จากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"
รัก,แอคชั่น,ตลก,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,คอมเมดี้,พลังพิเศษ,ระบบ,ความรัก,นักเรียน,พล็อตสร้างกระแส,โรงเรียน,วิญญาณ,แฟนตาซี,รัก,ตลก,มาเฟีย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจพิชิตใจนางฟ้า แต่ชีวิตข้าเหลือ365 วันจากมาเฟืยผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแต้มบาปนับล้าน สู่การฟื้นคืนชีพสุดป่วนกับอายุขัยที่เหลือแค่ 1 ปี! เมื่อยมทูตตัวตึงยื่นคำขาดต้องลดแต้มบาปเพิ่มแต้มบุญ และพิชิตใจครูสาวผู้เกลียดมาเฟียเข้าไส้ เพื่อต่อชีวิต 50 ปี! ภารกิจเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีที่มาพร้อมความฮา ความน่ารัก และมิตรภาพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!"
วัดแถบชานเมืองสุวรรณนครยามค่ำคืน ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดที่ชวนขนลุก เทียนเล่มใหญ่ที่จุดเรียงรายบนโต๊ะบูชา ส่องแสงสีเหลืองนวลทอดยาวลงบนโลงไม้สีดำขลับที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางศาลา ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ภายในนั้น เขาคือ ราเชนทร์ มาเฟียอันดับหนึ่งผู้เลื่องลือ ผู้นำแก๊งมังกรทมิฬที่เกรียงไกรและไร้พ่าย ใบหน้าคมเข้มที่เคยดุดันและเต็มไปด้วยร่องรอยความโหดเหี้ยม บัดนี้กลับดูสงบนิ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต ราวกับความตายได้ปลดเปลื้องภาระทั้งหมดของเขาไปแล้ว
"ฮืออ... ทำไมลูกพี่ถึงทิ้งผมไปเร็วแบบนี้ แล้วผมจะอยู่ยังไง ฮืออ" สมิง หนุ่มร่างยักษ์ขนาดสองคนโอบ ในชุดเสื้อยืดสีดำลายหมีแพนด้า หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี พลางใช้ผ้าขาวผืนเล็กที่เปียกชื้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างไม่สนใจสายตาใคร เขายังคงทำใจไม่ได้กับความจริงที่เจ้านายอันเป็นที่รักจากไป
"เงียบหน่อยสมิง อย่าเสียงดังรบกวนพระสวดสิวะ" คิม ชายร่างผอมเพรียวในชุดพ่อบ้านแบบผู้ดีอังกฤษส่ายหน้าเบาๆ พลางก้มหน้าก้มตาพับดอกไม้จันทน์เป็นรูปมังกรอย่างประณีตด้วยแววตาหม่นหมอง ทุกการกระทำของเขาถูกบรรจงสร้างสรรค์อย่างละเอียดอ่อนราวกับเป็นงานศิลปะ เพื่อน้อมส่งหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่เดินทางครั้งสุดท้ายสู่สัมปรายภพ
อีกมุมหนึ่งของศาลา ลีโอ ชายหนุ่มใส่แว่นหนาเตอะผมกระเซิง กำลังง่วนอยู่กับการขีดเขียนตัวเลขและสูตรต่าง ๆ ลงในแท็บเล็ตคู่ใจอย่างเคร่งเครียด ราวกับกำลังฉุดดึงตัวเองออกจากอารมณ์เศร้าโศกจากการสูญเสียเสาหลักที่เคารพรัก
ขณะเดียวกัน ฤทธิ์ หนุ่มใหญ่ทรงนักเลงที่ดูเหมือนหลุดมาจากยุค 2499 ผู้ชอบเล่นของและเชื่อเรื่องโชคลางในระดับเข้าเส้น กำลังหยิบไพ่ทาโรต์สำรับเก่าขึ้นมาพลิกดูด้วยสีหน้าหมองเศร้า
"ไพ่บอกว่า... หัวหน้าจะได้ไป... เอ๊ะ?" ฤทธิ์ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ไพ่ในมือ เขามองไปที่โลงศพสีดำที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความรู้สึกคาดหวังเล็กๆ อย่างบอกไม่ถูก
