เมื่อหญิงสาวผู้สิ้นหวังตกสู่รังของสัตว์ในตำนาน  “นก” กลับได้พบว่าการสิ้นสุดอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  แสงสว่างในชีวิตที่เธอเคยคิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว  ยังคงรอให้เธอสัมผัสมันได้ อีกครั้ง [อัพทุกจันทร์]

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต - บทที่ 2 ฟีนิกซ์ดวงดาว โดย นภิสดารา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,จิตวิทยา,โรคซึมเศร้า,สัตว์วิเศษ,เยียวยาจิตใจ,มังกร,ฟีนิกซ์,ความหวัง,มิตรภาพ,ฮีลใจ,ต่างโลก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,จิตวิทยา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรคซึมเศร้า,สัตว์วิเศษ,เยียวยาจิตใจ,มังกร,ฟีนิกซ์,ความหวัง,มิตรภาพ,ฮีลใจ,ต่างโลก,แฟนตาซี

รายละเอียด

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต โดย นภิสดารา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อหญิงสาวผู้สิ้นหวังตกสู่รังของสัตว์ในตำนาน  “นก” กลับได้พบว่าการสิ้นสุดอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  แสงสว่างในชีวิตที่เธอเคยคิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว  ยังคงรอให้เธอสัมผัสมันได้ อีกครั้ง [อัพทุกจันทร์]

ผู้แต่ง

นภิสดารา

เรื่องย่อ

ในวันที่หมดแรงจะก้าวเดินต่อ “นก” นักศึกษาปริญญาโทด้านสัตววิทยาวัย 25 ปี เลือกจบชีวิตตนลงบนยอดเขาเขียว แต่แทนที่จะดับสูญ นกกลับลืมตาขึ้นในรังของสิ่งมีชีวิตในตำนาน ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว


ที่นี่ นกได้รับข้อเสนอให้กลายเป็นคู่พันธะสัญญาของฟีนิกซ์ดวงดาว สัตว์ในตำนานที่มีพลังแห่งความหวัง และแม้ตัวนกจะรู้สึกไร้ค่าเกินกว่าจะช่วยใครได้อีก แต่การเดินทางครั้งใหม่นี้ กลับค่อย ๆ เยียวยาหัวใจที่แตกร้าว


ในโลกที่พลังเวทแห่งธาตุทั้งห้าหล่อเลี้ยงสมดุลชีวิต นกค่อย ๆ เรียนรู้ว่า นกไม่จำเป็นต้องมีพลังที่ยิ่งใหญ่ ก็มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่


เพราะบางครั้ง แสงแห่งความหวัง อาจเริ่มต้นจากใจที่เคยมืดมน


สารบัญ

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทนำ แสงสุดท้าย,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 1 รัตติกาลนิรันดร์,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 2 ฟีนิกซ์ดวงดาว,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 3 มังกรสายฟ้า,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 4 อดีตในกองฟอน

เนื้อหา

บทที่ 2 ฟีนิกซ์ดวงดาว

บทที่ 2 : ฟีนิกซ์ดวงดาว 




‘จับแน่น ๆ นะนก’


เอสเตลส่งเสียงมาในหัวนกอีกครั้ง หลังจากที่บอกให้นกถือขนนกสีทองยาวเท่าศอกไว้ในมือ สองมือของนกกำตรงโคนขนแล้วตะกายขึ้นมายืนที่ขอบรัง จะงอยปากสีทองเล็กจิ๋วคาบส่วนปลายขนอีกด้านไว้ ทำให้ตัวลูกนกสีทองห้อยต่องแต่งอยู่ที่ปลายขนนกยักษ์ เนื่องจากเอสเตลที่เพิ่งเกิดใหม่ยังบินไม่ได้ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยขนนกของเอสเตลตัวเก่าที่ร่วงหล่นอยู่ในรังเพื่อช่วยในการลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง


‘โดด!’


