จากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"
รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,คอมเมดี้,พลังพิเศษ,ระบบ,ความรัก,นักเรียน,พล็อตสร้างกระแส,โรงเรียน,วิญญาณ,แฟนตาซี,รัก,ตลก,มาเฟีย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วันจากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"
คฤหาสน์หรูหรามูลค่ากว่าร้อยล้านของราเชนทร์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ บนเนินเขาแถบชานเมืองสุวรรณนคร บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดราวป่าช้าเมื่อตอนเจ้าของเสียชีวิต กลับกลายเป็นจุดรวมตัวของความวุ่นวายครั้งใหม่ เมื่อ "ชายผู้ได้ชื่อว่าจอมมาร" กลับมาจากความตายราวกับปาฏิหาริย์
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของราเชนทร์ที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อเข้มตัดกับหินอ่อนสีขาวงาช้าง ภายใต้แสงสลัวจากหน้าต่าง รูปสลักมังกรสีดำทมิฬขนาดใหญ่บนผนังนั้นดูน่าเกรงขาม ดวงตาที่ฝังอัญมณีสีแดงก่ำราวกับบอกเล่าถึงอำนาจและเอกลักษณ์ของแก๊งได้อย่างชัดเจน
"ลูกพี่... ลูกพี่คืนชีพจริงๆ แน่นะครับ?" สมิง ลูกน้องหัวเกรียนร่างยักษ์ กวาดตามองผู้เป็นเจ้านายไปมาไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง สายตาที่เคยดุดันยามเผชิญหน้าศัตรู บัดนี้กลับมีแววของความหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่ใช่ผีดิบแน่นะวิ ?" คิม เอ่ยถามเสียงแผ่ว พลางปรับแว่นกันแดดทรงเหลี่ยมที่เลื่อนลงมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังไปยืนชิดผนังห้องให้มากที่สุด ด้วยนิสัยรักความสะอาดเกินเบอร์ ทำให้เขาหวั่นเกรงว่าเจ้านายผู้ที่เพิ่งฟื้นจากความตายจะมี "กลิ่นศพ" ติดตัวมาด้วย
ทางด้านลีโอ นักวางแผนหัวกะทิที่เป็นมันสมองของกลุ่ม กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกอะไรบางอย่างลงในแท็บเลทคู่ใจอย่างขะมักเขม้น
"ถ้าเจ้านายคืนชีพจริง แปลว่า..ต้องมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน... หรือจะเป็น..กลไกของระบบสมองที่ยังไม่มีใครค้นพบ" น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงการวิเคราะห์อย่างจริงจังตามแบบฉบับนักวิจัยผู้ชาญฉลาด
"หรือจะเป็นเทพเซียนมาช่วยนะ!" ฤทธิ์หนุ่มใหญ่สไตล์นักเลงยุคเก่า อุทานออกมาเสียงดัง ที่คอของเขาแขวนเครื่องรางของขลังสารพัดรุ่นที่วันนี้ดูเยอะกว่าปกติ
"เมื่อคืนผมฝันเห็นแปดเซียนด้วยครับ!สัญญาณมหาโชคเลยนะหัวหน้า!" แววตาของฤทธิ์ เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ
ราเชนทร์ เอนกายบนพนักพิงของโซฟาหนังสีดำตัวโปรด มือใหญ่ยกขึ้นก่ายหน้าผาก เขายังคงรู้สึกปวดหัวตุ่บๆ เหมือนถูกทุบด้วยกำปั้นซ้ำๆ จากเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อที่เพิ่งผ่านไป
"พวกมึงเงียบได้แล้ว! หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที! ยังไม่เห็นอีกรึไงว่ากูยังอยู่!" เขาตวาดใส่ลูกน้องทั้งสี่ที่ยังคงยืนทำหน้าเหลอหลา
"แล้ว..นายท่านจะทำอะไรต่อไปครับ?" คิม ที่คอยจัดระเบียบเรื่องต่างๆ ภายในแก๊งเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเจือความไม่แน่ใจ
ราเชนทร์ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของตัวเองที่ต้องเปล่งมันออกมา
