“เจ้าคือดวงใจข้าที่ใกล้แตกสลายลงอีกครั้ง” —อเล็กซานเดอร์

A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ - Chapter II The Dance & The Duke (1/3) โดย Amber. Author @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,รัก,แฟนตาซี,ดาร์ค,ตะวันตก,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ดราม่า,โรมานซ์แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,รัก,แฟนตาซี,ดาร์ค,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,ผจญภัย,ดราม่า,โรมานซ์แฟนตาซี

รายละเอียด

A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ โดย Amber. Author @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

“เจ้าคือดวงใจข้าที่ใกล้แตกสลายลงอีกครั้ง” —อเล็กซานเดอร์

ผู้แต่ง

Amber. Author

เรื่องย่อ

ท่ามกลางความรุ่งโรจน์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ คำสาปโบราณกำลังจะตื่นขึ้น…

ปี ค.ศ. 1847 ภายใต้ร่มเงาแห่งพระราชินีนาถวิกตอเรีย หญิงสาวแปลกหน้า—เอเลนอร์ เฮสติงส์—ตื่นขึ้นในร่างของสตรีสูงศักดิ์โดยไร้ซึ่งความทรงจำ

เมื่อโชคชะตานำพาให้เธอได้พบกับดยุก อเล็กซานเดอร์ คาเวนดิช ทายาทแห่งตระกูลผู้ถูกพันธนาการด้วยความลับและบาปกรรมในอดีต ทั้งสองถูกผูกมัดด้วยสายสัมพันธ์เร้นลับและแรงปรารถนาที่ท้าทายขีดจำกัดของกาลเวลา

ท่ามกลางเงามืดของคฤหาสน์แชตส์เวิร์ธ คำสาปร้ายและอดีตอันโหดร้ายค่อย ๆ เผยโฉม เอเลนอร์และอเล็กซานเดอร์ต้องร่วมกันไขปริศนาและเดิมพันด้วยหัวใจ หากปรารถนาจะมีวันพรุ่งนี้ พวกเขาต้องเลือกระหว่างความรักกับความตาย

นวนิยายแฟนตาซี-โศกนาฏกรรมรัก ที่จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งคำสาบาน อำนาจ และการทรยศ กับปาฏิหาริย์ของสองดวงวิญญาณที่ถูกลิขิตให้พานพบเพียงเพื่อจากลาและคําอธิษฐานที่พลิกชะตาฟ้าและดิน

 

“แม้ม่านเวลาจะขวางทางเราไว้ไกล แต่หัวใจยังร่ำร้องเรียกหา

ใต้ท้องฟ้าที่พราวด้วยหมู่ดาวนับพันครา ความรักยังเลอเลิศเยียวยารอยแผลใจ

แม้ศตวรรษจะพาเราให้ห่างไกล แต่สองวิญญาณยังผูกสายใยแน่นมั่นมิแปรผัน

หนึ่งหัวใจในสองร่างที่ใฝ่ฝัน ดวงดาราจะนำทางเราทุกคืนวัน

ให้ปาฏิหาริย์ผลิบานไม่ว่าวันพรุ่งเป็นเช่นไร”

— เอเลนอร์ บาร์เน็ตต์

สารบัญ

A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter I I am Eleanor,A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter II The Dance & The Duke (1/3),A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter II The Dance & The Duke (2/3),A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter II The Duke & The Dance (3/3),A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter III My Lady (1/3),A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter III My Lady (2/3),A Tale of Thousand Stars ปาฏิหาริย์รักข้ามพิภพ-Chapter III My Lady (3/3)

เนื้อหา

Chapter II The Dance & The Duke (1/3)

วันที่ 25 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1847

 

อย่าเพิ่งตกใจว่าทำไมบันทึกเล่มนี้ถึงเริ่มต้นขึ้นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดปีย้อนหลังจากปี ค.ศ. 2025 อย่างที่ฉันเคยเกริ่นไปก่อนหน้าแล้วว่ามันมีเรื่องราวเหนือธรรมชาติสุดพิสดาร ที่นอกเหนือจากเรื่องที่ฉันฟื้นคืนชีพต่างหากอยู่ เมื่อค่อย ๆ อ่านไปแล้วพวกเธอก็จะเข้าใจถึงสาเหตุเอง

 

✽ ✽ ✽

 

