ชาย-หญิง,รัก,ดราม่า,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากที่ส่งแขกกลับไปหมดแล้ว หญิงสาวจึงเดินขึ้นมาบนห้องนอน สิเรียมนั่งลงบนโซฟาที่เอาไว้นั่งเล่นภายในห้อง ดวงกมลเลขาคนสนิทวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แยกของโซฟา เธอมองเจ้านายสาวที่เอาแต่นิ่งเงียบด้วยความเป็นห่วง เธอทราบดีว่าคุณสิเรียมไม่ค่อยพอใจกับพินัยกรรมของท่านเจ้าสัวนัก
“อากงคิดอะไรอยู่ ถึงอยากให้เรียมแต่งงาน ท่านทำเหมือนเรียมดูแลตัวเองไม่ได้” หญิงสาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดวงตาหวานเหม่อมองไร้จุดหมาย ท่าทางดูคิดไม่ตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เลขาสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงกมลเองก็พยายามใช้ความคิด หาทางช่วยเจ้านายของเธอ เพราะรู้ดีว่านอกจากเธอแล้ว เจ้านายก็ไม่เหลือใครให้ปรึกษาอีกแล้ว
“มลคิดว่าที่ท่านเจ้าสัวเขียนพินัยกรรมอย่างนั้น ท่านก็คงมีเหตุผลของท่านค่ะ” เลขาสาวตอบ
“เหตุผลอะไรคะ เรียมไม่เข้าใจ” หญิงสาวคว้าหมอนอิงมากอดเอาไว้ พลางเอนหลังหลับตาลง ความตึงเครียดนี้ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก
“อย่างที่ท่านอภิวัฒน์บอก คือถ้าคุณเรียมมีลูก เราก็จะมีทายาทสืบทอดบริษัทต่อไป แต่ข้อเสียก็...”
“เรียมต้องแต่งงาน ถูกไหมคะ” หญิงสาวถามแทรกขึ้น มือน้อยทุบหมอนอิงระบายอารมณ์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ค่ะ”
“เรียมไม่ได้อยากแต่งงาน ไม่ได้อยากมีลูก เรียมชอบอยู่คนเดียวแบบนี้” หญิงสาวระบายความอัดอั้นภายในใจออกมา
“อยู่คนเดียวก็ใช่ว่าไม่ดีค่ะคุณเรียม มลเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน จนอายุ 33 ปีเข้าไปแล้ว ทุกวันนี้ก็สะดวกสบายดี แต่สถานะคุณเรียมกับมลต่างกัน... คุณเรียมมีบริษัทที่ต้องดูแล ในขณะที่มล ดูแลแค่พ่อกับแม่” ดวงกลมอธิบาย
สิเรียมเงียบไป หญิงสาวเอนหลังหลับตานิ่งอยู่แบบนั้นนานนับนาที เลขาทำเพียงนั่งอยู่เคียงข้างเธอไม่ไปไหน นึกเห็นใจเจ้านายสาวที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรณุกูรกิตเพียงลำพัง เธอเองก็คิดไม่ต่างจากท่านเจ้าสัว อยากให้เจ้านายมีคนอยู่เคียงข้าง เป็นคู่ทุกข์คู่สุขก็ยังดี
“คุณมล” ร่างบางเด้งตัวขึ้นนั่งแล้วเรียกเลขา
“คะคุณเรียม” ดวงกลมรับคำด้วยน้ำเสียงตระหนก
“แค่แต่งงานมีลูกก็พอใช่ไหม เรียมไม่จำเป็นต้องอยู่กับผู้ชายคนนั้นไปทั้งชีวิต” สิเรียมถาม ดวงตาหวานมองไปที่เลขามีประกายน้อย ๆ ราวกับเธอเพิ่งคิดแผนการบางอย่างออก
“ค่ะ”
“งั้นผู้ชายที่เรียมต้องเลือก ก็ต้องเป็นประเภทที่ไม่ชอบการผูกมัด คนที่ไม่จริงจังในความสัมพันธ์” หญิงสาวพูดกับตัวเอง