เมื่อขึ้นมาอยู่สูงจนสายตานกไม่สามารถมองเห็นพื้นเบื้องล่างได้ การจะโดดลงไปจึงไม่ง่าย แม้กับคนที่เพิ่งโดดลงมาจากหน้าผาไม่นานนักแบบนก แต่เมื่อความเจ็บปวดทางกายหายไป และภายในใจที่แตกร้าวมานานเริ่มมีแสงสว่างให้เห็นว่าตัวนกยังอาจจะมีค่าได้ในโลกแห่งนี้ ความรู้สึกยังไม่อยากตายก็ผุดขึ้นมาในใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน นกจ้องมองแผ่นฟ้าสีดำสนิทอันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างลังเล เสียงดังกังวานในหัวนกของเอสเตลเงียบไป เหมือนรอให้นกตัดสินใจด้วยตัวเอง นกคิดทบทวนคำพูดของเอสเตลอีกครั้ง นกไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว นกอยากมีค่ามากกว่านี้ นกอยากช่วยเอสเตล ชีวิตแรกที่บอกว่านกมีค่า หลังอาจารย์ที่ปรึกษาจากไป แต่นกจะมีค่าได้อย่างไรถ้านกไม่กล้าที่จะก้าวออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกนี้ นกสูดหายใจเข้าลึก แล้วก้าวออกไปจากรัง…




มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต ตัวนกลอยอยู่กลางอากาศ ท่ามกลางหมู่ดาวบนท้องฟ้ามืดมิดโดยมีแสงสีทองจาง ๆ ล้อมรอบตัวนก ขนนก และเอสเตลอยู่ ขนนกสีทองค่อย ๆ พาทั้งสองลอยต่ำลงเรื่อย ๆ เป็นเวลานานจนนกคิดว่าตัวเองคงไม่มีแรงพอจะจับขนนกนั่นไว้ได้จนถึงพื้น แต่นกกลับต้องแปลกใจเมื่อนกไม่รู้สึกเมื่อยล้าเลย จนกระทั่งนกเริ่มมองเห็นแสงสว่างบนขอบฟ้า มันไม่ใช่เวลาอรุณรุ่ง แต่กลับเป็นยามอาทิตย์อัสดง 


‘ทำไมตอนออกมาจากรังเป็นช่วงกลางคืนแต่ตอนนี้กลายเป็นตอนเย็นล่ะ’มาเท่านั้น’  


นกมองภาพลูกนกตัวน้อยคาบปลายขนนกสีทองที่มีพื้นหลังเป็นดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปนเปกันจนแยกไม่ออก แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไปกลายเป็นความอบอุ่นใจเมื่อได้สบสายตาสีนิลของเอสเตล นกหลับตาลงสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมมองลงไปเบื้องล่าง กลิ่นดินกลิ่นหญ้าที่คุ้นเคยไม่ต่างจากโลกเดิมมากนักทำให้นกรู้สึกสบายใจได้เหมือนเคย เรือนยอดไม้สีเขียวขจีแน่นขนัดเริ่มเห็นชัดในคลองสายตา ไม่สิ นั่นมันใบไม้หลากสี นกเห็นใบไม้รูปร่างสีสันแปลกตา ทั้งรูปวงกลมสีแดง รูปจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงิน และดาวห้าแฉกสีเหลือง ปะปนอยู่กับใบไม้สีเขียวรูปร่างปกติที่นกคุ้นเคย แค่ใบไม้ก็ทำให้นกตื่นตาตื่นใจได้แล้ว สัตว์ของที่นี่จะเป็นอย่างไรกัน จิตวิญญาณนักศึกษาปริญญาโทสาขาสัตววิทยาผู้อยากรู้อยากเห็นเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง หลังจากที่ทิ้งร่างของนกไปเป็นปี ท่ามกลางการเฝ้ามองอย่างดีใจของเอสเตล




ในที่สุดเท้าทั้งสองข้างของนกก็แตะพื้นดินอีกครั้ง นกเอื้อมมือไปรับตัวเอสเตลมาไว้ในอุ้งมือขวา ก่อนจะรีบดึงมือนั้นเข้ามาแนบอกด้วยท่าทางปกป้อง แล้วชี้ขนนกในมือซ้ายออกไปด้านหน้าเหมือนชี้ดาบ เมื่อหันมาเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าสูงเป็นสี่เท่าของขนนกนั่นกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยดวงตาคู่คมสีม่วงสวยราวกับอัญมณี ดวงหน้าคมคายล้อมกรอบด้วยผมหยักศกสีดำสนิทยาวประบ่าที่ถูกรวบไว้ด้านหลังแบบหลวม ๆ ดูดุดันแต่ก็สง่างาม นกสูงแค่อกของเขาเท่านั้นและตัวหนาไม่ถึงครึ่งของตัวเขา แขนบางสั่นน้อย ๆ ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวด แต่เป็นความกลัว เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าถือดาบสองคมเล่มใหญ่ไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ขาที่เพิ่งได้ยืนด้วยกำลังตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบปี อ่อนแรงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ นกก้าวถอยหลังนิดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เป็นจังหวะที่ขาทั้งสองของเธอทรยศ พร้อมใจกันทรุดลงกับพื้นหญ้า


