ชาย-หญิง,รัก,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เช้าวันรุ่งขึ้น สิเรียมตื่นแต่เช้าตามปกติ กิจวัตรประจำวันของหญิงสาวดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเธอได้ก้าวผ่านความโศกเศร้าจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักของเธอไปแล้ว
ร่างบางน้อยในชุดเดรสสีครีมเรียบง่าย สวมทับด้วยสูทผ้าลีนินสีเดียวกัน เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร แม่บ้านเลื่อนเก้าอี้รอเธออยู่ก่อนแล้ว
สิเรียมมองเก้าอี้ตำแหน่งใหม่ที่เธอต้องนั่ง จากที่เคยนั่งด้านข้างฝั่งขวามือของอากง
นี่สินะ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอ
บัดนี้แม่บ้านจัดให้เธอขึ้นมานั่งหัวโต๊ะ อันเป็นที่ประจำของประมุขบ้านหลังนี้ สิเรียมไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงนิ่งเงียบ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้ แต่เธอรู้เหตุผลที่หัวหน้าแม่บ้านทำแบบนี้ ก็เพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนในบ้านหลังนี้ทราบโดยทั่วกัน ว่าบัดนี้สิเรียมคือนายหญิงของตระกูลณุกูรกิตแล้ว
“วันนี้ดิฉันทำข้าวต้มกุ้ง ผักลวกเป็นกวางตุ้งค่ะ” เธอรายงานขณะเปิดฝาถ้วยออกให้เจ้านายได้เห็นอาหารภายใน
“ขอบคุณค่ะคุณจิต” สิเรียมเอื้อมไปตักผักลวกมากินก่อน
เธอเริ่มต้นมื้ออาหารเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก ตามที่นักโภชนาการดูแลเรื่องอาหารการกิน เพราะอากงงานยุ่ง เรื่องเลี้ยงดูเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างสิเรียม ทำให้ท่านลำบากไม่น้อย นอกจากคุณจิตหัวหน้าแม่บ้านที่ดูแลเธอมา สิเรียมก็เติบโตมากับนักจิตวิทยา นักโภชนาการ เทรนเนอร์ออกกำลังกาย และครูสอนพิเศษ
ใคร ๆ ก็ว่าเธอแปลกที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้น แต่ในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้จะแบเบาะ แต่ท่านเจ้าสัวก็เป็นห่วงถึงสุขภาพจิตของเธอ รวมถึงอยากให้เธอเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
เมื่อโตขึ้น เธอคิดว่าออกจะดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอเรียนรู้ที่จะคุยกับนักจิตวิทยามาตั้งแต่เด็ก เพราะเธอสามารถจัดการกับความรู้สึกที่ไม่จำเป็นออกไปได้มาก และรู้สาเหตุของการเกิดความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง จนกระทั่งอายุ 15 ปี สิเรียมถึงได้เลิกพบกับนักจิตวิทยา
ที่เธอนิ่งเฉย และไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาง่าย ๆ ไม่ใช่ว่าเธอมีความหลังที่เจ็บปวดฝังใจ หรือรู้สึกเสียใจที่เป็นกำพร้า สิเรียมรับมือกับเรื่องที่ตัวเองไม่มีพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี แต่เรียนรู้ที่จะเก็บอารมณ์ ไม่แสดงออกมาต่างหาก เพราะการไม่แสดงออก ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และไม่ถูกมองว่าอ่อนแอเมื่อไม่มีอากงอยู่เคียงข้าง
ความอ่อนแอคือความรู้สึกที่สิเรียมเกลียด แต่ใช่ว่าไม่รู้จักความสงสารสักหน่อย เพียงแค่ไม่อยากให้เกิดก็เท่านั้น