"แต่ระดับหลานชายของท่านอภิวัฒน์... มลไม่แน่ใจว่า...” เลขาสาวชั่งใจในคำพูดของตัวเอง
“ย่อมมีแกะดำในหมู่แกะขาว คุณมลไปสืบประวัติโดยละเอียดของสี่คนนั้นมาให้เรียมหน่อยนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนเผยให้เห็นเรือนร่างบางระหง พลางกอดใช้ความคิด
สิเรียมในชุดเดรสแบบคลาสสิกที่เน้นช่วงเอว สีดำสนิทยิ่งทำให้เธอดูผอมบาง กระโปรงยาวเลยน่องเห็นข้อเท้า ผมสีน้ำตาลเข้มที่มักจะเกล้ามวยต่ำไว้เสมอ
ใบหน้าสวยหวานถูกบดบังด้วยแว่นสายตาหนาเตอะ เธอสายตาสั้นกว่า 900 และไม่คิดจะทำเลสิก หรือใส่คอนแทคเลนส์ ด้วยเธอติดอยู่กับความคิดเก่า ๆ ว่าไม่ควรไปยุ่งกับดวงตา แต่เพราะชอบอ่านหนังสือในที่มืด จึงทำให้เธอสายตาสั้นมากถึงขนาดนี้
ผิวของเธอขาวอมชมพูสุขภาพดี เพราะเธอชอบออกกำลังกาย และใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหาร แม้จะนอนดึกอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ ดวงหน้าหวานปราศจากเครื่องสำอางแต่งแต้ม เพราะผิวเธอดีอยู่แล้ว เพียงทาลิปสติกนิดหน่อยก็เพียงพอสำหรับสิเรียม
แม้ภายนอกสิเรียมจะดูจืดชืดอย่างคำปรามาสของฟานผู้เป็นญาติห่าง ๆ แต่เธอกลับคิดว่าสิ่งที่เธอเป็นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมถึงตัวเธอเองก็มีความสุขกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ จึงไม่คิดสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“มลจะรีบไปสืบมาให้ค่ะ” เลขาส่วนรับคำ
“ขอบคุณมาก คุณมลกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้เรียมมีประชุม คงมีแต่เรื่องให้ปวดหัว” สิเรียมถอนหายใจเมื่อนึกถึงภารกิจที่ต้องจัดการในวันรุ่งขึ้น
“งั้นมลขอตัวก่อนนะคะ” เลขาสาวขอตัว ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องนอน
ดวงกมลกลับไปแล้ว สิเรียมหันไปมองประตูที่ปิดลง เธอเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเดิมอย่างอ่อนแรง
เกิดมาจนอายุ 29 ปี ใช้ชีวิตภายใต้การกำกับของอากงมาตลอด ไม่ว่าจะเข้าเรียนในโรงเรียนประจำหญิงล้วนชื่อดัง หรือไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในสาขาวิชาที่อากงเลือกให้ สิเรียมไม่เคยคิดคัดค้านผู้เป็นปู่เลย
กลับมาคิดกบฏเมื่อท่านจากไป
แย่จริง ๆ
แต่สิเรียมไม่อยากแต่งงานนี่
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักหน้าตาเป็นอย่างไร เธอรู้จักเพียงความรักของอากง ซึ่งคิดว่าเพียงพอแล้วสำหรับเธอในชีวิตนี้ แม้ท่านจะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่จากการกระทำของท่าน ทำให้เธอรับรู้ได้
แต่กับผู้ชายคนอื่นล่ะ...