สำหรับพวกเขาแล้ว การจากไปของราเชนทร์นั้นไม่ได้เป็นเพียงการสูญเสียผู้นำ แต่คือการสั่นสะเทือนบัลลังก์อำนาจที่เขาเคยค้ำจุนไว้เหนืออาณาจักรใต้ดินแห่งเมืองสุวรรณนคร
ดังนั้นข่าวการเสียชีวิตของราเชนทร์จึงต้องถูกปิดเป็นความลับ เพื่อยับยั้งการลุกฮือของกลุ่มแก๊งน้อยใหญ่ที่ต่างหมายปองตำแหน่งมาเฟียอันดับหนึ่ง ทว่าต่อให้พยายามปิดความลับอย่างไรก็มิอาจพ้นสายตาของสองแก๊งใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลรองลงมาได้
เหตุนี้เอง บรรยากาศภายในศาลาจึงยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อแก๊งคู่ปรับตลอดกาลทั้งสองฝ่ายปรากฏกายในงานศพ ประหนึ่งมาเพื่อประกาศศักดาและท้าทายอำนาจของเจ้าภาพ
"แรมโบ้" ชายร่างใหญ่กล้ามแน่น กับผมสีแดงทรงเดทร็อค ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำลายกระทิงเพลิงโชว์รอยสักยันต์โบราณเต็มแขน และสร้อยทองขนาดโซ่ล่ามหมา ที่นำพาลูกสมุนราวสิบกว่าคนในนาม "แก๊งกระทิงเดือด" เข้ามานั่งเรียงแถวอย่างอาจหาญทางฝั่งซ้ายของศาลา แม้ใบหน้าของเขาจะฉายแววความเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความโล่งใจที่ไม่อาจปกปิดได้มิด เพราะจากนี้จะไม่มีกำแพงเหล็กที่ขวางกั้นความยิ่งใหญ่ของเขาได้อีกต่อไป
"ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารแห่งสุวรรณนครก็มีวันนี้เหมือนกัน" แรมโบ้พึมพำแผ่วเบา ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาจับจ้องไปยังโลงศพด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
ในขณะเดียวกันทางฝั่งด้านขวา แก๊งฉลามเหล็ก ที่นำโดย เดฟ ชายหน้าเหลี่ยมร่างเล็กในชุดเสื้อโค้ทหนังสีดำยาวถึงเข่า ผมทรงแอโฟรสีเขียวของเขาดูโดดเด่นพอๆ กับฟันคู่หน้าที่เงาวับ พร้อมกับลูกสมุนนับสิบที่เข้ามานั่งกระจายกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่มือจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบกล่องซิก้าร์ออกมาจุดอย่างไม่เกรงใจใคร
ทันใดนั้นเอง เสียงตวาดลั่นของคิม ก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างผอมเพรียวที่เหยียดตรงขึ้นเล็กน้อย "เฮ้ย! นี่มันงานศพนะเว้ย! ไม่มีมารยาทรึไง!" คิมหันขวับไปมองแก๊งฉลามเหล็กด้วยสายตาตำหนิอย่างรุนแรง
"งานศพแล้วไงวะ!" เดฟพูดเสียงดังลั่น พร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างเย้ยหยัน
"กูอุตส่าห์วางแผนหาวิธีโค่นไอ้ราเชนทร์มาตั้งนาน มันก็ดันมาตายก่อนเฉยเลย หัวใจล้มเหลวบ้าอะไรกัน!" คำพูดของเขาที่ดูเหมือนจะประชดประชันการตายของ ราเชนทร์ ที่ดูไม่สมศักดิ์ศรีจอมมารเอาเสียเลย ยิ่งเพิ่มความร้อนระอุให้กับบรรยากาศที่คุกรุ่นอยู่แล้ว
พระภิกษุวัยกลางคนที่อยู่หัวแถวผู้กำลังนำสวด ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย พยายามปรับเสียงสวดอภิธรรมให้ดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งศาลา เพื่อหวังจะกลบเสียงกระซิบกระซาบและเสียงบ่นกระทบกระทั่งของพวกนักเลงที่เริ่มก่อความวุ่นวายให้เงียบลง
"กุสะลาธัมมา อะกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา...." ในขณะที่เสียงสวดมนต์ดำเนินไปอย่างเป็นจังหวะนั้นเอง
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก!"