และความนิ่งเฉยนี่แหละ ที่ทำให้เธอเหนือกว่าญาติของเธอ พวกที่คอยจ้องจะแทงข้างหลังอยู่ตลอดเมื่สบโอกาส
คุณจิตมองเจ้านายสาวของเธอที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก คุณสิเรียมช่างดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน ยามขาดท่านเจ้าสัวไป หญิงสาวนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่หัวโต๊ะเพียงลำพัง ทั้งที่โต๊ะอาหารไม้สักตัวใหญ่นี้ ทอดยาวไกลออกไป และมีเก้าอี้อีกนับสิบตัว แต่เธอกลับนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้คนเดียว มีเพียงสาวใช้ที่รายล้อม
คุณจิตทราบดีว่าคุณหนูของเธอเป็นคนเข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ท่านเจ้าสัว แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ยอมมีมุมที่อ่อนแออยู่แล้ว
“คืนนี้กลับดึกไหมคะคุณหนู” คุณจิตเอ่ยถาม
“ยังไม่ทราบเลยค่ะ ยังไงเรียมจะให้คุณมลโทรมาบอกคุณจิตแล้วกันนะคะ คงมีประชุมหลายเรื่อง” เธอตอบเรียบ ๆ ก่อนจะก้มลงกินอาหารเช้าต่อ
คุณจิตรับคำและไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอรู้ว่าควรจะถามเท่าที่จำเป็น เพียงได้เห็นคุณหนูของเธอรับประทานอาหารจนหมด คุณจิตก็เบาใจแล้ว ดูเหมือนคุณสิเรียมจะทำใจเรื่องท่านเจ้าสัวได้แล้ว
นับตั้งแต่อากงป่วย สิเรียมก็กลับมาทำงานที่ออฟฟิศสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ ตึกณุกูรกิตตั้งอยู่ในย่านสีลม ที่ขึ้นชื่อเรื่องการจราจรติดขัด หญิงสาวเบื่อที่จะต้องมาทำงานที่นี่ เธอสู้อุตส่าห์หนีไปทำโรงงานอาหารแช่แข็งที่ระยองอยู่หลายปี เพราะเบื่อการจราจรในกรุงเทพ แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องย้ายกลับมาตามคำสั่งของอากง
เมื่อถึงบริษัท สิเรียมขึ้นไปยังห้องทำงานของเธอที่อยู่ที่ชั้นสิบ เธอพบดวงกมลมารออยู่ในห้องทำงานก่อนแล้ว พร้อมกับแฟ้มเอกสารหลายฉบับ ซึ่งเป็นวาระการประชุมในวันนี้
สิเรียมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงหยิบเอกสารมาอ่านทันที เธอมีเวลาเตรียมตัวหนึ่งชั่วโมงก่อนการประชุมจะเริ่ม หญิงสาวกับเลขาคนสนิทไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย หลังจากที่นำแฟ้มเอกสารมาให้เจ้านาย ดวงกมลก็ออกไปจัดการงานของตัวเองต่อที่โต๊ะประจำหน้าห้อง พอดีกับที่ได้รับข้อความจากกลุ่มผู้บริหาร
จะมีการโหวตรักษาการแทนผู้บริหารในช่วงที่คุณสิเรียมยังไม่ได้รับมอบมรดก
ดวงกมลที่อ่านข้อความในมือถือขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เธอผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเจ้านายทันที
“คุณเรียมคะ เรื่องด่วนค่ะ” เธอแจ้งทันทีที่เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป โดยไม่ได้เคาะส่งสัญญาณด้วยซ้ำ
“มีอะไรคุณมล” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่อ่านอยู่
“พวกผู้บริหารเล่นแง่กับเราแล้วล่ะค่ะ” เลขาสาวส่งโทรศัพท์ให้เจ้านาย สิเรียมก้มลงอ่านข้อมูลในห้องสนทนา
“คุณเรียมเห็นหรือยังคะ” ดวงกมลถามเจ้านายด้วยความไม่แน่ใจ
“ยังค่ะ เรียมไม่เคยสนใจแอปสนทนาพวกนี้ ใช้ไม่ค่อยถนัดเท่าไร” สิเรียมส่งโทรศัพท์คืนให้กับเลขา
“แล้ว...”
