จากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"

ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน - ตอนที่ 3 แสงสว่างอันร้อนแรง โดย ปราณยักษา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,คอมเมดี้,พลังพิเศษ,ระบบ,ความรัก,นักเรียน,พล็อตสร้างกระแส,โรงเรียน,วิญญาณ,แฟนตาซี,รัก,ตลก,มาเฟีย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

คอมเมดี้,พลังพิเศษ,ระบบ,ความรัก,นักเรียน,พล็อตสร้างกระแส,โรงเรียน,วิญญาณ,แฟนตาซี,รัก,ตลก,มาเฟีย

รายละเอียด

ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน โดย ปราณยักษา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"

ผู้แต่ง

ปราณยักษา

เรื่องย่อ

สารบัญ

ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน-ตอนที่ 1 การกลับมาของจอมมาร,ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน-ตอนที่ 2 ภารกิจที่ไม่คุ้นชิน,ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน-ตอนที่ 3 แสงสว่างอันร้อนแรง,ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน-ตอนที่ 4 แม่พิมพ์ที่แสนงดงาม,ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วัน-ตอนที่ 5 ปฏิบัติการคนดี

เนื้อหา

ตอนที่ 3 แสงสว่างอันร้อนแรง

ภายในรั้วโรงเรียนมัธยมสุวรรณนครวิทยา อาณาจักรการศึกษาบนพื้นที่เกือบสองร้อยไร่ที่โอ่อ่าราวกับมหาวิทยาลัย บรรยากาศในช่วงพักกลางวันดูคึกคักจอแจไปด้วยเสียงพูดคุยเฮฮาและเสียงหัวเราะของนักเรียนหลายร้อยชีวิตที่ปลดปล่อยพลังงานอันเหลือล้น

ภายในห้องพักครูที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดทั้งชั้นสองของอาคารธุรการ ถูกจัดแบ่งเป็นสัดส่วนด้วยผนังกั้นแบบน็อคดาวน์แยกตามสาขาวิชาต่าง ๆ กว่าสิบสาขา ทำให้แต่ละส่วนมีความสงบและเป็นส่วนตัวกว่ามาก

หญิงสาวในชุดเดรสสีฟ้าคลุมเข่าสวมทับด้วยสูตรสีกรมท่าของสถาบัน นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในห้องของเธอที่มีขนาดประมาณสี่คูณสี่เมตรที่ให้บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง แสงธรรมชาติยามเที่ยงที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ตกกระทบลงบนใบหน้าของเธอ ทำให้ดวงตาคู่สวยดูอ่อนโยนและเปล่งประกายไปด้วยความเข้าใจ

บนโต๊ะไม้ขนาดกำลังดีซึ่งถูกบดบังเล็กน้อยด้วยตู้หนังสือสูงใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยตำราจิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง มีป้ายที่เขียนว่า "แนะแนว" วางอยู่อย่างเรียบง่าย

ครูรินรวีนั่งตัวตรง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น เธอกำลังมองนักเรียนหญิงวัยรุ่นที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย พร้อมเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับเสียงกระซิบของนางฟ้า

"ไม่ต้องเครียดมากหรอกนะคะออย การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต ที่สำคัญคือหนูแค่พยายามให้เต็มที่และเชื่อมั่นในตัวเอง" ครูรินรวีพูดให้กำลังใจ

นักเรียนสาวพยักหน้าช้า ๆ แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลค่อย ๆ มีประกายสดใสขึ้นมา

"ขอบคุณค่ะครูริน หนูรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของครูรินรวีกว้างขึ้นกว่าเดิม

"ถ้าหนูมีปัญหาอะไรอีกก็มาคุยกับครูได้ตลอดเลยนะ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว" เธอเน้นย้ำด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ

หลังจากนักเรียนหญิงคนนั้นเดินออกไปจากห้อง ครูรินรวีก็ลุกขึ้นยืนบิดตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้า สายตาเธอทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศภายนอกอาคารเต็มไปด้วยนักเรียนที่เดินขวักไขว่ไปมาในลานโรงเรียน เสียงหัวเราะและบทสนทนาจอแจ ทำให้บรรยากาศยามเที่ยงนั้นดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยสีสัน เป็นภาพที่น่าเพลิดเพลินใจอย่างยิ่ง

แต่แล้วความเพลิดเพลินนั้นกลับถูกทำลายลงในฉับพลันด้วยเสียงโวยวายที่ดังขึ้นจากสนามฟุตบอลที่อยู่ใกล้ๆ อย่างกะทันหัน ทำให้ครูรินรวีต้องหันขวับไปมองด้วยความประหลาดใจและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น


"ทำแบบนี้ได้ไงวะ! มึงเจอกูแน่!"

