นี่น่ะหรือชีวิตของสิเรียม ต้องมาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกผู้ชายเป็นสามี

มาลัยสิเรียม - 1 มาลัยสิเรียม โดย ratta28 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,รัก,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มาลัยสิเรียม

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,รัก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

มาลัยสิเรียม โดย ratta28 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นี่น่ะหรือชีวิตของสิเรียม ต้องมาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกผู้ชายเป็นสามี

ผู้แต่ง

ratta28

เรื่องย่อ

สารบัญ

มาลัยสิเรียม-1 มาลัยสิเรียม,มาลัยสิเรียม-2 มาลัยสิเรัยม,มาลัยสิเรียม-3 มาลัยสิเรียม,มาลัยสิเรียม-4 มาลัยสิเรียม,มาลัยสิเรียม-5 มาลัยสิเรียม

เนื้อหา

1 มาลัยสิเรียม

ดูไบ มหานครแห่งความหรูหรา เมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์แห่งประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้สภาพภูมิประเทศจะเป็นทะเลทรายร้อนระอุ แต่ด้วยการบริหารจัดการพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ดูไบเป็นมหานครที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่ง

หลายคนเชื่อว่ามหานครดูไบนี้ ร่ำรวยมาจากบ่อน้ำมันอันล้ำค่า ก็ใช่ แต่ทว่าปัจจุบันนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูไบไม่ได้มีเพียงน้ำมันเท่านั้นที่ล้ำค่า หากแต่ยังเป็นมหานครที่ดึงดูดมหาเศรษฐีนักลงทุน ที่อยากจะกอบโกยทรัพยากรภายในประเทศ

เช่นเดียวกับชายหนุ่มในชุดสูททักสิโดสีดำผู้นี้ เขาเองก็มาแสวงหาผลประโยชน์จากที่นี่ร่างสูงเดินเข้าไปภายในวิลล่าสุดหรูที่ตั้งอยู่ย่าน Dubai Hills ทุกย่างก้าวของเขาดูมั่นคงวางอำนาจ และเย่อหยิ่ง

ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่ง คางได้รูป สันกรามคมชัดเจน โหนกแก้มสูง ผิวหน้าละเอียดเกลี้ยงเกลาอย่างคนที่ผิวดีโดยกรรมพันธุ์ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโหนกแก้มเป็นอย่างดี ริมฝีปากหนาอวบอิ่ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มล้ำลึกชวนมอง เรือนผมสีดำอย่างคนเอเชีย ที่ตัดสั้นและจัดทรงเอาไว้อย่างประณีต

ความสูงกว่า 189 เซนติเมตร และร่างสมส่วนทำให้เขาดูโดดเด่น หน้าท้องแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ไหล่กว้างผึ่งผายยิ่งเสริมให้เขาดูภูมิฐานในชุดสูทนั้น กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากกายเขา ทำให้ผู้คนต้องเหลียวมอง

ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่หล่อเหลา ทว่ามีเสน่ห์ดึงดูด ทำให้ยากที่จะละสายตาจากเขาได้ เขาดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงมากดลิฟต์แล้วยืนรออยู่แบบนั้น ขณะที่อีกมือเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เล่น แล้วก็เห็นข้อความที่ศิราเลขาส่วนตัวของเขาส่งมาหา

มีแขกรอพบคุณตรีอยู่ที่ห้องพักครับ

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน นึกแปลกใจว่าใครกันที่มาหาเขา จะเป็นเจ้าคิน หรือ คีรี น้องชายของเขาก็ไม่ใช่ เพราะตอนนี้เจ้าคินไปประชุมอยู่ที่ยุโรป คงไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้แน่ หรือจะเป็นญาติผู้น้อง ทิศา ทิศิษ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อมา

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดไปยังชั้นที่เป็นห้องพักของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองเลขชั้น ทอดอารมณ์โดยไม่ทุกข์ร้อน

ธาตุตรี วรจักร เป็นทายาทคนโตของตระกูลวรจักร ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับกลุ่มพลังงาน วรจักรกรุป มีธุรกิจเกี่ยวกับการขุดเจาะ สำรวจพลังงาน และกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทนอย่างโซล่าร์เซลล์ พวกเขาถือครองตลาดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ

แต่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทในครอบครัวที่ว่ามาเลย ธาตุตรี หรือ ตรี ยกธุรกิจของครอบครัวให้กับ คีรี วรจักร ผู้เป็นน้องชายเป็นคนดูแลและรับช่วงต่อ

เพราะอะไรน่ะหรือ...

