"เมื่อคำทำนายจากไพ่ทาโรต์นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เจ้าหญิงผู้หยั่งรู้อนาคตจำต้องเดินทาง เพื่อแก้ไขชะตา... และเผชิญหน้ากับความรักต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้น"
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคกลาง,รัก,ผจญภัย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ARCANA คำทำนายแห่งโชคชะตา"เมื่อคำทำนายจากไพ่ทาโรต์นำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักร เจ้าหญิงผู้หยั่งรู้อนาคตจำต้องเดินทาง เพื่อแก้ไขชะตา... และเผชิญหน้ากับความรักต้องห้ามที่ไม่ควรเกิดขึ้น"
คำนำนักเขียน
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่เรื่อง Arcana คำทำนายแห่งโชคชะตา เรื่องนี้ผลงานเรื่องแรกของเราเอง (ฮา) ถือซะว่าเป็นการงานผลอ่าน พร้อมๆ กับการเฝ้าดูการเติบโตของเราเอง >< โดยเนื้อเรื่องจะกล่าวถึง การใช้ไพ่ทาโรต์ในการทำนายดวง มีการรีเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับไพ่ ตำนาน ความหมายต่าง ๆ และมีการแต่งเสริมเพื่อความอรรถรสในการอ่าน จินตนาการเรื่องราวอีกด้วย
ความคิดเห็นจากนักอ่านทุกท่าน คือ กำลังใจและคำชี้แนะของเรา ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้านะคะ โดยเรื่องนี้เราจะทดลองลงเป็นตอน ทั้งหมดประมาณ 10 ตอน เพื่อดูแนวโน้มของนิยายเรื่องนี้ในอนาคต หลังจากนั้นเราก็จะทำเป็น E-book โดยมีทั้งหมด 22 ตอนนั้นเอง
รบกวนนักอ่านทุกๆ ท่าน เอ็นดู และสนับสนุนเราด้วยนะคะ
รักทุกท่านที่กำลังเปิดอ่านหน้านี้
เงาเวลา
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่โปรยลงมา ร่างของชายหญิงสองคนเผชิญหน้ากัน ณ ใจกลางของวิหารโบราณ เงาของพวกเขาทาบทับกันบนพื้นที่แตกร้าว สะท้อนโชคชะตาที่กำลังพัวพันกันอย่างไม่มีวันคลี่คลาย แม้เอลาร่าจะยังไม่อาจหยั่งรู้ถึงจุดหมายที่แท้จริงของลูเซีย หรือความลับใดที่เขาปิดซ่อนไว้ ภายใต้แววตาที่ตรงไปตรงมานั้น เธอกลับเลือกยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย ก้าวสู่เส้นทางเดียวกัน...ด้วยหัวใจที่แข็งกร้าวและไม่สั่นไหว
“แล้วเราเอาไงต่อดี”
เขาถามด้วยเสียงที่เรียบ ตรงไปตรงมา
เอลาร่าหลุบตาลงต่ำครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบอย่างแผ่วเบา
“ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนสักเท่าไร”
คำตอบนั้นชวนให้เกิดความเงียบชั่วคราวราวกับเวลาหยุดหมุน
ลูเซียพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาไม่ละไปจากใบหน้าอันอ่อนหวานของหญิงสาว
“อย่างนั้นหรือ...”