สิเรียมไม่อยากรู้ และไม่อยากเอาหัวใจตัวเองไปเล่นเกมแบบนั้น
ราวกับมีม่านหมอกจาง ๆ บดบังหัวใจของเธอเอาไว้
เธอไม่เชื่อในความรักของใครอื่น นอกจากพ่อแม่ผู้ล่วงลับ ก็มีเพียงความรักของอากงเท่านั้น ที่เป็นนิจจะ
ไหนจะที่เธอไม่รู้จักผู้ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยอีก... อากงไม่คิดบ้างเหรอว่า คำสั่งเสียสุดท้ายของท่านจะหักหาญน้ำใจสิเรียม
“อากงใจร้ายกับเรียมจัง”
สิเรียมรำพันกับตัวเองด้วยแววตาไหวระริก มือเรียวเอื้อมไปที่ด้านหลัง แล้วดึงปิ่นปักผมสีเงินออกจากมวยผม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มสยายยาวลงมาจรดเอวบาง เพราะถูกขมวดเป็นมวยเป็นเวลานาน ทำให้ผมยาวเป็นลอนคลื่น สิเรียมถอดแว่นสายตาออกตาม แล้ววางทั้งสองสิ่งไว้คู่กันบนโต๊ะ
เธอปวดหัวจนอยากอาเจียน
มือเรียวยกขึ้นนวดขมับให้คลายอาการปวดตึง เมื่อลดมือลงจึงเผยให้เห็นดวงหน้าสวยหวาน แม้จะแฝงด้วยความเย็นชา ไม่ยี่หระกับโลกนี้ แต่สิเรียมถือว่าเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งก็ว่าได้ ดวงหน้ารูปไข่เรียวเล็ก ดวงตากลมโต ขนตาที่ยาวเป็นแพ คิ้วเรียวที่สวยได้รูปรับกับจมูกโด่งของเธอ อากงมักจะชมว่าเธอสวย แต่มักจะซ่อนความสวยเอาไว้หลังกรอบแว่นหนาเตอะนั้น
สิเรียมสนใจเรื่องหน้าตาตัวเองที่ไหน
สวยไปก็เท่านั้น สมัยนี้ใช่จะตัดสินกันที่ความสวยเพียงอย่างเดียว
สิเรียมจึงมักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดีไซน์เรียบง่าย มวยผมที่ท้ายทอย ไม่ก็มัดหางม้า และไม่แต่งหน้า
ทั้งที่อากงชอบให้เธอแต่งตัวสวย ยามไปออกงานกับท่าน
สิเรียมเดินเข้าห้องน้ำไปโกงคออาเจียน เพราะทนไม่ไหวกับอาการปวดศีรษะที่เป็นอยู่ เมื่อหายจากอาการคลื่นไส้แล้ว เธอจึงบ้วนปากแล้วทำความสะอาดชักโครก ก่อนจะออกมาหายารับประทาน
คงเป็นไมเกรน...
เธออดนอนจัดงานศพให้อากงมาหลายวัน ทั้งเครียด ใช้สมอง และใช้สายตามากมาหลายวัน ไม่แปลกเลยที่ร่างกายจะอ่อนเพลีย
หญิงสาวเดินออกมาหยิบรีโมทขึ้นมากดสั่งปิดผ้าม่าน แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง สิเรียมนอนคว่ำ ซบหน้ากับเรียวแขน
“อากง เรียมจะไม่เสียใจแล้วนะ เรื่องที่อากงไม่อยู่กับเรียม จากนี้เรียมจะมีแค่ความคิดถึงให้อากงเท่านั้น เรียมอยากให้อากงยอมรับ ไม่ว่าต่อจากนี้เรียมจะทำอะไรก็ตาม ถือว่าเรียมตัดสินใจดีแล้ว เรียมจะเลือกชีวิตของเรียมเอง”
หญิงสาวพูดเสียงเบาราวกับบอกกล่าวให้ผู้วายชนม์ได้ยิน ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลียพลางผ่อนลมหายใจจากจมูกยาวเหยียด
บ้านวรจักร เป็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เกือบสองไร่ บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ที่ท่านอภิวัฒน์กับภรรยาปลูกเอาไว้
ท่านก็เหมือนกับผู้สูงอายุวัยเกษียณทั่วไปที่ชอบต้นไม้ ดอกไม้ และมักจะชวนคุณกรองทองผู้เป็นภรรยาไปเดินตลาดดอกไม้ด้วยกันในช่วงวันหยุด