จากจุดนี้เป็นต้นไปคือจุดเริ่มต้นการเดินทางในบันทึกเล่มนี้ ปาฏิหาริย์ที่ฉันพูดถึงในตอนแรกมีต้นเรื่องมาจากเหตุการณ์ในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก หลังจากที่ฉันขับรถออกจากบ้านเช่าหลังน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากถนนที่วิ่งตรงสู่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ไม่นาน ห่าฝนก็สาดลงมาเหมือนพายุเข้า ฉันเองก็ลืมที่จะตรวจดูสภาพอากาศให้รอบคอบก่อนที่จะจองโรงแรม ถ้ารู้ว่าจะมีพายุเข้าแบบนี้คงเลือกจะเดินทางในเช้าวันถัดไป ไม่ก็เปลี่ยนเป็นนั่งรถไฟแทน มัวแต่ตื่นเต้นกับโอกาสที่เพิ่งได้รับมากจนเกินเหตุ อยากรีบบึ่งรถไปถึงลอนดอนให้เร็วที่สุด

แอปพลิเคชันแผนที่บนโทรศัพท์มือถือบอกเวลาว่า การเดินทางจากเคมบริดจ์ไปยังกรุงลอนดอนต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยประมาณชั่วโมงกว่า ๆ เกือบ ๆ สอง เพราะรถที่ติดหนักจากพายุฝน ไหนจะต้องวนหาที่จอดรถอีกเพราะโรงแรมนี้ไม่มีลานจอดรถ แหงละ ลอนดอนเป็นเมืองที่ตึกรามเบียดเสียดกันจนยากที่จะหาที่จอดได้ง่าย ๆ แถมราคาที่ดินก็แสนแพงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึง กว่าจะได้เช็กอินก็คงปาไปสี่ทุ่มห้าทุ่มไม่ก็เที่ยงคืนเลยมั้งเมื่อประเมินดูจากสภาพแล้ว

ระหว่างที่กำลังขับรถอยู่นั้นเอง ฉันก็เริ่มมองทางด้านหน้าไม่เห็น สาดน้ำฝนร่วงลงมาถี่ยิบจนเหมือนม่านสายน้ำ เป็นฝนที่ตกหนักมากกว่าครั้งไหน หนักมากจริง ๆ มันบดบังทัศนียภาพทั้งหมดบนท้องถนนของผู้ขับ แต่ในตอนนั้นฉันคิดแค่ว่ายังไงก็ต้องไปให้ถึงลอนดอนให้ได้ แต่แล้วรถคันข้าง ๆ ก็มีท่าทางการขับที่แปลกไป เริ่มเซไปเซมาเหมือนกำลังเสียการทรงตัว ถนนคงจะลื่นมาก รถที่ไม่ได้เปลี่ยนยางมานานน่าจะเสี่ยงมากกับสภาพถนนในคืนนี้

ฉันพอที่จะเห็นภาพราง ๆ ว่า รถคันดังกล่าวเริ่มเซเข้าใกล้รถของฉันมากยิ่งขึ้น แต่ความซวยคือฉันมองไม่เห็นทั้งทางข้างหน้า ข้างหลัง หรือขอบถนนเลยน่ะสิ ในตอนนั้นจำได้แค่ว่าตัวเองรู้สึกกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะต้องจบชีวิตในคืนนั้น กลัวว่ามันจะเป็นจริงดังที่คิดไว้ ความกลัวนั้นแล่นขึ้นในอกจนร่างกายสั่นสะท้านแบบที่ควบคุมไม่อยู่ นำพาให้จิตนึกถึงสิ่งที่เป็นพึ่งสุดท้ายในยามคับขันเช่นนี้

“ได้โปรดเถอะพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดช่วยให้ลูกปลอดภั—”

โคล่มม!

ไม่ทันจะได้เอ่ยคำอ้อนวอนต่อพระเจ้าจนจบ รถก็พลิกคว่ำ ความมืดย่างกรายเข้ามาในสติสัมปชัญญะจนทุกอย่างแทบดับสิ้น ในตอนนั้น มันเลือนรางเสียจนไม่สามารถทำความเข้าใจกับสถานการณ์รอบข้างได้อีกต่อไป รวมถึงความเจ็บจากบาดแผลตามเรือนร่างเองก็ไม่แม้แต่จะรู้สึก ฉันได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำฝนที่สาดแรงกระทบกับตัวรถดังอึกทึก รู้สึกถึงของเหลวที่กำลังไหลอาบสองแก้มลงมาจากศีรษะ ผ่านริมฝีปากลงไปที่คาง และไม่นานนัก สติทั้งหมดก็เลือนหายไปอย่างบริบูรณ์โดยที่ร่างของฉันยังคงติดอยู่ในซากรถคันนั้น

