เหล่าคนตายและคนสิ้นหวังถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งเกมนรกที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หนทางที่จะรอดไปจากที่นี่คือ 'เล่นเพื่อรอด' หรือ 'ยอมแพ้แล้วตาย'
        ดราม่า,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,จิตวิทยา,ดาร์ค,ชีวิต  ,ปรัชญา,เกม,เกมเอาชีวิตรอด,เอาชีวิตรอด,จิตวิทยาระทึกขวัญ,จิตวิทยา,สะท้อนจิตใจ,สะท้อนสังคม,ดาร์ค,ระทึกขวัญ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี,  นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
        
        
      
          
             
        
          
              เหล่าคนตายและคนสิ้นหวังถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งเกมนรกที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน หนทางที่จะรอดไปจากที่นี่คือ 'เล่นเพื่อรอด' หรือ 'ยอมแพ้แล้วตาย'
          
          ผู้แต่ง
          Fantasy Destroyer
          เรื่องย่อ
          
              
ว่ากันว่า'มนุษย์' คือสิ่งมีชีวิตน่าอัศจรรย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ หรือในภาษาวิทยาศาสตร์คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาทางปัญญาขั้นสุด พวกเขาเกิดมา เติบโต และเรียนรู้ความเป็นไปของโลกที่พวกเขามีชีวิตหายใจ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ออกเดินทางตามปณิธานจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
แต่ทว่าในทางกลับกันเหรียญมักมีสองด้านเสมอ หาก 'มนุษย์' เลือกทำตรงกันข้าม เกิดมาแล้วปราถนาความตาย เติบโตมาอย่างบิดเบี้ยว หรือเรียนรู้เดรัจฉานวิชาเพื่อเติมเต็มความกระหาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเอง แม้จะต้องทำร้ายใครก็ตาม
เส้นบางๆ ระหว่าง 'สัตว์ประเสริฐ' กับ 'สัตว์เดรัจฉาน' จึงไม่ต่างกัน แค่อยู่ที่ว่าจะเลือกฝังมันในจิตใต้สำนึก หรือจะใช้มันสนองตัวเอง
เช่นนั้นแล้ว...
ขอต้อนรับสู่โลกแห่งเกม
เกมที่จะทำให้ชีวิตของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เกมที่คุณเดิมพันด้วยชีวิต ต้องเลือกระหว่างเล่นเพื่อ 'รอด' หรือยอมแพ้แล้ว 'ตาย'
เพื่อทดสอบว่าคุณเห็นคุณค่าของชีวิต
หวังว่า 'ความเดรัจฉาน' ในตัวคุณจะไม่ทำให้เลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม
หรือจะต้องกลายเป็น'เครื่องมือ'ในการเอาตัวรอด
          
       
      
          ห้องทำงานของผู้จัดการไม่ได้ใหญ่โตนัก มีเพียงโต๊ะทำงานไม้สีเข้มที่เต็มไปด้วยเอกสารกองโต เก้าอี้อีกสองสามตัวที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวสลัวๆ ส่องสว่างทั่วห้อง เผยให้เห็นใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงด้วยความไม่พอใจของคนที่ได้ยินเพียงเสียงก็รู้ว่าใคร 
 คุณอร ผู้จัดการวัยกลางคนรูปร่างท้วม ผมซอยสั้นหยักศกที่พยายามเซ็ตให้ดูเนี้ยบแต่ก็ดูยุ่งเหยิงอยู่ดี ดวงตาเล็กๆ มองลอดแว่นสายตากรอบหนาที่วางอยู่บนสันจมูก หล่อนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ หลังโต๊ะทำงานของเธอ กลิ่นกาแฟค้างคืนกับกลิ่นกระดาษเก่าผสมกับกลิ่นน้ำหอมฉุนกึ๊กของหล่อนลอยคละคลุ้งในอากาศ สร้างบรรยากาศอึดอัดที่กดดันอยู่แล้วให้หนักอึ้งขึ้นไปอีก
 