"จะทำอะไรอีกล่ะ... ทำความดีไง"
คำว่า "ทำความดี" ที่หลุดออกจากปากของชายที่ได้ชื่อว่าจอมมารผู้ชั่วร้าย ฟังดูแปลกประหลาดราวกับเป็นภาษาต่างดาวที่ไม่คุ้นชินกับลิ้นของเขาเลยแม้แต่น้อย
และแล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องทำงานทันที... เงียบสนิท ไม่มีใครส่งเสียง ไม่มีใครกล้าหายใจแรง
"ทำอะไรนะครับ?" เสียงของทั้งสี่คนประสานกันดังลั่นห้อง ด้วยความงุนงงที่พุ่งถึงขีดสุด
"ทำความดี! ไม่ได้ยินกันรึไง!" ราเชนทร์ ลุกขึ้นยืนพรวดพราด ใบหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าปกติเสียอีก
"กูต้องสะสมแต้มบุญให้ได้เกินแต้มบาป ไม่งั้น... ตกนรก!" ประโยคสุดท้ายเน้นหนักทุกถ้อยคำ ราวกับพยายามย้ำเตือนตัวเองถึงชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัวที่รออยู่เบื้องหน้า
ทันทีที่ได้ยินคำประกาศกร้าวของ ราเชนทร์ ว่าต้อง "สะสมแต้มบุญ" เพื่อเลี่ยงนรก ทำให้ลูกน้องทั้งสี่คนหันหน้ามามองกันเลิ่กลั่ก ราวกับกำลังสื่อสารกันทางสายตาว่า "มีใครเข้าใจที่เจ้านายพูดบ้าง?"
"แต้มบุญ แต้มบาป ตกนรกอะไรวะ?" คำถามนี้ผุดขึ้นในใจของทุกคน แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถาม
"เอาล่ะ พรุ่งนี้เราจะออกไปทำความดีกัน" ราเชนทร์ ประกาศเสียงดังก้องไปทั่วห้อง ท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ทำความดี?" สมิงเผลออุทานออกมา "ทำแบบไหนครับ? ไปวัดให้เงินพระ?" เขาถามกลับด้วยความสงสัยอย่างซื่อๆ เพราะในความคิดของมาเฟียอย่างพวกเขา "ทำความดี" ก็มักจะหมายถึงการบริจาคเงินก้อนโตให้กับวัดหรือสถานสงเคราะห์ต่างๆ
"ไม่ใช่! หมายถึงทำความดีทั่วไป แบบ... แบบ..." ราเชนทร์ ชะงักไปกลางคันเมื่อพยายามจะอธิบาย ด้วยท่าทางที่ดูกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด เพราะพูดตามตรงแล้ว เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนดีๆ เขาทำอะไรกันในแต่ละวัน
แต่แล้วจู่ๆ เสียงใสๆ ของเด็กน้อย ก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทของ ราเชนทร์ "ไอ้หนุ่ม! ไม่รู้จะทำอะไรเหรอ?"
ร่างอ้วนป้อมของบุญมี ยมทูตตัวน้อยก็ปรากฏกายขึ้นข้างๆ โซฟาตัวโปรดของเขา โดยที่ลูกน้องทั้งสี่ไม่มีใครมองเห็นเลย ยกเว้นแค่ราเชนทร์คนเดียวเท่านั้น
"เฮ้ย! มึง... เอ้ย! นายอย่าโผล่มาแบบนี้สิโว้ย! มาทำไมอีก!?" ราเชนทร์ ถึงกับผงะ กระโดดหลบแทบไม่ทัน พร้อมกับเปลี่ยนคำสรรพนามจาก "มึง" ที่เคยใช้จนติดปาก มาเป็น "นาย" อย่างไม่คุ้นชิน
"ก็มาแนะนำเจ้านี่ไง เอาเป็นว่าเจ้าคุยกับข้าในใจก็พอ คนอื่นจะได้ไม่ว่าเจ้าเป็นบ้า" บุญมี ยมทูตตัวอ้วนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี เขานั่งลงบนโซฟาหนังสีดำตัวโปรดของ ราเชนทร์ อย่างสบายอกสบายใจ ปล่อยให้ขาสั้นๆ ห้อยแกว่งไปมาอย่างน่ารัก
"นายท่าน...คุยกับใคร..เหรอครับ?" คิม ชายหนุ่มเจ้าระเบียบ ขยับแว่นกันแดดลงเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยสุดขีดเมื่อเห็นเจ้านายพูดคนเดียวแล้วกระโดดหลบอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่เห็น
ราเชนทร์ ไม่สนใจลูกน้อง หันไปมอง บุญมี ที่นั่งยิ้มกวนๆ อยู่บนโซฟาพร้อมกับตั้งคำถามขึ้นมาในใจ
"งั้น... จะให้ฉันเริ่มทำความดีแบบไหน?"
