เหล่าคนตายและคนสิ้นหวังถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งเกมนรกที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หนทางที่จะรอดไปจากที่นี่คือ 'เล่นเพื่อรอด' หรือ 'ยอมแพ้แล้วตาย'
        ดราม่า,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,จิตวิทยา,ดาร์ค,ชีวิต  ,ปรัชญา,เกม,เกมเอาชีวิตรอด,เอาชีวิตรอด,จิตวิทยาระทึกขวัญ,จิตวิทยา,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,ดาร์ค,ระทึกขวัญ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี,  นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
        
        
      
          ปอนด์ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนอ้าปากค้างผงะเหวอ 
 “ม...มาอยู่ที่นี่ได้ไง!” เขาสับสนกับสถานการณ์ตรงหน้า
 
 ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ ยังคงเป็นสีเทาหม่น ดวงอาทิตย์ซ่อนตัวอยู่หลังม่านเมฆสูงตระหง่านทอดเงาทึม ลงมาบนตึกสูงระฟ้า ถนนลาดยางทอดยาวไปสุดสายตา ปราศจากรถยนต์ที่เคยเบียดเสียดกันอย่างคับคั่ง
 
 เขาก้าวเดินไปตามถนนที่ควรจะเต็มไปด้วยผู้คนและเสียงอึกทึกของเมืองหลวง แต่สิ่งที่พบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าและความเงียบงันที่น่าขนลุก เขาหันมองรอบตัว ตึกสูงระฟ้ายังคงตั้งตระหง่านตามปกติ กระจกหน้าต่างสะท้อนแสงแดดยามเช้าเหมือนทุกวัน แต่ไร้ซึ่งเงาของใครสักคนที่ควรจะอยู่ภายใน
 
 ฟุตบาทที่เคยแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่เร่งรีบไปตามทาง บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีรอยเท้าใหม่ๆ บนพื้นซีเมนต์ เสียงพูดคุยสุดวุ่นวายก็ไม่มี ไม่มีแม้แต่เงาของคนจรที่เคยนั่งอยู่ตามมุมตึก หรือจามป้ายรถเมล์ ร้านค้าแผงลอยถูกทิ้งทั้งอย่างนั้น ทางม้าลายที่ควรมีพนักงานออฟฟิศเร่งรีบเดินสวนกันไปมาก็เหลือเพียงเศษขยะปลิวลอยผ่านไป ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปตึกระฟ้า ป้ายโฆษณาดิจิทัลยังคงฉายภาพโฆษณาแฟชั่นและโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ล่าสุด แต่ไร้สายตาใดจับจ้อง สัญญาณไฟจราจรยังคงเปลี่ยนสีตามปกติ แดง เขียวและเหลือง แต่ไม่มีรถสักคันแล่นผ่าน
 
 ป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ริมถนนยังคงทำงานตามปกติ สลับภาพโฆษณาสินค้าและโปรโมชั่นของร้านค้าต่างๆ ทว่าไม่มีใครอยู่เพื่อมองมัน ร้านสะดวกซื้อที่เปิดไฟสว่างไสว ทว่าไม่มีพนักงานยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ แผงหนังสือยังคงวางอยู่ที่เดิม แผ่นพับโฆษณายังคงเสียบเรียงไว้เหมือนเมื่อวาน แต่ไร้ซึ่งมือใดหยิบมันขึ้นมา ตู้กดน้ำยังคงทำงานตามปกติ แต่ไม่มีใครมากดน้ำดื่ม
 
 สถานีรถไฟฟ้าที่ปกติจะมีผู้คนแออัดจนแทบไม่มีที่ยืน บัดนี้กลับว่างเปล่า เงียบงันราวกับไม่เคยมีใครใช้มันมาก่อน บันไดเลื่อนที่ยังคงทำงานดังเสียงแผ่วเบาในความเงียบ ฟังดูชวนขนลุก ลมหวิวพัดผ่านตึกสูง ก่อให้เกิดเสียงหวีดหวิวสะท้อนก้องไปรอบอาคาร ราวกับเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
 
 เขาเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในสถานที่ที่ควรจะมีผู้คนอีกนับล้าน เสียงรองเท้าของเขากระทบพื้นถนนดังก้องกว่าปกติ อาจเป็นเพราะไม่มีเสียงอื่นมาคอยกลบ มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้งมาพร้อมกับลมหวิวพัดเบาเสีียดผิวผ่านไป
 
 เมืองกรุงในยามนี้เหมือนภาพลวงตาที่ถูกทิ้งไว้ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความเร่งรีบ และความวุ่นวาย บัดนี้เหลือเพียงเงาของอดีต บรรยากาศหนักอึ้ง เย็นยะเยือกและไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต แม้แต่แมลงสาบที่วิ่งพล่านตามท่อระบายน้ำ หรือหนูท่อตัวเขื่องก็ไม่มี ราวกับว่าทั้งเมืองถูกทิ้งร้างอย่างไร้สาเหตุ หรือบางทีมันอาจไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้
 
 “ทำไม...คนหายไปไหนกันหมด?!” หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ 
 
 “แล้วมาที่นี่ได้ยังไง?!”
 