ทันใดนั้น อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังก้องมาจากบริเวณโลงศพ ทำเอาทุกคนสะดุ้งเฮือก สมิง ลุกขึ้นยืนพรวดพราด ใบหน้าฉายแววตกใจอย่างเห็นได้ชัด
"เอ๊ะ? เสียงอะไรน่ะ?"
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก!" เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หนักแน่นกว่าเดิม ทำเอาพระสงฆ์ที่กำลังสวดมนต์หยุดชะงัก บางรูปถึงกับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่โลงศพด้วยความสงสัยระคนหวาดระแวง
คิมหน้าซีดเผือด พยายามหาเหตุผลมาโต้แย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น "แมว...แมว..มาตะกุยอะไรเล่น..หรือเปล่า" ชายหนุ่มในชุดพ่อบ้านพูดติด ๆ ขัด ๆ ในใจเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
"หรือจะเป็น...ไม้โลงที่หดตัวจากความเย็น?" ลีโอ เสนอทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ตามประสาคนฉลาด แต่ดวงตาสั่นไหวภายใต้แว่นหนาก็ยังคงฉายแววไม่มั่นใจ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะยังคงดังต่อเนื่องเป็นจังหวะไม่ขาดสาย ฤทธิ์ หยิบไพ่ทาโรต์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา "ไพ่บอกแล้วว่าจะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น..." เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับทุกคนที่อยู่ใกล้เคียง
"ไอ้หนุ่ม! ตื่นได้แล้ว! จะนอนไปถึงเมื่อไหร่?" เป็นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กผู้ชายดังกังวานขึ้น แต่กลับไม่มีใครในบริเวณศาลาได้ยิน ราวกับถูกปิดกั้นด้วยมิติที่แตกต่างกัน
"ไอ้หนุ่ม! ออกมาเดี๋ยวนี้! ข้ามีงานต้องทำอีกเยอะนะ!" เสียงเด็กน้อยยังคงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูจะเร่งเร้ามากขึ้น
ทันใดนั้นร่างกลม ๆ ของเด็กชายตัวอ้วน อายุประมาณเจ็ดขวบ ในชุดโจงกระเบนสีแดง พร้อมเขาเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาจากศีรษะ เดินออกมาจากข้างหลังโลงศพอย่างหงุดหงิดเพราะรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ
"เฮ้ย! ใครพาเด็กมาในงานศพวะเนี่ย แล้วทำไมแต่งตัวประหลาดแบบนี้!" สมิงหันไปถามคนอื่นอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติงานศพของเจ้านายที่เคารพ
"อ้าว! มีคนเห็นด้วยแฮะ แสดงว่าเจ้าหมอนี่จิตว่างมาก งั้นต้องลบตัวตนให้ละเอียดกว่านี้หน่อยแล้ว" เสียงเล็กใสก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ร่างอ้วนกลมจะหายไปจากสายตาของสมิงราวกับไม่เคยมีตัวตน
"เฮ้ย! หายไปแล้ว ผีแน่ๆ" สมิงตาเหลือกอ้าปากค้าง พยายามหันมาอธิบายเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นให้พรรคพวกฟังอย่างร้อนรนระคนหวาดกลัว
"เด็กอะไรวะ ไม่เห็นมีเด็กเลย" คิมเลิกคิ้วมองสมิงอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างงุนงง
"เฮ้ย! นี่เมื่อกี้มีเด็กอ้วนใส่โจงกระเบนยืนข้างโลงจริงๆ นะ! แล้วอยู่ๆ ก็...หายไปเลย!" สมิงชี้ไปที่ข้างโลงศพด้วยสีหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
ทุกสายตามองไปตามนิ้วชี้ของชายร่างยักษ์ แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่าปรากฏอยู่ตรงนั้น
"พี่สมิง! สงสัยจะเครียดมากจนตาลายแน่ ๆ" ลีโอส่ายหน้าเอือมระอาในความกระต่ายตื่นตูมของเพื่อนร่วมแก๊ง สำหรับหนุ่มสมองกลคนนี้ สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมปักใจเชื่อง่าย ๆ
"ปึง ปึง ปึง!!" เสียงเคาะเปลี่ยนเป็นเสียงทุบที่แรงกว่าเดิมจนคนในงานสะดุ้งเฮือก พร้อมกับเสียงใส ๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน ซึ่งกำลังหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
"เฮ้ย! ไอ้หนุ่ม! ตื่นได้แล้วโว้ย! อยากตายจริงใช่ไหม!"