เพราะเขาไม่ชอบกฎเกณฑ์ เบื่อที่จะต้องเจอหน้าผู้ถือหุ้นที่คอยขัดโน่นขัดนี่ เขาชอบชีวิตอิสระ ได้ตัดสินใจเอง ทำอะไรตามใจชอบก็ได้ อยากทำอะไรโดยไม่ต้องกังวล

ในตอนนี้ เขาจึงเป็นนักลงทุนชื่อดังที่หาตัวจับยาก ลองเขาได้ซื้อ หรือลงทุนในหุ้นตัวใด หรือเหรียญใดในตลาด นั่นแทบจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหุ้นตัวนั้น หรือเหรียญนั้นมีอนาคตดี น่าจับตามอง

ธาตุตรีทำรายได้ให้กับตัวเองปีละหลายร้อยล้านบาท เขาเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุได้เพียง 29 ปี อาจจะฟังดูเหมือนง่าย แต่เส้นทางที่ธาตุตรีเลือกเดินไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องเผชิญกับคำว่ากำไร และขาดทุน ตามกระแสผันผวนของตลาดมาตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนักลงทุน

แต่ในตอนนี้เขาเป็นหนุ่มใหญ่วัย 37 ปี ที่มีอิสระทางการเงิน และประสบความสำเร็จในชีวิต เขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามที่เขาต้องการ

เพราะเขารักดูไบ รักดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ ชายหนุ่มจึงย้ายมาที่นี่ เขาซื้อวิลล่าสุดหรูแห่งนี้ไว้เป็นที่พักอาศัย และลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ขุดเจาะพลังงาน ซึ่งผลกำไรเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

นอกจากเงินทอง และความสำเร็จ เขายังสามารถเลือกผู้หญิงที่เขาต้องการได้อีกด้วย

ธาตุตรีถือว่าเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ เขาหลงใหลในบทรักสุดเร่าร้อนบนเตียง แต่ไม่ต้องการผูกมัดกับใคร และมักจะเลือกคบหากับผู้หญิงระดับท็อปไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็นท็อปโมเดล นักแสดงที่มีชื่อเสียง เขาก็ได้มาร่วมเตียงไม่ยากนัก

ธาตุตรีสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ไม่คิดอยากจะมีครอบครัว หรือผูกมัดกับผู้หญิงคนไหนให้ชีวิตวุ่นวาย เขาอยู่แบบนี้สงบสุขดีแล้ว

แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาผกผัน แม้จะหนีมาได้แล้วก็เถอะ...

ชายหนุ่มเปิดประตูดิจิตอลเข้าไปภายในห้องชุด เครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่แผ่ไอเย็นฉ่ำมาปะทะกับใบหน้าของเขา ชายหนุ่มเดินเข้าไปยังห้องรับแขก แล้วก็ต้องแปลกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าแขกที่ศิราแจ้งกับเขาจะเป็นผู้หญิง

มองจากด้านหลัง เธอเป็นหญิงสาวเรือนร่างบอบบาง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มเกล้ามวยเชย ๆ เอาไว้ที่ท้ายทอย นั่งตัวตรงราวกับรูปปั้น 

ชายหนุ่มพยายามนึก ผู้หญิงคนไหนที่เขารู้จักที่มีรูปลักษณ์แบบนี้ พอดีกับที่ศิราเดินเข้ามาหาเขา

“คุณตรี เชิญครับ คุณผู้หญิงมารอนานแล้ว”

เลขาหนุ่มรีบแจ้งด้วยน้ำเสียงร้อนรน ท่าทางดูเหมือนจะเกรงใจหญิงสาวผู้นี้เป็นพิเศษ ธาตุตรีไม่เข้าใจนัก เขาส่งเสื้อสูทให้เลขาแล้วเดินอ้อมโซฟาไปประจันหน้ากับหญิงสาว

เขาขมวดคิ้วจ้องมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า สายตาของเขาที่มองไปราวกับเครื่องสแกน อย่างกับจะมองเธอให้ทะลุปรุโปร่ง แต่ที่เขามองแบบนั้น ก็เพราะเธอดูคุ้นตา เหมือนเขาเคยเจอที่ไหนมาก่อน

