ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,วิปลาสทรชน,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิปลาสทรชนยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก เพื่อเป็นนักฆ่าที่ไม่มีใครต่อกรได้
วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567
วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567
ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต
#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้
ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปลายฟ้าที่เหนื่อยใจกับตัวเองไม่รู้ทำไมถึงไปเสนอตัวแบบนั้น แถมตอนพูดไม่ดูเลยว่าฝ่ายชายเขาจะมองเธอยังไงเลย
‘พี่เจ็บไหล่ซ้าย คงเพราะทำงานหน้าคอมมากไปสินะคะ ถ้าวันไหนพี่มาทำงานหนูจะช่วยนวดไหล่ให้พี่ดีขึ้นเองนะคะ’
ปลายฟ้าอยากหาหลุมสักทีที่ลึกมากพอจนเธอไม่ต้องออกมาสู่โลกภายนอกเสียเหลือเกิน อับอายยันฟ้าดิน แม้ไนซ์ เขมทัศหรือปวริศดูไม่ได้อะไรแต่สีหน้าและท่าทางชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งช่างนิ่งไร้โต้ตอบเหมือนคำพูดของหญิงสาวเป็นคำที่…กล้าหาญชาญชัยมาก
อยากจะกรีดร้องให้ดังกับความกล้าที่ทำอะไรไม่คิด ปลายฟ้าถอนหายใจพลางเก็บของทุกอย่างบนโต๊ะให้เรียบร้อยเพื่อที่จะกลับบ้าน
ยังดีที่คุณปรานปรียาให้กลับเร็ว ไม่อย่างนั้นเธอคงได้แบกรับความอับอายในใจนี้อย่างไม่เป็นสุขแน่นอน
ที่สำคัญพอให้เลิกงานเร็วแบบนี้ ทุกคนต่างวุ่นวายมาก งานบางอย่างยังไม่เสร็จดีสำหรับบางคน โชคดีที่ปลายฟ้าทำงานแค่แอดมิน เธอแค่ทำคำสั่งซื้อครบและก็มาอยู่ในห้องน้ำทุกครั้งเวลาออกจากบริษัทเพื่อที่จะกลับบ้าน
“เฮ้อ อยู่ในนี้จนกว่าอยากจะออกไปแล้วกัน”
เพราะเธอรู้สึกไม่อยากออกไปบังเอิญเจอพี่ไนซ์เลย จริงอยู่ว่าเขามาทำงานเวลานี้ได้ก็เถอะ ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลิกงานแล้วแท้ ๆ
“แล้วเขามาทำงานทำไมสายได้นะ?”
หญิงสาวพึ่งมาคิดได้กับสิ่งที่รู้สึกไม่เข้าใจเท่าไหร่ อีกเรื่องคือในเมื่อเขาก็ลาหยุดวันนี้แต่กลับมาทำงานในช่วงใกล้เลิก เป็นเธอจะไม่มาหรอกต่อให้เป็นเรื่องเร่งด่วนยังไง
"เหอะ ๆ คิดมากไปก็เท่านั้น เขาคงมาทำงานค้างสำคัญแหละมั้ง ช่างเถอะไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก"
หญิงสาวทิ้งตัวหลังพิงอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ ทั้งหัวเธอมีแต่ความสงสัยในเรื่องของชายคนนี้เต็มไปหมดเสียเหลือเกิน
ก็อย่างว่าผู้ชายคนนั้นเขาเป็นคนมีเสน่ห์ มันอดใจยากมากที่ไม่อยากจะเข้าหา แถมยังเป็นสเปคเธออีก
แต่คนเราก็ต้องมีความเหนื่อยล้าทางกายเหมือนกัน นั่นก็คือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอของเธอในหลายวันก่อน
“งีบหน่อยแล้วกัน เมื่อวานฉันเองก็…”
ภาพความทรงจำที่เธอได้นึกถึงทุกครั้งที่ฝัน ปลายฟ้ามักจะฝันในอดีตที่เธอไม่อยากจำมาตลอด เหมือนเป็นการย้ำเตือนอะไรเธอสักอย่าง ทว่าเจ้าตัวไม่ต้องการที่อยากรู้สึกถึงมันแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะว่าเธอ…กลัวเลือดมาก
เพียงแค่เห็นมันไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ปลายฟ้าก็จะเป็นลมหรือผวาได้เลย และที่ทำให้เธอกลัวมาถึงทุกวันนี้คือกองเลือดที่เลอะพื้นและกำแพงจนไม่เห็นแม้แต่สีอื่นใดนอกจากสีเลือดในห้องที่ขาวโพลน
“พอเถอะ อดีตมันก็คืออดีต..”