"เริ่มจากช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก่อน" บุญมี เริ่มอธิบาย "อย่างเช่น ช่วยคนแก่ข้ามถนน ช่วยคนอ่อนแอแบกของหนักๆ ให้ที่นั่งคนท้องบนรถเมล์ อะไรประมาณนี้แหละ "
"แค่นั้นเหรอ?" ราเชนทร์ เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มุมปากยกยิ้มเหยียดหยันเล็กน้อย
"ง่ายมาก" ในหัวของจอมมารผู้กุมอำนาจใต้ดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสุวรรณนคร มวลปัญหาแค่นี้ช่างกระจอกสิ้นดี
"ง่าย?" บุญมีหัวเราะอย่างมีเลศนัย "งั้นก็ลองดูสิ หึ หึ"
แววตาของยมทูตน้อยฉายแววเจ้าเล่ห์ ราวกับรู้ว่าเบื้องหน้าของ "ราเชนทร์" จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
วันรุ่งขึ้น รถตู้เอ็มพีวีสีดำหุ้มเกราะทะเบียน 8989 ที่ปกติจะใช้ในภารกิจสีเทาของแก็ง ได้แล่นออกมาจากคฤหาสน์หรูซึ่งใช้เป็นฐานทัพของแก๊งมังกรทมิฬ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเพื่อทำภารกิจที่ไม่คุ้นเคย แสงแดดช่วงสายสาดส่องลงมาบนถนนใหญ่หน้าตลาดเทศบาลสุวรรณนครที่เริ่มคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย
รถหรูทะเบียนพิเศษที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนักค่อยๆ เลี้ยวเข้าไปจอดอย่างชำนาญ ดึงดูดสายตานับสิบคู่ที่จ้องมองด้วยความคิดต่างๆ นาๆ
ราเชนทร์และพรรคพวกเดินลงจากรถด้วยสีหน้าจริงจังราวกับจะไปถล่มคู่อริ เขาลงทุนเปลี่ยนชุดจากเสื้อยืดคอปกสีดำและยีนส์ตัวเก่งมาใส่ชุดนุ่งขาวห่มขาวราวกับจะไปถือศีลกินเพลตามคำแนะนำของลีโอ แต่ทว่ารอยสักมังกรที่แขนทั้งสองข้าง ก็ยังคงดูโดดเด่นน่าเกรงขามมากกว่าน่าเลื่อมใส
ระหว่างทางราเชนทร์พยายามปั้นหน้ายิ้มให้ดูเป็นมิตรที่สุดเพื่อภารกิจทำความดีอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิต แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเขากลับดูเหมือนจะกินคนเสียมากกว่าในสายตาของผู้ที่ผ่านไปผ่านมา
"เจ้านาย ดูๆ ยายคนนั้นสิ" ลีโอชี้ไปยังหญิงชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าที่กำลังยืนๆรอข้ามถนนอยู่ตรงไฟแดง ใบหน้าของยายดูอ่อนล้า แต่ก็พยายามยืนอย่างมั่นคง
"เยี่ยม! นั่นแหละ!" ราเชนทร์ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ทันทีที่เห็นเป้าหมาย เขาก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาหญิงชราด้วยความมั่นใจเกินร้อย
"ยาย!" เขาเรียกเสียงดังลั่น จนหญิงชราสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ "เดี๋ยวฉันจะพายายข้ามถนน!"