"ตูม!!"
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่าจากแรงถีบภายใน ฝาโลงไม้สักเนื้อหนาที่เคยปิดแน่นเมื่อครู่ บัดนี้ระเบิดกระเด็นออกไปคนละทิศละทางราวกับถูกจรวดยิง ไม้แตกหักกระจายไปทั่วทั้งศาลาเสียงกระทบพื้นดัง ปัง! ปัง! สร้างความหวาดผวาให้ผู้คนในงานอย่างรุนแรง
"อ๊ากกกกก!" เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังระงมไปทั่วศาลา ผสานกับเสียงล้มกระแทกพื้นโครมครามของผู้คนที่พยายามจะหนีเอาตัวรอด
ทันใดนั้นเงาร่างใหญ่ก็ขยับจากภายในโลงศพ เสียงทุ้มต่ำและหยาบกร้านดังก้องขึ้นมาก่อน
"เฮ้ย! ใครมามัดมือกูแบบนี้วะ"
ตามมาด้วยมือใหญ่ที่มีรอยสักหางมังกรค่อยๆ ปรากฏขึ้นพาดขอบโลง หลังจากที่กระชากสายสิญจน์ที่มัดข้อมือไว้จนขาดกระจาย และวินาทีต่อมา ใบหน้าหล่อเหลา คมเข้ม แต่แฝงความดุดันแบบนักเลงตัวจริงก็โผล่พ้นออกมา
ราเชนทร์ จอมมารแห่งสุวรรณนคร ลุกขึ้นนั่งในโลงศพ ดวงตาคมกริบเบิกกว้าง ผมหยักศกยาวรุงรังที่เคยถูกมัดรวบหลุดลุ่ยลงมาปรกใบหน้าจนดูน่าสะพรึง เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ศาลาด้วยความงุนงงอย่างถึงที่สุด
"เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!?" เสียงของเขาดังก้องไปทั่วศาลา ยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้กับฝูงชน ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที!