หญิงสาวหัวเราะในลำคอให้ตัวเองเล็กน้อย เพราะยังไงเรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ปลายฟ้าต้องเดินหน้าต่อไปแม้จะมีความฝังใจในเรื่องพวกนี้ก็ตาม
เพียงไม่นานนัยน์ตากลมสวยมรกตได้หลับลงสนิทในห้องน้ำคนเดียวที่ไม่มีใครเข้ามาได้
ในความฝันที่เธอหลับไปนั้นมันช่างว่างเปล่า เธอหลับไปโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กลิ่นเลือดได้ลอยมาแตะจมูกทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียและมองรอบ ๆ มีแต่ความมืด
สติของเจ้าตัวยังคงดีอยู่ ทำให้ทำอะไรใจเย็นได้ โชคดีที่ปลายฟ้า รินใจ ไม่มีความกลัวในที่มืดทำให้เธอมีสติมากพอ ทว่าก็อยากด่าตัวเองทำไมถึงต้องหลับจนไฟปิดแบบนี้ได้นะ
“กี่โมงแล้วเนี่ย”
ปลายฟ้าได้หยิบโทรศัพท์และเวลามันคือ 20.00 น. หญิงสาวอึ้งไปเลยเธอรีบพลักประตูห้องส้วมและออกไปทางประตูห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล ปรากฏว่ามันล็อกจากด้านในทำให้ปลายฟ้าออกไปได้โดยที่ข้างนอกประตูมันมืดไม่มีแม้แต่แสงจากไฟที่เปิดสักดวง
แต่สิ่งที่ปลายฟ้า รินใจสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนก่อนตื่นขึ้นมานั่นคือ กลิ่นเลือด
แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนถ้าหากเจ้าตัวได้กลิ่นเลือดแล้ว ปลายฟ้าจะรู้ทันทีแต่กลิ่นนี้ไม่ว่าจะคิดไปทางไหนก็เป็นกลิ่นที่คนตายเท่านั้น ขาเล็ก ๆ ภายใต้กางเกงขายาวสีเอิร์ธโทนเขียวของหญิงสาวได้ก้าวออกมาพร้อมกับใจที่เต้นรัวอย่างไม่มีเหตุผล
“ทำไมฉันถึง…ได้กลิ่นเลือดน่ะ”
ความรู้สึกที่มันบอกว่าใช่แต่ในที่บริษัทไม่น่าจะมีกลิ่นเลือดที่เหมือนคนตายได้ขนาดนี้ เธอหัวเราะและตลกตัวเองมาก ๆ ที่ดันมาคิดอะไรไม่เป็นเรื่อง
“ปลายฟ้าเอ๊ย ไม่กินยาตามหมอสั่งสมองเลยคิดแต่เรื่องนี้เลยเห็นไหม?”
นอกจากจะตำหนิตัวเองแล้ว เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปลอบขวัญตัวเอง มือเล็กหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดไฟฉายจากนั้นเธอไปทางเดินประตูหนีไฟแทน เธอจำได้ว่าทางออกบริษัทนี้มีทางหนีไฟไปด้านหลังตึกและเดินไปที่ป้ายรถเมล์ได้เลย
แต่ปลายฟ้าดันได้กลิ่นเลือดที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นจากทางฝั่งขวาของห้องเก็บของที่แปะป้ายว่า ‘เฉพาะคนที่เกี่ยวข้อง’
สาวในชุดเอิร์ธโทนได้กลืนน้ำลายลงคอและพยายามเดินผ่านตรงนั้นไปให้ไกลด้วยฝีเท้าที่เร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็ไปถึงทางหนีไฟที่แค่เปิดไปก็มืดมากเสียจนน่ากลัวจับใจ
“นี่ขนาดไม่กลัวในที่มืดนะ ทำไมทางน่ากลัวจัง”
ปลายฟ้ารวบรวมความกล้าอย่างแน่วแน่พร้อมที่จะลงไปเพราะห้องน้ำที่เธออยู่คือชั้น 3 เอง อีกไม่กี่ชั้นก็ถึงข้างล่างแล้วทว่าเธอได้ยินเสียงวิ่งดังขึ้นมาจนเท้าที่จะก้าวออกหยุดเดินและถอยหลังไป 2 ก้าวทันที
‘มีคนมาเหรอ? เวลานี้เนี่ยนะ?’