“พวกเขาจะไล่เรียมออกจากตำแหน่งวันนี้ค่ะ” ดวงตาหวานภายใต้กรอบแว่นฉายแววแน่วแน่ น้ำเสียงของเธอหนักแน่น ไม่ได้หวั่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“คงเป็นฝีมือคุณฟานกับคุณโจวแน่เลยค่ะ” ดวงกมลบอก เธอจับมือตัวเองแน่นด้วยความลนลาน ผิดกับเจ้านายที่รู้แล้ว แต่ยังคงใจเย็นอยู่
“ค่ะ”
สิเรียมไม่ได้เดือดร้อนกับการกระทำของพวกเขาเลยสักนิด เธอถูกโหวตด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เพื่อให้พ้นจากตำแหน่งที่อากงมอบหมายให้เธอ แต่สุดท้าย สิเรียมก็ไม่เคยได้รับการโหวตออกเลยสักครั้ง
หรือแม้แต่ครั้งนี้ เธอก็ไม่กลัว ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ไล่เธอออกจากตำแหน่งที่เธอได้มาจากอากงโดยชอบธรรมไม่ได้ หากทำได้ เธอก็จะทำทุกวิถีทางให้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมให้ได้
“คุณเรียมจะให้มลจัดการยังไงดีคะ”
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะคุณมล ก็คงเหมือนกับทุกครั้ง เฮียกับเจ๊กพยายามจะโหวตให้เรียมออกจากตำแหน่ง ให้ผู้ถือหุ้นตัดสินใจดีกว่า” สิเรียมเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ ในมือกดปากกาเล่นราวกับให้มีอะไรทำแก้เบื่อ
“แต่ทุกครั้ง... ท่านเจ้าสัว...” ดวงกมลรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก หรือเป็นเพราะท่านเจ้าสัวไม่อยู่แล้ว เธอจึงเป็นห่วงเจ้านาย เกรงว่าจะโดนแย่งตำแหน่งที่ท่านเจ้าสัวเป็นคนแต่งตั้งไป
สิเรียมมองเลขาประหนึ่งว่าเธอรู้สึกถึงกระแสความกังวลของดวงกมล หญิงสาววางปากกาลงแล้วผสานมือเข้าหากัน นั่งตัวตรงราวกับรูปปั้นแบบที่ชอบทำ
“บริษัทของเรามีผู้ถือหุ้นนะคุณมล หากพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวเรียม เรียมก็ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งนี้ ถูกไหมคะ”
“แต่ท่านเจ้าสัวแต่งตั้งคุณเรียมนะคะ”
“แล้วยังไงล่ะคะ คุณมลเองยังรู้สึกเลยไม่ใช่เหรอคะ ที่ผ่านมาเรียมไม่ถูกโหวตให้ออกก็เพราะอากง เรียมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่มีอากงคุ้มครองเรียม เรียมจะยังนั่งเก้าอี้ตัวนี้ได้อยู่ไหม”
สิเรียมรอมานานแล้วที่จะได้สู้กับญาติผู้พี่อย่างฟานตัวต่อตัวแบบนี้ หลายครั้งที่เขาอยากแย่งตำแหน่งของเธอ พยายามเขี่ยเธอทิ้ง ตอนนี้คงสบโอกาส อากงจากไปแล้ว สิเรียมเองก็ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยหนุนหลัง เขาคงคิดว่าผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นคงไม่อยากได้ผู้บริหารที่เป็นผู้หญิง ไม่ก็คิดว่าการปล่อยบริษัทเอาไว้ในมือของผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัย
ได้... ที่ผ่านมาเธอพิสูจน์ตัวเองมานักต่อนักแล้ว ทั้งบริษัทอาหารแช่แข็ง ที่ตอนนี้ผลกำไรแซงหน้าบริษัทในเครือของเฮียฟาน จากที่เฮียฟานและเจ๊กโจวคัดค้านเรื่องการก่อตั้งบริษัทนี้หัวชนฝา จนบัดนี้ บริษัทอาหารแช่แข็งเป็นอีกหนึ่งผลงานของสิเรียมซึ่งเป็นที่ยอมรับ
เธอจะต้องกลัวอะไรอีก ถ้าต้องพิสูจน์ความสามารถในการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายบริหารอีกสักอย่าง
เธอต้องทำให้พวกเขารู้ว่า เธอนี่แหละ หลานอากงไฉตัวจริง
เธอนี่แหละที่เก่ง...