"หะ?" ยายมองขึ้นมา ใบหน้าเหวอสุดขีด เพราะความตกใจที่ถูกตะคอกใส่กะทันหัน
"พ่อหนุ่ม... จะทำอะไร?" เสียงของยายสั่นเทาเล็กน้อย
"ข้ามถนนไง! ไฟเขียวแล้ว เดินเร็วๆ!" ราเชนทร์ ไม่รอฟังคำตอบ เขารีบจับแขนยายทันทีแล้วออกแรงลากเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
"อ๊าย! อ๊าย! ช้าหน่อยๆ!" ยายถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ตัวเซไปข้างหน้าตามแรงฉุด ขาเหี่ยวย่นก้าวตามแทบไม่ทัน
"พ่อหนุ่มเดินเร็วเกินไปแล้ว!"
"เร็วหน่อยยาย! ไฟจะแดงแล้ว!" ราเชนทร์ ยังคงลากยายต่อไปโดยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่ายายจะตกใจหรือเจ็บปวดแค่ไหน เป้าหมายเดียวของเขาคือการพาข้ามถนนให้เร็วที่สุด
ในขณะที่ลูกน้องทั้งสี่ก็เดินตามมาข้างหลังติดๆ สมิงผู้ซึ่งมีร่างกายใหญ่ยักษ์ยกมือขึ้นขวางหน้าขบวนรถที่จอดติดไฟแดงราวกับบอกว่า"ต่อให้ไฟเขียวก็ห้ามมานะโว้ย"
ลีโอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระทึก ส่วนคิม และ ฤทธิ์หันมองไปรอบๆอย่างระแวงกลัวว่าจะมีตำรวจอยู่แถวนี้ เพราะเขารู้สึกว่าพฤติกรรมเถื่อนๆ ของหัวหน้าอาจนำพาความยุ่งยากมาให้ภายหลัง
"ถึงแล้วยาย! ปลอดภัยแล้ว!" ราเชนทร์ ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวเรียงซี่อย่างภาคภูมิใจที่ทำภารกิจสำเร็จ
แต่ยายกลับโซเซไปมา ขาสั่นระริก "อ๊าย... หัวใจจะวาย... พ่อหนุ่มทำไมเดินเร็วจัง... ยายเกือบหกล้ม"
"เฮ้อ! แก่แล้วก็แบบนี้แหละยาย คราวหน้าก็หัดพาลูกหลานมาด้วย รถชนมาจะลำบาก!" ราเชนทร์ พูดโดยไม่ทันคิด ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดนั้นเสียมารยาทขนาดไหน
ยายมองผู้หวังดีราวกับปีศาจด้วยสายตาที่งุนงงระคนกับความกลัว พอตั้งสติได้ก็รีบสาวเท้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สังขารจะเอื้ออำนวย โดยมีราเชนทร์ยืนมองดูอย่างภาคภูมิใจ
อ่อดด!
เสียงเตือนจากระบบดังขึ้นพร้อมข้อความสีแดงฉานที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศต่อหน้า ราเชนทร์
"ได้รับแต้มบาป 500 แต้ม แต้มบาปปัจจุบัน 1,386,700 แต้ม
เหตุผล: ทำให้ผู้สูงอายุตกใจกลัวจนเกือบเป็นลม และพูดจาทำร้ายจิตใจคนแก่"
เสียงจากระบบประกาศก้อง ตามมาด้วยเหตุผลที่ทำเอา ราเชนทร์ ถึงกับยืนงงเป็นไก่ตาแตก
"อะไรวะ!" ราเชนทร์ ตะโกนลั่นถนนอย่างหัวเสียจนผู้คนโดยรอบพากันตื่นตระหนก และหันมามองอย่างไม่ไว้ใจ
"กูช่วยเขาข้ามถนนนะ!"
บุญมี ยมทูตตัวอ้วนปรากฏกายขึ้นข้างๆ อย่างเงียบเชียบ เขายืนกอดอกมอง ราเชนทร์ ด้วยแววตาตำหนิปนเอ็นดู
"ช่วยจริง แต่ใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม ไอ้หนุ่ม การทำความดีต้องทำด้วยใจเมตตา ไม่ใช่บังคับ"
"เชอะใครสนล่ะ หาใหม่ก็ได้วะ" ราเชนทร์ กอดอกทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะย่างเท้าเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อหาเป้าหมายใหม่ในการทำความดี ทิ้งให้ บุญมี ยมทูตตัวน้อยยืนส่ายหัวอย่างเอือมระอา
ป้ายรถเมล์ เวลา 11.30 น.