 ปอนด์เดินเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ แต่ในใจกลับไร้ซึ่งความเคารพใดๆ ทำไปตามมารยาท เขาเลือกที่จะยืนนิ่งโดยไม่คิดจะนั่งลงด้วยซ้ำ ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำชั่วครู่ ก่อนที่คุณอรจะเปิดฉากด้วยน้ำเสียงที่สูงปรี๊ดและแฝงความไม่พอใจไว้เต็มเปี่ยม
 
 “มาแล้วเหรอคุณปอนด์ นึกว่าจะเผ่นกลับบ้านไปแล้ว เห็นว่าเข้าช้ากลับไวตลอดเลยนะ”
 
 หล่อนพูดขึ้นช้าๆ แต่ทุกคำพูดเชือดเฉือน ปากที่ทาสีแดงสดเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตาเล็กของเธอกรอกไปมา
 
 “ฉันคงไม่ต้องพูดมากความหรอกใช่ไหม คุณคงรู้อยู่แล้วว่าฉันจะพูดเรื่องอะไร เรื่องที่คุณมาสายบ่อยๆ เนี่ย”
 
 เขายังคงก้มหน้า นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ใดๆ เขารู้ดีว่าคำพูดใดก็ตามที่หลุดออกจากปากเขาตอนนี้ จะยิ่งเหมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่ง ความเงียบอาจเป็นเกราะกำบังเดียวที่เขาพอจะมีให้ตัวเอง
 
 “นี่มันกี่ครั้งแล้วที่ฉันเตือนคุณ ห๊ะ? เกือบทุกวัน! ฉันเหนื่อยจะพูดแล้วนะ!” เสียงของหล่อนเริ่มแหลมขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าบึ้งตึงขึ้นตามลำดับ คิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
 
 “ผ...ผมขอโทษครับ...” ทำได้เพียงก้มหน้ารับ
 
 “คุณคิดว่าที่นี่เป็นอะไร? ตลาดนัดเหรอ! อยากจะมาตอนไหนก็ได้งั้นเหรอ?! คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! เป็นเจ้าของร้านรึไง!? ฉันนี่สิ เจ้าของร้านต่างหาก!”
 
 “ขอโทษครับ...” ยังตอบเหมือนเดิม ไม่รู้จะคิดคำไหนมาพูด 
 
 ปึง!
 
 เธอตบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง จนเอกสารกระเด็น
 
 “พนักงานคนอื่นเขาก็ตื่นแต่เช้ามาทำงานกันทั้งนั้น มีแต่คุณนี่แหละที่ไม่เห็นความสำคัญของเวลา! ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย! แบบนี้จะไปทำงานที่ไหนได้! ฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วนะ! เดือนนี้คุณมาสายตั้งห้าครั้งแล้ว”
 
 คำพูดเหล่านั้นแทงใจเขาด์อย่างจัง ความรู้สึกไม่พอใจพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเนื้อ เลือดในกายเดือดพล่าน รู้สึกน้อยใจในชีวิตตัวเองอย่างบอกไม่ถูก กลายเป็นว่าเขาที่โดนด่าอยู่คนเดียว ถูกเพ่งเล็งราวกับเป็นแกะดำในฝูงที่ไร้ค่า
 
 ‘ให้ตายเถอะ... พวกนั้นน่ะเหรอที่ตื่นเช้า?’ ปอนด์ได้แต่ยืนกำหมัดแน่น คิดในใจได้อย่างเดียว
 
 ภาพของพนักงานบางคนที่เขาเห็นกับตาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนผุดขึ้นมาในหัว พนักงานบางคนก็มาสายกว่าเขาอีก บางคนอู้ในห้องน้ำเป็นชั่วโมงๆ แอบเล่นมือถือใต้เคาน์เตอร์ตลอดเวลา งานก็ทำขอไปที พอผู้จัดการเดินมาก็รีบก้มหน้าก้มตาทำราวกับไม่เคยอู้งาน บางคนก็ชอบทำเป็นสนิทสนมกับหล่อน เลียแข้งขาพูดจาประจบประแจงทุกเรื่องราว แม้แต่เรื่องส่วนตัวของหล่อนก็ยังเอาไปซุบซิบนินทากับคนอื่น แต่ต่อหน้าก็ทำเป็นหวังดี เอาอกเอาใจแค่เพื่อให้ตัวเองรอดตัวไปได้ ทั้งๆ ที่งานก็ไม่ได้ทำเต็มที่เท่าไหร่
 
 เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แอบมองคุณอรผ่านทางหางตา ผู้จัดการหญิงยังคงพูดต่อว่าเขาไม่หยุดหย่อน น้ำลายกระเด็นเล็กน้อยจากปากที่กำลังพ่นคำด่าทอใส่เขา ใบหน้าแดงก่ำจากความโมโห แต่เขากลับรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นไร้น้ำหนักเหลือเกิน
 
 ความคับแค้นใจเริ่มก่อตัวขึ้นในอก มันคือไฟเล็กๆ ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ และมันไม่ใช่แค่ไฟที่เผาผลาญตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นความโกรธที่เริ่มเผาไหม้สิ่งที่อยู่รอบข้าง
 
 เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยประจบประแจงใคร ไม่เคยทำตัวเป็นคนโปรด ไม่เคยใช้เส้นสาย และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงโดนเพ่งเล็งอยู่คนเดียวแบบนี้
 
 ในโลกของวงการเกมที่เขาเคยอยู่ ถ้าฝีมือไม่ถึง ต่อให้ประจบสปอนเซอร์แค่ไหนก็ไร้ค่า แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง โลกที่เขาอยู่ตอนนี้มันช่างน่าเบื่อ ไร้ความยุติธรรมสิ้นดี ทำได้เพียงยืนกัดฟันกึดๆ ก้มหน้ารับฟังคำด่าทอเหล่านั้นต่อไป ปล่อยให้มันไหลผ่านหูไปเหมือนสายลม ไม่ว่าคุณอรจะพูดอะไรอีกก็ทำเป็นหูทวนลม เพราะเขารู้ดีว่าชะตากรรมของเขา มันถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าจะพ้าพูดอะไรออกไป หรือพยายามแก้ตัวด้วยเหตุผลสักอย่างก็ตาม คงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี
 
 คุณอรหยุดพูดไปชั่วครู่ หอบหายใจแรงเหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายหนัก เธอเอามือวางบนโต๊ะ จัดแว่นที่เลื่อนลงมาเล็กน้อยแล้วจ้องหน้าเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ราวกับจะเผากันให้เป็นจุณ มองแค่รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ของตัวเองที่เปื้อนคราบน้ำมัน
 
 “ฟังให้ดีนะคุณปอนด์...” เสียงหล่อนกลับมาแหลมอีกครั้ง แต่คราวนี้แฝงด้วยความเย็นเยียบที่ทำให้ขนลุกซู่
 
 “นี่คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเตือนคุณ! ฉันเบื่อที่จะต้องมาพูดปากเปียกปากแฉะแล้ว ถ้าครั้งหน้าคุณยังมาสายอีกแม้แต่นาทีเดียว... ฉันจะหักเงินเดือนคุณ! หักทุกบาททุกสตางค์ที่คุณต้องทำให้คนอื่นลำบาก เข้าใจไหม!?”
 
 คำว่า หักเงินเดือน เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางอกเขา กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน เงินเดือนที่ได้อยู่ก็แทบไม่พอใช้จ่ายอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคำขู่นี้อีกก็ทำให้ความคับแค้นใจที่มีอยู่แล้วปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกในใจเหมือนถูกบีบคั้นจนหายใจไม่ออก ถูกผลักดันจนหลังชนฝา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับชะตากรรม
 
 “ค…ครับ”
 
 คุณอรสูดหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ก่อนจะพ่นคำพูดสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
 
 “ไปได้แล้วไป๊! พรุ่งนี้มาให้ทันด้วยนะ ฉันจะรอดู” เธอยื่นมือชี้ไปที่ประตูห้องทำงานอย่างชัดเจน เป็นการขับไล่อย่างไร้มารยาท
 