พอได้สติอีกครั้งก็เห็นแสงสว่างสาดเข้าหาลำตัว และก็รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มที่ไหนสักแห่งหนึ่ง

‘หรือว่าจะมีใครพาฉันไปส่งโรงพยาบาลกันแล้วนะ’ คือความคิดแรกของฉัน

ฉันค่อย ๆ ลืมเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้น ในตอนแรกภาพที่ได้เห็นก็เลือนราง แต่พอได้จับสังเกตดี ๆ กลับกำลังจ้องไปที่แชนเดอเลียร์สีทองหม่นแสนสวยงามที่ห้อยระย้าลงมาจากฝ้าเพดานห้องของเศรษฐีสักคน แสงแดดยามเช้ากระทบคริสตัลที่ประดับประดาเรียงตัวกันนั้นระยิบระยับ

‘นี่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือ’

พอกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงหลังที่ทั้งหนาและใหญ่ เตียงนอนหลังนี้เองก็ไม่ธรรมดา มีเสาเตียงที่สี่ขอบมุมตามแบบฉบับยุโรปดั้งเดิมที่ฉันเคยเห็นอยู่เป็นประจำตามหน้าหนังสือ หรือประสาทที่เคยไปตระเวนชมตามเมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งทวีป พร้อมลวดลายแกะสลักอย่างบรรจงลงเนื้อไม้มะฮอกกานีสีเข้ม

‘ใครเก็บฉันมาจากข้างถนนหรือยังไง’ ฉันสงสัย

เมื่อตั้งสติได้ ฉันก็รีบตรวจดูสภาพร่างกายของตัวเองในทันทีว่า ผู้ที่เก็บฉันมาได้ทำแผลให้บ้างหรือเปล่า น่าแปลกที่ร่างกายกลับปกติดีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนที่เพิ่งประสบเหตุรถพลิกคว่ำเลยสักนิด แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือฉันกำลังสวมเดรสนอนยาวสีขาวบางที่มีลายลูกไม้ประดับเบา ๆ อยู่ตรงเนินอก

‘สมัยนี้แล้วยังมีใครที่ยังมีชุดนอนแบบนี้กันอีกหรือ’

ผู้มีพระคุณของฉันคงจะเปลี่ยนชุดให้ ด้วยชุดนอนที่ดูหรูหราราคาแพงตัวนี้เป็นแน่ เขาช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตาเสียเหลือเกินที่ยอมสละมันให้กับคนแปลกหน้าอย่างฉัน ฉันประเมินมันพร้อมกับไถลตัวลงจากเตียงใหญ่อันแสนสบายเพื่อสังเกตสถานที่โดยรอบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ห้องนอนห้องนี้กว้างใหญ่มากโข มันถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่แลดูโบราณคร่ำครึไม่มีแม้แต่โทรทัศน์หรือไฟฝังเพดานสักดวง แชนเดอเลียร์ที่แสนงามตานั่น ถ้ามองให้ดีแล้วก็จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้า แต่เป็นการจุดไฟด้วยตะเกียงน้ำมัน

พอมองไปที่หน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะเครื่องแป้ง ก็จะเห็นเครื่องชุดน้ำชาที่ทำจากเซรามิกชั้นดี ดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นงานฝีมือระดับฉมังวางอยู่บนโต๊ะกลมเล็ก ๆ ในบริเวณนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับหลุดออกมาจากยุคสมัยวิกตอเรียนก็ไม่ปาน

‘ยังมีคฤหาสน์ที่ตกแต่งได้ย้อนยุคขนาดนี้เชียว’

ว่าแล้ว ฉันก็คิดอยากจะส่องกระจกดูสภาพตัวเองให้เต็มตาอีกสักครั้งก่อนที่จะออกไปตามหาผู้มีพระคุณที่ช่วยฉันไว้ เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังสะท้อนอยู่บนกระจกบานนั้นกลับไม่ใช่ภาพที่คุ้นตา

‘นางเป็นใครกัน นี่—นี่คือตัวฉันอย่างนั้นหรือ!’

‘เดี๋ยวนะ!’

‘เดี๋ยวก่อน!’

‘อย่าโกหกกันสิ!’

‘ไม่!'

‘นี่มันไม่ใช่ฉัน!’