ราเชนทร์ และลูกน้องพากันขึ้นรถเมล์ซึ่งเป็นพาหนะที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก โดยมีฤทธิ์ขับรถตู้ประจำแก๊งตามหลังมาติดๆ
ที่ผ่านมาพวกเขาเคยแต่นั่งรถหรูส่วนตัวหรือไม่ก็รถตู้กันกระสุนมาเป็นสิบปี แต่ในวันนี้เพื่อภารกิจการไถ่บาป เขาจำใจต้องเบียดเสียดกับผู้คนบนรถสาธารณะเพื่อมองหาโอกาสทำ...ความดีต่อ
"เจ้านาย ดูผู้หญิงท้องคนนั้นสิ" ลีโอ กระซิบเบาๆ พลางชี้ไปยังหญิงสาวท้องโตที่กำลังยืนเกาะราวอยู่บริเวณช่วงกลางของรถอย่างไม่มั่นคง แต่กลับไม่มีใครสักคนลุกให้เธอนั่งเลย
"เออ! นั่นแหละ!" ราเชนทร์ พยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองทันที
"เฮ้! เธอน่ะ!" เขาเรียกหญิงท้องเสียงดังลั่น จนผู้โดยสารทั้งรถเมล์หันมามองเป็นตาเดียว "มาๆ นั่งตรงนี้!"
หญิงท้องสะดุ้งด้วยความตกใจ "อะไรนะคะ?" เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
"ฉันบอกให้มานั่งนี่!" ราเชนทร์ ไม่รอช้า เขายื่นนิ้วชี้ไปที่นั่งของตัวเองอย่างเด็ดขาด "ท้องโตขนาดนี้แล้ว มัวยืนอยู่ได้!"
"ไม่... ไม่เป็นไรค่ะ" หญิงท้องฝืนยิ้มเต็มที่ พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"ไม่เป็นไรได้ยังไง! มานั่งซะ!" ราเชนทร์ ไม่สนใจคำทัดทาน เขาเดินเข้าไปคว้าแขนหญิงคนนั้นแล้วออกแรงดึงให้มานั่งลงบนที่ของตัวเอง
ทั้งรถเมล์เงียบกริบไปชั่วขณะ ทุกสายตาจับจ้องมาที่ ราเชนทร์ ด้วยความประหลาดใจ ผสมกับความหวาดระแวง ดูเหมือนว่าชุดนุ่งขาวห่มขาวอันบริสุทธิ์ จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
"ขะ..ขอบคุณค่ะ..." หญิงท้องนั่งลงในที่สุด แต่สีหน้าของเธอดูไม่สบายใจเอาเสียเลย
"ไม่ต้องขอบคุณ!" ราเชนทร์ โบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ "ท้องแบบนี้ลำบาก! อย่าออกมาเดินเพ่นพ่านถ้าไม่จำเป็น!"
ทันใดนั้น เสียงเตือนจากระบบเจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีกครั้ง
อ่อดด!