ไม่ใช่อยู่ได้เพราะบารมีอากง
ห้องประชุม...
คณะกรรมการทั้งฝ่ายบริหาร ผู้ถือหุ้น แล้วผู้บริหารระดับสูงอยู่ในห้องประชุมกันพร้อมเพรียง ในวาระการประชุมหลังจากที่ตระกูลณุกูรกิตเปิดพินัยกรรมแล้วเสร็จ สิเรียมเดินเข้ามาในห้องประชุมเป็นคนสุดท้าย
“เริ่มประชุมกันเลยไหมคะ” เธอถามขณะที่นั่งลง
“เอาสิ” เป็นอาเจ๊กโจว ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของเฮียฟาน ศัตรูตัวฉกาจของเธอพูดขึ้น เขาเป็นลูกชายของน้องชายอากงที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
“ผม ตัวแทนกรรมการฝ่ายบริหารอยากจะขอเสนอให้มีการโหวตรักษาการตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายบริหาร ซึ่งตอนนี้สิเรียมได้ดำรงตำแหน่งอยู่” ฟานไม่รีรอรีบพูดขึ้นในที่ประชุมทันที
“อ้าว เราจะต้องโหวตเรื่องนี้กันทำไม ในเมื่อคุณเรียมดำรงตำแหน่งนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งพูดขึ้น เธอเป็นหญิงอาวุโสที่นั่งถัดไปจากอาเจ๊ก
สิเรียมจำได้ เธอคือคุณกรองทอง วรจักร หรืออาม่ากรองทอง ท่านเป็นภรรยาของอากงอภิวัฒน์เพื่อนสนิทของอากงไฉ อีกทั้งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอาหารแช่แข็งที่คอยให้การสนับสนุนเธอเสมอมา
“เพราะสิเรียมยังไม่ได้รับมอบมรดกอย่างเป็นทางการครับคุณกรองทอง” อาเจ๊กโจวตอบ
“ไม่เกี่ยวกันสิ เรื่องมรดกเป็นเรื่องภายใน จะให้มากระทบกับบริษัทได้ยังไง ผู้ถือหุ้นคนอื่นจะเดือดร้อนไปกันหมด ดิฉันว่าคุณไฉก็ทำถูกแล้ว ที่วางตัวหนูเรียมให้มานั่งฝ่ายบริหารตั้งแต่แรกนับตั้งแต่ท่านป่วย แล้วเราจะมาโหวตเรื่องนี้ให้เสียเวลากันทำไม”
หลังจากที่คุณกรองทองพูดจบ ผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งก็เริ่มส่งเสียงเห็นด้วย แล้วหันไปปรึกษาหารือกับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
สิเรียมปรายตามองไปยังญาติผู้พี่ ที่ดูพร้อมจะขยี้เธอให้เป็นผุยผงอยู่ตลอดเวลา เขากัดกรามจนเป็นสันนูน เมื่ออาม่ากรองทองคัดค้านการโหวต
“ผมพอจะเข้าใจเจตนาของฟานอยู่นะ” ผู้ถือหุ้นอาวุโสอีกท่านพูดขึ้น
“ยังไงล่ะคะ” คุณกรองทองหันไปถามทันที
“เพราะท่านเจ้าสัวแต่งตั้งสิเรียมนั่นแหละ เป็นเรื่องที่น่าแคลงใจที่สุดแล้ว ทั้งข้ามหน้าข้ามตาคุณโจว ที่มีศักดิ์เป็นลุง คุณฟาน ที่เป็นพี่ชาย ผมเองยังรู้สึกว่าสิเรียมมีความสามารถไม่ถึงด้วยซ้ำไป แต่เธอโชคดีที่มีแบ็คดีเท่านั้นเอง”