‘นี่ฉันมาอยู่ในร่างของใครกัน!’

ฉันได้แต่ตะโกนถามซ้ำ ๆ อยู่ในหัววกไปวนมา หน้าตาของหญิงสาวในกระจกดูอ่อนวัยกว่าที่ฉันจำความได้ ปกติแล้วฉันไม่ได้ดูเด็กขนาดนี้ เหมือนกับว่าหญิงสาวผู้นี้ยังอยู่ในวัยไม่ถึงยี่สิบดีเสียด้วยซ้ำ

แต่ทว่า เส้นผมนี่...เรือนผมสีน้ำตาลคล้ายคาราเมลไหม้ที่กำลังต้องแสงแดดอยู่นี้ช่างดูละมุนตายิ่งนัก ไหนจะนัยน์ตาสีน้ำตาลใสสกาวเช่นว่าสามารถมองได้ทะลุถึงทุกสรรพสิ่งเยี่ยงนกเหยี่ยวนี่อีก ทั้งยังผิวกายที่แสนซีดเซียวและเรียบเนียนดุจผ้าไหม หากจะบอกว่าหญิงสาวผู้นี้งดงามดั่งเจ้าหญิงจากโลกนิทานแล้วคงไม่เกินจริง เท่าที่ฉันจำลักษณะของตัวเองได้ ฉันไม่ใช่ผู้ครอบครองร่างกายที่แสนสมบูรณ์แบบเยี่ยงหญิงสาวผู้นี้อย่างแน่นอน

เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือร่างกายของฉันจริง ๆ อีกครั้ง จึงใช้มือเรียวบางของร่างนี้ลูบไล้ไปตามสรีระบนใบหน้าของหญิงสาวในกระจก โหนกแก้มเอย ริมฝีปากเอย สันจมูกเอย และเส้นผมเอย มันไม่ใช่สัมผัสที่คุ้นเคยจริง ๆ นั่นแหละ และเพื่อให้แน่ใจซ้ำเป็นครั้งที่สอง ฉันตัดสินใจใช้ฟันกัดเข้าที่แขนอย่างเต็มแรงเผื่อว่าอาจจะแค่ฝันไป

‘โอ๊ยเจ็บ!’

ไม่ได้ฝันไปจริง ๆ สรุปแล้วคือฉันประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิตในคืนนั้น แล้วก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างของหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้ ช่างขัดจากความเป็นไปได้เสียเหลือเกิน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นจริงในโลกของเราได้ หรือนี่จะเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ากันแน่ พระองค์ทรงเลือกที่จะประทานชีวิตใหม่นี้ให้แทนการรักษาชีวิตเก่าที่ไม่มีทางยื้อไว้แล้วอย่างนั้นหรือ แต่พระองค์จะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันตายจากอย่างที่ควรจะเป็น

น่าเสียดายที่ชีวิตอันแสนมีค่าในฐานะเอลลีช่างสั้นนัก อุตส่าห์กำลังจะได้มีอนาคตที่ดีอยู่แล้วเชียว กลับต้องมาด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่มีแม้โอกาสได้ร่ำลาคุณแม่ด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้ห่วงท่านแล้ว โชคดีที่คุณแม่ได้พบกับรักครั้งใหม่ในวัยห้าสิบสามปีของนาง หล่อนแต่งงานย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ชาวฝรั่งเศสที่มงเปอลิเยร์เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉันจึงไม่จำเป็นต้องห่วงสวัสดิภาพของนางว่าจะไม่มีคนดูแล

‘แต่แล้วยังไงต่อล่ะ ฉันต้องทำยังไงต่อ ใครก็ได้บอกฉันที!’

คือสิ่งที่ฉันเวียนถามใครสักคนภายในใจที่ไร้ซึ่งคำตอบ เพราะในห้องนี้มีฉันอยู่เพียงลำพัง และฉันเองก็ไม่รู้จักใครที่นี่เลยสักคน

เอี๊ยยด...