เพราะตอนนี้มันคือเวลา 2 ทุ่ม น้อยมากที่จะมีงานที่บริษัท ปลายฟ้ารู้สึกกลัวอย่างไม่มีเหตุผลด้วยบรรยากาศที่เธอเดินผ่านไปที่มีกลิ่นเลือดไหนจะคนที่ขึ้นมาทางบันไดหนีไฟนี้อีก มือบางที่สั่นเทาได้ยกไฟฉายโทรศัพท์ส่องไปทางหนีไฟด้วยใจที่ยังหวั่น
“น่าจะคนลืมของล่ะมั้ง”
ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ใจมันเต้นสั่นกลัวไปหมด และภาพตรงหน้าได้ปรากฎต่อสายตาของปลายฟ้าก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากเชื่อ นั่นคือหญิงสาวที่มีส่วนสูงไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่และเป็นวัยกลางคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีในวันแรกที่มาสมัครงานและได้ทำงานที่นี่ แม้สภาพเธอจะดูเหน็ดเหนื่อยและสีหน้าร้อนรนเพราะน่าจะวิ่งขึ้นบันไดมา
“คุณปรานปรียา?” ปลายฟ้าทักเธอ
“เธอเป็นใคร พวกเดียวกับมันเหรอ?!”
เสียงของปรานปรียาดูถามเธอเหมือนตกใจและกลัวอย่างไรอย่างนั้น ปลายฟ้าโล่งใจที่อย่างน้อยก็เป็นคนที่เธอรู้จัก ก่อนที่ถอนหายใจโล่งแต่ทำไมคำพูดเมื่อกี้เหมือนจำปลายฟ้าไม่ได้
“ก็ปลายฟ้าเองค่ะพี่ปราน หนูทำงานที่นี่ได้มา 1 อาทิตย์แล้วค่ะ”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่กลับบ้าน มาอยู่อะไรที่นี่ดึกดื่นป่านนี้แล้ว?”
“อ..อา หนูเผลอหลับในห้องน้ำค่ะ”
“เหรอ?”
ปรานปรียามองสภาพหญิงสาวตรงหน้าและชั้นโถงทางเดินที่ไฟปิดสนิท มีเพียงแสงสว่างเดียวคือโทรศัพท์ที่สาวตรงหน้าที่ชื่อปลายฟ้าถือ และชั้นนี้คือชั้น 3 เธออยู่คนเดียวโดยไม่มีใคร
“ขอโทษนะ” มือเรียวยาวที่เหี่ยวไปตามกาลเวลาได้หยิบปืนขึ้นมาจ่อหน้าปลายฟ้า “แต่ฉันไม่เชื่อเธอน่ะ”
“อะไรนะคะ?!”
ปลายฟ้าอึ้งจนเธอถอยหลังตกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนปืนออกมาจ่อหน้าเธอแบบนั้น
“ไอ้เวรไนซ์นั่น มันซ่อนศพลูกฉันไว้ที่ชั้นนี้บอกมาว่าอยู่ที่ไหน”
“ศพอะไรคะ?! หนูไม่รู้เรื่อง!”
ปลายฟ้างุนงงไปหมด ไม่เข้าใจสักอย่างที่ปรานปรียาพูดอะไร แถมสิ่งที่ออกมาจากปากเธอนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวจนสีหน้าออกผวาทันที และกลิ่นเลือดที่เธอได้สัมผัสที่จมูกมันก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที เจ้าตัวก็พลางหันชำเลืองหลังไปยังที่ตัวเองเดินผ่านมาที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ตรงนั้นจนแผ่นหลังของปลายฟ้าเย็นวาบขนลุก
“แน่ใจนะ ว่าไม่รู้”
ปรานปรียาถามในขณะที่สังเกตท่าทีของคนตรงหน้า
“คุณปรานปรียาคะ คือหนูไม่รู้จริง ๆ นะคะแต่…เหมือนจะมีกลิ่นแปลก ๆ ที่หนูเดินผ่า—”
“พาไปตรงนั้นที่เธอบอกว่าได้กลิ่น”
“ตรงนั้นเหรอคะ?!”