 ปอนด์รีบควักมือถือในกระเป๋ากางเกง มองดูที่หน้าจอ หวังพยายามลองหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นไปได้
 
 “ม…ไม่ติดได้ไง?!” เขาจ้องหน้าจอดำสนิทอย่างไม่อยากเชื่อ พยายามกดปุ่มเปิดปิดก็ไม่มีผล ทั้งทั้งที่เขาจำได้ว่าแบตเตอรี่เหลือครึ่งหนึ่ง 
 
 “นี่มันบ้าอะไรวะ…”
 
 เขาสูดลมหายใจลึก พยายามสะกดความหวาดกลัว เขาต้องหาคนสักคน ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่มีใครสักคนที่สามารถบอกเขาได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
 
 “ม...มีใครอยู่ไหมครับ!” เขาตะโกนออกไปโง่ๆ คำตอบที่ได้รับคือความเงียบงัน
 
 เขากวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง พยายามหาคำอธิบายให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้างหน้าคือถนนใหญ่ที่เคยเป็นเส้นเลือดหลักของเมือง ผู้คนควรจะเดินกันขวักไขว่ รถยนต์ควรจะต่อแถวยาวเหยียดด้วยเสียงแตรที่ดังไม่หยุด ไฟจราจรควรจะเปลี่ยนสีตัดจังหวะการเคลื่อนที่ของผู้คน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเลย เมืองทั้งเมืองราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ป้ายโฆษณา ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเขาเอง
 
 ‘ทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นแบบนี้...’ ความคิดต่างๆ เริ่มวิ่งวนในหัวเขาอย่างควบคุมไม่ได้
 
 ‘หรือว่านี่คือความฝัน ไม่สิ… มันสมจริงเกินไป’ กลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ จากรถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนน กลิ่นฝุ่นจากพื้นถนน ความรู้สึกของลมที่พัดผ่านแก้ม ทุกอย่างมันเหมือนจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝัน
 
 ‘ถ้าไม่ใช่ฝัน แล้วมันคืออะไร?’ สมองของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อหาทฤษฎีที่เป็นไปได้
 
 ‘ทุกคนหายไปไหน...’ 
 
 หากนี่เป็นเหตุการณ์ธรรมดา เช่น เมืองถูกอพยพกะทันหันจากภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน อย่างน้อยควรมีร่องรอยบางอย่าง แต่ไม่มีเลย ไม่มีป้ายเตือน ไม่มีข่าว ไม่มีซากความวุ่นวาย เหมือนผู้คนทั้งเมืองละลายหายไปในอากาศโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
 
 ‘หรือว่านี่เป็นการทดลองบางอย่าง…’ 
 
 บางทีเขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ การทดลองทางจิตวิทยาของรัฐบาลหรือองค์กรลับ อาจเป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เมื่ออยู่ในสถานการณ์โดดเดี่ยวแบบสุดขั้ว หรือเป็นส่วนหนึ่งของเกมเอาตัวรอดที่ถูกบังคับให้เข้าร่วม ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเหมือนคนเพ้อเจ้อไปกันใหญ่
 
 ‘หรือหลุดมาอยู่ในอีกมิติหนึ่ง…’ 
 
 ทฤษฎีนี้ฟังดูบ้าบอที่สุด แต่มันก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดได้ดีที่สุด คล้ายกับการ์ตูนหรือนิยายแนวต่างโลกที่เคยผ่านตา ถ้าเขาหลุดมาในโลกคู่ขนาน หรืออีกมิติหนึ่งที่มีเพียงเขาแต่ไม่มีผู้คน มันก็สมเหตุสมผลที่สัญญาณมือถือจะใช้ไม่ได้ และทุกอย่างจะยังคงอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
 
 ‘หรือว่า…เราตายไปแล้ว’
 
 ความคิดนี้ทำให้ขนลุกวาบขึ้นมาตามต้นคอแต่มันคงไม่ใช่เพราะยังจำได้ว่าตัวเองอยู่ร้านเกมครั้งล่าสุด
 
 ‘ข้อความ… ข้อความนั้น!’
 