"ได้รับแต้มบาป 200 แต้ม แต้มบาปปัจจุบัน 1,386,900 แต้ม
เหตุผล: ให้ความช่วยเหลือด้วยวิธีการที่หยาบคายทำให้หญิงมีครรภ์ไม่สบายใจซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเด็กในท้อง"
"แม่งเอ๊ย!" ราเชนทร์กำหมัดแน่นตวาดลั่นจนผู้โดยสารคนอื่นสะดุ้งเฮือก แววตาคมกริบเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกับผลลัพธ์ที่แสดงออกมา เขาตัดสินใจบอกให้รถหยุดแล้วกระแทกตัวลงจากรถเมล์อย่างหัวเสีย โดยมีลูกน้องทั้งสามรีบตามลงไปติดๆ ปล่อยให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ มองตามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ต่อมาอีกหลายชั่วโมง ราเชนทร์ และลูกน้องยังคงเดินหน้าทำภารกิจ "ทำ...ความดี" ต่อไป แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลง พวกเขายิ่งทำก็ยิ่งเพิ่มแต้มบาปให้ ราเชนทร์ มากขึ้นไปอีก
* ช่วยเก็บขยะ เมื่อเห็นสวนสาธารณะสกปรก ราเชนทร์ สั่งให้ลูกน้องช่วยกันเก็บขยะซึ่งดูเหมือนว่าจะดี แต่เขากลับโมโหเมื่อเห็นชายคนหนึ่งกำลังทิ้งถุงพลาสติกลงบนพื้น เขาสาวเท้าเข้าไปประชิดตัวชายคนนั้นทันทีและกระชากคอเสื้อพร้อมคำรามเสียงต่ำ
"เฮ้ย! มึงมาทิ้งขยะตรงนี้ได้ไงวะ! ตาบอดรึไงถึงไม่เห็นถังขยะ! เก็บไปทิ้งให้ถูกที่เดี๋ยวนี้!" ชายคนนั้นรีบเก็บขยะขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
แม้ขยะจะถูกเก็บจนหมด แต่การโวยวายและข่มขู่กลับทำให้ระบบบันทึกแต้มบาปเพิ่มไปอีก
* บริจาคเงิน เมื่อเดินเข้าไปในวัด เขาเห็นกล่องทำบุญ จึงโยนปึกธนบัตรใบใหญ่ใส่ลงไปอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับหันไปบอกพระหนุ่มที่นั่งรอรับสังฆทานด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง"เอาไปซื้อของกินเยอะๆ นะท่าน! จะได้ไม่ต้องเดินบิณฑบาตให้ลำบาก!" คำพูดที่แสดงถึงความดูหมิ่นและขาดความเคารพ ทำให้การถวายเงินครั้งนี้ไม่เป็นผลดีต่อแต้มบุญเท่าไหร่นัก แต่แต้มบาปกลับพุ่งกระฉูด
* ช่วยแบกของ ระหว่างทาง เขาเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างทุลักทุเล ด้วยความหวังดี ราเชนทร์ พุ่งเข้าไปแย่งกระเป๋าจากมือนักท่องเที่ยวมาแบกเองทันที ทำให้คนรอบข้างและนักท่องเที่ยวคนนั้นต่างคิดว่าเขาจะเข้ามาปล้น หรือทำมิดีมิร้ายก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงของราเชนทร์
"กูมาช่วยมึงแบกของนะ จะหนีเพื่อ?"
ทุกครั้งที่ราเชนทร์ พยายามทำความดี กลับกลายเป็นว่าเขาได้แต้มบาปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ยิ่งทวีความวายป่วงจากความไม่เข้าใจในหลักการของ "บุญ" สำหรับชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นจอมมารผู้ชั่วร้าย
"แต้มบาปปัจจุบัน 1,388,700 แต้ม...."
".....อ๊ากกก ไอ้ระบบเฮงซวย!!!"
ณ ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองสุวรรณนครในยามโพล้เพล้ กลุ่มของราเชนทร์ที่วุ่นวายกันมาทั้งวันแล้วต่างพากันอ่อนล้าเต็มที่ พวกเขาเดินออกมายังลานจอดรถที่ความมืดเริ่มโรยตัวลงปกคลุม จิตใจของราเชนทร์เต็มไปด้วยความหงุดหงิดจากการทำความดีที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าตลอดทั้งวัน
"เฮ้อ! ไอ้หนุ่ม! หยุดพักเหอะ!" เสียงเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะยียวนของบุญมี ที่ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ราเชนทร์ อย่างกะทันหัน
"หัวเราะอะไรของแก!" ราเชนทร์ ตวาดกลับอย่างอารมณ์เสีย