"มึงเก่งนักเหรอ! แน่จริงเข้ามาสิวะ!"

เสียงตะโกนก้องของเด็กผู้ชายดังขึ้นเป็นระยะ ผสมกับเสียงโห่ร้องที่เริ่มดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ครูรินรวีใจเต้นระทึกด้วยความตกใจและกังวล

และเนื่องจากเป็นช่วงเวลาพักเที่ยงทำให้ไม่มีครูผู้ชายคนอื่นอยู่ในบริเวณนั้นเลย เธอจึงตัดสินใจรีบวิ่งออกจากอาคารเพื่อไปดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที

ขณะเดียวกัน ราเชนทร์ มาเฟียหนุ่มมาดเข้มที่วันนี้ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาวแล้ว กำลังก้าวเดินอย่างเชื่องช้าบนทางเท้าหน้าโรงเรียนอย่างมีเป้าหมาย หลังจากที่จอดรถอัลพาร์ดสีดำกันกระสุนไว้ข้างๆ รั้ว โดยมีลูกน้องคนสนิททั้งสี่เดินตามไม่ห่างราวกับเงาตามตัว เขากำลังตามหา "โอกาสที่จะทำความดี" ในรูปแบบที่ต่างจากเดิม

"ลูกพี่ วันนี้เราจะไม่ล้มเหลวเหมือนเมื่อวานแน่นะครับ?" สมิง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เพราะเมื่อวานนี้พวกเขาก็ตระเวนเดินกันจนเหนื่อยล้า ทำให้พากันนอนตื่นสายกันทุกคน

"อย่าพูดมาก" ราเชนทร์ตำหนิเสียงเรียบ แต่แฝงความจริงจัง "วันนี้เราต้องหาวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ทำแบบเก่า"

"แล้วจะทำยังไงล่ะครับ?" ลีโอ ชายหนุ่มที่ดูฉลาดกว่าเพื่อนขยับแว่นกลมหนาที่อยู่บนจมูกของเขาพลางถามอย่างครุ่นคิด "การทำความดีมันต้องมีคนยอมให้เราช่วยด้วยนะเจ้านาย"

"นั่นแหละปัญหา" ฤทธิ์ ส่ายหน้าอย่างเห็นด้วย "ชื่อเสียงเราในเมืองมันแย่เกินไป คนเห็นหน้าเราทีก็กลัวจนขาสั่นแล้ว ใครจะกล้ามาขอให้ช่วยกัน"

คิม พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของฤทธิ์ "ผมว่าเราควรจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ก่อนนะครับ ทำให้ดูน่ากลัวน้อยลงหน่อย"

"เปลี่ยนยังไงวะ แต่งตัวเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวหรือไง?" ราเชนทร์พูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตั้งใจจะดุด่า แต่ในความคิดของเขาเรื่องนี้มันดูยุ่งยากเกินไป

ในจังหวะนั้นเอง เสียงโวยวายจากในโรงเรียนก็ดังชัดขึ้น ราเชนทร์หยุดเดินและหันไปมองทันที สายตาคมกริบของเขากวาดมองไปที่กลุ่มนักเรียนที่กำลังยืนมุงเป็นวงกลมบริเวณสนามฟุตบอล เสียงโห่ร้องและเสียงโหวกเหวกยิ่งบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีการวิวาทกันเกิดขึ้น

"เอาเลย! ต่อยมันเลย!" เสียงเชียร์ดังขึ้นมาจากกลุ่มไทยมุง สร้างความตื่นเต้นให้กับการต่อสู้ตรงหน้าที่ทวีความดุเดือดขึ้น

"คนตีกัน?" ราเชนทร์พึมพำกับตัวเอง สัญชาตญาณเก่าเก็บของมาเฟียที่เคยผ่านเหตุการณ์คับขันมานับไม่ถ้วนพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที เขารู้สึกอยากเข้าไปจัดการความวุ่นวายตรงหน้าเสียให้จบ ๆ