ท่านหมดภาระในเรื่องธุรกิจแล้ว เพราะได้ทำการแบ่งมรดกให้ลูกชายทั้งสองคนเป็นที่เรียบร้อย สุทัศน์คนพี่ ได้ธุรกิจในกลุ่มพลังงานของท่านไป ส่วนสุทิศลูกชายคนเล็ก ท่านก็ให้บริษัทขนส่งซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ท่านเพิ่งมาจับได้ไม่นาน ทั้งขนส่งทางเรือ และเครื่องบิน บัดนี้ถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนในช่วงบั่นปลายชีวิตของท่านกับภรรยาแล้ว
ทันทีที่ท่านเจ้าสัวอภิวัฒน์กลับมาถึง ท่านสั่งกับคนสนิทให้โทรตามลูกชายทั้งสองคนของท่านเข้ามาคุยเรื่องเงื่อนไขในพินัยกรรมของท่านเจ้าสัวไฉทันที
รอเพียงไม่นาน รถยนต์ก็เข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน ชายวัยกลางคนทั้งสองคนต่างลงจากรถของตัวเอง ก่อนจะปรายมองอีกฝ่าย แล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน ก่อนจะถูกสาวใช้เชิญให้ไปยังห้องทำงานทันที
เมื่อเข้าไปในห้องทำงาน พวกเขาทั้งสองก็พบกับผู้เป็นพ่อนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“นั่งก่อนสิตาทัด ตาทิศ” ท่านบอกกับลูกชายทั้งสองที่ยกมือขึ้นไหว้ท่าน
“พินัยกรรมของเจ๊กไฉเป็นยังไงบ้างครับ มีปัญหาอะไร พ่อถึงต้องเรียกพวกผมเข้ามา” ทิศถามกับผู้เป็นพ่อ ผิดกับทัดที่รอให้พ่อเป็นฝ่ายพูด
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เป็นไปตามคาด ไฉมันยกทุกอย่างให้หนูเรียม” ท่านตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ มือที่เหี่ยวย่นตามความชรายกกาน้ำชาขึ้นเทน้ำชาส่งให้ลูกแต่ละคน
“ดื่มชาก่อน แล้วค่อยคุยกัน ไม่ได้มีเรื่องอะไรร้ายแรงนี้” ท่านบอกกับลูก ๆ แล้วหัวเราะในลำคอเสียงทุ้ม
“คุณพ่อเรียกด่วน น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ” ทัดเอ่ยขึ้นพลางจิบชา
“เออ ดื่มไปก่อน” ท่านคะยั้นคะยอ สุทัศน์ดื่มชาเข้าไปก่อน ตามด้วยสุทิศน้องชาย
“ไฉมันอยากให้สิเรียมแต่งงานกับหลานชายของฉัน”
พรวด!
สุทิศสำลักน้ำชาออกมาจนไอโขลก ในขณะที่สุทัศน์พี่ชายผู้สุขุมเอื้อมมือลงไปวางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบ
“ไม่ผิดจากที่ผมเดา เจ๊กอยากได้หลานเขยคนไหนล่ะครับ” สุทัศน์ถามกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อให้หนูเรียมเลือก แต่ก็มีเงื่อนไข คือหนูเรียมต้องแต่งงานภายในเวลาสองเดือน ก่อนจะโดนริบสมบัติตามพินัยกรรมคืน” ท่านเจ้าสัวตอบลูกชาย เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
“บ้านจะแตกไหมพี่ทัด” สุทิศถามพี่ชาย
“เจ๊กไฉเป็นคนดี หนูเรียมพี่ก็รู้จัก ก็ขอให้หนูเรียมเลือกเจ้าคินแล้วกัน เพราะถ้าเลือกตรี...” สุทัศน์ถอนหายใจ
“คงจะมีแต่เรื่องไม่เว้นแต่ละวัน” เขาส่ายหน้าเมื่อนึกถึงลูกชายคนโต
“พ่ออยากให้พวกแกไปบอกกับลูก ๆ ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ให้เตรียมตัวเอาไว้ หรือถ้าใครมีคนรัก ไม่อยากแต่ง ก็ให้มาคุยกัน” ท่านบอกกับลูกชาย
“คินไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ตรี ผมไม่รับประกัน” สุทัศน์บอก
“หนูเรียมคงไม่ตาถั่ว เลือกคนแบบเจ้าตรีไปทำพันธุ์หรอกมั้งพี่ทัด” สุทิศปรายตามองพี่ชาย ใบหน้าคมคายภายใต้กรอบแว่นเรียบนิ่ง เขาไม่ยี่หระกับคำปรามาสของน้องชายเลยสักนิด