เขาเอ่ยออกมาเบา ๆ
“งั้นท่านลองใช้ไพ่ทำนาย...ขอคำแนะนำดูได้หรือไม่”
เอลาร่าหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้ายังคงเรียบเฉย แต่ภายในแววตายังคงครุ่นคิด
“นั้นเป็นความคิดที่ไม่ได้แย่ทีเดียว”
น้ำเสียงเธอเยือกเย็น พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเขาอย่างเล็กน้อย เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ก่อนที่จะเริ่มหยิบไพ่ขึ้นมาเพื่อเริ่มคำทำนายใหม่อีกครั้ง
ขณะที่ลูเซียยืนเฝ้ามองอยู่ข้างหลังเงียบๆ แววตาของเขาเริ่มเปล่งประกายบางอย่าง...ที่เจ้าหญิงยังไม่อาจหยั่งถึง
“หนึ่ง...สอง...สาม.... ”
ไพ่ใบกลางลอยขึ้นมาอย่างช้า ๆ พลันเปล่งแสงสีทองเรือนรองออกมา
“Eight of pentacles...ไพ่แปดเหรียญ”
หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงเบา
“ดินแดนแห่งเหรียญ”
เพียงกล่าวชื่อของดินแดนที่คุ้นหูของชายหนุ่มออกมา เขาทำหน้าขมวดคิ้วขึ้นทันที
“ที่นั่น...คือดินแดนที่มีตลาดเวทมนต์แห่งสุดท้าย”
และเราต้องไปหานักเล่นกล”
หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่นในคำทำนายของตนเอง
“เขาเป็นผู้เดียวที่อาจรู้ที่อยู่ของไพ่ที่ถูกลืม...หรือวิธีที่ผนึกมันกลับคืน
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดจบประโยค ชายหนุ่มผมสีชาด เดินตรงมาหาเธอในทันที แต่ทว่าเสียงเดินนั้น ทำให้หญิงสาวยากที่จะรู้สึกตัว
“ช้าก่อน...”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย มือยาวของเขาเริ่มเอื้อมมาแตะที่ไพ่ทาโรต์
ก่อนที่เธอจะได้ขยับตัว ไพ่ใบหนึ่งพลันสะบัดตัวขึ้นจากกอง และเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศอย่างน่าประหลาด มันไม่ใช่ Eight of pentacles อีกต่อไป แต่กลายเป็น The magician ไพ่ของนักเล่นกล
“เจ้าจะทำอะไร?”
เอลาร่าขมวดคิ้ว เงยหน้ามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ทว่าลูเซียไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา เขาเพียงแค่สบตาเธอ ดวงตาคู่นั้นวาววับเหมือนรู้ทุกสิ่ง
“คำทำนาย...อาจเป็นแค่ทางหนึ่งจากพันทาง”
“แต่ข้าสามารถทำให้เจ้ามองเห็นอีกเส้นทางที่ไม่มีอยู่ในโชคชะตาเดิม”
ลมเย็นหอบผ่านร่างทั้งสอง ราวกับจักรวาลเองก็สะดุ้งสั่นไหวเพราะคำพูดนั้น และการเดินทางของผู้ที่ท้าทายโชคชะตา ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว...
“เจ้าแตะต้องไพ่ของข้าโดยพลการ...รู้ตัวบ้างไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่”
น้ำเสียงของเธอเรียบ ราวกับไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขาเลย ภายในแววตาของหญิงสาวกลับเย็นยะเยือกจนลูเซียสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน ลูเซียไม่หลบสายตาของเธอแม้แต่น้อย กลับยืดอกพูดอย่างมั่นใจ
“ข้าไม่ได้แตะเลยนะ...ข้าแค่เปลี่ยนบางอย่าง”
เอลาร่านิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่...”
ชายหนุ่มผมแดง ยิ้มออกมาเบา ๆ ลูเซียยื่นหน้าเข้ามาใกล้เอลาร่าเล็กน้อย
“ช่างข้าเถอะ...ว่าแต่เจ้าเปิดไพ่เดิม ๆ ไม่เบื่อบ้างหรือไร”
หญิงสาวชะงักเล็กน้อย หันมามองจ้องเขาตรง ๆ ด้วยอาการที่ไม่สบอารมณ์
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังล่วงเกินข้า”
เอลาร่าเอ่ยตอบไป
“บางทีข้าต้องทำแบบนั้น...เพื่อให้เจ้าหลุดจากเปลือกที่เจ้าสร้างไว้เอง”
ลูเซียพูดเสียงแน่น
“ถ้าเจ้าต้องการจะกอบกู้อาณาจักรหรือช่วยคนของเจ้า...
เจ้าต้องยอมรับว่าเราไม่ได้ถูกบังคับให้เดินไปตามโชคชะตาเท่านั้น
เราต่างหากที่ต้องเป็นคนที่สร้างโชคชะตาขึ้นมาเอง”
เอลาร่าจ้องตาเขาแน่นิ่ง ริมฝีปากบางเม้นเข้าหากันก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ ชัดถ้อยชัดคำ แม้แววตาจะเยือกเย็น แต่แฝงด้วยแรงโทสะที่ควบคุมไว้อย่างดี
“หากเจ้าพูดจริง...คนที่เกี่ยวข้องกับ The magician
คงจะรู้อะไรบ้างอย่างสินะ
และหากเจ้าหลอกลวงข้าแม้เพียงนิดเดียว
ข้าจะไม่ลังเลที่จะใช้ดาบตัดโชคชะตาเจ้าด้วยตัวข้าเอง”
ความรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดินเข้ามาภายในจิตใจของลูเซีย เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“อย่างน้อยเจ้าก็เริ่มเชื่อว่าข้ามีสิ่งที่...จะช่วยเจ้าได้”
เจ้าหญิงเลิกคิ้วขึ้นนิด ริมฝีปากโค้งลง
“ใครบอกว่าสามารถช่วยข้าได้...”