ไม่นานนักก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง ฉันหันกลับไปมองคนผู้นั้นในท่าที่ฝ่ามือยังคงกุมอยู่ที่พวงแก้มทั้งสองข้าง

“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูฟื้นแล้ว! คุณหนูมิเป็นอะไรมากใช่หรือไม่”

หญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามามีทีท่ากระวนกระวายใจ เมื่อนางมองไปที่เตียงแล้วไม่พบสิ่งที่ตัวเองกำลังตามหา จนเพิ่งหันมาสังเกตเห็นฉันที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในท่าที่เหมือนลิงทำปากยู่

หญิงผู้นี้มีผมสั้นประบ่าที่มัดรวบตึงเป็นหางม้าน้อย ๆ อยู่ทางด้านหลังศีรษะ นางมีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนกันกับของฉัน แต่เป็นคนละโทนสี อายุน่าจะอยู่ราว ๆ ยี่สิบปลายเห็นจะได้ นางสวมเดรสผ้าฝ้ายสีเทาซีดอย่างเรียบง่าย พร้อมกับกระโปรงทรงกว้างที่ไหลยาวกรอมข้อเท้า ส่วนของแขนเสื้อยาวจนรัดข้อมือมีประดับด้วยผ้าลูกไม้อยู่จาง ๆ ทั้งยังมีปกเสื้อที่สูงติดลำคอ เย็บติดด้วยกระดุมผ่าหน้าสีขาวหม่นที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และที่เห็นเด่นชัดสุดคือ ผ้ากันเปื้อนสีเทาอ่อนที่ผูกทับอยู่ตรงส่วนเอวแบบสาวใช้อังกฤษ

“สะ—สวัสดีค่ะ คุณเป็นใครคะ”

ฉันถามนางไปตรง ๆ ด้วยท่าทางหวาดกลัว ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางหมายความถึงใคร และตัวนางเองเป็นใครกัน จะมาทำร้ายอะไรฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้

นางเดินตรงมาหาฉันและจ้องเข้ามาในดวงตา แววตานั่นแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้อย่างมาก ก่อนจะรวบตัวฉันเข้าไปสวมกอดในร่างผอมบางอย่างอ่อนโยน

“ทำไมคุณหนูจำดิฉันมิได้แล้วเจ้าคะ ท่านลืมสิ้นแล้วหรือไร” นางเอ่ยพร้อมผละตัวฉันออกเพื่อมองหน้าฉันอีกครา วาจาการพูดของนางไม่ได้มาจากยุคที่ฉันอยู่อย่างแน่นอน เป็นคำพูดที่ฟังดูรื่นหูดีหรอก แต่เป็นวาจาศัพท์ที่โบราณเสียเหลือเกิน

“ฉันไม่แน่ใจ ที่นี่ที่ไหนกัน แล้ววันนี้วันที่เท่าไหร่”

ฉันถามนางไปแบบนั้น นึกสงสัยว่าตัวเองอาจจะย้อนเวลากลับมาในยุคใดยุคหนึ่งในอดีตที่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

“ที่นี่คือคฤหาสน์เว็กซ์ฟอร์ดของคุณหนูไงเจ้าคะ พวกเราอาศัยในกรุงลอนดอน ส่วนวันนี้วันที่ 25 ตุลาคม คริสต์ศักราชที่ 1847 เจ้าค่ะ”

หญิงสาวผู้นี้ตอบคำถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างมาก คงเข้าใจว่าฉันความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุอะไรบางอย่าง

‘นี่ฉันย้อนเวลามาเป็นร้อยปีเลยงั้นหรือ ปี ค.ศ. 1847 คือยุคสมัยของพระราชินีนาถวิกตอเรีย เมื่อตรองดูสภาพการแต่งตัวของหญิงตรงหน้าและอินทีเรียร์ของตัวคฤหาสน์แล้ว นี่คือการตกแต่งแบบยุควิกตอเรียนตามที่นางว่าอย่างถูกต้อง ถ้าเช่นนั้น ฉันควรแกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อมไปก่อนเผื่อจะสามารถหาคำตอบกับเหตุการณ์ในตอนนี้ได้

“เธอ…เธอชื่ออะไร ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้ไหมว่าฉันเป็นใคร แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่”

นางเงียบนิ่งไปชั่วครู่

“ดิฉันมีชื่อจริงว่า ลิลาอ์นา วูดเวิร์ด แต่คุณหนูเรียกดิฉันด้วยชื่อ ลิเลียน เจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงรับใช้ของคุณหนูมาเนิ่นนานตั้งแต่คุณหนูยังมิเกิด เมื่อวานคุณหนูเป็นลมล้มอยู่ที่สวนหลังคฤหาสน์ ทำเอาทุกคนแตกตื่นกันไปทั่ว ศีรษะของคุณหนูน่าจะกระแทกพื้นแรงพอสมควร ตอนนี้คุณหนูเลยยังจำความอะไรมิได้ คุณหนูสลบไปหนึ่งวันเต็มเลยเจ้าค่ะ”

