“เจ้าคือดวงใจข้าที่ใกล้แตกสลายลงอีกครั้ง” —อเล็กซานเดอร์
ชาย-หญิง,รัก,แฟนตาซี,ดาร์ค,ตะวันตก,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ดราม่า,โรมานซ์แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ“เจ้าคือดวงใจข้าที่ใกล้แตกสลายลงอีกครั้ง” —อเล็กซานเดอร์
ท่ามกลางความรุ่งโรจน์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ คำสาปโบราณกำลังจะตื่นขึ้น…
ปี ค.ศ. 1847 ภายใต้ร่มเงาแห่งพระราชินีนาถวิกตอเรีย หญิงสาวแปลกหน้า—เอเลนอร์ เฮสติงส์—ตื่นขึ้นในร่างของสตรีสูงศักดิ์โดยไร้ซึ่งความทรงจำ
เมื่อโชคชะตานำพาให้เธอได้พบกับดยุก อเล็กซานเดอร์ คาเวนดิช ทายาทแห่งตระกูลผู้ถูกพันธนาการด้วยความลับและบาปกรรมในอดีต ทั้งสองถูกผูกมัดด้วยสายสัมพันธ์เร้นลับและแรงปรารถนาที่ท้าทายขีดจำกัดของกาลเวลา
ท่ามกลางเงามืดของคฤหาสน์แชตส์เวิร์ธ คำสาปร้ายและอดีตอันโหดร้ายค่อย ๆ เผยโฉม เอเลนอร์และอเล็กซานเดอร์ต้องร่วมกันไขปริศนาและเดิมพันด้วยหัวใจ หากปรารถนาจะมีวันพรุ่งนี้ พวกเขาต้องเลือกระหว่างความรักกับความตาย
นวนิยายแฟนตาซี-โศกนาฏกรรมรัก ที่จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งคำสาบาน อำนาจ และการทรยศ กับปาฏิหาริย์ของสองดวงวิญญาณที่ถูกลิขิตให้พานพบเพียงเพื่อจากลาและคําอธิษฐานที่พลิกชะตาฟ้าและดิน
“แม้ม่านเวลาจะขวางทางเราไว้ไกล แต่หัวใจยังร่ำร้องเรียกหา
ใต้ท้องฟ้าที่พราวด้วยหมู่ดาวนับพันครา ความรักยังเลอเลิศเยียวยารอยแผลใจ
แม้ศตวรรษจะพาเราให้ห่างไกล แต่สองวิญญาณยังผูกสายใยแน่นมั่นมิแปรผัน
หนึ่งหัวใจในสองร่างที่ใฝ่ฝัน ดวงดาราจะนำทางเราทุกคืนวัน
ให้ปาฏิหาริย์ผลิบานไม่ว่าวันพรุ่งเป็นเช่นไร”
— เอเลนอร์ บาร์เน็ตต์
หลังจากที่ลิเลียนหยิบเอาชามาให้ดื่มแล้ว นางก็เป่าเทียนไขที่ให้แสงสว่างภายในห้องทุกดวงให้ดับลง เหลือเพียงความมืดมิดในทุกตารางเมตร ฉันพยายามข่มตาลงเพื่อให้สมองอันอ่อนล้าได้พักบ้าง แต่ไม่ว่าจะพยายามหลับใหลยังไงก็ไม่สามารถวางความสงสัยที่ยังค้างคาในใจนี้ได้ลง สมองยังคงคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของวันนี้
ฉันอยากรู้เสียจริงว่าท่านอเล็กซานไปเจอเรื่องอะไรมา และเรื่องที่เขาเจอมาเกี่ยวโยงกับเลดี้เอเลนอร์ผู้นี้ยังไง ทำไมฉันถึงได้กลายมาเป็นคู่หมั้นของเขาได้ และไอ้ท่าทางที่เห็นฉันแล้วอยู่ ๆ ก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมาคืออะไร เขาเห็นอะไรในตัวฉัน หรือว่าจะไม่ใช่ในตัว แต่เป็น ‘บนตัว’
คิดได้เช่นนั้น ฉันก็รีบลุกจากเตียงเดินตรงไปส่องกระจกเพื่อตรวจดูใบหน้าของตัวเองในทันที แสงจันทราสาดส่องเล็ดลอดเข้ามาผ่านทางช่องสี่เหลี่ยมของบานหน้าต่างจนต้องกับใบหน้าอันสวยมนของฉัน แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
เมื่อความสงสัยยังคงค้างเติ่งอยู่แบบนี้ จึงคิดว่าตัวเองควรออกไปเดินรับอากาศสดชื่นในยามค่ำเสียหน่อยให้สมองได้โล่งขึ้น ฉันเดินกลับไปคว้าเอาเชิงเทียนเล็ก ๆ จากบริเวณหัวเตียง ออกจากห้องนอนเพื่อลงไปที่สวน พยายามย่างเท้าอย่างแผ่วเบาไปบนพื้นไม้เพื่อไม่ให้มันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เกรงว่าลิเลียนจะได้ยินเสียงและตื่นขึ้นมาตามหาฉันเอาในกลางดึก รบกวนเวลาพักผ่อนของนางเอาเสียเปล่า
ฉันเดินไปตามทางที่มืดสนิท ดีที่ยังคงมีไฟสลัวจากโคมเทียนไขที่แขวนอยู่เป็นหย่อมตามทางเดิน เมื่อเจอเข้ากับโคมไฟดวงแรก ฉันก็ยื่นเชิงเทียนในมือขึ้นเพื่อจุดไฟจากมัน ใช้เป็นโคมไฟติดตัวไปตลอดทาง
เมื่อจ้องมองไปยังทางเดินข้างหน้าที่ทอดยาวของชั้นนี้แล้วนั้น ฉันก็ได้สังเกตเห็นประตูห้องนอนห้องหนึ่งที่ถูกลงแม่กุญแจเหมือนปิดตาย เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเป็นห้องของใครหรือมีไว้เพื่ออะไร ไยจึงได้ถูกลงกรไว้อย่างแน่นหนาไม่ให้ใครเข้าไปได้เช่นนี้ คิดไว้แค่ว่า ไว้ค่อยถามลิเลียนในวันพรุ่งนี้ตอนรุ่งสางก็ไม่สาย ตอนนี้ยังไงเสียก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี
ฉันเดินสำรวจไปทั่วบริเวณของชั้นสอง ก็ได้พบกับร่องรอยบนผนังบ้านติดกับบริเวณทางลงของบันไดวน บันไดที่ทำจากเนื้อไม้มะฮอกกานีสีเข้มเช่นเดียวกับเตียงนอน ปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงบนทางเท้าที่บุตั้งแต่พื้นจากชั้นสองลงไปจรดที่พื้นของชั้นหนึ่ง คราบบนผนังที่เหมือนกับว่าเคยมีรูปภาพขนาดใหญ่แขวนเอาไว้มาเป็นเวลานาน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาฉันเองก็ไม่เคยสังเกตถึงรอยนี้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเห็นภาพที่เคยแขวนอยู่ตรงนี้มาก่อนหรือไม่ หรือมันเพิ่งจะถูกถอดออกไปได้ไม่นานก็ไม่แน่ใจ ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นภาพครอบครัวดังเช่นบ้านในสมัยก่อน ๆ ไม่ผิดแน่ น่าสงสัยที่ทำไมลอร์ดบาร์เน็ตต์ถึงเอามันลงกัน หรือท่านยังคงคิดถึงเลดี้วิเวียนอยู่อย่างนั้นหรือ ไม่เป็นไร ไว้ถามลิเลียนพร้อมกันในทีเดียว
ฉันเดินลงบันไดไปชั้นหนึ่ง ตรงออกประตูทางด้านหลังของตัวบ้านที่โผล่ไปที่ระเบียงหินหน้าสวน ทุกอย่างมืดสนิทไร้วี่แววของผู้รับใช้ที่ยังคงตื่นอยู่ อากาศข้างนอกเองก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ฉันไม่ได้ใส่เสื้อคลุมลงมาด้วยจึงเขยิบเชิงเทียนใกล้ชิดลำตัว พยายามใช้แสงเทียนให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
ระหว่างกำลังก้าวลงบันไดเพื่อลงไปที่สวนอยู่นั้นก็ได้พบเข้ากับเงาร่างหนึ่งที่ยืนรอฉันอยู่ในมุมมืดที่บริเวณตีนบันไดด้านล่างอยู่ราง ๆ
‘นั่นมันคนหรือว่าวิญญาณ’
ฉันถามตัวเองด้วยสภาวะที่เริ่มตื่นตระหนก เริ่มหวาดระแวงว่านั่นอาจจะไม่ใช่ผี แต่เป็นโจรที่จะมาพรากเอาชีวิตใหม่นี้ของฉันไปอีกครั้ง เมื่อคิดได้ก็หันหลังเตรียมออกวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อกลับเข้าบ้าน แต่เสียงของเงานั่นกลับพูดสิ่งที่เหมือนกับคำเตือนตามหลังขึ้นมา จนฉันต้องหยุดชะงักเพื่อจับใจความ
“ท่านหญิง ข้ามาเตือนท่าน ท่านห้ามไว้ใจเขาผู้นั้นเด็ดขาด เขาจะฆ่าท่าน” เป็นเสียงของบุรุษในวัยหนุ่มที่ฟังแลดูเหมือนพยายามจะมาเตือนอะไรบางอย่าง
ฉันหันกลับไปเพ่งอย่างพินิจ บุรุษที่ไหนมายืนเอายามวิกาลเช่นนี้ ใช่หนึ่งในเหล่าผู้รับใช้ของคฤหาสน์หรือไม่ ฉันยื่นเชิงเทียนในมือให้ส่องแสงไปยังใบหน้าของเขา พอให้ได้เห็นว่าเป็นบุรุษที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีดำขาดหลุดลุ่ย มีฮู้ดคลุมหัวปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิด
“เจ้าเป็นใคร แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แล้วเขาผู้นั้นที่เจ้าว่าคือใครกัน”
ฉันเอ่ยถามพลันปรี่ตัวเข้าใกล้ยิ่งขึ้น แต่บุรุษตรงหน้ากลับเขยิบถอยออกไปในความมืด ฉันที่ดื้อดึงก็พยายามจะเดินเอาแสงไฟไล่ตามเพื่อให้ยังคงส่องเห็นลำตัวของเขา แต่แล้วก็มีเสียงเรียกฉันดังขึ้นมาจากในตัวบ้าน
“คุณหนูเจ้าคะ! ออกมาทำอะไรข้างนอกเช่นนี้ มินอนหรือยังไงเจ้าคะ”
ลิเลียนเดินตามออกมาจากประตูหลังบ้าน ฉันหันขวับไปหานางก่อนจะหันกลับมามองหาบุรุษในชุดคลุมอีกครา แต่เขากลับหายไปแล้ว
“ฉันอยากออกมาสูดอากาศยามค่ำน่ะจ้ะ ขอโทษที” ฉันตอบนางอย่างเถรตรง แต่เลือกที่จะปกปิดเรื่องบุรุษปริศนาที่เพิ่งเจอเอาไว้ก่อน
“มิได้เจ้าคะ เดี๋ยวมิสบายเอา กลับขึ้นห้องไปกับดิฉันเถิดเจ้าค่ะ”
ลิเลียนเดินถือตะเกียงออกมาตามหาฉันที่ระเบียงหิน นางมีสีหน้ากระวนกระวายใจที่เห็นฉันหายไปจากห้องนอน ฉันจึงรีบเดินกลับไปหานางอย่างว่าง่าย แต่ก็แอบเหลียวหลังกลับไปมองเพื่อดูว่าเขายังอยู่ตรงนั้นหรือไม่ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แวว
ระหว่างทางเดินกลับขึ้นไปที่ห้อง ฉันตัดสินใจถามลิเลียนไปตรง ๆ ถึงห้องที่ได้เจอในคืนนี้
“ห้องที่ถูกลงกรไว้คือห้องของผู้ใดงั้นรึ ไยจึงถูกปิดตายเช่นนั้น”
ลิเลียนเงียบไปชั่วครู่หลังจากที่ได้ยินคำถาม ในมือยังคงยกมือถือตะเกียงไฟเดินนำหน้า และไม่นานก็ตอบกลับมาว่า
“ห้องของนายหญิงเจ้าค่ะ นายท่านสั่งให้ดิฉันปิดตายห้องนั้นหลังจากที่นายหญิงเสียไปได้หนึ่งปีเต็ม เพราะนายท่านยังทำใจเรื่องที่ท่านหญิงเสียมิได้เจ้าค่ะ”
‘อย่างนี้นี่เอง’
แปลว่าสิ่งที่ฉันสงสัยเกี่ยวกับรอยแขวนรูปนั่นก็เป็นจริงสินะ ลอร์ดบาร์เน็ตต์คงจะรักภรรยาของตัวเองมากจนต้องเอามันออก ไม่ให้อยู่เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงนาง
‘อย่างกับละครในทีวีที่เคยดูเลย’