ดวงหน้ารูปไข่เรียวเล็กภายใต้กรอบแว่นสีโรสโกลด์ ดวงตาอ่อนหวานช้อนมองเขาผิดกับแววตาที่ฉายแววเรียบนิ่ง ราวกับไม่ได้สนใจเขามากนัก ริมฝีปากบางได้รูปสวยนี้ ยิ่งคุ้นตาเข้าไปกันใหญ่

เคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่ไหน... ธาตุตรีถามตัวเองในใจด้วยความสงสัย

“คุณเป็นใคร มีธุระอะไร”

ชายหนุ่มนั่งลงไขว่ห้าง เขาถามเสียงเข้มดุ สีหน้าเรียบเฉย ไม่รักษามารยาทสักนิด แล้วกอดอกมองหญิงสาวตรงหน้าที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ด้วยสายตาเย็นชาไร้เยื่อใย

ศิราที่ได้ยินคำถามหน้าตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เลขาหนุ่มปรี่เข้าไปโน้มตัวกระซิบที่ข้างหูเจ้านายทันที

“คุณตรีครับ! ...” เขากำลังจะพูด

“ดิฉัน สิเรียม วรจักร ภรรยาของคุณค่ะ”

หญิงสาวตรงหน้าพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นหนักแน่นทุกคำพูด เลขาหนุ่มส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้เธอ แล้วยืดตัวตรง ธาตุตรีที่ได้ฟังตกใจจนเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่

สิเรียม วรจักร...

ยัยแว่นตรงหน้าเนี่ยนะ คือผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วยเมื่อสามเดือนก่อน

“มาได้ยังไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เครื่องบินค่ะ” หญิงสาวตอบ เธอมองเขาด้วยแววตาไร้ความรู้สึก

“แล้วเธอมีธุระอะไร”

เขาจำใจถาม ด้วยมีชนักติดหลัง อีกทั้งยังมาจำภรรยาที่ตัวเองแต่งงานด้วยไม่ได้อีก ยิ่งเธอมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า หลังจากแต่งงานผ่านมาแล้วหลายเดือน เธอย่อมมีจุดประสงค์

“หลังจากเราแต่งงานกัน คุณธาตุตรีก็หายหัว...” สิเรียมมองเขาตรง ๆ เมื่อเห็นดวงตาเข้มดุนั้น จึงรู้ตัวว่าตัวเองออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย

“ขอโทษค่ะ ดิฉันหมายถึงหายหน้าหายตา ผ่านมาสามเดือนแล้ว ได้เห็นคุณยังมีชีวิตอยู่...” แทบไม่ต้องรอ สิเรียมก็สาธยายชนักที่ติดหลังของธาตุตรีอยู่ออกมา

“เสียดายจัง นึกว่าจะได้จัดงานศพซะแล้ว” เธอยกมือซ้ายขึ้นดูแหวนแต่งงานที่สวมอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ระวังคำพูดไว้หน่อย ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น” ธาตุตรีตำหนิ แวบหนึ่ง สิเรียมรู้สึกกลัวท่าทางของเขาขึ้นมา แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ

“ค่ะ แต่มองในแง่ดี อย่างน้อยใบหย่าของดิฉันก็คงไม่ต้องเป็นหมัน” หญิงสาวถอนหายใจยาวเหยียด เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความเบื่อหน่าย แววตาที่จ้องมองมายังธาตุตรีเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา

“เอาสิ ฉันไม่ได้อยากแต่งงานกับเธออยู่แล้ว ถ้าคุณปู่ไม่บังคับ...”

เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดมองหญิงสาว แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ เมื่อไม่ได้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง และเสื้อผ้าสวยราคาแพงเช่นวันแต่งงาน เธอช่างดูจืดชืด เรียบ ไม่น่าสนใจ เขารู้สึกดูแคลนเธออยู่ลึก ๆ

“แต่ก่อนหย่า ดิฉันมีข้อแม้”

“เธอมีสิทธิ์มาต่อรองกับฉันด้วยเหรอ” เขาถามเสียงดุ แสดงออกว่าไม่พอใจชัดเจน จนเลขาหนุ่มต้องขยับก้าวมาหา ด้วยกลัวเจ้านายจะทะเลาะกับภรรยา

“ในฐานะภรรยาโดยนิตินัย ดิฉันมีสิทธิ์ทางกฎหมายทุกประการค่ะ พอใจไหมคะ คุณสามี” สิเรียมเรียกเขาโดยไม่กระดากปากสักนิด

“ผลประโยชน์ที่เธอได้ไป ยังไม่พออีกหรือไง สมบัติของเธอ ฉันก็ไม่ได้มีส่วนสักสลึง”

“ค่ะ ไม่พอ” เธอตอบหน้าตาย ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด แต่ไหน ๆ ก็จะหย่ากันแล้ว เขาควรใจเย็นกับเธอสักนิด

“ว่ามาสิ เรื่องที่เธอจะต่อรอง”

“ดิฉันต้องการอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุดของคุณค่ะ”

“อะไรนะ!” ร่างสูงผุดลุกขึ้น



สามเดือนก่อนหน้านี้...