“เจ้าเป็นใคร” เสียงเข้มเอ่ยถามอย่างดุดัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ทำไมถึงลอยลงมาพร้อมขนของฟีนิกซ์ดวงดาว”


“กิลเรเนีย นางมากับข้า” เสียงใสดังมาจากอกของนก นกดึงมือขวาออกจากตัวนิดหนึ่ง จึงได้เห็นว่าเอสเตลเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก


“เอสเตล? นั่นเจ้าหรือ เจ้าเกิดใหม่แล้วหรือ แล้วโอโลสเล่า” 


“ข้าไม่รู้ เจ้าเห็นสายฟ้าฟาดหรือยังเล่า ข้าเป็นฟีนิกซ์ดวงดาว ข้าย่อมต้องกลับไปเกิดใหม่ในรังท่ามกลางหมู่ดาวของข้า แต่โอโลสเป็นมังกรสายฟ้า เขาจะเกิดใหม่เมื่อสายฟ้าฟาดลงมายังพื้นโลก” เสียงใสดังกังวาลเฉกเช่นเดียวกับเมื่อมันดังอยู่ในหัวของนก แต่คราวนี้ออกมาจากลูกนกตัวน้อยที่นั่งอยู่ในอุ้งมือนก


“ข้าเห็นสายฟ้าฟาดในป่าทางใต้ราวหนึ่งชั่วยามก่อน” ชายหนุ่มตอบกลับพลางลดดาบในมือลง นกเพิ่งสังเกตว่าใบดาบนั้นทำมาจากหินหรืออัญมณีสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยับ ไม่ใช่ใบดาบโลหะอย่างที่เคยเห็น ดาบใหญ่ค่อย ๆ หดเล็กลงและหายไปกลายเป็นแหวนเพชรสวมอยู่บนนิ้วกลางมือขวาของชายหนุ่ม


“ไม่ต้องกลัวไป นกน้อย นี่สหายของข้า กิลเรเนีย” เอสเตลเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของนกที่พยายามลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง “นี่นก มนุษย์จากต่างมิติที่บังเอิญตกลงมาในรังของข้าตอนที่ข้าจะเกิดใหม่”


ดวงตาคู่คมตวัดมองนกที่เพิ่งยืนขึ้นเต็มความสูงได้อีกครั้งตั้งแต่หัวจรดพื้นด้วยสายตาที่นกอ่านไม่ออก


“ตัวเล็กจัง” เป็นคำแรกที่กิลเรเนียพูดกับนก เหมือนหลุดปากมากกว่าตั้งใจ นกได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ “ข้า กิลเรเนีย”


“นก…นก” 


“เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ข้าได้เจอ ข้า… ดีใจจัง”


มือหนาคว้าไหล่บางทั้งสองข้างดึงเข้าหาตัว ดวงหน้าคมคายก้มลงจนหน้าผากแตะกับหน้าผากนก มือน้อยผลักอกแกร่งออกเต็มแรงโดยสัญชาตญาณ แต่ร่างหนากลับไม่ขยับ มือทั้งสองข้างจึงเปลี่ยนมาจับต้นแขนแกร่งไว้แน่น เข่าขวากระแทกเข้าที่ท้องเต็มรัก ชายหนุ่มสะดุ้งถอยหลังเล็กน้อย ตัวงอลง หลังเท้าขวาฟาดซ้ำเข้าเต็มแขนซ้ายที่ถูกยกขึ้นมากันใบหน้าได้ทันท่วงที แต่ร่างเล็กยังคงทรงตัวได้ นกหมุนตัวกลับหลังแล้วตวัดเตะขาซ้ายตามไปที่เดิม ส่งให้ร่างใหญ่ถอยหลังไปอีกสองก้าว ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความงุนงง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงสาวตัวน้อยในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ 


“กิลเรเนีย เจ้ากำลังทำให้นกตกใจ” เสียงใสเอ่ยเตือน “มนุษย์ไม่ได้ทักทายกันเยี่ยงนี้”