"นายท่านเราไม่ควรเข้าไปยุ่งนะครับ" คิม เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงกังวล "นี่มันโรงเรียน ถ้าเราไปยุ่งแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาคงไม่ดีแน่"

"แต่นี่มันเป็นโอกาสดีนะ" ลีโอแย้งขึ้น ดวงตาภายใต้แว่นหนาเป็นประกาย "ถ้าเราช่วยแยกเด็กได้ ก็ถือว่าทำความดีไม่ใช่เหรอครับ?"

ราเชนทร์ใช้เวลาคิดเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด

"ไป! โอกาสแบบนี้หาได้ยาก"

ราเชนทร์และลูกน้องทั้งสี่เดินพรวดๆ เข้ามาในรั้วโรงเรียน จนกระทั่งมาถึงจุดเกิดเหตุ เสียงโห่ร้องที่เคยดังเจื้อยแจ้วก็เงียบลงไปเองอย่างกะทันหันเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามา ราเชนทร์เห็นภาพนักเรียนชายสองคนกำลังปะเคนหมัดกันอย่างชุลมุน หนึ่งในนั้นมีเลือดสีแดงสดไหลซึมจากจมูกและริมฝีปากหยดลงบนพื้น ส่วนอีกคนก็มีรอยฟกช้ำสีเขียวคล้ำปรากฏอยู่บนแก้มและเบ้าตาอย่างชัดเจน

"พอกันได้แล้ว!" ราเชนทร์ตวาดเสียงกร้าวด้วยความคุ้นเคย น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยอำนาจและเด็ดขาดในแบบที่คนทั่วไปไม่กล้าฝ่าฝืนจนนักเรียนชายทั้งสองรวมถึงพวกไทยมุงถึงกับสะดุ้งหน้าถอดสี

 ในขณะเดียวกัน เขาก็เดินเข้าไปคว้าตัวเด็กทั้งสองแยกออกจากกันด้วยพละกำลังที่เปี่ยมล้น ทำให้พวกเขาต้องหยุดการต่อสู้กลางคันทันที

นักเรียนชายทั้งสองตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่แขนสองข้างเต็มไปด้วยรอยสักมังกร แววตาดุดันของราเชนทร์ที่เข้ามาประชิดตัว รวมถึงลูกน้องทั้งสี่ที่ยืนรายล้อมอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย ส่วนนักเรียนคนอื่น ๆ ที่เคยยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ก่อนหน้าก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปช้า ๆ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบลงอย่างสนิท

"ใครให้พวกนายสู้กันในโรงเรียน!" ราเชนทร์พูดด้วยน้ำเสียงเข้มที่ทำให้เด็กทั้งสองสะดุ้งเฮือก "รู้ไหมว่านี่คือที่ศักดิ์สิทธิ์! ให้พวกนายมาเรียนหนังสือ ไม่ใช่มาต่อยตี!"

เด็กทั้งสองก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองราเชนทร์

"ขอ...ขอโทษครับ..." นักเรียนคนหนึ่งพูดเสียงสั่นเทาจนแทบไม่ได้ยิน

"ขอโทษไม่พอ!" ราเชนทร์ยังคงตะคอกเสียงดังฟังชัด "พวกนายต้องจับมือกัน และสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม!"

นักเรียนทั้งสองพยักหน้ารับอย่างรีบร้อน และยอมจับมือกันตามคำสั่งของราเชนทร์อย่างว่าง่าย

"ถ้าไม่อยากมีปัญหา ก็อย่าให้ฉันได้ยินว่าพวกนายชกต่อยกันอีก!" ราเชนทร์ย้ำอีกครั้ง เสียงของเขาบ่งบอกถึงการเอาจริงเอาจังจนเด็กทั้งสองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

และในตอนนั้นเอง ครูรินรวี ที่วิ่งออกมาจากตัวอาคารด้วยสีหน้าตื่นตระหนก สายตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

ชายร่างสูงใหญ่ไว้ผมยาวท่าทางเหมือนมาเฟีย ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนที่ดูหวาดกลัวจนตัวสั่นและพากันถอยห่างอย่างรวดเร็ว เธอถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ จนทำอะไรไม่ถูก