 ปอนด์ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย แม้ในใจจะเดือดปุดๆ เขากลับรู้สึกถึงความอ่อนแรงที่แทรกซึมไปทั่วร่างกาย ดวงตาของเขามืดมิดราวกับถูกเมฆดำทะมึนบดบัง
 
 เขาหมุนตัวอย่างเชื่องช้า แล้วเดินออกจากห้องทำงานของผู้จัดการไปอย่างเงียบเชียบ ทุกย่างก้าวหนักอึ้งราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ ปล่อยให้ความคับแค้นใจและความรู้สึกไร้ค่ากัดกินหัวใจอยู่เบื้องหลัง
 
 ทันทีที่เขาก้าวพ้นธรณีประตูห้องทำงานของคุณอร เขาก็ต้องเผชิญกับสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมายังเขา พนักงานคนอื่นๆ ในร้านที่กำลังเก็บกวาดและทำความสะอาดต่างหยุดชะงัก สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนซุบซิบกันเสียงหึ่งพอให้ได้ยินเล็ดลอดมา
 
 “โดนอีกแล้วเหรอ ไอ้หมอนั่น?”
 
 “ชึ! สมน้ำหน้า”
 
 “อู้งานเองก็ช่วยไม่ได้ล่ะน่า~”
 
 บางคนส่งสายตาเอือมระอาพร้อมกับรอยยิ้มหยันกรายๆ ที่มุมปากกำลังรอคอยชมการแสดงความอับอายของเขา ปอนด์รู้สึกเหมือนถูกจมดิ่งลงในบ่อโคลนที่เต็มไปด้วยสายตานับร้อยคู่ที่กำลังตัดสินเขา
 
 แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง ทั้งจากคำด่าของป้าอรเมื่อครู่ และสายตาหยามเหยียดของเพื่อนร่วมงาน ทำให้ความอดทนของปอนด์ขาดสะบั้นลง
 
 อารมณ์ที่ถูกกดทับมานานปะทุขึ้นพร้อมกัน ความโกรธ ความคับแค้นน้อยเนื้อต่ำใจ และความรู้สึกไร้ค่า ผสมปนเปกันจนยากจะแยกแยะ
 
 ‘เป็นเชี่ยไรกับกูกันนักหนาวะ!’
 
 เสียงในหัวของปอนด์ตะโกนก้อง เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ แต่การจะระบายอารมณ์กร้าวพาลใส่คนอื่นที่ไร้เดียงสาคงไม่ใช่เรื่องดี รู้แก่ใจว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออก แต่เขาก็ไม่สามารถควบคุมความเดือดดาลที่ปะทุขึ้นมาได้
 
 ร่างของเขาหยุดชะงักกลางทางเดินที่เชื่อมระหว่างห้องผู้จัดการกับเคาน์เตอร์ เขายกมือขึ้นปลดผ้ากันเปื้อนสีดำประจำร้านที่รัดอยู่ที่คอออกอย่างแรง ท่าทางกระชากกระชั้นจนบางคนถึงกับสะดุ้ง ผ้ากันเปื้อนถูกบิดขยำในมือถูกเหวี่ยงออกไปอย่างฉุนเฉียว พุ่งเข้าใส่เคาน์เตอร์ปรุงอาหารเสียงดังฟึ่บ ระบายโทสะทั้งหมดลงไปบนผืนผ้าที่ไร้ชีวิตนั้น
 
 “แม่ม...” เขาพึมพำพลางถอนหายใจ
 
 พนักงานบางคนถึงกับผงะ ถอยหลังไปคนละก้าวด้วยความตกใจ เสียงซุบซิบเงียบลงไปชั่วขณะ แทนที่ด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด
 
 ไม่นานนักสายตาแห่งการตัดสินก็กลับมาอีกครั้งพร้อมเสียงกระซิบกระซาบที่เบาลงกว่าเดิม เขาไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นอีกต่อไป หยิบเสื้อฮุ๊ดสีเทาตัวเก่าที่วางไว้บนจุดฝากของมาสวมแล้วหันหลังให้ทุกคนแล้วเดินอาดๆ ออกจากร้านฟาสต์ฟู้ดไปด้วยความหงุดหงิดหัวเสีย