"หัวเราะกับความพยายามแบบผิดๆ ของเจ้าไง" บุญมี ลอยตัวขึ้นมาอยู่ระดับสายตาของราเชนทร์ "ทำความดีแบบไม่รู้ความ ก็เลยได้แต้มบาปแทนแต้มบุญ"
"แล้วต้องให้กูทำยังไงวะ!" ราเชนทร์ ตะโกนลั่นอย่างหมดความอดทน ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันมามองเป็นตาเดียว
"นายท่านใจเย็นๆ ครับ คนพากันมองใหญ่แล้ว" คิม เข้ามาเตือนเบาๆ พร้อมกับเหลียวมองไปรอบๆ อย่างไม่สบายใจ ยมทูตตัวน้อยจ้องมองราเชนทร์ที่กำลังหัวร้อนอย่างเข้าใจ จนกระทั่งเห็นว่าเขาสงบลงมากแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลผิดจากที่ผ่านมา
"การทำบุญมันไม่ใช่แค่การกระทำ ไอ้หนุ่ม" บุญมีลอยมาใกล้ขึ้นอีกพร้อมชี้นิ้วไปที่หน้าอกของราเชนทร์ "มันต้องมาจากใจ มีความเมตตา ความอ่อนโยน เข้าใจผู้อื่น"
"ทำไมมันยากจังวะ" ราเชนทร์ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าแสดงความท้อแท้
"เจ้าเป็นมาเฟียมาเป็นสิบๆ ปี คาดหวังให้เปลี่ยนเป็นคนดีได้ในวันเดียวเหรอ?" บุญมี ส่ายหัวช้าๆ "ค่อยๆ เรียนรู้สิ"
"แล้วจะเรียนยังไง?" ราเชนทร์ ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"ดู สังเกต เลียนแบบ คนดีเขาทำกันยังไง" บุญมีชี้ไปที่ครอบครัวหนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป พวกเขากำลังช่วยกันยกรถเข็นที่ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ขึ้นบันได
"เห็นมั้ย? เขาช่วยกันด้วยใจ ไม่ใช่เพื่อผลตอบแทน" ราเชนทร์ มองตามนิ้วของยมทูตน้อย เขาเห็นภาพครอบครัว พ่อ แม่ และลูก กำลังช่วยกันประคองรถเข็นของคุณตาอย่างระมัดระวัง ทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างจริงใจ และดูมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาทั้งชีวิต เขานิ่งเงียบไปครู่นึง ก่อนที่จะถอนหายใจยาว ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
"แล้วพรุ่งนี้ล่ะเอายังไงต่อ?" ราเชนทร์ พึมพำถามอย่างแผ่วเบา คาดหวังว่าจะได้คำแนะนำที่พอจะทำตามได้ง่ายๆ
"พรุ่งนี้เจ้าจะได้เจอกับครูรินรวี" บุญมีเอ่ยเสียงใส แววตาเจ้าเล่ห์ของเขาเป็นประกายจับจ้องราเชนทร์ไม่วางตา ซึ่งต่างจากบุญมีคนเมื่อครู่นี้อย่างกับคนละคน "ผู้หญิงที่เจ้าต้องจีบให้ได้"
"รินรวี?" ราเชนทร์ ขมวดคิ้วแน่น เขาพยายามนึกภาพตาม แต่ก็ไม่ปรากฏใบหน้าของใครในความทรงจำ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่คุ้นหูแม้แต่น้อย
"ครูคนไหนวะ? คงไม่ใช่สาวใหญ่วัยทองหรือป้าแก่ๆวัยกล้วยไม้หรอกนะ" เขาพึมพำอย่างหวั่นๆ พร้อมกับแอบหวังในใจลึกๆ ว่ายมทูตจะไม่ใจร้ายส่งเป้าหมายที่ดูไม่จรรโลงใจมาให้ เพราะชีวิตของเขาที่ผ่านมาล้วนเจอแต่สาวสวยระดับดารานางแบบมาพัวพันทั้งนั้น
"ใช่แล้ว ไอ้หนุ่ม การทำความดีที่แท้จริงจะเริ่มต้นพรุ่งนี้" ร่างของบุญมีเริ่มเลือนหายไปช้าๆ พลางทิ้งท้ายด้วยคำเตือนที่ทำให้ ราเชนทร์ ใจกระตุก "แต่ระวังไว้... เธอคนนั้นเกลียดมาเฟียเข้าไส้เลยล่ะ"
"เดี๋ยวก่อน! นายจะไปไหน!" ราเชนทร์เผลอตะโกนตามบุญมีอย่างร้อนรน
ทว่าร่างของยมทูตน้อยหายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงหัวเราะกวนประสาทที่ลอยแผ่วมาในความคิด ทิ้งให้ราเชนทร์ยืนอยู่กลางลานจอดรถกับลูกน้องทั้งสี่ที่ยังคงงุนงงกับเจ้านายที่กำลังพูดอยู่คนเดียวอีกแล้ว
ราเชนทร์ ได้แต่พึมพำในใจอย่างหงุดหงิดระคนขบขันกับชะตากรรมของตัวเอง
"จีบครู... ที่เกลียดมาเฟีย... แถมยังไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไงอีก... นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย!"