"คุณ...คุณคือ...?" ครูรินรวีพูดตะกุกตะกัก เสียงติดขัดด้วยความหวาดหวั่น

"ราเชนทร์" เขาตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ ก่อนจะพยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูสุภาพขึ้น "ผมมาช่วยแยกเด็กพวกนี้ พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่"

ครูรินรวีมองไปที่นักเรียนทั้งสองคนอย่างพิจารณา เห็นรอยเลือดจาง ๆ ที่จมูกและริมฝีปากของคนหนึ่ง และรอยช้ำที่แก้มและเบ้าตาอีกคน แล้วก็หันกลับมามองราเชนทร์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความรู้สึกยินดีในการเข้ามาช่วยแทบจะไม่มีเหลืออยู่เลย

"ฉันขอบคุณที่คุณช่วยแยกพวกเขา" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่น "แต่วิธีการของคุณ...มันไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย"

"ไม่เหมาะสมตรงไหนกัน?" ราเชนทร์ถามกลับด้วยความสับสนคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน "ผมแยกพวกเขาได้แล้วนี่"

"คุณใช้อำนาจในการข่มขู่" ครูรินรวีสวนกลับทันควัน น้ำเสียงของเธอหนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ "เด็กพวกนี้กลัวคุณต่างหาก ไม่ใช่เข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาทำผิด"

ราเชนทร์ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่เข้าใจตรรกะของครูสาวตรงหน้า

"แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกันนี่นา พวกเขาก็หยุดต่อสู้กันแล้ว"

"ผลลัพธ์ไม่ใช่ทุกอย่างค่ะ!" ครูรินรวีพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน "การศึกษาและการแก้ไขปัญหาต้องทำด้วยความเข้าใจ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยความกลัว!"

ราเชนทร์ยืนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ดวงตาคมเข้มจ้องมองครูรินรวีอย่างประหลาดใจ ไม่เคยมีคนดีๆ ที่ไหนกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อนในชีวิต

แม้แต่นักการเมืองใหญ่ๆ เจอเขายังต้องไว้หน้า แต่ครูสาวคนนี้กลับตำหนิเขาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

"แต่ผมตั้งใจจะเข้ามาช่วยห้ามเด็กนะคุณครู แบบว่า..ทำความดีไง" ราเชนทร์พยายามอธิบาย สีหน้าบ่งบอกความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน

"การทำความดีไม่ใช่การมาขู่เด็กในโรงเรียนค่ะ!" ครูสาวตอบกลับเสียงแข็ง เธอไม่ยอมลดราวาศอก

"ผมเข้าใจแล้ว" เขายกมือขึ้นเบรกและพูดเสียงเบาลง พยายามระงับอารมณ์ขุ่นเคืองในใจ "ครั้งหน้าผมจะใช้วิธีที่...นุ่มนวลกว่านี้"

ครูรินรวีส่ายหน้าช้า ๆ พลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย "คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกค่ะ คนแบบคุณไม่มีวันรู้ว่าการทำความดีที่แท้จริงเป็นยังไง"

คำพูดสุดท้ายนั้นราวกับคมมีดที่บาดลึกเข้าไปในใจของราเชนทร์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว

"แล้วคนแบบผมเป็นยังไงล่ะ?" เขาถามเสียงต่ำ บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่กำลังก่อตัว จนทำให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียด

"คนที่ใช้กำลังและความรุนแรงแก้ปัญหา คนที่คิดว่าความกลัวคือเครื่องมือที่ดีที่สุด" เธอหยุดพักเล็กน้อย สบตาเข้ากับราเชนทร์ตรง ๆ โดยไม่หวั่นเกรง

"คนแบบคุณ...จะไม่มีวันทำความดีด้วยใจที่บริสุทธิ์ได้"

บรรยากาศโดยรอบเงียบงันลงทันที ลูกน้องทั้งสี่ต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นใครกล้าต่อว่าราเชนทร์อย่างตรงไปตรงมาและรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ราวกับความกล้าหาญของหญิงสาวตรงหน้าได้ทำลายความน่าเกรงขามที่เคยมีมาของเจ้านายพวกเขาจนหมดสิ้น

