ไม่มีให้อะไรเลย เหมือนไม้ประดับอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ยาก เพราะให้ปวริศจัดการยังไงล่ะ”
เหล่าพี่น้องรวมไปถึงปลายฟ้าหันไปที่ชายหนุ่มผิวแทนในชุดคอเต่าแขนยาวสีดำเป็นตาเดียว แล้วพวกเขาร้องอ๋อเหมือนเข้าใจกันเอง ซึ่งปลายฟ้างงอยู่คนเดียว
“เข้าใจแล้ว พี่ริทดูแลเธอด้วยนะครับ”
อดิสรณ์บอกพี่คนโตด้วยรอยยิ้มเหมือนสบายใจแน่นอนว่าปวริศยังไร้การตอบสนองใส่
“ปวริศ เรื่องค่าใช้จ่ายหรืออะไรเกี่ยวกับเธอจัดการด้วยนะ” สิระพูด
“ครับพ่อ เรื่องของเธอผมจัดการเอง”
“ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” รังสิมันต์พูดขึ้นมา
"ความสามารถของเธอ พวกเราทุกคนจะใช้มันได้ไหมครับหรือยังไง ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่”
"ไม่รู้สิ” สิระยิ้ม
“เอ๊ะ?” ลูกชายทั้ง 4 คนร้องพร้อมกัน
“เพราะว่าปวริศพามาเอง แล้วก็เป็นคนที่ให้ทุกคนดูเองว่าเธอใช้มีประโยชน์อะไร ซึ่งพ่อถูกใจแล้วก็ให้เข้าอยู่ในบ้านหลังนี้ภายใต้การจัดการของปวริศ แน่นอนว่าพ่อไม่มีเงินเดือนให้ปลายฟ้ายกเว้นปวริศเป็นคนทำ”
“อ๋อ ของพี่ริทนี่เอง เข้าใจละ”
กรกฎน้องเล็กพูดพลางมองปลายฟ้าที่ตกใจจนหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ในตอนนี้ปลายฟ้ากลัวจนไม่รู้จะพูดอะไรดี มือเล็กบางสั่นและร่างกายที่แข็งทื่อ ในหัวเธอมีแต่คำถามและไม่เข้าใจเต็มไปหมด และคำพูดของหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นยังพูดเรื่องน่ากลัวอีก ราวกับว่าชีวิตเธอจะเป็นยังไงก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของสิระเกี่ยวกับการจัดการทั้งหมดของปลายฟ้าคือ ปวริศ
มันเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถรับได้เหลือเกิน เพราะภาพติดตาตอนที่เขาได้ฆ่าคนนั้นมันไร้เมตตาและไม่มีความเอื้ออารีแต่อย่างใด โดยเฉพาะลูกดอกที่แทงตาทำเอาเธอผวาจนไม่กล้าคิดในเรื่องอื่นจริง ๆ
ให้เขาดูแลทุกอย่างด้วยมันก็น่ากลัวอีกเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่หรือจะทำเรื่องไร้เมตตาตอนไหน
“กลัวเหรอ?” อดิสรณ์ถามและปลายฟ้าสะดุ้งหันไป
“ไม่ค่ะ ไม่กลัวเลย” เธอตอบเสียงแอบสั่น
“ถ้ากลัวก็บอกนะ พวกเราจะได้ปรับตัวถูกน่ะ”
หนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้ ปลายฟ้างุนงงเหลือเกินเพราะเมื่อกี้ตัวเขายังไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่เลย ทำไมถึงมาพูดปลอบใจแบบนี้หรือว่าหญิงสาวแสดงออกชัดว่ากลัวให้พวกเขาเห็น
“ข..ขอบคุณค่ะ”
ไม่มีอะไรจะตอบนอกจากคำนี้ผนวกกับรอยยิ้มลงไปด้วย
“เอาล่ะ ไปทำงานของพวกลูกได้แล้วนะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีล่ะ”
คำจากลาแสนสั้นของสิระ อมาตยกุล ลูกทุกคนของเขารวมไปถึงปลายฟ้าได้ออกจากห้องนั้นด้วยกัน ชายหนุ่มทั้ง 5 คนที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองก็มองหน้ากันก่อนที่จะหันไปถามปวริศ พี่คนโต
“พี่ริทครับ ผมอยากรู้ว่าพี่จะทำยังไงกับเธอเหรอ?” กรกฎถาม
“....”