สติก็แทบจะประคองไม่ได้พอนึกถึงเลือดแต่สิ่งที่น่ากลัวในตอนนี้สำหรับปลายฟ้า รินใจคือปืนที่จ่อหน้าเธอเสียมากกว่า แม้หัวใจมันเต้นรัวโครมครามที่ผวาพร้อมกัน เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะเดินนำไปด้วยร่างกายที่สั่นกระตุกแม้สติจะยังคงเท่าที่ไหว จนทั้งสองสาวต่างวัยไปถึงที่ดังกล่าว
‘กลิ่นเหม็นมากเลย’
หญิงสาวไม่อยากนึกสภาพเลยว่าถ้าตรงหน้าเป็นศพที่ปรานปรียาพูดจริง ๆ มันต้องมีเลือดแน่นอนและปลายฟ้า รินใจกลัวเลือดมากจนเรียกได้ว่าเป็นการกลัวอย่างรุนแรงเลยก็ว่าได้
“เปิดเร็ว!”
ปรานปรียาขึ้นเสียงสั่งดังใส่ปลายฟ้า ทำเอาเธอตกใจจนร่างบางกระตุกใจขวัญหายคว่ำเลย
“ค…ค่ะ!”
มือบางได้จับที่เปิดประตูแต่เหมือนจะล็อกไว้ ปลายฟ้าหันไปมองปรานปรียา
“เปิดไม่ได้ค่ะ ดูเหมือนต้องเปิดด้วยกุญแจน่ะค่—กรี๊ด”
เสียงปืนดังลั่นโดยที่ปลายฟ้ายังพูดไม่ทันจบเธอก็ยิงใส่เสียแล้วถึงจะไม่โดน ปลายฟ้าขวัญเสียจนเนื้อตัวมือสั่นเป็นเจ้าเข้า
“ฉันบอกให้เปิด!”
“หนู…ฮึก..ฮืออ”
ปลายฟ้าร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ เธอกลัวจนตัวสั่นผวาไปหมดราวกับคนบ้าทำให้ร่างบางขาอ่อนจนนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สภาพปลายฟ้า รินใจ ในตอนนี้แทบไม่ต่างจากคนไร้ที่สติร้องไห้ดังเสียงหายใจไม่ทัน
ปรานปรียา แสงอุทัยที่มองสภาพหญิงสาวด้วยสายตาไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม เธอไม่รู้หรอกว่าทำไมคนตรงหน้าถึงต้องทำตัวไม่รู้เรื่องเช่นนี้ด้วย เพราะไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นพวกเดียวกับสารเลวคนนั้นที่เอาศพดาริน แสงอุทัย ผู้เป็นลูกสาวของเธอมาไว้ที่นี่แน่นอนแท้ ๆ
“แสดงละครเก่งจริงนะ มีกลิ่นเน่าแบบนั้นดูยังไงก็มีศพลูกกูในนั้นแน่”
ปลายฟ้าที่ฟังปรานปรียาพูดก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมั่นใจว่านั่นคือห้องที่ซ่อนศพลูกเขา และปืนนั้นก็ลั่นไก่อีกครั้งแต่คราวนี้ยิงไปที่ต้นขาซ้ายภายในกางเกงขายาวของปลายฟ้า 1 ครั้งจนเลือดอาบต้นขาและสร้างความทรมานจนหญิงสาวปล่อยเสียงกรี๊ดดัง
หญิงสาวที่เห็นเลือดแล้วหัวใจเธอเต้นรัวมาก ๆ จนสมองและการได้ยินรอบด้านของเธอไม่ได้ยินอะไร นอกจากเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามดังรวมไปถึงลมหายใจ
แม้จะพยายามประคองสติให้เท่าที่ไหวแล้วก็ตาม
'คุณปรานปรียายิงฉันทำไมล่ะ?!'