"โอเค ๆ... ผมยอมแพ้" ราเชนทร์พูดเสียงต่ำ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น ก่อนจะหันไปหานักเรียนทั้งสองที่ยังคงก้มหน้าตัวสั่น

"พวกนายไปล้างแผลแล้วกลับไปเรียนซะ"

เด็กชายทั้งสองพยักหน้าหงึกๆ รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีกเลย

"และอีกอย่างนะคะ" ครูรินรวียังไม่ยอมจบ น้ำเสียงของเธอเย็นชาและหนักแน่นยิ่งขึ้น "ฉันไม่ต้องการให้คุณมาที่โรงเรียนนี้อีก นักเรียนพวกนี้ยังเด็ก พวกเขาไม่ควรได้เห็นความรุนแรงหรือความน่ากลัวจากคนที่... เหมือนกับอันธพาล ถ้าคุณจะทำความดีก็ไปทำที่อื่นเถอะค่ะ อย่ามาที่นี่อีกเลย"

หลังจากพูดจบ ครูรินรวีก็สะบัดหน้าหันหลังเดินกลับเข้าอาคารเรียนไปทันที ทิ้งให้ราเชนทร์ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบงันและความไม่เข้าใจ

สมิง เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ "ลูกพี่ครับ... ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบเราเอาเสียเลยนะเนี่ย"

"ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร" คิม พยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด "ผมไม่เคยเห็นใครกล้าพูดกับนายท่านแบบนั้นมาก่อนเลย"

"ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแล้ว" ฤทธิ์พูดเสริมด้วยรอยยิ้มแหยๆ ลังเลว่าจะหยิบไพ่ขึ้นมาเปิดดูดีไหม

"นั่นสิครับเจ้านาย" ลีโอเอ่ยออกมาด้วยท่าทางครุ่นคิด "ผู้หญิงคนนี้กล้าหาญเกินไปแล้ว"

ราเชนทร์รู้สึกแปลกใจและหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่สามารถทำให้ครูสาวคนนี้เข้าใจในความตั้งใจของเขาได้เลย ทั้งที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะทำความดี แต่เธอกลับไม่เชื่อ เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของครูรินรวีที่เดินลับหายเข้าไปในอาคารเรียนไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน

แววตาคมกริบที่เคยทำให้คนอื่นสั่นกลัว บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจที่ถูกลบคมจนหมดสิ้น

ทันใดนั้น บุญมี ยมทูตน้อยตัวอ้วนกลมในชุดไทยสีแดง ก็ปรากฏกายขึ้นข้างราเชนทร์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประจำตัว เด็กชายยกนิ้วน้อย ๆ ชี้ตรงไปยังอาคารเรียนที่ครูรินรวีเพิ่งเดินเข้าไป

"นั่นแหละ แสงสว่างของเจ้า ไอ้หนุ่ม!" บุญมีพูดด้วยเสียงสดใส แต่แฝงความซุกซน "เห็นไหมล่ะว่าการทำความดีมันไม่ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะกับคนที่เกลียดมาเฟียเข้าไส้แบบนี้"

"หา! อย่าบอกนะว่า..คนนี้คือครูรินรวี ที่ฉันต้องไปตามจีบ" ราเชนทร์หันไปมองยมทูตด้วยสีหน้าตึงเครียด และทันทีที่บุญมีพยักหน้าตอบ เขาก็ถึงกับปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันที

"แล้วต้องทำยังไง?" เขาถามเสียงต่ำด้วยความหงุดหงิด "ฉันก็อุตส่าห์ทำดีแล้ว แต่เธอกลับไม่เชื่อ แถมยังด่าฉันไม่หยุด"

"เฮ้อ..." บุญมีถอนหายใจยาวราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังเอือมระอาเด็กดื้อ "เจ้าคิดว่าการทำความดีมันแค่แสดงท่าทางงั้นเหรอ? มันต้องมาจากใจ เข้าใจไหม จอ ไอ ใจ! แล้วเธอคนนี้...เธอเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ใช่แค่ดีแต่ปากอย่างเจ้า"

บุญมีพูดทิ้งท้ายก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ราเชนทร์ยืนงุนงงกับคำพูดของยมทูตน้อย เขาเริ่มเกิดความสนใจในตัวครูรินรวีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่แค่เพราะเธอคือ "กุญแจ" สู่การเพิ่มอายุขัย หากแต่เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น... เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสจากใครที่ไหนมาก่อน