“ก็หวังให้หนูเรียมเลือกให้ดี หรือถ้าใครขัดข้องไม่อยากแต่งก็บอกผม ผมว่าผมคุยกับคินได้”
“ก็บังคับได้อยู่คนเดียว” สุทัศน์ยกยิ้ม คำพูดเขาดูแคลนพี่ชายที่ได้ชื่อว่ามีลูกชายแหกคอกไปหนึ่งคน
“พอ ตรีก็ทำได้ดี ฉันไม่เห็นว่าหลานฉันจะแหกคอกตรงไหน ตรีเป็นหลานชายที่ฉันออกจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำ ที่กล้าออกไปใช้ชีวิต ไม่สนใจทรัพย์สมบัติที่กองอยู่ ไม่หลงมัวเมากับสิ่งที่มี เอาเถอะ พ่อมีเรื่องจะคุยแค่นี้ พวกแกก็ไปคุยกับลูกรอไว้ ถ้าใครมีปัญหาก็ให้มาคุยกับฉัน” ท่านเจ้าสัวผุดลุกขึ้น ท่านมองลูกชายทั้งสองคนที่แทบจะไม่มองหน้ากัน ด้วยความไม่ลงรอยจากการขัดแย้งทางธุรกิจที่คุกรุ่นอยู่
สุทัศน์เดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่กลับจากบ้านของผู้เป็นพ่อ เขาเดินตรงไปยังห้องทำงาน แล้วก็พบว่าลูกชายคนเล็กกำลังนั่งอ่านหนังสือ ทันทีที่เห็นว่าเขาเข้าไป คีรีก็ลดหนังสือลง แล้วยกมือไหว้ทักทายเขาทันที
“อ่านอะไรอยู่” สุทัศน์ถามกับลูกเสียงเรียบขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้นวด ก่อนจะหยิบรีโมทมากดเปิดเครื่อง
“โคนันครับ” ลูกชายคนเล็กชูหนังสือให้ผู้เป็นพ่อดู ท่านส่งยิ้มให้เจ้าลูกชายน้อย ๆ
“ไปเจอคุณปู่มาเป็นไงบ้างครับ คุณแม่บอกว่าคุณพ่อถูกเรียกตัวไปด่วน” คีรีวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วมองผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่
“เรื่องพินัยกรรมเพื่อนคุณปู่” สุทัศน์หลับตาลงขณะที่เก้าอี้นวดทำงาน
“ทำไมเหรอครับ” คีรีถาม สีหน้าของเขาดูสนใจกับเรื่องที่ผู้เป็นพ่อกำลังจะพูดถึง
“ปู่เราคงไปคุยอะไรกับปู่ไฉ ท่านถึงได้ทำพินัยกรรมบังคับให้หนูเรียมที่เป็นหลานสาวแต่งงานกับหลานชายในตระกูลวรจักรคนใดคนหนึ่ง” สุทัศน์บอกกับลูกชาย
“หนูเรียม...” คีรีพยายามนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน
“ผู้หญิงผอม ๆ ใส่แว่น มวยผม ที่มาต้อนรับเราที่งานศพปู่ไฉ” เขาบอกเมื่อดูท่าแล้วเจ้าลูกชายคงจะนึกไม่ออก
“อ๋อ แล้วจะเป็นพวกเราคนไหนล่ะครับ หรือเป็นผม” คีรีถามตามตรง
“ไม่รู้สิ คุณปู่บอกว่า ให้หนูเรียมเลือกในหลานชายวรจักรสี่คน”
“เหมือนนางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลยนะครับ” คีรีออกความเห็น สุทัศน์เลิกคิ้วมองลูกชาย
“ถ้าหนูเรียมเลือกลูกล่ะ จะทำยังไง” เขาถามกับลูกตามตรง ความจริงแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ คีรีอาจจะถูกเลือกก็ได้ ไม่ต่างจากลูกหลานอีกสามคนของคุณพ่อ
“ผมยังไงก็ได้ครับ” คีรีไม่ได้ทุกข์ร้อนเช่นคำพูดของเขา
“อาจจะดีก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาหาเมีย” เขาพูดเสริมติดตลก
“แต่ลูกไม่รู้จักหนูเรียมเลยนะ”
“จากที่เจอในงานศพปู่ไฉ ตัวแค่นั้น ผมว่า ผมน่าจะพอคุยกับเธอได้ครับ”
“คินประเมินสิเรียมต่ำไป นั่นหลานสาวคนเดียวของปู่ไฉเลยนะ คนอย่างปู่ไฉเลี้ยงมา” สุทัศน์ขู่ พลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อได้ฟังคำตอบของลูกชาย