น้ำเสียงของเธอยังคงเยือกเย็นอยู่เช่นเคย แววตาสะท้อนภาพของทั้งคู่ บางอย่างที่แม้เจ้าหญิงจะไม่พูดออกมา แต่ลูเซียรับรู้ได้ ความหวังเล็ก ๆ ที่เธอพยายามเก็บซ้อนด้วยเกราะน้ำแข็งแห่งความเฉยชา
“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า...คืนนี้เจ้าไปหาอะไรที่จำเป็นให้พร้อมซะ...”
“อย่าให้ข้าต้องรอ”
เธอพูดพลางหันหลังให้ชายหนุ่ม ขณะเก็บไพ่เข้ากล่องไม้ดำสนิท
“หืม...เจ้าก็รู้ว่าต้องเดินทางไกล...จะไม่ลองไปหาเสบียงด้วยกันบ้างหรือไม่”
“งั้นพวกเราไปเที่ยวตลาดกลางคืนกัน”
เสียงของลูเซียดังขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงขี้เล่น ชวนให้เอลาร่าเริ่มปวดประสาทอีกครั้ง อีกทั้งใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มที่ดูไม่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้สักเท่าไร
“ตลาด...ตอนนี้อย่างนั้นรึ”
เอลาร่าขมวดคิ้วขึ้น ริมฝีปากขยับพูดอย่างเย็นชา แต่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“ข้าไม่มีเวลามาเดินเที่ยวเล่นกับเจ้าหรอกนะ”
ในใจของหญิงสาวฉุกคิดขึ้นมา เวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ยังมีหน้ามาพูดอะไรไร้สาระได้อีกหรือ...
ลูเซียยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเล็กน้อย ก่อนยักไหล่แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“ไม่ได้เที่ยวเล่นซะหน่อย...ก็ไปหาเสบียงอย่างไรเล่า”
เขาเน้นคำว่า “เสบียง” พร้อมกับทำสีหน้าประหนึ่งว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมีเหตุผลอย่างที่สุด เอลาร่าถอนหายใจยาวอย่างระงับอารมณ์ แล้วเบือนหน้าหนีชายหนุ่มออกไป
“ไปกันเถอะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ลูเซียก็คว้ามือของเธอเบาๆ แล้วออกวิ่งนำไปอย่างไม่สนว่าเอลาร่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เอลาร่าชะงักเล็กน้อย พร้อมแสดงสีหน้าที่เริ่มไม่พอใจ
“นี่...เจ้าทำบ้าอะไรน่ะ”
เสียงของเธอเย็นเฉียบ น้ำเสียงของเธอเสียดแทงเข้าไปในใจของชายหนุ่ม ราวกับเป็นคำสั่ง แต่ทว่ามือของเขากลับไม่ย่อมปล่อยออกจากเธอ เหมือนในทุก ๆ ครั้ง คำตอบของเขาอยู่ในการกระทำ ไม่ใช่คำพูด
ท่ามกลางแสงไฟตะเกียงที่ไหวระริกจากร้านทั้งสองข้างทาง กลิ่นหอมของขนมอบและผลไม้สดคลุ้งอยู่ในอากาศยามค่ำคืน เสียงเจรจาซื้อขายของผู้คนปะปนกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นสร้างบรรยากาศที่คึกคักในตลาดกลางคืนของดินแดนแห่งดาบ เอลาร่าเดินตามหลังของลูเซียอยู่เฉย ๆ แววตาของเธอยังคงสื่อความสงสัยปนเปกันออกมา
“เฮ้ เจ้าดูนั่นสิ แอปเปิลแดงสดเลยนะ ดูน่ากินไหมล่ะ”
ลูเซียเอ่ยขึ้นพร้อมชี้ไปทางยังแผงผลไม้สดตรงหน้า เสียงของเขามีน้ำหนักเบา แฝงความรู้สึกกระตือรือร้นอย่างกับคนที่เพิ่งเคยมาเที่ยวงานเทศกาล
เอลาร่าหยุดเดินข้างลูเซีย มองอย่างไม่เข้าใจนัก
“เจ้าลากข้าออกมาทั้งที่ข้ายังไม่ได้ตอบเจ้าเลย...แล้วเจ้าก็ให้ข้ามาดูแอปเปิลนี่น่ะ”
น้ำเสียงของเธอยังคงเย็นชา แต่มุมปากขยับเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ คล้ายกับจะยิ้ม
“ขอลูกนี้ครับเถ้าแก่ ขออีกลูกให้...เธอด้วย”
ชายหนุ่มหันไปพูดกับพ่อค้า พลางชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างผลไม้สดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขา
“ข้าไม่เอา”
เอลาร่าปฏิเสธทันที น้ำเสียงยังคงแน่วแน่
“ไม่ได้ถามว่าเจ้าหิวหรือเปล่า...ข้าแค่ให้ไว้ตอนหิวก็แล้วกัน”
คำพูดของเขาเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความห่วงใยที่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน หญิงสาวนิ่งครู่หนึ่ง เธอรับผลไม้จากลูเซียอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่ได้ปัดทิ้งน้ำใจของเขา
“เจ้าไม่รู้จักข้าเลยแท้ ๆ ยังจะมาทำเหมือนเป็นเพื่อนกันได้”
เสียงของเธอเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย คล้ายกับยอมให้ความคิดของเขาแทรกเข้ามาในใจ
“ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันนานถึงจะหวังดีต่อกันได้...”