สิเรียม ณุกูรกิต อยู่ในชุดชุดเดรสคลาสิกสีดำสนิท เบื้องหน้าของเธอคือบรรดาญาติที่มาร่วมฟังการเปิดพินัยกรรม

ตระกูลณุกูรกิตเพิ่งผ่านการสูญเสียเจ้าสัวไฉ ณุกูรกิต ท่านเป็นผู้นำตระกูล ทั้งยังมีศักดิ์เป็นปู่ บัดนี้ท่านได้จากไปแล้ว หญิงสาวเพิ่งจัดงานศพเสร็จไปได้เพียงไม่กี่วัน ก็ครบกำหนดต้องเปิดพินัยกรรม

หญิงสาวนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ เธอเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่เจ้าสัวไฉ ณุกูรกิตผู้ล่วงลับไว้วางใจ ด้านข้างของเธอคือท่านเจ้าสัว อภิวัฒน์ วรจักร ท่านเป็นเพื่อนสนิทของคุณปู่มาตั้งแต่เยาว์วัยได้รับเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน

“กระผมขอเปิดพินัยกรรม ของนายไฉ ณุกูรกิต ณ บัดนี้” ทนายความเกริ่นขึ้น ใบหน้าขาวซีดปราศจากเครื่องสำอางภายใต้กรอบแว่นเรียบนิ่ง มีเพียงดวงตาแดงก่ำเท่านั้น ที่เป็นเครื่องยืนยันความเสียใจของหญิงสาวผู้นี้

“วัฒน์ ฉันหวังว่านายจะมาเป็นสักขีพยานในการเปิดพินัยกรรมในวันที่ฉันจากไปแล้ว ตั้งแต่ฉันยังเด็ก สมัยที่ฉันยังเป็นเด็กวัด ขอบใจนายมาก ที่ไม่รังเกียจ และเป็นเพื่อนกับฉันมาจนวันสุดท้ายของชีวิต ฉันรู้ว่านายอยากได้แจกันลายครามที่อยู่ในห้องทำงานของฉัน ให้คนมายกไปเถอะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากฉัน” ทนายอ่านพินัยกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นจดหมายเสียมากกว่า

“ขอบใจไฉ ฉันก็ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย” เจ้าสัววัฒน์มองไปยังรูปภาพของเพื่อนสนิทที่วางอยู่ด้านหลังหญิงสาว แล้วเอ่ยขอบคุณกับเพื่อนผู้ล่วงลับด้วยความซึ้งใจ

“หนูเรียมของอากง” ทนายความเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อ เธอนั่งนิ่งไม่ไหวติง แม้โศกเศร้ากลับไม่แสดงออก มีเพียงน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ที่ขอบตา

“หนูช่างอาภัพเหลือเกิน เสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังแบเบาะ ซ้ำยังต้องมาอยู่กับคนแก่ใจดำอย่างอากง หนูเรียมเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาโดยตลอด หนูเรียมไม่เคยทำให้อากงเสียใจเลย แม้ว่าอากงจะไม่เคยแสดงออกให้หนูเรียมรู้ก็จริง แต่อากงภูมิใจในตัวหนูเรียมมาก อากงรู้ว่าหนูเรียมจะดูแลกิจการของอากงได้ เพราะฉะนั้นอากงขอยกทรัพย์สินทุกอย่างที่เป็นของอากงให้กับหนูเรียมแต่เพียงผู้เดียว ส่วนคนอื่นที่ฉันไม่ได้เอ่ยถึงให้รับเป็นเงินกงสีต่อไป” เสียงญาติพี่น้องลุกฮือขึ้นด้วยความไม่พอใจ