"หนีโว้ยยย! ผีจอมมารเฮี้ยนแล้ว!" แก๊งกระทิงเดือดที่นั่งเชิดหน้าอย่างมาดมั่นเมื่อครู่ บัดนี้สับตีนแตกอย่างไม่คิดถึงฟอร์มมาเฟีย พวกลูกน้องก็พาวิ่งเหยียบกันเองจนล้มระเนระนาดเป็นแถว ท่ามกลางเสียงโวยวายและสาปส่งกันวายป่วง
"เฮ้ยยย! ผีดิบอาละวาด! หนีเร็ว!" ทางด้านแก๊งฉลามเหล็กที่ตั้งใจจะมาอวดศักดาในงานศพ ก็กลับกลายเป็นฝ่ายวิ่งหนีตายไปโดยปริยาย พวกเขาเตะเก้าอี้ที่ขวางทางกระเด็นไกล และชนกันเองล้มลุกคลุกคลานอย่างอลหม่าน
"อยู่ไม่ได้แล้วโยม" แม้แต่พระสงฆ์รูปหัวแถวผู้สงบนิ่งมาตลอดก็ยังตกใจจนเสียจริต ทิ้งไม้ตารปัตที่ถืออยู่ เดินจ้ำพรวด ไปที่กุฏิอย่างไม่คิดชีวิตรวมถึงพระลูกวัดที่เหลือก็หนีกระเจิงตามกันไป
เด็กชายตัวอ้วนยืนกอดอกนิ่งอยู่ข้างโลงศพ มองดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยสีหน้าเซ็งจัด
"ให้ตายสิ... ไอ้พวกนี้หน้าตัวร้ายแต่ใจป๊อดกันทั้งนั้น" เขาบ่นพึมพำอย่างเบื่อหน่าย
ราเชนทร์ปีนออกจากโลงศพอย่างงุนงง พยายามทรงตัวบนพื้นหินที่เย็นเฉียบอย่างไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ เนื่องจากนอนมานานหลายวัน จนเสื้อเชิ้ตสีดำลายมังกรที่ใส่อยู่มีกลิ่นอับชื้นโชยออกมา
ภาพที่เห็นคือซากปรักหักพังของฝาโลงไม้และข้าวของที่กระจัดกระจาย และผู้คนที่วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง มีเพียงสี่จตุรเทพมาร ลูกน้องคนสนิทของเขาที่ยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
"เดี๋ยวสิ! เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!? ทำไมกูอยู่ในโลงศพวะ!?" ราเชนทร์ถามเสียงดัง พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายนี้
"นะ..นายท่าน... ตายไปแล้วนี่ครับ... หัวใจล้มเหลว... เมื่อสามวันก่อน..." คิมรวบรวมความกล้าพูดเสียงสั่นๆ พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
"ตายไปแล้ว!? พูดบ้าอะไรวะ กูก็ยังปกติดีอยู่นี่ไง!" ราเชนทร์ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก้มลงมองมือตัวเองแล้วเงยหน้ามองลูกน้องด้วยสีหน้างงงวย
"ก็เพราะเจ้าฟื้นคืนชีพกลับมาไง" เด็กร่างอ้วนในชุดโจงกระเบนแดงเดินเข้ามาใกล้ราเชนทร์ พร้อมส่ายหัวอย่างเซ็งๆ กับความไม่รู้เรื่องรู้ราวของมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งฟื้นจากความตายมาหมาดๆ
ราเชนทร์หันขวับไปมองเด็กชายตัวอ้วนที่เดินเข้ามาใกล้เขาโดยที่ไม่มีใครในงานมองเห็น
"ไอ้เด็กนี่ใครวะ!? แล้วทำไมมีเขาโผล่ออกมาจากหัว!?" ราเชนทร์เบิกตากว้างชี้ไปที่เขาเล็กๆ บนศีรษะของเด็กน้อย
"ข้าชื่อ บุญมี เป็นยมทูตที่มารับเจ้าไปยมโลกแต่เออ... เกิดเรื่องยุ่งนิดหน่อย" บุญมีขยี้ท้องเบาๆ ราวกับกำลังอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น "ข้าเผลอไปรับเจ้ามาก่อนกำหนดหนึ่งปีเต็มๆ เลยจำเป็นต้องส่งเจ้ากลับมาก่อน"
"ส่งกลับมา!? แล้วทำไมต้องมาฟื้นในงานศพด้วยวะ!" ราเชนทร์โวยวายเสียงลั่น เขายังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดนี้
"ก็..แหม! กว่าทีมงานจะตรวจสอบจนรู้เรื่องนี้ ก็ปาเข้าไปสามวันแล้วอ่ะ" บุญมีเกาหัวแกรกๆ อย่างใช้ความคิดว่าจะแก้ตัวแบบไหนดี
ลูกน้องคนสนิททั้งสี่ ยืนฟังด้วยความงุนงง สลับมองหน้าราเชนทร์กับพื้นที่ว่างเปล่าข้างๆ เขา
"เดี๋ยวสิ... พวกเรายืนอยู่ตรงนี้ แล้วลูกพี่คุยกับใครอะครับ?" สมิงชายร่างยักษ์หัวสกินเฮดถามขึ้นอย่างงุนงง
"กับไอ้เด็กอ้วนที่ยืนอยู่นี่ไง!" ราเชนทร์ชี้ไปที่บุญมีที่ยืนยิ้มแต้ตาหยีอยู่ข้างๆ เขา
"ไม่มีเด็กอ่ะเจ้านาย!" ลีโอส่ายหน้า แววตาภายใต้แว่นหนาเตอะเต็มไปด้วยความสงสัยระคนหวาดกลัว
"ปกติแล้วมนุษย์ทั่วไปจะมองไม่เห็นข้าหรอก ยกเว้นพวกจิตว่าง" บุญมีอธิบายอย่างใจเย็น หางตาเหลือบมองชายร่างยักษ์ที่หันรีหันขวางด้วยสีหน้าหวาดระแวง
"แล้วก็คนที่ผ่านความตายมาแล้วเช่นเจ้า เอาล่ะเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า"
บุญมีเดินไปตรงกลางศาลาที่ตอนนี้ดูโล่งตาขึ้นเนื่องจากแขกไม่ได้รับเชิญหนีหายไปหมดแล้ว เขาโบกมือออกไปเบาๆ ทันใดนั้นพื้นที่ตรงหน้าก็ปรากฏจอโฮโลแกรมสีฟ้าเรืองแสงขึ้นมากลางอากาศ ข้อมูลต่างๆ แสดงอย่างชัดเจน
"นี่คือสถานะปัจจุบันของเจ้า" ยมทูตน้อยตัวกลมเอ่ยกับราเชนทร์ที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงกับสิ่งแปลกประหลาดที่เห็น
หน้าจอแสดงผล:
* ชื่อ: ราเชนทร์ อิทธิวรเดช
* ฉายา: "จอมมารแห่งสุวรรณนคร"
* อายุ: 34 ปี
* อายุขัย: 35 ปี (เหลือเวลาอีก 1 ปี)
* แต้มบาป: 1,386,000 แต้ม 🔴
* แต้มบุญ: 800 แต้ม 🔵
* สถานะ: วิกฤต - ต้องไถ่บาปภายใน 1 ปี
"หนึ่งล้านสามแสนแต้มบาป!?" ราเชนทร์ตะโกนลั่น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกับตัวเลขมหาศาลตรงหน้า ทำให้ลูกน้องทั้งสี่ที่ทำหน้าเหวออยู่ถึงกับสะดุ้ง
บุญมีกดหน้าจอโฮโลแกรมสีฟ้าเรืองแสงเบาๆ ทันใดนั้น เมนูใหม่ก็ปรากฏขึ้น แสดงข้อมูลอย่างชัดเจน:
กฎการไถ่บาป:
* แต้มบาป จะลดลงได้เมื่อ:
* ชดใช้กรรมที่ระบบจัดให้อย่างเหมาะสม
* ได้รับการอโหสิกรรมอย่างจริงใจจากคู่กรณีแบบสุ่ม
* แต้มบุญ ได้จาก:
* ทำความดีทุกรูปแบบด้วยความบริสุทธิ์ใจ
* ภารกิจพิเศษ:
* หากทำให้ ครูรินรวี ไวยาวัฒนากร ยอมแต่งงานด้วยความรัก = +50 ปีอายุขัย
"ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งปี หากทำภารกิจพิเศษไม่สำเร็จก่อนสิ้นอายุขัย ก็เตรียมจองวัดได้เลย และอีกอย่าง.." ยมทูตน้อยหันไปมองหน้าจอโฮโลแกรม
"หากแต้มบาปยังมากกว่าแต้มบุญ เจ้าจะถูกส่งตรงไปนรกทันที ไม่มีการเจรจา" บุญมีกล่าวเสียงเข้มพลางยกมือขึ้นกอดอกแน่น สายตาจับจ้องไปที่ราเชนทร์ที่ยังคงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
"แล้วทำไมต้องให้แต่งงานกับครูที่ไหนก็ไม่รู้ด้วยวะเนี่ย!?" ราเชนทร์โวยวายเสียงดังลั่นอย่างไม่เข้าใจ ท่ามกลางสีหน้างุนงงราวกับเห็นคนบ้าของลูกน้องทั้งสี่ที่ยังคงยืนแข็งทื่ออยู่
"เพราะครูรินรวีคือแสงสว่าง ที่จะพาให้เจ้าไปสู่การไถ่บาปที่แท้จริง" บุญมีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แววตาของเด็กน้อยแฝงความลึกซึ้งเกินวัย
"ในอดีตชาติเจ้ากับเธอเคยสัญญากันว่า หากใครหลงเดินทางผิด อีกฝ่ายจะช่วยฉุดดึงให้กลับคืนมา"
ราเชนทร์ฟังด้วยความฉงน พลางกอดอกแน่น "ไม่เชื่อโว้ย! เรื่องงมงายพวกนี้!" เขาสะบัดเสียงไม่พอใจอย่างเปิดเผย
"อ้าว! แล้วที่ยืนหัวโด่คุยกับเจ้าอยู่นี่ คือเรื่องงมงายในความคิดของเจ้าด้วยไหมล่ะ" บุญมีพูดจบก็กระโดดลอยไปลอยมาตีลังกาสามตลบกลางอากาศก่อนจะลงพื้นอย่างงดงามราวกับนักยิมนาสติกทีมชาติ ทำให้ราเชนทร์ถึงกับนิ่งอึ้งตาค้างอย่างพูดไม่ออก
"เอาเหอะไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ชีวิตของเจ้าเหลืออีกแค่ 365 วันเท่านั้นจำไว้" ร่างโปร่งแสงของบุญมีเริ่มเลือนหายไปช้าๆ
"ระบบจะแจ้งเตือนทุกครั้งที่ต้องชดใช้กรรม และจะสุ่มหาคู่กรณีที่ต้องขออโหสิกรรมให้เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม"
"เดี๋ยว! อย่าเพิ่งหายไปสิ! กูยัง...เอ้ย! ฉันยังไม่เข้าใจเลย!" ราเชนทร์อุทานเสียงหลง พยายามปรับคำพูดให้ดูสุภาพขึ้นอย่างไม่คุ้นชินเมื่อเห็นว่าบุญมีกำลังจะจากไป
"ค่อยๆ เรียนรู้ไป ไอ้หนุ่ม" เสียงของบุญมีที่เหลืออยู่ในหัวของราเชนทร์ยังคงดังก้อง ชัดเจนแม้ร่างจะจางหายไปแล้ว
"อีกอย่าง...ระวังให้ดี ถ้าทำบาปเพิ่ม แต้มบาปจะเพิ่มเป็นเท่าตัว และหากเก็บแต้มบุญได้มากกว่าแต้มบาปมากเท่าไหร่...เจ้าจะมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์มากเท่านั้น"
หลังจากเสียงใสๆ ของเด็กชายยมทูตสิ้นสุดลง ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ทิ้งให้ราเชนทร์ที่ยืนทำหน้ามึนงงอยู่ถอนหายใจยาวเหยียด เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ศาลาที่เหมือนผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ โต๊ะและเก้าอี้ล้มระเนระนาด เทียนดับกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
"ลูกพี่...เออ จะไปตรวจเช็คสมองหน่อยไหมครับ" สมิงชายร่างยักษ์ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างหวาดระแวง
"เพี๊ยะ!" ฝ่ามือหนาของราเชนทร์ฟาดลงบนหัวสกินเฮดของสมิงอย่างจัง เสียงดังจนเจ้าตัวร้องโอ้ย ราเชนทร์บ่นอุบอย่างหงุดหงิด "ไอ้เจ้าบ้า! กูปกติดีโว้ย! แค่รู้สึกเหมือนฝันร้ายไปเท่านั้นเอง"
"ตื้ดด!!"