ปรานปรียาที่เห็นปลายฟ้าไม่มีท่าทีจะโต้ตอบหรือต่อสู้ใด ๆ ได้ เธอก็ได้ใช้ขาเตะปลายฟ้าจนกระเด็นหลบทางประตูออกไป ปืนในมือยกขึ้นแล้วสาดกระสุนใส่กลอนประตูจนพัง และมือเหี่ยวย่นไปตามเวลาได้เปิดประตูอย่างร้อนรนและมีกระเป๋าใบใหญ่สีดำร่วงลงพื้นเสียงดังตุบ หญิงสาววัยกลางคนรีบเปิดซิปออกก็พบร่างที่ไร้ลมหายใจอยู่ในนั้น
ใบหน้าที่มีรอยแผลจากการโดนของมีคม ร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์กับผมสีทองสวยแสบตาที่ไม่แปรเปลี่ยน รอยฟกช้ำจากการถูกทุบตีและรอยแผลใหญ่ตรงคอกับหน้าอกและท้องที่ถูกเฉือนใหญ่มากพอที่จะทำให้เสียเลือดมากจนถึงแก่ความตาย แต่จุดที่คนเป็นแม่เห็นแล้วเจ็บปวดที่สุดคือ…ลูกสาวสุดที่รักโดนทุบอย่างรุนแรงจนเห็นรอยชัดได้ขนาดนี้
“ดาริน..ลูกสาวของแม่ ฮึก..”
ปรานปรียาใจสลายเมื่อเห็นสภาพดาริน แสงอุทัยลูกสาวแสนสวยได้ตายและถูกยัดลงกระเป๋าที่แสนอึดอัดแบบนี้ แม้ไฟทางเดินจะไม่เปิดให้เห็นชัดนัก แต่หัวใจคนเป็นแม่มันแตกสลายเมื่อเห็นลูกตัวเองเจอเรื่องราวแสนทรมานเช่นนี้
ปลายฟ้าที่เห็นทุกอย่างนั้นไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าที่เธอผ่านและได้กลิ่นจะเป็นศพที่ดูเหมือนตายมาได้สักพักแบบไม่ต้องให้เดา
ยิ่งเห็นแบบนี้แล้วความทรงจำของเธอได้ไหลเข้ามา เลือดที่เต็มห้องสีขาวและรอยแผลใครสักคนที่มีทั่วตัว ยืนมองเธอราวกับว่าเหมือนสิ่งของอย่างหนึ่งที่พร้อมทำลายได้ด้วยมือเปื้อนเลือดของคู่นั้น และศพพ่อแม่ไร้วิญญาณทอดมองด้วยแววตาแน่นิ่งมาที่เด็กหญิง
สมองได้แสดงความทรงจำที่ปลายฟ้าอยากจะลืมมากที่สุด จนเธอสั่นกลัวไปทั้งกายและใจ ยากที่จะคุ้มสติได้ให้เป็นปกติได้ แม้จะไร้เสียงกรีดร้องออกมา แต่จิตใต้สำนึกของเธอนิ่งเหมือนหลุดลอยไป
ไฟทางเดินได้เปิด แสงสว่างได้เห็นทั่วทางเดินมันยิ่งทำให้เห็นสภาพหลายอย่างชัดมากกว่าเดิม
กลิ่นเลือดลอยคลุ้งและศพที่เหม็นหึ่ง ลอยมาแตะจมูกและสภาพศพทั้งตัวเป็นหญิงสาวไร้เสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าใหญ่ ร่างกายที่มีรอยช้ำเละไปทั้งตัวแม้ยังคงเหลือใบหน้าแสนงดงามไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ถึงสภาพจะเน่าไปตามกาลเวลาซึ่งคาดเดาได้ว่ามันผ่านไปได้สักพักก็เถอะ
‘พี่ดารินไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกฆ่างั้นเหรอ’
ถึงจะตั้งคำถามยังไง ศพตรงหน้ามันก็ชัดเจนแล้วว่าเธอถูกฆ่า ที่น่าแปลกกว่าคือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
มันดูตั้งใจไปหมด…
ทว่ามีได้เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดัง สิ่งเหล่านี้มันดึงดูดสายตาเธอและปรานปรียาให้มองไปในทางเดียวกัน
นั่นคือร่างชายหนุ่มที่สูงใหญ่เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งสวยและชุดดำล้วนทั้งเสื้อคอเต่าแขนยาว กางเกงยีนสีดำสนิทและถุงมือเหมือนทุกครั้ง แน่นอนว่าใบหน้าของเขานั้นนิ่งและไร้จิตใจ ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่ามันไม่ปกติ
‘พี่ไนซ์…เขามาที่นี่เหรอ? แล้วเขาเดินเสียงดังแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?’