คืนนั้น ที่คฤหาสน์ของจอมมารแห่งสุวรรณนคร ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานสุดหรูหราของราเชนทร์ มีเพียงแสงไฟสลัวๆ ที่ส่องกระทบใบหน้าเคร่งเครียดของเขา ราเชนทร์ นั่งกุมหน้าผากอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด ปล่อยความคิดให้ไหลวนไปกับเหตุการณ์วายป่วงตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ลูกน้องทั้งสี่คนนั่งประจำที่ของตนอย่างเงียบงัน บรรยากาศต่างจากทุกคืนที่มักจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการวางแผนอันชั่วร้าย
"นายท่าน..." คิม เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงเจือด้วยความไม่แน่ใจ "วันนี้ท่านดูแปลกๆ นะครับ"
"แปลกตรงไหน?" ราเชนทร์ ถามกลับ เสียงยังคงแฝงความหงุดหงิด
"ก็... ดูเหมือนเจ้านายจะเปลี่ยนไป" ลีโอ แสดงความรู้สึก ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เจ้านายพูดคนเดียวบ่อยๆ "ปกติเจ้านายไม่เคยสนใจคนอื่นนอกเหนือจากพวกเดียวกัน" ลีโอเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมขยับแว่นขึ้นลง
"ใช่ๆ แต่วันนี้ลูกพี่พยายามช่วยคนที่ไม่รู้จัก" สมิงพูดเสริมพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
"แม้จะยังช่วยผิดวิธีก็เถอะ" ฤทธิ์ หลุดหัวเราะเบาๆ แต่ก็รีบหุบปากเมื่อเห็นสายตาคมกริบของจอมมารเพ่งมาอย่างแรง
ราเชนทร์เงยหน้าขึ้นมองลูกน้องทั้งสี่ทีละคน แววตาที่เคยดุดัน บัดนี้กลับมีแววของความลังเลและอ่อนล้า
"พวกมึงคิดว่ากู..จะเป็นคนดีได้มั้ย?"
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน แลกเปลี่ยนสายตาคล้ายจะปรึกษาหารือ
"ถ้านายท่านตั้งใจจริงๆ ผมว่าทำได้ครับ" คิม ตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ และเชื่อมั่น ถึงจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็เถอะ
"ผมว่าเจ้านายพยายามดีอยู่แล้ว" ลีโอเสริมพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้ราเชนทร์"แค่วิธีการที่ต้องปรับเปลี่ยน"
"พวกเราจะช่วยลูกพี่เต็มที่ครับ" สมิงตบหน้าอกพร้อมประกาศอย่างหนักแน่น
"ใช่แล้ว! พวกเราสี่คนจะไม่ทิ้งหัวหน้าแน่นอน!" ฤทธิ์ ตบโต๊ะเสียงดังฉาดด้วยความกระตือรือร้น
ราเชนทร์ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นใจที่ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามาในอก อย่างน้อยเขายังมีลูกน้องที่ภักดีและเชื่อใจเขาไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะใด ในตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา
"เอาล่ะ พรุ่งนี้เราจะลองใหม่" เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวกว่าเดิมเล็กน้อย "และครั้งนี้... เราจะทำให้ดีกว่าเดิม"
แม้ราเชนทร์จะเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลย คือพรุ่งนี้เขาจะได้เจอกับ "ครูรินรวี" ผู้หญิงที่เขาต้องจีบเป็นภรรยาให้ได้เพื่อต่ออายุขัย และเป็นคนที่จะเปลี่ยนชีวิตของ ราเชนทร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นจอมมารแห่งสุวรรณนครไปตลอดกาล