“ที่งี้เวลาแบบนี้ดันไม่พูดซะงั้น!” ลูกคนเล็กเริ่มหัวเสียใส่
“ไม่ใช่ว่าคำถามไม่น่าตอบหรอกเหรอ?” อดิสรณ์พูดติดหัวเราะ
“มันไม่น่าตอบตรงไหน”
“ต้องถามแบบนี้ต่างหาก พี่ปวริศครับเราจะใช้งานเธอยังไงเหรอ? ให้เป็นตัวทดลองของพี่รังสิมันต์ไหม”
“ตัวทดลองอะไรคะ?” ปลายฟ้าถามทันทีหลังที่ได้ยิน
“ก็คงเป็นเรื่องทดลองยาตัวใหม่ที่ผสมกันล่ะมั้งครับ” วสันต์เอ่ยปลายฟ้าหน้าซีดแทน ไม่อยากนึกภาพอะไรต่อจากนี้เลยจริง ๆ
“...”
แม้แต่อดิสรณ์ถามก็ยังไม่ได้คำพูดอะไรจากพี่คนโต ทำให้กรกฎกับรังสิมันต์ถึงกับกลั้นขำ
“อะไรกัน คำถามก็ไม่น่าตอบหรอกเหรอเนี่ย?”
กรกฎย้อน อดิสรณ์ก็ยิ้มหวานเหมือนแก้เขินให้ตัวเองแทน
“เดือนหน้าพวกเราจะไปเรือสำราญกัน”
"เรือสำราญเหรอ เรืออะไร?" รังสิมันต์ขมวดคิ้วถาม
"ยังไม่มีข่าว ถ้าได้เมื่อไหร่เราจะรวมตัวอกันอีกครั้ง ในส่วนเรื่องของปลายฟ้าพี่จัดการเอง พวกนายไปทำงานของตัวเองไป "
ปวริศพูดขึ้นเหล่าน้อง ๆ ทุกคนก็แยกย้ายไปตามหน้าที่ตัวเอง ทำให้เหลือ 2คนในตอนนี้คือเธอและเขา
“ตามฉันมา”
“ค่ะ…”
เธอตอบกลับแล้วตามไปเงียบ ๆ โดยที่ต้นขาที่ถูกยิงมันระบมเจ็บ จนเดินไม่สะดวกแถมคนข้างหน้าก็เดินไม่รอปลายฟ้าเลยสักนิด และในช่วงเวลานี้หญิงสาวก็ได้มองบ้านนี้รอบ ๆ ก็ตกใจความอลังการและหรูหรา อีกทั้งยังใหญ่โตดูกว้างอย่างที่กรกฎบอกจริง ๆ ในตอนนี้ปลายฟ้าไม่รู้เลยว่าเขาจะพาเธอไปไหน ทำได้แต่เตินกระเผลกตามโดยไม่คิดจะถามอะไร
“ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?”
ปวริศเดินช้าลงเพื่อให้ปลายฟ้าที่พยายามเดินอยู่มาถึงตัวเขา
“คะ?”
“ก็ปกติจะชอบถามนี่ ไม่พูดอะไรเลยเหรอ?”
ปลายฟ้าไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดขึ้น ใครจะไปหาเรื่องพูดคุยในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่รู้จัก แถมสภาพก็เหมือนโดนลักพาตัวมาอีก ยังไม่รวมถูกบังคับให้มาเป็นคนในครอบครัวบ้านหลังนี้อีกต่างหาก
ที่สำคัญคือฝ่ายชายตรงหน้าเป็นคนจัดการทุกอย่างให้อีกด้วย เธอไม่รู้ว่ามันดีหรือร้ายกันแน่ที่ปล่อยไว้แบบนี้โดยไม่ถามออกไป แต่ความน่ากลัวของชายหนุ่มคนนี้ยังคงตราตรึงไปจนถึงสุดหัวใจ
หญิงสาวเม้มปากสั่นเบา ๆ ก่อนที่จะปั้นหน้ายิ้มตอบเพื่อไม่ให้ดูอึดอัดจนเกินไป ถึงอีกฝ่ายยังหันหลังใส่ก็ตาม
“ไม่มีค่ะ”
“เหรอ ถ้างั้นนึกออกแล้วค่อยถามละกัน เพราะตอนนี้เธออยู่ภายใต้การดูแลของฉัน”
“ค่ะ”
“ฉันต้องบอกเธอก่อน ฉันไม่อนุญาตให้เธอเก็บไปคิดคนเดียว ห้ามสงสัยทุกอย่างในการกระทำของฉัน ถ้ามีฉันอนุญาตให้เธอถามได้ แต่จะตอบไหมนั้นอีกเรื่องหนึ่ง”
“ค่ะ”
“ห้ามมีความลับหรือสิ่งที่ไม่บอก เพราะถ้ามี…”
“ถ้ามี…ทำไมคะ?”