เขาหันมายิ้มให้เธออีกครั้ง...แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเครียดตลอดเวลา”
เอลาร่าชะงักไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะพูดอย่างเรียบเฉย
“เจ้านี่ช่างแปลกยิ่งหนัก”
เธอมองแอปเปิลในมืออย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจผ่อนคลายลงท่ามกลางบรรยากาศของตลาดที่มีชีวิตชีวา หัวใจที่แข็งกร้าวราวหินผาเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย
“ขอบใจ ข้าถือว่านั้นเป็นคำชมจากเจ้าหญิงผู้เย็นชานะ”
ลูเซียยิ้มกว้าง พลางกัดแอปเปิลในมือเสียงดังกรอบ ราวกับไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดแข็งกระด้างของเอลาร่าเลยแม้แต่น้อย
แต่ทันใดนั้น จังหวะการเดินของเอลาร่าเริ่มช้าลง จนลูเซียเริ่มสงสัยและหันมามองหญิงสาว
“เดินไปอย่าเพิ่งตื่นตูม...มีบางอย่างสะกดรอยเราอยู่”
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ พยายามไม่ให้ชายหนุ่มตื่นกลัวกับคำพูดของเธอ ทว่าสายตายังคงมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
“เจ้าแน่ใจหรือ”
ลูเซียหันหน้ามามองทางข้างหน้า สีหน้าของเขาเริ่มหม่นลง...และเอ่ยถามออกไป
“อืม...กลิ่นเวทมนต์โบราณ...คล้ายพลังจากไพ่ทาโรต์”
เอลาร่ามั่นใจในความรู้สึกที่คุ้นเคยมาจากในอดีต...ยิ่งเพิ่มบรรยากาศที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้น
“งั้นเราต้อง...”
ไม่ทันที่ลูเซียจะเอ่ยแผนในใจของเขา...เสียงของเอลาร่าแทรกเข้ามาในบทสนทนาทันที
“มันรู้ว่าเรารู้ตัวแล้ว”
ทันทีที่ลูเซียได้ฟัง ก็เริ่มรับรู้ความรู้สึกที่ดำมืดมาจากทางด้านหลังของพวกเขา
“คงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่...อาจเป็นผู้ที่ต้องการขัดขวางการตามหาไพ่”
เอลาร่าค่อย ๆ หยิบไพ่ทำนายออกมาจากสำรับ อย่างแนบเนียนเพื่อหาคำตอบในใจของเธอ แล้วกระซิบออกมาเบา ๆ
“The moon ความลวง ความลับ และสิ่งที่แฝงตัวในความมืด”
“ใช่...มันกำลังตามหาเราเพราะมันรู้ว่าเรากำลังเข้าใกล้สิ่งที่มันต้องการ”
เมื่อเอลาร่าเอ่ยคำทำนายเพื่อบอกจุดประสงค์ของมัน
“งั้นเราต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่มันจะเผยตัวในที่คนเยอะ”
ลูเซียกล่าวความคิดของเขาออกไป
“หรือบางที...เราควรล่อมันออกมา”
เมื่อเอลาร่าพูดจบ เธอก็หยิบไพ่อีกใบออกมาทันที
“The star”
เธอพูดขึ้นมา ลูเซียได้พยายามคิดเกี่ยวกับคำนั้น ก่อนจะเอ่ยออกไป
“หมายถึงลานกว้าง ๆ ที่สามารถดวงดาวได้อย่างนั้นรึ”
ลูเซียกล่าว
“ใช่...ไม่เพียงแค่นั้น...สถานที่ที่มีบ่อน้ำโบราณ”
เมื่อลูเชียได้ฟังคำใบ้จากเอลาร่า เขาก็ได้เสนอสถานที่ที่เขาคุ้นเคยออกไป