สีหน้าของฟานดีขึ้นมาบ้าง หลังจากได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นอาวุโส เป็นไปตามแผน ของกำนัลที่คุณพ่อจัดเตรียมให้กับท่านสุพจน์คงเป็นที่พอใจ ท่านถึงได้ออกหน้าขัดคุณกรองทองขึ้น
เป็นที่รู้กันว่าคุณกรองทอง และท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นรองจากสิเรียม ทำให้คำพูดของพวกท่านมีน้ำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครถือหุ้นเทียบเท่ากับพวกท่านได้ ท่านสุพจน์ อดีตนายพลที่หันมาจับเรื่องการลงทุนนี่แหละ ที่เป็นหมากตัวสำคัญอีกตัว ที่โจวกับฟานเลือกมาเดินในเกมนี้
สิเรียมจะมาใช้คุณกรองทองกับท่านอภิวัฒน์มาเป็นหมากสำคัญไม่ได้แล้ว
“เอาล่ะค่ะ เรียมไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่ต้องมาเถียงกัน หากผู้ถือหุ้น และคณะกรรมการทุกอย่างท่านไม่ไว้ใจในความสามารถของเรียม โปรดเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมขึ้นมาได้เลยค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทว่าแววตาของเธอแน่วแน่ไม่เกรงกลัว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ตาม
“ผมขอเสนอคุณโจว” สุพจน์ยกมือเสนอ คุณกรองทองเห็นท่าไม่ดี เธอจึงรีบยกมือขึ้น
“ดิฉันขอเสนอให้สิเรียมนั่งตำแหน่งเดิม” เลขาก้มลงจดรายละเอียดทันที
“ท่านไหนอยากเสนอใครอีกไหมคะ” สิเรียมกวาดสายตาคมมองไปยังผู้เข้าร่วมประชุม ภายในห้องประชุมเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ
“งั้นดิฉันขอเริ่มการโหวต ณ บัดนี้ค่ะ ผลโหวตนี้จะมีผลทันทีในวันพรุ่งนี้ และสิ้นสุดเมื่อดิฉันได้รับมรดกตามเงื่อนไข หุ้นที่อากงไฉถือทุกตัว จะถูกโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของดิฉัน รวมกับหุ้นที่ดิฉันถืออยู่ก่อนแล้ว และดิฉันจะมีอำนาจตัดสินใจนับตั้งแต่ทรัพย์สิน และธุรกิจถูกโอนเป็นชื่อของดิฉัน เริ่มค่ะ” สิ้นเสียงของสิเรียม ดวงกมลจึงลุกขึ้นยืน
“ผู้ถือหุ้นท่านใดต้องการจะให้คุณโจว ขึ้นรักษาการแทนในตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายบริหาร โปรดยกมือขึ้นค่ะ”
เมื่อดวงกมลพูดจบ ผู้ถือหุ้นบางส่วนก็ยกมือขึ้นทันที นักศึกษาฝึกงานที่เป็นผู้สังเกตการณ์อยู่มุมห้อง และได้รับมอบหมายให้นับคะแนนโหวตเริ่มนับคะแนนแล้วเดินมากระซิบแจ้งกับดวงกมลทันที
เลขาสาวเบิกตาขึ้นน้อย ๆ เมื่อทราบจำนวน เพราะในครั้งนี้... ดูเหมือนคนที่เป็นรองจะเป็น...