“จะเค้นเธอด้วยกำลัง หวังว่าเธอคงไม่เอาตัวเลือกสุดท้ายหรอกนะ?”
ปลายฟ้าที่ฟังก็นิ่งไปเลยทีเดียว ตอนที่ปวริศพูดน้ำเสียงของเขาเย็นชาไม่ใจดีเหมือนตอนอยู่ที่ทำงานเลย ขนาดไม่หันหน้ามาคุยยังขนาดนี้ ถ้าหันหน้ามาเธอคงได้เจอสีหน้าที่นิ่งไร้อารมณ์เหมือนตอนที่เห็นเขาลงมือฆ่าปรานปรียา แสงอุทัยคนนั้น
หัวใจกลางหน้าอกที่เต้นสั่นเหมือนระเบิดประทุนี้ มือบางเอากุมไว้เพื่อข่มความกลัวที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปลายฟ้าสูดลมหายใจก่อนที่จะใส่ความกล้าลงไปกับคำถาม
“มีคำถามค่ะ…”
ปลายฟ้าไม่อยากตายเหมือนปรานปรียา เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่ทำได้คือต้องห้ามมีความลับกับเขาแม้แต่เรื่องที่สงสัยด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะตอบไหมแต่ว่าหญิงสาวคนนี้อยากรู้มากเหลือเกิน นั่นก็คือ..
“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ?”
“...”
“พี่ปวริศ…”
“...”
“หรือพี่ไนซ์คะ?”
“ปวริศ ฉันมีชื่อนั้นชื่อเดียว”
คำตอบด้วยเสียงที่เรียบทุ้มจากคนตัวสูง ทำให้เธอเข้าใจว่าเขาไม่ได้ชื่อไนซ์ เขมทัศ
“แล้วทำไมตอนที่เจอกันถึงบอกว่าชื่อปวริศคะ ทำไมถึงไม่บอกว่าชื่อพี่ไนซ์ไปเลย”
เขาไม่ตอบ ปลายฟ้าไม่ว่าอะไรเพราะชายหนุ่มบอกไปอยู่เมื่อกี้ ‘จะตอบไหม’ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ปลายฟ้าก็เดินตามเขาไปเงียบ ๆ จนในที่สุดถึงที่ลานจอดรถ ร่างสูงผิวน้ำผึ้งเปิดประตูหลังรถด้วยกุญแจ เขาเอาของที่เป็นของเธอโยนให้ลงพื้นไม่โดนตัวร่างบางแต่อย่างใด
นั่นคือกระเป๋าสีเอิร์ธโทนตอนไปทำงานวันนั้นและมันเลอะเลือด
ภาพตอนที่ปรานปรียาเลือดกระเซ็นตอนโดนแทงตาวันนั้นได้ผุดขึ้นมาในหัว ร่างบางสั่นเทาและหัวใจของเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็น
จากนั้นปลายฟ้าก็สบตามองเขาที่ตอนนี้ปวริศมองเธอกอดอกให้ ในหัวสมองเธอตอนนี้ได้มีแต่ภาพการตายและเลือดที่เลอะไปทั่วพื้น รวมไปถึงศพในกระเป๋า
ศพ..
เลือด…
เสียงกรี๊ดร้อง…
และการตายเพียงแค่มือเดียวของปวริศ…
มันน่ากลัวจนไม่สามารถลบออกไปจากสมองและความจำปลายฟ้า รินใจได้เลย
“กระเป๋าฉัน…นี่คะ” เธอพูดหลบตามองพื้น
“ใช่ ของเธอฉันไม่ได้เอาไปทิ้ง ห้องนอนของเธอคือห้องที่กรกฎพาออกมา”
“...”
“เป็นอะไร?”