ปลายฟ้า รินใจจำได้ว่าเขาเป็นคนที่เดินเสียงเบามาก ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้ง การเดินของเขาในวันแรกที่เจอแทบไม่ได้ยินเสียงเดินเลย
“ไอ้ไนซ์ มาจนได้นะ”
ปรานปรียาพูดด้วยเสียงแค้นใส่ชายหนุ่มที่มองเธอด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าความรู้สึกอะไร มันว่างเปล่าไปหมดรวมไปถึงแววตาสีดำสนิทคู่นั้นเช่นกัน
“เอกสารส่งมาแล้วใช่ไหม” เขาถาม
“กูส่งให้มึงแล้ว มึงก็ดูสิวะ”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขาก็เดินมาใกล้ ๆ โดยที่ปรานปรียาจะยกปืนขึ้นมาลั่นยิงใส่ไนซ์ เขมทัศ ทว่าลูกดอกนั้นมาแทงที่ตาทั้งสองของเธอจนภาพเบื้องหน้าของสาววัยกลางคนมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรและปืนที่ถืออยู่ก็ตกพื้น ร่างกายก็ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน
ปลายฟ้าที่เห็นก็ตกใจที่ลูกดอกนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ จนได้เห็นว่าไนซ์กำลังถือมันอยู่อีกอัน
'เมื่อกี้พี่ไนซ์ยิงลูกดอกมาเหรอ?!'
เพราะว่ามันเร็วมากจนมองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีลูกดอกนั่นมาปักที่ตาของปรานปรียาแล้ว
“พอดีไม่เห็นน่ะสิ ฉันเลยขึ้นมาหาเธอน่ะ”
เขาย่อตัวลงเอาเข่าขวาแตะพื้นพลางมองหญิงสาววัยกลางคนที่ทรมานอย่างเห็นได้ชัดจากการโดนแทงลูกตาเป็น ๆ แค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าเจ็บเหมือนตายทั้งเป็น
“ม..มันอยู่ในห้อง…ทำงานของฉัน”
“ไม่เจอ”
“ก็กูส่งไปแล้วจริง ๆ มึงไม่เชื่อกูรึไง ไอ้ไนซ์”
“...”
ไนซ์ เขมทัศไม่พูดอะไรเขาก็ใช้มือที่สวมถุงมือดำดึงลูกดอกออกจากดวงตาพร้อมกับพลักปรานปรียานอนลงพื้นและชายหนุ่มได้บีบคอด้วยมือคู่นี้ร่างของปรานปรียาทั้งดิ้นต่อต้านด้วยการทุบแขน พลักออกเพื่อให้รอดพ้นจากกระทำของอีกฝ่าย
แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใด ๆ เขาบีบคอด้วยใบหน้าที่นิ่งเช่นเคย จนปรานปรียาหยุดแน่นิ่ง มือไม้ที่ทุบต่อต้านก็ค่อย ๆ หมดแรงทิ้งน้ำหนักแขนและมือทั้งหมดลงพื้น
ปรานปรียาได้หมดลมหายใจคามือของไนซ์ในที่สุด
ชายหนุ่มร่างสูงก็ค้นตัวเธอและได้หาโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อข้างใน มือหนาเปิดหน้าจอก็พบว่ามันล็อกรหัสอยู่ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของชายหนุ่มแต่อย่างใด เขาใช้นิ้วมือของปรานปรียาสแกนเปิดเครื่องพร้อมกับเอาสาย USB จากกระเป๋ากางเกงมาถ่ายข้อมูลส่งมาที่โทรศัพท์ตัวเอง
ปลายฟ้า รินใจที่เห็นชายหนุ่มดับลมหายใจด้วยมือเดียว มันบ่งบอกถึงความชำนาญในการทำเรื่องแบบนี้เป็นอย่างมาก ทำเอาเธอกลืนน้ำลายมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกที่อยากจะลุกหนีให้พ้น เขาน่ากลัวมากที่ทำโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