ลูกน้องคนสนิททั้งสี่ ที่ยืนรออยู่ไม่ไกลต่างสังเกตเห็นว่าเจ้านายเดินกลับมาหาพวกตนด้วยสีหน้าครุ่นคิดและเงียบผิดปกติ

"นายท่าน... ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?" คิม ถามด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่เป็นไร” ราเชนทร์ตอบสั้นๆ แล้วหันหลังเดินนำไปที่รถทันที "กลับกันเถอะ" 

 บรรยากาศภายในรถเงียบงันจนน่าอึดอัด ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรออกมา ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้ เจ้านายของตนกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด ภาพครูสาวที่ยืนโต้ตอบเขาอย่างดุเดือดยังคงฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขา หากเธอคือแสงสว่างตามที่บุญมีบอก มันก็คงเป็นแสงสว่างที่ร้อนแรงเกินไปสำหรับเขาในยามนี้ 


ราเชนทร์กลับมาถึงคฤหาสน์ของเขาในบรรยากาศที่เงียบงัน ความคิดในหัวยังคงวนเวียนอยู่กับคำพูดของครูรินรวี "คนแบบคุณจะไม่มีวันทำความดีด้วยใจที่บริสุทธิ์ได้" คำพูดนั้นบาดลึกกว่าการถูกต่อยตีจากศัตรูที่ไหน มันทิ่มแทงไปถึงตัวตนที่เขากำลังพยายามจะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง

ทันทีที่รถอัลพาร์ดแล่นเข้ามาจอด หญิงสาวในชุดเดรสยาวสวยราวกับนางแบบในนิตยสารก็ก้าวลงมาจากรถตู้สีขาวที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว ตามด้วยมาดามอลิซ เจ้าของธุรกิจจัดหานางแบบและนักแสดงผู้ดูแลตัวเองอย่างดี ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มอย่างเคย

"สวัสดีค่ะบอส วันนี้เดี๊ยนตั้งใจคัดมาอย่างดีเลยนะคะ น้องๆ สวยระดับตัวท็อปของวงการเลยค่ะ" มาดามอลิซพูดด้วยน้ำเสียงสดใสอย่างเคย ก่อนจะผายมือแนะนำหญิงสาวทั้งสามที่ยืนเรียงหน้ากระดานอย่างเรียบร้อย

"สวัสดีค่ะ" หญิงสาวทั้งสามประสานเสียงทักทายอย่างนอบน้อม ดวงตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ราเชนทร์มองพวกเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ความรู้สึกที่เคยมีต่อหญิงสาวสวยเหล่านี้มันจืดจางไปจนหมดสิ้น ในหัวของเขามีแต่ภาพของหญิงสาวที่สวมชุดเดรสสีฟ้ากับสูทสีกรมท่าที่พูดจาตรงไปตรงมาจนเขารู้สึกเหมือนถูกต่อยหน้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน ความคิดที่ว่า "การทำความดี ของเขามันเป็นการเสแสร้งและไม่ใช่ความจริงใจ" มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่

"ไม่ต้อง" ราเชนทร์ตอบสั้นๆ น้ำเสียงเรียบจนลูกน้องคนสนิททั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ

"คะ? หรือ... บอสไม่ชอบหรอคะ" มาดามอลิซมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะราเชนทร์ไม่เคยปฏิเสธสิ่งที่เธอคัดสรรมาให้เลยสักครั้ง

"ไม่ใช่ไม่ชอบ...แต่จากนี้ไม่ต้องมาแล้ว" ราเชนทร์พูดเสียงนุ่มลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ต้องการให้มาดามอลิซเสียใจหรือรู้สึกไม่ดี "แต่หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เสมอนะ"

มาดามอลิซพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะรีบพาหญิงสาวทั้งสามขึ้นรถกลับไป

ราเชนทร์ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าคฤหาสน์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้ เขาถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้องทั้งสี่แยกย้ายกันเร็วกว่าปกติ แล้วจึงเดินเข้าคฤหาสน์ไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้คิม สมิง ลีโอ และฤทธิ์มองหน้ากันอย่างงุนงงกับท่าทีของเจ้านายในวันนี้