“ไม่ต้องนับคะแนนของเรียมหรอกค่ะ จากที่ยกมือเมื่อสักครู่ ก็เกินกว่าครึ่งแล้ว” ร่างบางลุกขึ้นเต็มความสูง
“ไม่ได้นะหนูเรียม ดิฉันขอสนับสนุนให้สิเรียมนั่งตำแหน่งเดิมค่ะ” คุณกรองทองยกมือขึ้น และตามด้วยผู้ถือหุ้นอีกจำนวนหนึ่ง นักศึกษาฝึกงานนับคะแนนแล้วเดินมาแจ้งกับดวงกมล
สิเรียมถอนหายใจแล้วเชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ ดวงกมลสีหน้าซีดเผือดเมื่อทราบผล เธอลอบมองเจ้านายของเธอที่ยังคงนิ่งอยู่ ไม่รู้ว่าคุณเรียมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“จากผลการนับคะแนน คุณโจว ชนะ คะแนนของคุณเรียม...”
แพ้แล้วสินะ...
หญิงสาวคิดในใจ เธอไม่ได้เตรียมตัวมาแพ้ แต่ก็ไม่แปลกใจที่ผู้ถือหุ้น และพวกกรรมการจะหันไปสนับสนุนอาเจ๊กโจว ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดในขณะนี้
สิเรียมรู้แล้วว่า คนพวกนี้ไม่เคยไว้ใจเธอเลย พวกเขาสนใจแต่อำนาจ และผลประโยชน์
ที่ผ่านมาพวกเขาคงคิดว่าอากงคงบริหารอยู่หลังม่าน โดยให้เธอออกหน้าแทน ครั้นสิ้นอากง เธอก็ไม่มีประโยชน์
โสมมสิ้นดี!
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อาเจ๊กโจว จะมาทำหน้าที่แทนดิฉัน เป็นรักษาการประธานกรรมการฝ่ายบริหาร จบการประชุมค่ะ” หญิงสาวประกาศเสียงเย็นชา ก่อนจะหันไปหาคุณกรองทองที่มองเธอด้วยแววตาเป็นห่วง
“อาม่ากรองทองคะ ขอบพระคุณที่สนับสนุนเรียมนะคะ เรียมขอโทษที่ทำให้อาม่าผิดหวัง” สิเรียมยกมือไหว้กรองทอง เธอส่ายหน้าพลางถอนหายใจด้วยไม่ถือสาสิเรียมเลยสักนิด
“ไม่เป็นไรหนูเรียม อาม่าเข้าใจ”
“ขอบพระคุณค่ะ”
สิเรียมเดินออกจากที่ประชุมหลังจากประกาศเสร็จสิ้น ดวงกมลตกใจจนก้าวเท้าเดินตามเจ้านายไม่ออก ก่อนเธอจะรวบรวมสติได้แล้วสาวเท้าตามคุณสิเรียมออกไป
“ยินดีด้วยนะครับป๊า ในที่สุดเราก็ทำได้สักที” ฟานหันไปแสดงความยินดีกับผู้เป็นพ่อ
“คราวนี้ต้องขอบคุณคุณสุรพงษ์มากเลยนะครับ ที่สนับสนุนผม” โจวยกมือไหว้ผู้อาวุโส
“คนกันเองน่าคุณโจว กระแสลมย่อมมีเปลี่ยนทิศครับ หมดเวลาเล่นสนุกของสิเรียมแล้ว ที่ผ่านมาผมไม่ใส่ใจเรื่องที่เด็กผู้หญิงอ่อนประสบการณ์คนนั้นนั่งเก้าอี้บริหาร เพราะเชื่อว่าคุณไฉคงบริหารอยู่เบื้องหลัง แต่นี่สิ้นคุณไฉแล้ว ผมเองก็ไม่ยอมเสียผลประโยชน์หรอกนะ เราต้องเลือกสนับสนุนคนที่แกร่งกว่า ใช่ไหมครับคุณกรองทอง” สุรพงษ์ถามกับกรองทองที่ยังคงสนับสนุนสิเรียม
“ดิฉันเชื่อในฝีมือการบริหารของหนูเรียมค่ะ ขอตัว” คุณกรองทองลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องประชุมทันที
บ้านวรจักร...
กรองทองเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ สาวใช้รีบปรี่เข้ามารับกระเป๋าถือไปจากเธอ
“ขอยาลมสักแก้วนะ คุณวัฒน์อยู่ไหน” เธอถามหาสามีกับสาวใช้
“คุณผู้ชายอยู่ที่ห้องดูหนังกับคุณคินค่ะ”
“คินมาเหรอ” เธอถามด้วยความแปลกใจเมื่อทราบว่าหลานชายมาหา
“ค่ะ มาเล่นหมากรุกกับคุณผู้ชายตั้งแต่ช่วงสาย”
“อืม ขอบใจ” กรองทองพยักหน้ารับ เธอเดินไปยังห้องดูหนังทันที
เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องก็พบว่า ที่หน้าจอขนาดใหญ่กำลังฉายการ์ตูนเรื่องโปรดของหลานชายอยู่
“มาชวนคุณปู่ดูโคนันอีกแล้วเหรอคิน” กรองทองเดินเข้าไปหาหลานชาย เธอก้มลงลูบศีรษะของชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณย่า สวัสดีครับ” คีรียกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นย่า กรองทองพยักหน้ารับ จากที่อารมณ์ขุ่นมัวอยู่เมื่อครู่ ก็บรรเทาลงเพราะความน่ารักของหลานชาย
“ผมได้ข่าวว่าสิเรียมถูกปลด” เจ้าสัวอภิวัฒน์บอกกับภรรยา
“ข่าวไวเหมือนกันนี่คะ คุณน่าจะไปประชุมกับฉัน อย่างน้อยเราก็คงช่วยหนูเรียมได้บ้าง ผู้หญิงตัวคนเดียว ต้องมาต่อสู้กับญาติตัวเองแบบนั้น หน้าเลือดกันทั้งหมดนั่นแหละ” คุณกรองทองบ่นอุบ แล้วหันไปรับยาหอมจากสาวใช้มาจิบ คีรีมองดูคุณย่าแต่ไม่ได้ออกความเห็นอะไร เพียงรับฟังเงียบ ๆ
“ผมว่าดีซะอีก สิเรียมจะได้รู้สถานะของตัวเองว่า ไม่ปลอดภัยแค่ไหน หลังจากได้รับมรดกจะได้รับมือไหว” ท่านเจ้าสัวกอดอกนิ่ง สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโทรทัศน์ ที่ฉายการ์ตูนเรื่องโปรดของหลานชายอยู่
“แล้ว... หลานอากงไฉเลือกหรือยังครับ เธอจะแต่งงานกับใครในพวกเราสี่คน” ในที่สุดคีรีก็ถามขึ้น ผู้เป็นปู่หันมามองหลานชาย
“คงยังไม่ได้เลือก แต่ดูเหมือนบ้านโน้นเขาจะไม่ชอบใจ”
“ใครเหรอครับ”
“ทิศา เขาโทรมาต่อว่าปู่เมื่อเช้า” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“เด็กพวกนี้ก็เหลือเกิน” คุณกรองทองบ่น
“อย่าถือสาหลานเลยคุณก้อย ผมหาเรื่องเดือดร้อนให้หลานเอง” ท่านเจ้าสัวบอกกับภรรยา
“หนูเรียมเป็นคนดี ฉันออกจะชอบแกซะด้วยซ้ำ ตรงไปตรงมา สุภาพ เรียบร้อย และเก่ง ถ้าอยากได้เมียคู่บุญก็ต้องผู้หญิงอย่างหนูเรียมนี่แหละ ถึงภายนอกแกจะดูเรียบไปสักหน่อย แต่ฉันเชื่อว่าผู้หญิงร้อยทั้งร้อยก็ต้องมีมุมที่อ่อนหวานค่ะ” กรองทองออกความเห็น ท่านอภิวัฒน์มองภรรยา ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ใช่ ผมก็เอ็นดูหนูเรียม และเข้าใจไฉที่เป็นห่วงหลานสาว ผมถึงอยากให้คนจากวรจักรเป็นโล่ให้สิเรียม คินคิดว่าไง ในฐานะหลานตระกูลวรจักร” ท่านถามหลานชายที่ดูการ์ตูน แต่ท่านรู้ว่าคีรีฟังบทสนทนาอยู่ตลอด
“คนอื่นผมไม่มีความเห็นครับ แต่ถ้าเป็นผม ผมทำตามที่คุณปู่ต้องการได้” คีรีตอบเรียบ ๆ ท่านอภิวัฒน์พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“สมกับที่เป็นวรจักร” ท่านเอ่ยชมหลานชาย
“แล้วถ้าเป็นตรีล่ะ คินคิดว่าตรีจะยอมรับเรื่องนี้ไหม” ผู้เป็นย่าถามขึ้น
“พี่ตรีรักอิสระครับ เขาอาจจะต่อต้าน...”