“ไม่ยุติธรรม กงจะยกสมบัติให้สิเรียมคนเดียวได้ไง ผมก็เป็นหลานกงนะ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“เฮียฟานคงลืม ว่ากงไฉมีลูกคนเดียว คือป๊าเรียม” สิเรียมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นหุบปากฉับแล้วนั่งลง เขามองเธอด้วยสายตาถมึงทึงน่ากลัว ทว่าสิเรียมไม่ได้ปรายตามองเลยแม้แต่น้อย

เป็นที่รู้กันว่าคุณหนูสิเรียมเด็ดขาดยิ่งนัก เธอถูกเจ้าสัวไฉเลี้ยงดูมา เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่ท่านยอมให้อยู่ร่วมชายคาด้วย ท่านรักเธอดังแก้วตาดวงใจ และไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องหลานสาวคนนี้ ท่านตั้งใจฟูมฟัก แม้จะเข้มงวด และแข็งกร้าวกับหญิงสาวเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ แต่ท่านก็รัก เป็นเอ็นดูหนูเรียมเสมอมา

เมื่อยามป่วยไข้ ท่านก็ได้หลานสาวคนนี้คอยดูแลไม่ได้ห่าง จนวาระสุดท้ายของชีวิตที่ท่านจากไป ก็มีเธอผู้นี้อยู่เคียงข้าง

“แต่อากงมีข้อแม้” ทนายความเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“อะไรคะ” สิเรียมถามขึ้น

“คุณหนูสิเรียม ต้องแต่งงานกับทายาทของวรจักรคนใดคนหนึ่งภายในเวลาสองเดือนหลังจากเปิดพินัยกรรมฉบับนี้ แล้วทรัพย์สินทุกอย่าง จะถูกโอนเป็นของคุณหนูทันทีที่คุณหนูจดทะเบียนสมรส หากไม่แต่ง ทรัพย์สินของท่านเจ้าสัว จะถูกโอนให้กับมูลนิธิณุกูรกิต” ทนายความแจ้ง แล้วปิดสมุดพินัยกรรมลงเพื่อแสดงว่าเสร็จสิ้นการเปิดพินัยกรรมแล้ว ก่อนจะค้อมศีรษะน้อย ๆ ทางกรอบรูปท่านเจ้าสัวเป็นการทำความเคารพ

หญิงสาวยกมือขึ้นดันแว่นตาที่สวมอยู่ขึ้น พลางถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด แต่เธอไม่ได้โวยวาย หรือแสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด สิเรียมหันไปหาเพื่อนสนิทของอากงที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เธอตามนิสัยของท่าน

“อากง...” เธอกำลังจะเอ่ยถาม

“อากงเป็นคนเสนอให้ไฉมันทำสัญญานี้เอง หนูเรียมคงไม่โกรธกงนะลูก” ท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์บอกกับสิเรียม หญิงสาวเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แล้วนิ่งเงียบเพื่อใช้ความคิด

หลังจากสูญเสียพ่อแม่ไป สิเรียมถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดกิจการของณุกูรกิต ตั้งแต่เล็กจนโต เธอถูกเลี้ยงดูมาด้วยคำสอนของอากง ที่กำชับว่าเธอจะต้องปกป้องดูแลธุรกิจที่ท่านสร้างขึ้นมา บริษัทส่งออกข้าว และผลผลิตทางการเกษตรที่อากงของเธอเพียรสร้างขึ้น จากกุลีรับจ้างแบกข้าวสาร สู่เจ้าสัวโรงสี

เมื่อสิเรียมเข้ามาบริหาร เธอได้จัดตั้งบริษัทรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรขึ้น เพื่อขยายอาณาจักรของท่านเจ้าสัวให้ทวีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น จากบริษัทส่งออกข้าว สู่บริษัทส่งออกพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่

สิเรียมต่อสู้ท่ามกลางปากเหยี่ยวปากกาที่ได้ชื่อว่าญาติพี่น้อง อากงมีพี่น้องอีกสองคนที่เข้ามาทำงานที่โรงงาน ทุกคนล้วนแต่อยากเป็นผู้บริหารของ NK food แต่บัดนี้ สิเรียมได้ก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหาร เธอเป็นประธานบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางกระแสความไม่เห็นด้วย และต้องการโค่นล้มเธอ

หญิงสาวสู้กัดฟันทน พัฒนาบริษัทจนเจริญก้าวหน้า เพิ่มไลน์ผลิต เพิ่มสินค้า เธอทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อให้อากงภูมิใจ และไม่ผิดหวังในตัวเธอ

เธอทุ่มเทขนาดนี้ แล้วเธอจะทิ้งบริษัทที่เธอสานต่อมาให้ปากเหยี่ยวปากกามารุมทึ้งเหรอ

ไม่มีทางหรอก!