‘เช่นนั้นเองหรอกหรือ’

หญิงสาวผู้นี้คือคนรับใช้ของฉัน ส่วนเจ้าของร่างนี้แต่เดิมเป็นลมล้มหัวกระแทกพื้นจนตายจากไปแล้วฉันก็เข้ามาสิงแทนที่สินะ น่าแปลกที่ตอนฉันส่องกระจกกลับไม่พบว่าตัวเองมีรอยบาดแผลฟกช้ำที่ส่วนไหนบนหน้าผาก หรือเจ็บแผลที่ส่วนไหนบนศีรษะเลย

ลิเลียนจูงมือฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่บุด้วยผ้าทอหนาอย่างดีตรงปลายเตียง ก่อนจะเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าของร่างนี้เพิ่มเติมให้ฉันฟัง

“คุณหนูมีชื่อว่า เลดี้ เอเลนอร์ บาร์เน็ตต์ เป็นธิดาคนท—”

นางหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนกล่าวจบ สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วถึงกล่าวต่อ

“คุณหนูเป็นธิดาของท่าน มาร์ควิสแห่งเว็กซ์ฟอร์ด ลอร์ด เพอร์ซิวัล บาร์เน็ตต์ กับ เลดี้ วิเวียน ดัสค์เบน เจ้าค่ะ แต่นายหญิงเสียไปตั้งแต่วันที่ท่านคลอดคุณหนูแล้ว และนายท่านเองก็มิได้สมรสกับท่านหญิงที่ไหนใหม่ ปัจจุบันคุณหนูอายุสิบแปดปีเต็มบริบูรณ์ มีคู่หมั้นที่กำลังจะสมรสกันในเร็ววันคือ ใต้ฝ่าพระบาท อเล็กซานเดอร์ คาเวนดิช ดยุกแห่งเดวอนเชียร์ เจ้าค่ะ”

ฉันถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฉันกำลังยึดร่างของเลดี้เอเลนอร์ผู้สูงศักดิ์ ธิดาของขุนนางชั้นสูงในยุคสมัยของพระราชินีนาถวิกตอเรีย แถมหญิงสาวผู้นี้ยังมีชื่อเดียวกันกับฉันอีก และที่สำคัญ นางเป็นคู่หมั้นของดยุกแห่งเดวอนเชียร์ที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ แต่เดี๋ยวก่อน...ชื่อเจ้าของศักดิ์ดยุกแห่งเดวอนเชียร์ เท่าที่เคยถูกบันทึกไว้ไม่เคยมีชื่อ อเล็กซานเดอร์ คาเวนดิช อย่างที่นางบอกเสียหน่อย

‘เขาเป็นใคร หรือว่าการย้อนเวลาของฉันจะพ่วงภารกิจบางอย่างติดมาด้วย จุดประสงค์เพื่อไขความลับของตัวละครดยุกท่านนี้หรือเปล่า’ ฉันครุ่นคิด

“คืนนี้คุณหนูต้องไปร่วมงานเต้นรำที่คฤหาสน์เดวอนเชียร์ในเขตพิคคาดิลลีกับใต้ฝ่าพระบาทเจ้าค่ะ ท่านเพิ่งส่งจดหมายเชิญคุณหนูมาเมื่อช่วงเช้า ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะต้องปฏิเสธจดหมายของท่านไปเนื่องเพราะคุณหนูยังสลบมิได้สติ แต่เมื่อเห็นคุณหนูสบายดีเช่นนี้แล้ว ดิฉันก็ควรไปเตรียมเครื่องแต่งกายสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้มาให้”

ลิเลียนเอ่ยเสริมพร้อมกับยื่นซองจดหมายที่มีตัวอักษรข้อความที่ถูกเขียนด้วยปากกาขนนกแบบโบราณมาให้ฉัน เมื่อเปิดมันออกมาอ่านดูก็ยืนยันได้ว่าสิ่งที่นางพูดมาทั้งหมดเป็นความจริงไม่ผิดเพี้ยน จดหมายฉบับนี้มีตราประทับประจำตระกูลและลายเซ็นกำกับอยู่ คืนนี้ฉันจึงต้องเตรียมตัวไปพบกับคู่หมั้นที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

‘อยู่ ๆ ก็ได้มีสามีแบบงง ๆ เสียแล้วเรา’