 เขานึกถึงข้อความที่ได้รับก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ข้อความที่ชวนเล่นเกมบางอย่าง อาจเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องทั้งหมด แม้ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อนแต่ตอนนี้มันยากที่จะมองข้าม
 
 เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมตัวเองไม่ให้จมดิ่งไปกับความกลัวและความสับสนมากเกินไป ตอนนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่สิ่งที่เขารู้แน่ๆ คือเขาต้องทำอะไรสักอย่าง เขาต้องหาคนอื่นที่อาจอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขาไม่อยากอยู่ลำพังในเมืองร้างแห่งนี้
 
 “ขอโทษนะคะ...” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
 
 ปอนด์สะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปตามสัญชาตญาณ สายตาก็ปะทะเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง
 
 เธอดูเหมือนอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ ตัวเล็กร่างบาง แต่ก็มีเนื้อมีหนังไม่ถึงกับผอมแห้ง ผมยาวดัดลอนถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับดวงตาของเธอ สวมเสื้อนิสิตคับอกพร้อมกับกระโปรงทรงเอ มองแค่แวบเดียวก็เดาได้ไม่ยากว่าเธอเป็นนักศึกษา
 
 ภายใต้สถานการณ์ปกติ รูปลักษณ์ของเธออาจจะดูน่าดึงดูดสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับปอนด์ในตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นในความคิดเรื่องใต้สะดือเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็น ปกติ กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าสงสัย แม้แต่คนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เสียงฝีเท้าของเธอไม่ได้ยินมาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
 
 “ค...ครับ?”
 
 ปอนด์ตอบกลับไปตะกุกตะกัก ลิ้นแข็งเหมือนไม่ได้ใช้มันมานาน บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้คุยกับใครเลยตั้งแต่ก่อนมาในโลกอันเงียบงันนี้ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะความกังวลที่ทำให้เกิดอาการกลัวสังคมแบบเฉียบพลัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาคงไม่มีทางเลือกให้หลีกเลี่ยงการสนทนาได้
 
 “พี่พอจะรู้ไหมคะว่ามันเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นตระหนก
 
 “ม...ไม่รู้ครับ”
 
 เขาด์เองก็ไม่มีคำตอบ เขาได้แต่เกาหัวแกรกๆ พลางใช้ความคิด ในวินาทีนั้นเหมือนบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของเขา
 
 “เอ่อ... คือว่า...ก่อนหน้านี้ คุณได้รับข้อความไหมครับ”
 
 “คะ? ข้อความ...”
 
 “ครับ ข้อความที่ชวนเล่นเกมอะไรสักอย่างน่ะครับ”
 
 หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย ดูเหมือนเธอกำลังพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
 
 “อืม... เหมือนจะใช่ค่ะ”
 
 คำตอบของเธอทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
 
 “ผมคิดว่านั่นอาจเป็นต้นเหตุที่พวกเรามาที่นี่น่ะครับ”
 
 “อะไรนะคะ?!”
 
 เขารู้ดีว่ามันฟังดูบ้าบอเหมือนคนสติแตก แต่ในเมื่อไม่มีเหตุผลอื่นที่สมเหตุสมผลกว่านี้ เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับว่าข้อความนั้นอาจเป็นกุญแจของปริศนานี้
 
 ปอนด์กับนักศึกษาสาวยังคงยืนงุนงงอยู่กลางถนนที่เงียบเชียบ ราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงพวกเขาสองคน แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
 
 ห่างออกไปไม่กี่ก้าว บริเวณฟุตบาทที่ว่างเปล่าเมื่อครู่ บัดนี้กลับมีเงาของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตรงนั้นยังไม่มีใครเลย สายตาของปอนด์จับจ้องไปยังพวกเขา หัวใจเต้นระรัว มันไม่ใช่การเดินเข้ามาตามปกติ มันเหมือนกับว่าคนพวกนั้นถูกเทเลพอร์ตมาวินาทีเดียวกัน
 
 พวกเขามีทั้งหมดสามคน หญิงสาวในเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ชายหนุ่มในเสื้อโปโลสีเขียว และลุงยามในเครื่องแบบสีกรม พวกเขากำลังคุยอะไรกันบางอย่าง เสียงเบาๆ ลอดออกมา ฟังดูสับสนและงุนงงไม่ต่างจากปอนด์
 
 เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหา เพราะอย่างน้อยการพบคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้ก็ดีกว่าต้องอยู่ลำพัง
 
 “เอ่อ...ขอโทษนะครับ” ปอนด์เอ่ยขึ้น พยายามคุมเสียงให้มั่นคงที่สุด “พวกคุณพอจะรู้ไหมครับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
 
 หญิงสาวในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าหันมามองเขา ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ 
 
 “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนแรกฉันทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ทุกอย่างปกติจนกระทั่งเดินลงมาจากตึกแล้วพบว่าไม่มีใครเลย ไม่แม้แต่คนเดียว ฉันไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
 
 “ใช่ ลุงก็เหมือนกัน” ลุงยามพยักหน้า สีหน้าของเขายังตกตะลึงไม่แพ้คนอื่น “ลุงงีบหลับไปแค่แป๊บเดียว พอตื่นมา ออกมาดูข้างนอกก็พบว่าเช้าแล้ว แต่ทุกอย่างเงียบสนิทอย่างกับเมืองร้าง”
 
 “แล้ว... ก่อนหน้านี้ พวกคุณได้รับข้อความอะไรไหมครับ”
 
 เมื่อคำถามออกมาจากปากของปอนด์ ทำให้ทุกคนเงียบไปชั่วขณะแล้วพยักหน้าหงึกๆ เป็นเสียงเดียวกัน
 
 สาวนักศึกษาที่ยืนข้างปอนด์ก้าวขึ้นมาข้างหน้าเล็กน้อย เธอดูเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ยังชั่งใจ
 
 “ทุกคนคะ... รู้สึกเหมือนถูกย้ายมาที่นี่ในชั่วพริบตาหรือเปล่าคะ หลังจากได้รับข้อความอะไรนั่นน่ะค่ะ” เธอถาม น้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความระแวง
 
 ชายเสื้อโปโลสีเขียวขมวดคิ้ว “มันก็... เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะครับ ตอนแรกผมยังอยู่ที่บ้าน ผมกำลังเช็คตลาดหุ้นและจู่ๆ ก็มีข้อความชวนเล่นเกมอะไรสักอย่าง แล้วอยู่ดีๆ ก็มายืนตรงนี้”
 
 “ฉันก็ด้วยค่ะ...”
 
 “ลุงก็ด้วย...” สาวเชิ๊ตฟ้ากับลุงยามยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน
 
 ปอนด์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ หัวของเขากลับมาหมุนเร็วอีกครั้ง ความเป็นไปได้มากมายประดังเข้ามา แต่ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนมาที่นี่เพราะข้อความนั่นเหมือนกันทุกคน
 
 “ว่าแต่... ทำไมเมืองถึงเงียบราวกับป่าช้าแบบนี้ล่ะครับ” ชายเสื้อโปโลเขียวถามต่อ
 
 “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” หญิงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าส่ายหัว “แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าพวกเราควรไปสถานีตำรวจกันก่อนค่ะ อาจจะมีคำตอบ หรืออย่างน้อยก็เจอคนอื่นที่อาจรู้เรื่องนี้ค่ะ”
 
 “เงียบแบบนี้... คุณแน่ใจเหรอครับ ว่าสถานีตำรวจจะยังมีคนอยู่” ชายเสื้อโปโลเขียวแย้ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
 
 “มันก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ใช่หรอคะ” หญิงเสื้อเชิ้ตฟ้ายืนยันหนักแน่น “ถ้ามันเกิดภัยพิบัติหรืออะไรบางอย่าง คนอื่นอาจไปรวมตัวกันที่นั่นก็ได้ค่ะ”
 
 ปอนด์ลังเลเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าการไปสถานีตำรวจจะช่วยอะไรได้ แต่เมื่อมองไปรอบตัว เมืองร้างแห่งนี้ไม่ได้ให้อะไรกับพวกเขานอกจากความเงียบงัน
 
 “พวกคุณจะไปด้วยไหมคะ” หญิงเสื้อเชิ้ตหันมาถามเขากับนักศึกษาสาวโดยตรง
 
 เขาเม้มปากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ครับ...”
 
 จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่อยากอยู่คนเดียว ถึงจะใช้ชีวิตแบบนั้นมาสักพักใหญ่แล้วก็ตาม ส่วนนักศึกษาสาวก็พยักหน้าเนือยๆ เป็นการตอบตกลง
 
 “งั้นพวกเราไปกันเถอะค่ะ” หญิงเสื้อเชิ้ตกล่าวสรุป
 
 “ผมรู้ทางครับ” ลุงยามเอ่ยขึ้น ก่อนจะเริ่มออกเดินนำทุกคนไปบนถนนที่ว่างเปล่า
 
 ปอนด์กับนักศึกษาสาวมองตามแผ่นหลังของพวกเขา ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา เขายังไม่รู้ว่าคำตอบของเรื่องทั้งหมดนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในความเงียบงันนี้