"เมื่อคำทำนายจากไพ่ทาโรต์นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เจ้าหญิงผู้หยั่งรู้อนาคตจำต้องเดินทาง เพื่อแก้ไขชะตา... และเผชิญหน้ากับความรักต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้น"

ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา - บทที่3 The High Priestess ความลับใต้แสงจันทร์ (2) โดย เงาเวลา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,รัก,ผจญภัย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,รัก,ผจญภัย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

 ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา โดย เงาเวลา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"เมื่อคำทำนายจากไพ่ทาโรต์นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เจ้าหญิงผู้หยั่งรู้อนาคตจำต้องเดินทาง เพื่อแก้ไขชะตา... และเผชิญหน้ากับความรักต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้น"

ผู้แต่ง

เงาเวลา

เรื่องย่อ

คำนำนักเขียน

สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เรื่อง Arcana คำทำนายแห่งโชคชะตา เรื่องนี้ผลงานเรื่องแรกของเราเอง (ฮา) ถือซะว่าเป็นการงานผลอ่าน พร้อมๆ กับการเฝ้าดูการเติบโตของเราเอง >< โดยเนื้อเรื่องจะกล่าวถึง การใช้ไพ่ทาโรต์ในการทำนายดวง มีการรีเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับไพ่ ตำนาน ความหมายต่าง ๆ และมีการแต่งเสริมเพื่อความอรรถรสในการอ่าน จินตนาการเรื่องราวอีกด้วย

ความคิดเห็นจากนักอ่านทุกท่าน คือ กำลังใจและคำชี้แนะของเรา ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้านะคะ โดยเรื่องนี้เราจะทดลองลงเป็นตอน ทั้งหมดประมาณ 10 ตอน เพื่อดูแนวโน้มของนิยายเรื่องนี้ในอนาคต หลังจากนั้นเราก็จะทำเป็น E-book โดยมีทั้งหมด 22 ตอนนั้นเอง 

รบกวนนักอ่านทุกๆ ท่าน เอ็นดู และสนับสนุนเราด้วยนะคะ

รักทุกท่านที่กำลังเปิดอ่านหน้านี้

เงาเวลา

สารบัญ

ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทนำ เริ่มต้น, ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทที่1 The Fool ก้าวแรกของผู้ไม่รู้, ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทที่2 The magician นักเล่นกล (1), ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทที่2 The magician นักเล่นกล (2), ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทที่3 The High Priestess ความลับใต้แสงจันทร์ (1), ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา-บทที่3 The High Priestess ความลับใต้แสงจันทร์ (2)

เนื้อหา

บทที่3 The High Priestess ความลับใต้แสงจันทร์ (2)

รุ่งเช้าวันถัดไป...

ทั้งคู่มาถึงหน้าหอสมุดประจำเมือง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางย่านเมืองของคนร่ำรวย ด้วยอาคารสร้างจากหินอ่อนสีเทาอ่อน ผนังด้านหน้าเป็นลายแกะสลักรูปสัญลักษณ์เหรียญเงินตรา เมื่อผลักประตูโอ๊คหนาเข้าไป เสียงบานพับเก่าดังเอี๊ยดเบา ๆ กลบด้วยกลิ่นของกระดาษเก่าและหมึกแห้งที่อบอวลอยู่ในอากาศ ภายในหอสมุดตกแต่งอย่างสง่างาม เสียงฝีเท้าของเอลาร่าและลูเซียดังก้องสะท้อนในโถงห้องอันกว้างใหญ่ เบื้องหน้าคือโต๊ะทำงานของบรรณารักษ์ 

“สวัสดีค่ะ...เพิ่งเคยเห็นนะคะเนี่ย...มาจากที่ใดรึคะ”

หญิงสาวชาวพื้นเมืองเอ่ยทักทายพวกเขาด้วยความแปลกประหลาดใจ

“พวกเรามาจากดินแดนแห่งดาบ...เห็นว่าที่นี่มีหนังสืออยู่มากมาย”

เอลาร่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปกติและเป็นมิตร ท่าทางของเธอยังคงนิ่งสงบอยู่เสมอ ในขณะที่ลูเซียคอยมองไปรอบ ๆ ของหอสมุด

“ถ้าอย่างนั้นเชิญเลยค่ะ...หอสมุดเรามีทั้งหมดสองชั้นนะคะ”

หญิงสาวบรรณารักษ์เอ่ยตอบ พลางผายมือออกไปเพื่อแนะนำลูกค้าที่เขามาใช้บริการ ยังไม่ทันที่พวกเอลาร่าจะหมุนตัวออกไปสำรวมหอสมุด บรรณารักษ์ก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมาก่อน...

“ส่วนชั้นใต้ดินตอนนี้ห้ามเข้าอยู่นะคะ”

เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือน้อย ๆ ส่งผ่านความกลัวบางอย่างผ่านแววตา ใบหน้าเริ่มเหยเกไปมา ราวกับว่าจะปกปิดบางอย่าง เอลร่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ”

แววตาของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของบรรณารักษ์ ราวกับจะค้นหาความลับบางอย่างที่ถูกซ่อนอยู่ ลูเซียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็นความผิดปกติเช่นกัน แต่ก็ปล่อยให้เอลาร่าเป็นผู้พูดนำ...

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ...พอดีว่ากำลังปรับปรุงอยู่”

เสียงของบรรณารักษ์สาวสาวไหว คำพูดนั้นเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความมั่นคง ร่างของเธอสั่นเล็กน้อย ราวกับต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมตนเอง ดวงตาของเธอเบนหนีจากสายตาสีฟ้าน้ำทะเลของเอลาร่า ที่จ้องมองลึกเข้าไปไม่ลดละ เอลาร่าไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย แต่พลังจากแววตาของเธอกลับบีบคั้นบรรยากาศโดยรอบ ให้ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ลูเซียที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวก็รับรู้ถึงบรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนแปลง เสียงเย็นเฉียบเอ่ยขึ้นมา...

“ทราบแล้วค่ะ”

เอลาร่าเลือกที่จะตอบออกไปเช่นนั้น เธอไม่อยากให้หญิงสาวตรงหน้าหวาดกลัวไปมากกว่านี้...

“งั้นเชิญเพลิดเพลินได้ตามสบายเลยนะคะ”

เสียงของบรรณารักษ์ยังคงสั่นเครือด้วยความกลับ แต่ต้องยิ้มแย้มบริการลูกค้าต่อไป...เสียงฝีเท้าของทั้งคู่เริ่มออกเดินสำรวจ

“ลูเซียเจ้าไปดูชั้นสอง...ข้าจะดูชั้นนี้เอง”

เอลาร่าเอ่ยกับลูเซีย พลางชี้ไปที่ชั้นสองของหอสมุดไม้

“เข้าใจแล้ว”

ลูเซียเอ่ยตอบกลับ และหมุนตัวหันหลังเดินออกไป แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องที่หญิงสาวที่กำลังเดินสำรวจหนังสืออยู่ เธอคง...จะหาทางไปที่ชั้นใต้ดินสินะ...นั้นคือสิ่งที่ลูเซียคิดอยู่ตอนนี้

ผ่านไปครึ่งวัน...

เสียงถอดหายใจเบา ๆ มาจากชั้นสอง ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักแน่นแต่ไม่เร่งรีบ ที่ดังเป็นจังหวะลงมาตามบันไดไม้เก่า

“เอลาร่าข้าไม่เจออะไรเกี่ยวกับไพ่ทาโรต์เลย...”

ลูเซียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปนเปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เขาเดินมาหยุดยืนข้างเจ้าหญิง ก่อนจะปรายตามองรอบ ๆ ด้วยแววตาสงสัย ทุกเล่มที่เจอเป็นเพียงแค่ตำราทั่วไป เอลาร่ายังคงยืนนิ่งเงียบ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลยังคงมองไปที่หนังสือที่เธอถืออยู่ ไม่นานเสียงปิดหนังสือก็ดังขึ้น ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง

“ข้าก็ด้วย...แต่ว่าข้าสงสัยเรื่องชั้นใต้ดิน”

เอลาร่ากล่าวพลางวางหนังสือในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันกลับมาสบตาลูเซียอีกครั้ง

“ข้าก็ด้วย...บางทีชั้นนั้นอาจมีหนังสืออยู่บ้างก็ได้”

ลูเซียเอ่ยขึ้นด้วยความคิดเช่นเดียวกับ สาเหตุจากการกระทำที่แปลกประหลาดของบรรณารักษ์สาวที่เข้ามาต้อนรับพวกเขา ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ใต้ดินกำลังดึงดูดพวกเขา

“ตามข้ามา”

น้ำเสียงที่เรียบเรื่อยของเอลาร่า แต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ลูเซียจึงก้าวตามมาโดยไม่ลังเล หญิงสาวค่อย ๆ หยิบถุงผ้ากะหยี่เล็ก ๆ ที่แนบอยู่เอวของเธอออกมา

“นี่เจ้าจะลองใช้ไพ่ที่นักเล่นกลให้มาอย่างนั้นรึ

ลูเซียถามด้วยความสงสัยปนห่วงใย  เอลาร่าหยิบไพ่ใบหนึ่งออกมาอย่างช้า ๆ ปลายนิ้วสัมผัสขอบกระดาษแข็งราวกับสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสียงลมหายใจเธอเบาลง

“ข้าจะลองถามไพ่ดู...”

น้ำเสียงที่เริ่มเย็นเฉียบกลับมาอีกครั้ง ใจเต้นแรงแต่สายตากลับมั่นคง     เธอไม่รู้แน่ชัดว่าไพ่จะนำทางจริงหรือไม่ แต่ในเวลานี้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว

“สวัสดีเจ้าหญิง...ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันเร็วอย่างนี้”

เสียงที่คุ้นหูแผ่วเบา ดังกังวานออกมาจากไพ่ที่เอลาร่าถือไว้ในมือ แสงสีขาวเรืองรองสาดส่องไปทั่วไปห้อง ราวกับแสงจันทร์ในยามราตรี ร่างของหญิงสาวในชุดคลุมยาวสีเทา ปรากฏขึ้นกลางแสงนั้น นัยน์ตาสีทองของเธอจับจ้องมาที่เจ้าหญิงอย่างแน่วแน่

“เดี๋ยวนะ...นี่มันนักเล่นกล...แล้วทำไมถึงออกจากไพ่?”

ลูเซียเอ่ยอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ หญิงสาวในชุดคลุมยาวยิ้มบาง

“ก็เพราะว่าข้า...เป็นจิตวิญาณที่มาจากไพ่อย่างไรเล่า”

“เอลาร่าเจ้ารู้อยู่แล้วอย่างนั้นรึ”

ลูเซียหันไปสบตาเอลาร่าด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ เอลาร่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง...

“ข้าแค่รู้สึกพลังงานโบราณจากตัวเธอ...แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นไพ่ทาโรต์”

เอลาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะเบือนสายตาเลี่ยงไปจากลูเซีย คล้ายคิดทบทวนอะไรบางอย่าง ทว่า...ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามอะไรจาก      นักเล่นกล เสียงของลูเซียก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“ข้าได้ยินเสียงแปลก ๆ เจ้าได้ยินอะไรบ้างหรือไม่”

เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจัง แววตาเคร่งเครียดที่ไม่อาจปิดบังได้ ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือก ราวกับสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติบางอย่าง เอลาร่าคิ้วขมวด หันกลับมามองที่เขา

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

เสียงของเธอแฝงไปด้วยความระแวง ขณะเดียวกันก็เริ่มเงี่ยหูฟัง ในความเงียบงันนั้น แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดแม้แต่น้อย นอกจากเสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง

“เจ้าหญิง...ท่านไม่ลองไปตามเสียงนั้นดูละ”

นักเล่นกลเอ่ยขึ้น พลางชี้นิ้วไปที่ทางเข้าของชั้นใต้ดิน เอลาร่ากลับหันมาสบตาลูเซียอีกครั้ง เขาพยักหน้ารับ และนำเดินเธอไปตามเสียงที่เขาได้ยิน 

“งั้นข้าลา...”

เสียงของนักเล่นกลค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านเบา ๆ เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังเป็นจังหวะชัดเจน  ก่อนจะหยุดลงหน้าประตูบางหนึ่งซึ่งมีป้ายแขวนไว้ว่า “พื้นที่กำลังปรับปรุง ห้ามเข้า” ทันใดนั้นเอง สายลมหนาวเย็นจากที่ใดก็ไม่อาจทราบ พัดวูบเข้ามากระทบผิวหนัง ราวกับมือเย็นเฉียบลูผ่านต้นคอ ทำให้ทั้งคู่รู้สึกขนลุกพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ในที่สุด...พวกเจ้าก็มาถึง”

เสียงเย็นยะเยือกแววขึ้นจากเบื้องล่างของทางเข้าชั้นใต้ดิน ลมหายใจของทั้งสองชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ยิ่งลึกลงไปความมืดยิ่งหนาขึ้น กลืนกินทุกแสงสว่าง แต่ไม่นาน สายตาทั้งคู่เริ่มปรับให้ชินกับความสลัวราวท่ามกลางเงาดำทีทอดตัวตามผนังหิน พวกเขาสังเกตเห็นบางสิ่ง....

นัยน์ตาสีทอง

เปล่งแสงออกมา ทว่าคมกริบราวจะมองทะลุจิตใจ สะท้อนแสงคล้ายดวงดาวในคืนจันทร์ จ้องตรงมาหาพวกเขาไม่กระพริบ

“เจ้าเป็นใคร”

เอลาร่าก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ก่อนเอ่ยเสียงดังออกไปกลางความเงียบ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แต่ทว่าน้ำเสียงของเธอกลับมั่นคง ลูเซียยังคงยืนอยู่ข้างเธอ สายตาไม่ละไปจากนัยน์ตาสีทองที่จ้องตอบมา เขากำด้ามดาบแน่นกว่าเดิม 

“อาวีธา...ผู้เฝ้าความรู้ และความลับของโลกนี้”

เจ้าของนัยน์ตาสีทองกล่าวโต้ตอบ พร้อมก้าวเท้าออกมาในความมืด ร่างสูงสง่าปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน หญิงสาวในชุดคล้ายเครื่องแบบราชวงศ์ ผมยาวสีดำขลับสยายเหนือบ่า ตัดกับผิวขาวซีดราวหิมะยามราตรี

“นั้นคือเสียงที่ข้าได้ยิน...”

ลูเซียเอ่ยทันทีหลังได้ยินเสียงแนะนำตัวจากหญิงสาวลึกลับ เอลาร่าหันไปมองลูเซียชั่วขณะ ดวงตาของเธอฉายแววลังเล ก่อนจะหันกลับไปสบตากับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง  และเอ่ยความในใจที่สงสัยออกไป

“เจ้าคือ...The high priestess ใช่หรือไม่”

หญิงสาวนัยน์ตาสีทองชะงักไปเพียงชั่วครู่ ดวงตาเปล่งประกายวูบไหวไปมา เธอคลี่ยิ้มบาง ๆ ที่แฝงด้วยความลับ แล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มทว่าแฝงไปด้วยอำนาจ

“เจ้าจะเรียกข้าอย่างนั้นก็ได้...”

“ตามมาที่ห้องใต้ดิน”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นเชิญพวกเขาทั้งคู่ ทั้งเอลาร่าและลูเซียไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย สายตาทั้งคู่สบกัน ก่อนจะก้าวตามเธอเข้าไปโดยไม่มีคำถามใดหลุดจากปาก เส้นทางทอดยาวเบื้องหน้าคล้ายจะนำไปสู่ความลับที่ถูกเก็บง่ำ

“เจ้ากำลังตามหาไพ่นั้นอย่างนั้นรึ”

หญิงสาวหยุดลงท่ามกลางกองหนังสือมากมายที่รายล้อมอยู่ ในห้องไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นอย่างบอกไม่ถูก...

“เจ้าคงรู้แล้วสินะ”

เอลาร่าเอ่ยตอบหญิงสาวตรงหน้า แม้คาดการณ์ไว้แล้วว่าไม่จำเป็นที่จะบอกเล่าเรื่องราวใด เธอก็สามารถรับรู้ได้

“ไม่มีสิใดที่ข้าไม่รู้...แล้วเจ้าอยากรู้เรื่องใดถึงได้มาที่นี่”

หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางบนริมฝีปาก นัยน์ตาสีทองทอแสง มองตรงมายังทั้งสอง

“ข้าอยากรู้เบาะแส...กับจุดมุ่งหมายของมัน”

เอลาร่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ หญิงสาวตรงหน้าพยักหน้าตอบรับเบา ๆ 

“ได้...แต่ว่า...จงรู้ไว้ ว่าทุกคำตอบ มีราคาของมัน”

เสียงของหญิงสาวดังก้องในความเงียบ ราวกับคำพิพากษาที่ถูกตรึงไว้ในอากาศ ลูเซียขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงเงียบ ไม่แทรกใด ๆ ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเอลาร่า

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

เอลาร่าเอ่ยถามไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เธอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา

“เจ้าหญิงแห่งห้วงอนาคต...จงเปิดเผยความลับหนึ่งอย่างจากใจของเจ้า”

หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีทองยิ้มเพียงนิด ก่อนเอ่ยถ้อยคำนั้นด้วยเสียงที่อ่อนโยนแต่ทรงอำนาจ

“สิ่งที่เจ้าปกปิด...แม้แต่ตนเองยังไม่กล้าเผชิญ”

หัวใจของเอลาร่าเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว ความพูดนั้นได้สะกิดบาดแผลเก่าบางอย่าง เธอหลุบตาลงเล็กน้อย นิ้วมือทั้งสองข้างกำแน่น เงาสะท้อนในดวงตาสั่นระริก

“ส่วนเจ้า...มือกฎหมายเอ่ย ผู้ต่อต้านโชคชะตา”

ลูเซียสะดุ้งกับเสียงนั้น เผลอยืดตัวขึ้นตรง...

“จงมอบสิ่งที่เจ้ากลัวว่าจะหายไปตลอดกาล”

ชายหนุ่มคิ้วขมวดขึ้นอีกครั้ง ทำหน้าสงสัยในคำพูดของเธอ ไม่นานเสียงเล็กแหลมของหญิงสาวข้างกายเขา ก็เอ่ยขึ้น...

“ข้าเคย...ทำนายอาการประชวรของท่านพ่อ แต่ข้าไม่เคยจะบอกท่าน”

“จนท่านประชวรทำให้...งานในอาณาจักรเกิดปัญหาอยู่คราหนึ่ง”

เอลาร่าหลับตาลงช้า ๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึก ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายวาบขึ้นมาในห้วงความคิด ความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหาย ลูเซียยืนนิ่งไปชั่วขณะ เขาล้วงมือเขาไปในกระเป๋ากางเกงอย่างช้า ๆ ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมา...

“สิ่งนี้...เป็นของแม่ข้า”

ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ขณะเปิดกล่องเผยให้แหวนวงน้อย เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย แหวนวงนั้นเคยเป็นของหญิงที่เขารักและผูกพันที่สุด เพียงชั่วพริบตาสีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนไป

“แต่ว่า...ข้าไม่ความทรงจำเกี่ยวกับพวกท่านเลย...หากข้าสูญเสียมัน”

“ข้าคงไม่มีสิ่งใดที่จะระลึกถึงตัวตนของข้าได้”

เสียงของเขาแผ่วลง คล้ายลมหายใจที่หลุดรอดจากความเหนื่อยล้าในใจ หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีทอง พยักหน้าลงช้า ๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ

“พอแล้ว...ราคานั้นเท่าเทียมแล้ว”

เธอยื่นมือออกมารับแหวนวงนั้นจากลูเซีย

“ถือว่าข้าเห็นใจพวกเจ้า...ข้าจะเล่าให้ฟัง”

เธอกลับมาสบตาพวกเข้าอีกครั้ง...แล้วเอ่ยในสิ่งที่พวกเขาอยากรู้

“เจ้าหญิงคงจะรู้เรื่องบทบาทหน้าที่อาณาจักรของท่านสินะ”

“ข้าพอรู้มาบ้าง”

เอลาร่าเอ่ยตอบไป และเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้น

“เมื่อนานมาแล้ว...มิติเวลาแห่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น....

“มีพลังของผู้พิทักษ์ ทั้ง ยี่สิบสอง คอยส่งพลังให้กับโลกนี้”

“เนื่องจากขั้วอำนาจไม่อาจสมดุล...มิตินี้จึงถูกแบ่งออกเป็นสองดินแดน”

“ดินแดนไมเนอร์อันคาน่า...มีอาณาจักรเอลเรสเทียปกครอง... ”

“ซึ่งก็คืออาณาจักรของเจ้าหญิง” 

หญิงสาวผายมือออกมาทางเอลาร่า

“ในอาณาเขตของข้า...มีสองอาณาจักรที่อยู่ใต้การปกครอง”

“ซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองตนเอง...นั้นก็คือ... ”

“อาณาจักรวาเรซิน ดินแดนแห่งดาบ”

“อาณาจักรโซลาริน ดินแดนแห่งเหรียญ”

เอลาร่าเล่าเรื่องราวต่อออกมา จากการที่ได้ร่ำเรียนบทเรียน เมื่อตอนที่เป็นเจ้าหญิง

“ถูกต้องอย่างที่ท่านได้กล่าวมา”

ลูเซียเอียงคอด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามออกไป

“แล้วดินแดนใหญ่อีกดินแดนละ”

“ดินแดนไมเนอร์ อันคาน่า” 

“ดินแดนนี้ถูกปกครองโดยอาณาจักรมีรินาเลีย”

“มีอาณาเขตปกครองสองดินแดน”

“ดินแดนแห่งถ้วย...อาณาจักรเนโรเวน”

“ดินแดนแห่งไม้เท้า...อาณาจักรเวนธนา”

หญิงสาวเริ่มส่งสายตาที่จริงจัง สื่อมาทางเอลาร่า

“เจ้าหญิง...หลังจากที่ผนึกของ The devil ถูกปลดออกมา”

“ผู้พิทักษ์ทั้งยี่สิบสองตนก็กระจัดกระจายออกไปตามดินแดนต่าง ๆ ”

“ทางเดียวที่จะผนึก The devil คือการรวบรวมไพ่ทั้งยี่สิบสอง”

เสียงของหญิงสาวดังก้องวานในห้องใต้ดิน เผยความจริงที่ทุกคนต่างรอคอย คำตอบที่ทำให้เอลาร่าและลูเซียต่างรู้สึกมีความหวัง แม้หนทางจะยากเย็น

“แล้วข้า...จะรู้ได้อย่างไรว่าไพ่แต่ละใบอยู่ที่ไหน”

ลูเซียกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางหันไปสบตากับเอลาร่า   หญิงสาวนัยน์ตาสีทองส่ายหน้าเบา ๆ 

“ตอนนี้ข้าไม่สามารถบอกท่านได้...แต่จงรู้ไว้ว่า...”

“พวกเรารอที่จะได้พบกับนายท่านคนใหม่”

หญิงสาวนัยน์ตาสีทองพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน มองมาที่เอลาร่า เธอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ...

“หมายถึงข้าหรอ”

หญิงสาวพยักหน้าตอบกลับหญิงสาว แล้วยืนไพ่ใบหนึ่งออกมาให้เธอ

“จงเก็บไพ่ใบนี้ไว้...ข้าจะคอยเฝ้ามองท่านผ่านทางไพ่ใบนี้”

เอลาร่ารับมันมาด้วยสองมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาแน่วแน่

“แล้วอีกอย่าง...”

หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ข้าว่าท่านควรรีบตามหาไพ่ใบอื่นให้เร็วที่สุด...”

“ก่อนที่ the devil จะหาพบก่อน”

“มันจะทำลายไพ่เพื่อไม่ให้ตนเองถูกผนึกอีกครั้ง”

เอลาร่าพยักหน้าช้า ๆ 

“ข้าเข้าใจแล้ว...ขอบคุณมาก”

หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะโค้งเล็กน้อย ไม่นานร่างของเธอก็หายไปในเงามืด พร้อมเสียงที่ดังกังวานออกมา

“ยินดีเสมอนายคนใหม่”

เอลาร่าก้มมองไพ่ในมือ ก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋า แล้วเงยหน้าขึ้นหันไปหาลูเซีย

“ลูเซีย...เจ้ากลับไปก่อนก็ได้นะ...ข้าอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก”

ชายหนุ่มมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ได้สิ...งั้นข้าจะไปรอเจ้ามาทานมื้อเย็นด้วยกัน”

เสียงฝีเท้าของลูเซียค่อย ๆ ห่างออกไป จนกระทั่งความเงียบเข้าปกคลุม เอลาร่าหันมามองชั้นหนังสือเบื้องหน้า สายตากวาดมองผ่านตัวอักษรนับร้อยอยู่ในความเงียบสงัด เธอบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ราวกับต้องการปลุกความกล้าภายในใจ

“บางทีข้าควรอยู่ที่โซลารินอีกสักหน่อย...พลังงานของไพ่โบราณามันแรงมาก”

ในอีกมุมหนึ่งของเมือง...ลูเซียกำลังเดินกลับที่พัก ทว่าคำพูดหนึ่งจากหญิงสาวนัยน์ตาสีทองยังคงวนเวียนในห้วงความคิดของเขา

“ส่วนเจ้า...ท่านแม่ของเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเจ้าเลยนะ”

เขาชะงักเล็กน้อย หยุดมองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนสี แล้วคำพูดอีกประโยคหนึ่งก็ตามในหัว

“บางทีเจ้าควรไปที่อาณาจักรมีรินาเลียดู”

เสียงของหญิงสาวนัยน์ตาสีทองยังคงสะท้อนอยู่ในใจของลูเซีย

“อาณาจักรมีรินาเลียงั้นหรือ...”

เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินทอดเท้ากับที่พัก

“ราชวงศ์ของที่นั่น...ขึ้นชื่อเรื่องความลึกลับอยู่ไม่น้อย”

เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อในใจ

“แถมยังมีข่าวลือว่า...องค์ชายของพวกเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกต่างหาก...”

“ลูเซีย...ลูเซีย...”

เสียงแผ่วเบาดังแทรกเข้ามาในห้วงความคิด คล้ายกับสายลมกระซิบผ่านข้างหู ทว่าแฝงด้วยพลังบางอย่างที่ดึงดูดจนเขาไม่อาจเมินเฉย

“นั้นใครน่ะ...”

เขาพูดพึมพำออกมาเบา ๆ แต่ขากลับก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจเริ่มเต้นช้าลง เหมือนกำลังเข้าอยู่ในภวังค์บางอย่าง ดวงตาเหม่อลอย มือของเขายื่นออกไปข้างหน้าราวกับกำลังถูกใครเชื้อเชิญ....