“ไหนขอดูประวัติหน่อยซิ” ชายหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาชื่อของหญิงสาวที่เขากับพ่อกำลังพูดถึงอยู่
“สิเรียม ณุกูรกิต อายุ 29 ปี จบการศึกษาจาก...” ชายหนุ่มเงียบไปขณะที่อ่านประวัติของสิเรียม
“คนนี้เองเหรอครับคุณพ่อ ที่ก่อตั้งบริษัทส่งออกอาหารแช่แข็งที่คุณย่าถือหุ้นอยู่” คีรีเงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาเข้มเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
“อืม คนนี้แหละ ที่ปู่ไฉพูดถึงบ่อย ๆ แต่เราไม่ค่อยได้เจอหนูเรียมกันหรอก ส่วนมากเธอจะไปอยู่ที่ระยองเป็นส่วนใหญ่ นี่ก็กลับมากรุงเทพช่วงที่ปู่ไฉป่วย”
“หลานสาวคนเดียวของปู่ไฉ... ถ้าเธอเลือกผม คงไม่เป็นไรครับคุณพ่อ ผมเองก็ไม่มีใคร คุณพ่อสบายใจได้เลย ผมไม่มีปัญหาครับ” ชายหนุ่มตอบรับด้วยถ้อยคำหนักแน่น
“พ่อคิดไว้แล้วล่ะ ว่าคินคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าคินมีคนคุยที่ดูใจกันอยู่ก็บอกพ่อนะ พ่อจะได้คุยกับคุณปู่ให้” เขาส่งยิ้มให้ลูกชายคนเล็กที่ไม่ได้เคยทำให้เขาผิดหวัง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร คีรีจัดการให้คนเป็นพ่ออย่างสุทัศน์สบายใจได้มาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโต
ผิดกับเจ้าธาตุตรี...
“คุณพ่อจะบอกเรื่องนี้กับพี่ตรีไหมครับ” ว่าแล้วคีรีต้องถามถึงพี่ชายขึ้นมา
“พ่อไม่อยากให้หนูเรียมแต่งงานกับตรี คนแบบนั้น ปู่ไฉคงตายตาไม่หลับ” สุทัศน์คิดถึงลูกชายคนโตที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศหลายปีมาแล้ว น้อยครั้งที่จะติดต่อกลับมา
“บอกไว้หน่อยก็ดีนะครับคุณพ่อ เผื่อนางรจนาจะเสี่ยงทายเลือกเจ้าเงาะ” คีรีเตือนติดตลก
“นั่นสินะ เรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ งั้นคินจัดการเรื่องนี้ให้พ่อหน่อย พ่อไม่อยากคุยกับตรี” สุทัศน์ไหว้วานลูกชายคนเล็ก
“ได้ครับคุณพ่อ”
สุทัศน์พยักหน้ารับเพียงแค่นั้น ก่อนคีรีจะขอตัวออกมาจากห้องทำงานของคุณพ่อ ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นดูระหว่างที่เดินกลับไปยังห้องสมุดเพื่อจะเอาหนังสือที่ถือติดมือมาอ่านรอคุณพ่อไปเก็บ เขาเผยยิ้มให้กับหญิงสาวที่อยู่บนหน้าจอ
น้องเรียม...
เขาจำได้ว่าเคยพบกับเด็กหญิงสิเรียมครั้งหนึ่ง สมัยเรียนมัธยม ปู่ไฉพาเธอมาที่บ้านของคุณปู่วัฒน์ แต่เด็กหญิงไม่พูดไม่คุยกับใคร เอาแต่นั่งทำการบ้านอยู่กับพี่เลี้ยงระหว่างรอคุณปู่ของเธอคุยธุระกับปู่วัฒน์ คีรีทำได้แค่มอง และไม่กล้าเข้าไปชวนเธอเล่น
แต่พี่ตรีนะสิ เขาหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อเห็นสิเรียม เด็กผู้หญิงผมเปีย ผอมกะหร่อง ใบหน้าขาวซีด ที่ก้มหน้าก้มตาทำการบ้านไม่สนใจใคร
ยัยเปียแว่นหนา... เป็นฉายาที่พี่ตรีเรียกเด็กคนนั้นลับหลัง
“โตแล้วก็ยังใส่แว่นอยู่เหมือนเดิมนี่ ถ้าพี่ตรีรู้ว่าเธอกำลังจะเลือกพวกเราเป็นคู่แต่งงาน เขาต้องขำจนท้องแข็งแน่ ๆ สิเรียมนะสิเรียม” คีรีพูดกับตัวเองแล้วเดินไปยังห้องสมุด