“อากงเห็นหนูเรียมตัวคนเดียว อากงเองก็มีหลานชายตั้งสี่คน แล้วก็อยากได้หนูเรียมมาเป็นหลานสะใภ้ อากงอยากให้หนูเรียมเลือกมาสักคน พวกพี่ ๆ ที่จะมาดูแลหนู” ท่านเจ้าสัววัฒน์อธิบายกับสิเรียมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เธอมองเพื่อนสนิทของอากงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ที่ทำให้เธอสับสนจนพูดไม่ออก

“เรียม... ไม่รู้จักหลานชายของอากงเลยสักคนนะคะ แล้วเรียมจะเลือกได้ยังไง” เธอพูดตามตรง

เพราะสิเรียมใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำเสียส่วนใหญ่ เมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ไปศึกษาต่อที่ประเทศอเมริกา เธอไม่ได้สนิทสนมกับคนในครอบครัวของอากงอภิวัฒน์เลย

“แล้วเรียมเชื่อว่า พวกเขาคงไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงแปลกหน้าอย่างเรียมหรอกค่ะ เรียมไม่อยากให้ชีวิตเรียมต้องน้ำเน่าเหมือนในนิยาย ชีวิตเรียมมีค่ามากกว่านั้น” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์ไม่ได้โกรธเธอเลย กลับยิ้มแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะของหญิงสาว

“อากงรู้ว่าชีวิตหนูเรียมมีค่า ถึงอยากให้หลานชายอากงได้ดูแลหนูเรียมไงลูก หนูเรียมลองคิดดูนะ หนูทุ่มเทแรงกาย แรงสมอง ต่อยอดธุรกิจของไฉ จนมาได้ไกลถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่มีคนคอยดูแล ไม่มีทายาทเอาไว้สืบทอด หนูเรียมไม่เสียดายเหรอ ผู้หญิงน่ะ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีลูกยาก ก็จริงที่หมอสมัยนี้ก็เก่ง ๆ กัน แต่หนูเรียมจะเสี่ยงทำไม ถ้าแต่งงานมีสามี ยังไงก็ต้องมีลูก การสืบทอดธุจกิจก็เป็นไปได้ง่ายดาย จริงไหม” ท่านถามสิเรียมอย่างอารมณ์ดี

หญิงสาวที่นั่งฟังเงียบไป เธอไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรกับเรื่องนี้ดี

“เหอะ ใครได้ยัยนี่ไปคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น หน้าจืด ๆ แบบนี้ เอาไปอวดใครก็อาย” เสียงชายหนุ่มคนเดิมพูดปรามาสขึ้น

“เรียมก็อายที่เป็นญาติกับเฮียเหมือนกัน” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

“เรียม!” ฟานผุดลุกขึ้นชี้หน้า แต่เธอไม่แม้แต่จะสนใจ

“อากงคงได้ยินความคิดเห็นของเฮียฟานแล้ว เรื่องหน้าตาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เรียมคิดว่าเรียมไม่เหมาะสมกับหลานชายของอากง...”

“หนูเรียมเป็นคนสวย เรื่องนี้ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับหนู ว่าจะแต่งกับหลานอากงหรือเปล่า” ท่านเจ้าสัวถามแทรกขึ้น หญิงสาวเงียบไป

“เอาแบบนี้ ไปคิดดูก่อน หนูเรียมน่าจะพอรู้จักหลานอากงอยู่บ้าง ลูกของสุทัศน์ เจ้าธาตุตรี กับเจ้าคีรี ลูกชายของสุทิศ เจ้าทิศา กับ ทิศิษ ถ้าหนูชอบใคร ก็บอกอากง อากงจะจัดการให้”

นี่น่ะหรือชีวิตของสิเรียม ต้องมาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกผู้ชายเป็นสามี

ธาตุตรี คีรี ทิศา ทิศิษ

ในสี่คนนี้ ใครจะเป็นผู้โชคร้ายได้มาใช้ชีวิตกับเธอ...