ปวริศถามขึ้นมาหลังเห็นสภาพร่างบางในชุดใหญ่ที่เขาใส่ให้ดูนิ่งและไม่ตอบอะไร เขาเดินไปใกล้ ๆ แล้วจับไหล่บางให้ยืนตัวตรงพร้อมกับเอามือจับปลายคางให้เงยหน้าขึ้นมา เขาได้จ้องไปยังดวงตากลมของหญิงสาว จนน้ำตามันไหลออกมาเลอะหน้าหวานของเธอ ปวริศมองสถานการณ์โดยรอบเขาหาเหตุผลว่าทำไมเธอถึงร้องไห้อย่างไม่มีสิ่งเร้าแบบนี้ นอกเสียจากตอนที่เขาโยนกระเป๋าให้มันก็ไม่ได้โดนตัวเธอ
“ร้องทำไม?”
“หนู..ฮึก..กลัวเลือด..ค่ะ” ปลายฟ้าสะอื้นตอบ
“เธอกลัวเหรอ?”
ปลายหน้าพยักหน้าเป็นคำตอบ
“มันก็แค่เลือด เลิกร้องไห้ได้แล้ว”
พูดเสร็จปวริศก็ปล่อยมือที่จับคางเธอ ปลายฟ้าเข่าอ่อนทันทีหลังจากที่เขาให้ใบหน้าเธอเป็นอิสระ สิ่งที่หญิงสาวทำได้ตอนนี้คือเรียกขวัญให้ตัวเองใจเย็นและดึงสติไม่ฟุ้งซ่านในเรื่องนั้น
ต้องอยู่กับปัจจุบัน..
ปวริศย่อเข่าแตะพื้นลงพร้อมกับมองหญิงสาวที่อาการแปลก ๆ โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก มีฉันอยู่ไม่ต้องน่ากลัวอะไรทั้งนั้น”
“ขอโทษ..ค่ะ”
“เธอกลัวเลือดขนาดนั้นเลยเหรอ”
คำตอบเป็นการพยักหน้าของปลายฟ้า จนกระทั่งหญิงสาวได้สบตาสีดำของปวริศที่ไร้อารมณ์และความน่าขนลุกไม่สามารถอธิบายได้ รู้แค่ว่าพอได้มองไปนาน ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ลืมเลือนไป
หัวใจของเธอได้สั่งให้ร่างกายนั้นต้องทำอะไรสักอย่าง มือบางได้ยกขึ้นมาจับคอที่ชายหนุ่มพร้อมกับจะทับร่างเขา
ทว่าปวริศเองก็ไม่ใช่คนที่จะให้เรื่องพวกนั้นมันเกิดขึ้นง่าย ๆ เขาจับล็อคหญิงสาวด้วยการหักข้อมือบางทันทีพร้อมกับจับร่างนอนกดกับพื้นโดยที่ปวริศไม่ได้ออกแรงอะไร แต่ความทรมานข้อมือที่ผิดรูปจากการโดนหักไปนั้นก็เรียกเสียงร้องกรี๊ดที่เจ็บปวดออกมา
“ใจกล้าดีนี่ที่จะบีบคอฉันด้วยมือเล็ก ๆ แบบนั้น แต่เธอฆ่าฉันไม่ได้หรอกนะ ปลายฟ้า”
“ฮึก ฮือออ ปล่อย”
เธอร้องไห้โฮดังให้ปวริศ ชายหนุ่มก็รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องกลัวและอยากหนีไปจากที่ไม่คุ้นตาแบบนี้ เป็นใครก็ไม่สบายใจที่จะอยู่ด้วยความกลัวและความไม่แน่นอนว่าชีวิตจะอยู่ถึงเมื่อไหร่
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก บอกแล้วไง”
“...”
“มีฉันอยู่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ปวริศพูดพร้อมกับมองตากลมสวยของปลายฟ้าที่เลอะน้ำตาด้วยไม่ละไปที่อื่น เขาจ้องมันและมองไปยังสุดลึกถึงก้นหัวใจที่สามารถสัมผัสได้ สร้างความกดดันให้เธอและให้คนแบบหญิงสาวตระหนักรู้ในส่วนที่เธอต้องเข้าใจมัน
นั่นคือไม่มีใครน่ากลัวไปกว่าปวริศ อมาตยกุล
สิ่งนี้คือการยืนยันด้วยสายตาที่จ้องมองเธอโดยไม่กะพริบแม้แต่น้อย