“บ่อน้ำโบราณ...ข้ารู้อยู่ที่หนึ่ง...ตามข้ามา”
ทั้งคู่เริ่มออกวิ่งไปยังสถานที่ ที่คาดว่าตรงกับคำทำนายของไพ่ พวกเขาวิ่งออกมาจากตัวเมืองขึ้นเขามา แล้วมาหยุดลงตรงสถานที่ที่โล่งกว้างที่หนึ่ง
“ตรงนี้แหละ...ตามที่ไพ่บอกไว้”
ลูเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่หอบเล็กน้อย
สถานที่ตรงหน้าพวกเขาคือ...พื้นที่กว้าง มีเพียงดินแข็ง ๆ หญ้ารก ๆ ที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาวมากมาย ตรงกลางของลานกว้าง มีบ่อน้ำเล็ก ๆ ที่ดูสภาพเก่าเป็นอย่างมาก
“เงานั้น...มันต้องการอะไรบางอย่างจากพวกเราแน่ และที่นี่...จะเผยให้มันเห็น”
เอลาร่าเอ่ยขึ้นมา...แม้จะหอบเหนื่อยจากการวิ่งมาอยู่
“เจ้าหมายความว่าเราต้องยืนรอเฉยๆ งั้นหรือ”
ลูเซียที่หายเหนื่อยแล้ว...ยืนตัวตรงพูดขึ้น
“ที่นี่เคยเป็นที่ประกอบพิธีโบราณสมัยก่อน...”
เสียงจากเงาข้างหลังของพวกเขาดังขึ้น...และก้าวเดินออกมาจากความมืดของป่า ตรงมายังพวกเขา เขาทั้งคู่สะดุ้งกับคำพูดของสิ่งที่ตามมา แสงของดวงดาวมากมายส่องลงมาที่เงาดำมืด เผยให้เห็นร่างของผู้ชายที่คล้ายกับคนแต่ก็มีความเป็นฝุ่นผง ไม่ทันที่ทั้งคู่จะเอ่ยตอบ เงานั้นก็พูดต่อขึ้นว่า
“บ่อน้ำนี้ว่ากันว่าเป็นจุดเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของผู้ทำนาย”
พอสิ้นเสียงที่ชวนให้ขนลุก เอลาร่าเก็บสีหน้าและอาการที่เหนื่อยหอบก่อนที่เอ่ยออกไป
“ใครน่ะ...”
คำตอบของเงาดำนั้นตอบออกมา ไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าหญิง แต่พูดคำที่เจ้าหญิงคุ้นหูมากที่สุด จนทำให้แววตาของเธอเบิกกว้างขึ้นมา
“ถ้าจะให้พูด...The devil...คงจะรู้จักกันดีสินะ”
ทันทีที่พูดจบ เอลาร่าตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยวกระแทกหู ทั้งลูเซียและเงาดำ ทำให้ลูเซียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันหน้ามามองเจ้าหญิงผู้ที่เขาเคยหยอกล้อ แต่เธอก็ไม่เคยพูดด้วยน้ำเสียงนั้นมาก่อน จนมารู้สาเหตุก็คือ..คำว่า The devil นั้นเอง
“พวกแกต้องการอะไร!!”
“ใจเย็น ๆ สิเจ้าหญิง...ข้าเพียงต้องการที่จะสนุกกับชีวิตบนโลกนี้เท่านั้นเอง”
แม้เงานั้นจะไม่เห็นรูปร่างอย่างชัดเจน...แต่กลับรู้สึกว่ามันกำลังยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“โอ้...ขออภัยที่เสียมารยาท...โปรดเรียกข้าว่า...อัซราน”
เงานั้นพูดออกมาพร้อมทำท่าเหมือนชายที่กำลังทำความเคารพเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
“อัซราน... ”
ลูเซียเอ่ยขึ้นซ้ำอย่างเบา ๆ
“ลาก่อนเจ้าหญิง...ไว้เจอกันที่ดินแดนแห่งเหรียญ...”