เหมือนเป็นเรื่องปกติที่เขาทำเป็นประจำอย่างไรอย่างนั้น
ปลายฟ้ากลัวจับใจแต่เลือดมันก็เยอะจนเธอแทบจะทำให้เธอเป็นบ้าได้เช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงอีกคนได้ปรากฏตัวขึ้น เจ้าของผมสีแดงเข้มผ่านการย้อมและใบหน้าที่สวมหน้ากากครึ่งใบหน้าปิดส่วนล่างโดยมีดีไซน์แปลกตาไม่เหมือนของทั่วไป นัยน์ตาสวยคมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ การแต่งตัวไม่ต่างจากไนซ์ เขมทัศ และเขาเป็นหนุ่มตี๋ที่มองยังไงก็หล่อ ดูดีเข้าขั้นเป็นดาราได้
แต่ปลายฟ้านั้นรู้สึกได้ว่าเขาต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลด้วยลางสังหรณ์ของเธอ
เขาถือกระเป๋าเป้สีดำที่พกมาด้วยและเดินตรงไปที่ศพของสองแม่ลูกที่ตายอย่างน่าอนาถาพลางมองดูสถานที่โดยรอบด้วยท่าทีสบาย ๆ และหนุ่มตี๋คนนี้ได้สบตาเธอก่อนที่จะส่งยิ้มผ่านแววตานั่นให้ปลายฟ้า
“ผู้ประสบภัยเหรอพี่ปวริศ ไม่คุ้นเลย”
เขาพูดขึ้นมาและปลายฟ้าก็มองไปยังชายหนุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่มีชื่อนี้
ปวริศ...
คือชื่อที่ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งตรงหน้าเคยบอกชื่อเธอเป็นอันนี้มาก่อน ปลายฟ้าสับสนไปหมดตกลงแล้วคนตรงหน้าชื่ออะไรกันแน่
“ใช่ เธอเป็นคนนอก” ปวริศตอบ
“เอาไงดี เธอเห็นพวกเราแล้ว ให้จัดการเลยไหมดูทรงน่าจะตายไม่ยาก ขาก็บาดเจ็บอยู่”
น้ำเสียงของหนุ่มตี๋มันดูนิ่งและใจดีแต่ก็แอบติดเล่นหน่อย ทำเอาคนฟังอย่างปลายฟ้าส่ายหน้ารัว ๆ ให้เพราะไม่อยากตายนั่นเอง
“พาเธอไปที่บ้านเรา”
“ที่บ้านเหรอ เธอเกี่ยวข้องกับงานนี้เหรอพี่ริท”
“แค่อยากพิสูจน์อะไรสักหน่อย ตอนนี้ข้อมูลทั้งหมดได้มาแล้ว”
ปวริศหรือไนซ์ได้เอาสาย USB ออกและลบประวัติทุกอย่างในเครื่องรวมไปถึงล้างข้อมูลทุกอย่างให้เป็นโรงงานแบบดั่งเดิม ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นเต็มส่วนสูงของเขา
“แต่เธอเหมือนจะกลัวนะ น่าจะลุกไม่ไหวแล้วล่ะพี่ริท”
หนุ่มตี๋บอกอย่างเหนื่อยใจ ซึ่งปวริศหรือไนซ์ก็รู้ว่าน้องชายเขาเป็นพวกไม่ชอบออกแรงเยอะ โดยเฉพาะพวกคนเป็นที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่
“เดี๋ยวพี่จัดการเองรังสิมันต์ แกน่ะล้างกลิ่นที่นี่และสร้างหลักฐานศพของปรานปรียา แสงอุทัยว่าเป็นการฆ่าตัวตายไป”
“ครับพี่”
รังสิมันต์ ได้หยิบเชือกออกจากกระเป๋าของเขาและยกศพของปรานปรียาให้แขวนคอตรงหน้าห้องที่พังกลอนประตู จากที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้วพูดได้เลยว่าคงเสร็จอีกทีคือตี 3 แน่ ๆ
ส่วนปวริศหรือไนซ์นั้นได้มาหาปลายฟ้าที่บาดเจ็บจากการโดนยิงที่ต้นขาซ้าย เขามองหน้าหญิงสาวที่จ้องตาเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สิ่งที่เด่นชัดน่าจะเป็น ‘ความกลัว’ มากกว่า
“ช่วยหลับไปก่อนนะ”
“คะ?”
ปลายฟ้ายังไม่ทันได้ทำอะไร ทุกอย่างก็ภาพตัดและมืดในที่สุด