ทว่าแท้ที่จริงแล้วสิเรียมไม่ได้อยากแต่งงานกับใครเลยสักคนเดียว เธออยู่แบบนี้สบายใจดีแล้ว เช้าตื่นขึ้นมาออกกำลังกาย ไปทำงาน เลิกงาน เข้านอน อ่านหนังสือที่ชอบ ชีวิตของเธอมีเพียงเท่านี้ ไม่ต้องออกจากกรอบที่เป็นอยู่มาตั้งแต่แรก เท่านี้ก็สบายใจแล้ว

จะเอาผู้ชายพวกนั้นเข้ามาเป็นภาระชีวิตทำไมกัน แค่คิดสิเรียมก็ปวดหัวแล้ว

เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องไกลตัวสิเรียมมาโดยตลอด อากงเองก็ไม่เคยพูดถึง หรือเร่งรัดให้เธอแต่งงาน ท่านเห็นเธอเอาแต่ทำงาน ก็ไม่ได้พูดเรื่องสร้างครอบครัวเลยแม้สักครั้ง ใครจะไปรู้ว่าลับหลังเธอ อากงจะแอบไปทำสัญญาบ้า ๆ กับอากงวัฒน์กันล่ะ

อากงไว้ใจไม่ได้จริง ๆ

“ถ้าหนูเลือกไม่ได้ ก็เขียนชื่อเจ้าพวกนั้นลงกล่อง แล้วจับฉลากก็ได้ลูก” ท่านเจ้าสัวเสนอ แต่เป็นเธอสิที่ตกใจ อดสงสารพวกหลานชายอากงไม่ได้ ที่ต้องมาเป็นตัวเลือกให้เธอ

“แล้วถ้าเขามีคนรักอยู่แล้วล่ะคะ” สิเรียมถามขึ้น

“กงจะจัดการเอง หนูเรียมเลือกให้ได้เถอะ”

เผด็จการสิ้นดี สิเรียมก่นด่าอยู่ในใจ

อากงวัฒน์ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอากงไฉของเธอหรอก ศีลเสมอกันถึงเป็นเพื่อนสนิทกันมาจนแก่เฒ่าปูนนี่

สิเรียมไม่เห็นด้วยหรอกกับการข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า เธอไม่ต้องการทำลายชีวิตใคร ไม่ต้องการเป็นปัญหาของใครด้วย

“เอาล่ะ กงต้องขอตัวกลับไปพักก่อน หนูเรียมก็คิดให้ดีนะ ว่าจะเลือกใคร หลานกงทั้งสี่คนก็เป็นคนดีทุกคนนั่นแหละ อยู่ที่หนูจะชอบไหมเท่านั้นเอง”

ท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์พูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกมาจากคฤหาสน์ของเพื่อนสนิท เขาถอนหายใจออกมาขณะที่ก้าวขึ้นรถ

วาระสุดท้ายของไฉ ไม่ได้เป็นห่วงทรัพย์สินหรือธุรกิจที่สร้างขึ้นมาเลย เพื่อนสนิทของเขาเป็นห่วงเพียงหลานสาว ซึ่งมีค่ามากยิ่งกว่าทรัพย์สินใดที่มันมี

ไฉมั่นใจว่าหนูสิเรียมคงไม่ชายตามองผู้ชายคนไหน นอกจากธุรกิจที่ได้รับมรดกไป สุดท้ายหลานสาวคนนี้จะต้องโดดเดี่ยวอยู่บนหอคอยที่ไฉมันสร้างขึ้นมาให้

เพราะนิสัยไม่เอาใครของหญิงสาว ที่ไม่ไว้ใจญาติคนไหน สิเรียมต้องถูกแวงกัดอีกเท่าไร

ไฉรู้ดีว่าสิเรียมจะอยู่บนหอคอยเพียงลำพังไม่ได้ ต้องการให้มีคนที่คอยอยู่เคียงข้างหลานสาว และเขาก็มีหลานชายถึงสี่คน จึงได้เสนอเรื่องการแต่งงานนี้ให้กับไฉไป

ในตอนแรกไฉปฏิเสธทันที แม้เพื่อนจะไม่อยากรบกวนเขา ทั้งรู้นิสัยหลานสาว ทว่าเมื่ออาการป่วยยิ่งทรุด ธาตุแท้ของญาติพี่น้องที่กระหายในทรัพย์สมบัติเริ่มเผยออกมา ไฉจึงจำยอมในที่สุด

แน่นอนสิ ว่าเขาต้องรับปาก ถึงจะต้องบังคับหลาน เขาก็จะทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้เพื่อนได้ตายตาหลับ