เมื่อสิ้นเสียงที่ชวนน่าขนลุก เจ้าหญิงรีบเก็บอาการลงซ่อนไว้ และหันมาบอกลูเซีย ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ตามปกติที่ทั้งคู่สนทนาด้วยกัน
“ลูเซียข้าขอกลับก่อน...เจอกันที่ลานกลางเมือง”
เจ้าหญิงรีบจ้ำพรวดออกจากลานกว้างอย่างไม่เหลียวกลับ...ปล่อยให้ชายหนุ่มผมแดงยืนงุนงงอยู่ตามลำพัง สายตาของเขายังคงมองตามแผ่นหลังของเธอที่ค่อย ๆ หายลับไปในเงามืด ก่อนจะหลุดคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“เฮ้ย...เดี๋ยวก่อน... ”
น้ำเสียงที่เคยหยอกเย้าและขี้เล่น บัดนี้กลับกลายเจือด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด เอลาร่าก้าวเท้าเร่งรีบกลับมายังบ้านพักของตนทันทีที่พ้นสายตาของผู้คน เสียงประตูที่ปิดลงอย่างแรงดังก้องไปทั่วห้องกว้าง ๆ ร่างบางของเธอทรุดตัวลงช้า ๆ ที่หน้าประตู มือที่กำแน่นสั่นระริก สายตาที่เคยเยือกเย็นและแน่วแน่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่เก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับพยายามกลั้นบางสิ่งไม่ให้หลุดออกมา เธอกอดตัวเองแน่น เสียงหายใจสะท้อนสะอื้นเบา ๆ ใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา...เผยให้เห็นเจ้าหญิงผู้สง่างามที่ในตอนนี้...กลับเปราะบางเหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป
“เฮ้อ...อัซราน...กลิ่นอายของเวทมนต์โบราณ...ผู้ที่เกี่ยวข้อง The devil”
เสียงพึมพำแผ่วเบาออกมาจากริมฝีปากของเจ้าหญิง ราวกับเป็นลมหายใจของความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน ในหัวใจของเธอ เผยภาพเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดของพระสหายที่ฝังแน่นเกินกว่าจะเยียวยาด้วยกาลเวลาได้ แม้จะรู้ว่าบาดแผลนั้นยังไม่สมาน เอลาร่าก็สะบัดหน้าหนีจากความเจ็บ เหมือนที่เธอเคยทำเสมอมา
“ช่างเถอะ...คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
คำพูดนั้นหลุดออกจากปากเธอด้วยเสียงราบเรียบ แต่ในความนิ่งนั้น แฝงไว้ด้วยความโหวงลึกที่ไม่มีใครมองเห็น เธอยืนมองภาพดวงดาวที่สวยงามกว่าคืนไหน ๆ เพื่อขอให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงนี้ได้เบาลงบ้าง หลังจากที่ลูเซียแยกทางจากเอลาร่าแล้ว เขาก็เดินมายังที่พักของตน พร้อมกับพึมพำชื่อของเงาตัวนั้นมาตลอดทาง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
“อัซราน...”
ชื่อที่ฟังดูแปลกหู แต่กลับกระตุ้นบางอย่างในใจของลูเซียขึ้นมา ในชั่ววินาทีหนึ่ง
ลูเซียรับรู้ถึงสายตาที่มองจ้องที่เขาจากเงาดำนั้น แววตาคู่นั้น นิ่งสงบ ชวนให้คิดถึงอย่างน่าประหลาด มันทำให้หัวใจของเขาเริ่มสั่นไหว ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นความรู้สึกคล้ายกับ...ความผูกพัน ลูเซียขมวดคิ้ว ริมฝีปากเอ่ยเสียงต่ำ...
“หมอนั่นต้องรู้อะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับฉันแน่...”
แต่ว่าเขาจะพยายามนึกเท่าไร ความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนั้นก็ยังคลุมเครือ ราวกับถูกฝังไว้ภายใต้ม่านหมอกหนา และความสงสัยก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ยามค่ำคืนที่ยากจะเข้าใจ ภาพดวงดาวมากมายรายล้อมเต็มท้องฟ้า ชายหนุ่มยืนมองดวงดาวผ่านทางหน้าต่าง และหวังว่าดวงดาวพวกนี้จะสามารถปลอบโยนหญิงสาวแทนเขาได้....
“อย่างน้อยคืนนี้...เจ้าหญิงนั่นก็มองดาวเหมือนกันกับฉันล่ะมั้ง”
ลูเซียเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ และยิ้มออกมาเล็กน้อย