"เจ้าตบหัวลูกน้องด้วยความไม่พอใจ เพิ่มแต้มบาป 200 แต้ม รวมแต้มบาปปัจจุบัน 1,386,200 แต้ม"
อยู่ๆ เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นภายในหัวของราเชนทร์ ทำให้เขาถึงกับหนังหัวชาวูบเหงื่อไหลย้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยังไม่ทันไรเขาก็ได้แต้มบาปเพิ่มขึ้นมาซะงั้น
"เจ้านาย... ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นแน่ครับ" ลีโอ สมาชิกของสี่จตุรเทพมารที่อายุน้อยที่สุด ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตก ดวงตาภายใต้แว่นหนาเตอะจ้องมองเจ้านายอย่างรอคอยคำตอบ
"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน" ราเชนทร์ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ความสับสนฉายชัดบนใบหน้าคมเข้ม "แต่ดูเหมือนว่า...กูต้องเป็นคนดีซะแล้ว"
"คนดี!?" ลูกน้องทั้งสี่คนตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
"หัวหน้าล้อเล่นใช่มั้ยครับ" ฤทธิ์ถามย้ำอีกครั้ง "หัวหน้าเป็นจอมมารแห่งสุวรรณนครนะครับ!" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าโลกกำลังพลิกผัน
"กูก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำ..." ราเชนทร์ชะงักคำพูดไปชั่วขณะ ดวงตาคมเข้มทอดมองไปยังโลงศพที่ตัวเองเพิ่งลุกออกมา
"ลืมมันไปเถอะ พูดไปพวกมึงก็ไม่เข้าใจหรอก"
ราเชนทร์หันหลังให้กับความวุ่นวายที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วเดินออกจากศาลาพร้อมกับความมุ่งมั่นใหม่ที่ยังคงคลุมเครืออยู่ในใจ เขาก้าวเท้าไปตามทางเดินของวัดด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง คล้ายสัญญาณเตือนภัยที่ดังจนน่ารำคาญ ทำให้เขาถึงกับสะดุ้งสุดตัว
"ออดดด!!"
พร้อมกับมีหน้าจอโฮโลแกรมสีแดงสดปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน
⚠️ การชดใช้กรรมครั้งแรก ⚠️
* กรรม: เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เจ้าผลักตาลุงเจ้าของบ่อนไก่ที่ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองล้ม จนหัวไปกระแทกเสา ดีที่ไม่ตาย
* การชดใช้: อีก 3 วันเจ้าจะสะดุดล้มในที่สาธารณะ นอกจากเจ็บตัวแล้ว ยังอับอายขายหน้าประชาชีด้วย
* หมายเหตุ: เนื่องจากเป็นการชดใช้กรรมครั้งแรก ระบบจึงใจดีแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนหลายวัน เพื่อให้เตรียมใจ
"เฮ้ย!!!" ราเชนทร์ตะโกนลั่นใส่หน้าจอโฮโลแกรมด้วยความตกใจและหงุดหงิดจัด แต่เพียงชั่วพริบตา มันก็หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
ลูกน้องทั้งสี่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะเห็นเจ้านายตะโกนใส่อากาศธาตุอยู่คนเดียว
"นายท่าน... ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?" คิมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะเจ้านายของพวกเขาดูท่าจะเสียสติไปแล้วจริงๆ
"ไม่เป็นห่าอะไร!" ราเชนทร์ตวาดกลับเสียงดังลั่น สีหน้าฉายแววหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
"กูจะต้องไปเรียนรู้การเป็นคนดี... และยังต้องไปจีบครูอีก!" เขากระทืบเท้าเดินนำออกไปจากวัดอย่างหัวเสีย
"จีบครู!?" ลูกน้องทั้งสี่ตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความประหลาดใจผสมกับความงุนงง ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตามหลังเจ้านายไปอย่างไว ทิ้งให้บริเวณวัดกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
และที่ซุ้มประตูวัด เสียงหัวเราะเบาๆ ของบุญมี ยมทูตตัวอ้วนก็ดังขึ้นแผ่วเบาอย่างมีความหมาย
"หึ หึ เตรียมใจไว้ ไอ้หนุ่ม... ความบันเทิงกำลังรอเจ้าอยู่"