กิลเรเนียทรุดตัวลงนั่งคอตกอย่างรู้สึกผิด “ข้าขออภัย ข้าไม่รู้” แต่ดวงตาคู่สีม่วงยังช้อนขึ้นมาสบกับดวงตาของนกอยู่ ดวงตาคมคู่นั้นดูใสซื่อราวกับเด็กน้อย ไม่สิ ใสบริสุทธิ์ แต่ก็อยากรู้อยากเห็น เหมือนดวงตาของสัตว์ป่า “เจ้าเรียนท่าเตะเมื่อครู่มาจากที่ใดหรือ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”


“คุณหมายถึงท่าจระเข้ฟาดหางเมื่อกี๊เหรอคะ เป็นหนึ่งในท่ามวยไทยที่นกเคยเรียนตอนเด็ก ๆ น่ะค่ะ” นกทรุดตัวลงนั่งบ้างพลางยกมือขึ้นพนม “นกขอโทษด้วยนะคะ นกตกใจไปหน่อยเลยใช้ออกไปโดยไม่รู้ตัว คุณไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ”


“คุณ? เจ้าหมายถึงข้าเหรอ ข้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าชื่อกิลเรเนีย เรียกข้าว่า กิล ก็ได้” เมื่อนกพยักหน้าให้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ พลางยกมือขึ้นประกบกันเลียนแบบท่าพนมมือของนกบ้าง “นี่เป็นวิธีการทักทายของมนุษย์หรือ”


“ไม่ใช่ของมนุษย์ทุกคนหรอกค่ะ แค่ของชาวไทย นกเป็นคนไทย” นกตอบพลางลดมือลง เมื่อเห็นกิลเรเนียลดมือลงแล้วจึงเอ่ยถามบ้าง “กิล… ไม่ใช่มนุษย์เหรอคะ”


“อืม… โอโลสกับเอสเตลเล่าว่าข้าเป็นลูกผสมห้าเผ่าพันธุ์ แม่ข้าเป็นมนุษย์ แต่พ่อข้าเป็นลูกผสมสี่เผ่า พ่อแม่ข้าจากไปตั้งแต่วันที่ข้าเกิด ข้าเติบโตมากับโอโลสและเอสเตล อยู่ในป่านี้เจอแต่พวกสัตว์กับพวกลูกผสม นาน ๆ จะได้เจอภูตหรือพรายสักที แต่ข้ายังไม่เคยเจอมนุษย์มาก่อนเลย”


“ลูกผสม? สี่เผ่า? ห้าเผ่า? คืออะไรเหรอคะ” นกถามต่อทันที เมื่อได้ยินคำที่ฟังไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดวงตาคมสีม่วงมองจ้องมาทางหน้าอกของนก เมื่อรู้ตัวว่าโดนจ้อง นกจึงรีบวางเอสเตลลง แล้วยกมือสองข้างขึ้นกอดอกตามสัญชาตญาณ แต่สายตาคมกลับไม่ได้จ้องมาที่นกแล้ว ดวงตาคู่สวยมองตามตัวลูกนกสีทองที่กำลังเดินดุ๊กดิ๊กไปมา เอสเตลหยุดยืนตรงกลางระหว่างทั้งสองแล้วเริ่มเล่า


“โลกที่นกจากมามีสัตว์คล้ายมนุษย์เพียงเผ่าพันธุ์เดียวก็คือมนุษย์ ไม่มีพลังเวท” เอสเตลเอ่ยตอบสีหน้างุนงงของกิลเรเนีย แล้วหันมาตอบคำถามนกบ้าง 


“แต่ที่นี่ต่างออกไป โลกแห่งนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังจากธาตุทั้งห้า ดิน ลม น้ำ ไฟ และ แสง นอกจากมนุษย์แล้วยังมีเผ่าพันธุ์อื่นที่รูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์อยู่อีกสี่เผ่า คือ ภูตแห่งผืนดิน พรายแห่งสายลม เทพแห่งธารน้ำ และอสูรแห่งเปลวไฟ แต่ละเผ่าสามารถใช้เวทประจำเผ่าได้อย่างน้อยหนึ่งธาตุ พวกลูกผสมอาจจะใช้ได้มากกว่านั้น เพราะมีสายเลือดมากกว่าหนึ่งเผ่าไหลเวียนอยู่ในกาย มนุษย์เป็นเผ่าที่ใช้พลังเวทได้ทุกธาตุ แต่คนที่มีพลังกลับมีน้อยมาก เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ละทิ้งธรรมชาติไปแล้ว เด็กมนุษย์บางคนอาจมีพลังเวทมาตั้งแต่เกิด แต่โตขึ้นก็มักจะลืมเลือนไป มีแค่เพียงสมาชิกในราชวงศ์เท่านั้น ที่สามารถใช้เวทแสงได้ แต่ก็มีพลังน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับเวทแสงของข้าหรือโอโลส ยกเว้นผู้ที่ทำพันธะสัญญากับเราจึงจะสามารถใช้พลังเวทได้มากหน่อย แต่จะมากน้อยเท่าใดนั้นขึ้นกับความเข้าใจในธรรมชาติของธาตุทั้งห้าของคนผู้นั้นด้วย”


“แสดงว่าเอสเตลกับโอโลสเป็นผู้ที่มีพลังเวทมากที่สุดในโลกนี้เหรอคะ”


“แค่เวทแสงน่ะ พลังของข้า ใช้เป็นพลังในการดูแลรักษา พลังที่ข้าให้เจ้าหยิบยืมไปจึงช่วยให้เจ้าคลายจากความเจ็บปวดได้ พลังของโอโลสเป็นเวทแสงเช่นกัน แต่ใช้ในการสรรค์สร้างหรือทำลายล้าง ส่วนผู้ที่มีพลังเวทมากที่สุดอีกสี่ธาตุก็คือจ้าวแห่งธาตุทั้งสี่ พวกเราทั้งหกคือผู้มีพลังเวทสูงสุดในแต่ละธาตุ และเป็นผู้ดูแลรักษาสมดุลพลังในโลกนี้”


“จ้าวแห่งธาตุทั้งสี่เป็นใครกันคะ เป็นสัตว์ในตำนานแบบฟีนิกซ์กับมังกรรึเปล่าคะ”


“สัตว์ในตำนานอย่างนั้นหรือ ฟังเหมือนพวกเราเป็นแค่เรื่องเล่าเลย” ลูกนกตัวจิ๋วเอียงคอถามอย่างสงสัย


“ในโลกที่นกจากมา ไม่มีฟีนิกซ์หรือมังกรหรอกค่ะ แต่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ลักษณะแปลก ๆ และมีพลังวิเศษเยอะแยะเลย นกชอบนกฟีนิกซ์ที่สุด เพราะนก… เป็นนกนี่นะ…”


“นก…” เสียงเข้มเอ่ยเรียกความสนใจของนก นกหันไปมองกิลเรเนีย และได้พบกับดวงตาคมที่มองตอบกลับมาด้วยความใสซื่อ “คะ กับ ค่ะ นี่แปลว่าอะไรเหรอ”


“เอ่อ… เป็นแค่คำลงท้ายเสียงน่ะ ไม่มีความหมายอะไรหรอก ถ้ากิลฟังแล้วงง นกไม่พูดก็ได้นะ” นกหันไปตอบกิลเรเนีย แล้วหันกลับไปถามเอสเตล “ที่นี่มีฟีนิกซ์กับมังกรเยอะมั้ยเอสเตล”


“ข้าเป็นฟีนิกซ์เพียงตัวเดียวที่นี่ และโอโลสก็เป็นมังกรเพียงตัวเดียวเช่นกัน เราตายและเกิดใหม่ทุก ๆ หนึ่งหมื่นปี ส่วน เคเวน กวาเอ นีเนน และนารูร์ เป็นหัวหน้าของพวกอันดาโรน ร็อคคาราส ลินกวิโลค และฮูเมโอ ที่มีอยู่อย่างละหนึ่งฝูง พวกนี้มีอายุขัยยืนยาว แต่ตายแล้วเกิดใหม่ไม่ได้ ทั้งสี่ต่างก็ทำพันธะสัญญากับ ภูต พราย เทพ และอสูร ในขณะที่โอโลสทำพันธะสัญญากับมนุษย์ พวกเราทั้งหมดช่วยกันดูแลสมดุลธรรมชาติของโลกนี้”


“พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุขดีมาตลอด จนกระทั่งยี่สิบห้าปีก่อน…” 

เสียงนุ่มดังมาจากทางทิศใต้ นกหันไปมองอย่างระแวดระวัง ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ค่ำคืนนี้ไม่มีดวงจันทร์ หากทว่าดวงดาวก็ทอประกายจนสามารถมองเห็นเงาเล็ก ๆ ของผู้มาใหม่ได้ เงาร่างเล็กจิ๋วสีเงินสะท้อนแสงดาวเป็นประกายระยิบระยับ


“เจ้ามาแล้ว… โอโลส”