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา เมื่อลองคิดถึงพี่ชายแล้ว ก็มองเห็นแค่ความวุ่นวาย เมื่อลองเทียบสิเรียมกับพวกผู้หญิงของพี่ชาย ก็ยิ่งกลุ้มใจ เพราะต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้หญิงในอุดมคติของพี่ตรี นอกจากเก่ง ฉลาดแล้ว ยังต้องมีรูปเป็นทรัพย์ สวยหยดย้อย มองแล้วชวนตะลึง
ในขณะที่สิเรียมนั้นไม่ใช่ พิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คงมีคำติเป็นสิบ ๆ ข้อ
“คิน คู่นอนก็เรื่องหนึ่ง เมียก็เรื่องหนึ่ง” ราวกับรู้ทันหลานชายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ท่านอภิวัฒน์พูดขึ้นท่ามกลางเสียงจากโทรทัศน์
“ผมทราบครับ แต่พี่ตรีจะคิดอย่างที่คุณปู่ว่าไหมนี่สิครับ ที่ผมเดาไม่ออก” คีรีระบายยิ้ม ท่านอภิวัฒน์พยักหน้ายอมรับ
ธาตุตรีเหนือความคาดเดา หลานชายคนโตของตระกูลมีความคิดชนิดที่สุดโต่ง ไม่มีตรงกลาง หรือลดหย่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าบ้าบิ่นถึงขนาดที่ออกไปใช้ชีวิตเอง โดยไม่สนทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรอก ท่านจะบังคับคนอย่างธาตุตรีให้แต่งงาน คงยิ่งกว่าข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า ผู้อาวุโสเพียงภาวนาให้สิเรียมเลือกคีรี
“เก็บผมไว้เป็นตัวสำรองได้นะครับคุณปู่ ถ้าเธอคนนั้นไม่รู้จะเลือกใคร คุณปู่เสนอชื่อผมได้”
“คินนะคิน ทำไมน่ารักอย่างนี้นะ” กรองทองขยับเข้าไปกอดหลานชายเอาไว้ เขากอดตอบคุณย่าพร้อมกับยิ้มออกมา
“ขอบใจนะคิน ขอบใจที่ทำเพื่อปู่” ท่านอภิวัฒน์เบาใจไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยก็มีวรจักรที่เต็มใจจะแต่งงานกับสิเรียม
ไฉ...ฉันมีหลานชายที่พร้อมจะดูแลหลานสาวของนายแล้ว สัญญาที่ให้ไว้ ฉันจะรักษาให้ถึงที่สุด
ท่านอภิวัฒน์มองหลานชายด้วยความภูมิใจ ระคนด้วยความเบาใจ หวังให้สิเรียมตัดสินใจให้เร็วที่สุด
แต่ท่านเชื่อว่าการถูกปลดจากตำแหน่งคราวนี้ คงเป็นเครื่องเร่งการตัดสินใจให้สิเรียมได้ดีที่สุด
ภายในสองเดือนนี้ งานวิวาห์จะต้องเกิดขึ้น