เมื่อหญิงสาวผู้สิ้นหวังตกสู่รังของสัตว์ในตำนาน  “นก” กลับได้พบว่าการสิ้นสุดอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  แสงสว่างในชีวิตที่เธอเคยคิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว  ยังคงรอให้เธอสัมผัสมันได้ อีกครั้ง [อัพทุกจันทร์]

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต - บทที่ 1 รัตติกาลนิรันดร์ โดย นภิสดารา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,จิตวิทยา,โรคซึมเศร้า,สัตว์วิเศษ,เยียวยาจิตใจ,มังกร,ฟีนิกซ์,ความหวัง,มิตรภาพ,ฮีลใจ,ต่างโลก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,จิตวิทยา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรคซึมเศร้า,สัตว์วิเศษ,เยียวยาจิตใจ,มังกร,ฟีนิกซ์,ความหวัง,มิตรภาพ,ฮีลใจ,ต่างโลก,แฟนตาซี

รายละเอียด

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต โดย นภิสดารา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อหญิงสาวผู้สิ้นหวังตกสู่รังของสัตว์ในตำนาน  “นก” กลับได้พบว่าการสิ้นสุดอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  แสงสว่างในชีวิตที่เธอเคยคิดว่าสูญสิ้นไปแล้ว  ยังคงรอให้เธอสัมผัสมันได้ อีกครั้ง [อัพทุกจันทร์]

ผู้แต่ง

นภิสดารา

เรื่องย่อ

ในวันที่หมดแรงจะก้าวเดินต่อ “นก” นักศึกษาปริญญาโทด้านสัตววิทยาวัย 25 ปี เลือกจบชีวิตตนลงบนยอดเขาเขียว แต่แทนที่จะดับสูญ นกกลับลืมตาขึ้นในรังของสิ่งมีชีวิตในตำนาน ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว


ที่นี่ นกได้รับข้อเสนอให้กลายเป็นคู่พันธะสัญญาของฟีนิกซ์ดวงดาว สัตว์ในตำนานที่มีพลังแห่งความหวัง และแม้ตัวนกจะรู้สึกไร้ค่าเกินกว่าจะช่วยใครได้อีก แต่การเดินทางครั้งใหม่นี้ กลับค่อย ๆ เยียวยาหัวใจที่แตกร้าว


ในโลกที่พลังเวทแห่งธาตุทั้งห้าหล่อเลี้ยงสมดุลชีวิต นกค่อย ๆ เรียนรู้ว่า นกไม่จำเป็นต้องมีพลังที่ยิ่งใหญ่ ก็มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่


เพราะบางครั้ง แสงแห่งความหวัง อาจเริ่มต้นจากใจที่เคยมืดมน


สารบัญ

นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทนำ แสงสุดท้าย,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 1 รัตติกาลนิรันดร์,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 2 ฟีนิกซ์ดวงดาว,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 3 มังกรสายฟ้า,นกแสงดาว : เปลวไฟแห่งชีวิต-บทที่ 4 อดีตในกองฟอน

เนื้อหา

บทที่ 1 รัตติกาลนิรันดร์

               บทที่ 1 : รัตติกาลนิรันดร์




‘เจ้าอยู่ในรังของข้า และเจ้ายังไม่ตาย ข้าต่างหากที่กำลังจะตาย’


เสียงใสดังกังวานขึ้นในหัวของนก นกหันซ้ายหันขวาหาที่มาของเสียง จนไปเจอกับนกสีทองตัวใหญ่พอ ๆ กับตัวนก กำลังจ้องมองมาอย่างสนอกสนใจ


‘ข้าคือฟีนิกซ์แห่งดวงดาว ผู้พิทักษ์แห่งผืนป่าลอเรอา’


เสียงเดิมดังขึ้นในหัวของนกอีกครั้ง ขณะที่นกสบตากับดวงตาสีนิลที่ทั้งงดงามและทรงอำนาจ แต่ก็แฝงไปด้วยแววอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจ


“นกฟีนิกซ์? คุณพูดกับนกเหรอคะ” ‘แต่จะเป็นไปได้ยังไง นกตัวนี้ไม่ได้ขยับปากเลย แล้วเสียงที่ได้ยินก็ดังอยู่ในหัว นี่นกเพ้อจนคิดไปเองเหรอเนี่ย’


‘เจ้าหาได้คิดไปเองไม่ ข้าใช้การสื่อสารผ่านทางจิตใจของเจ้าโดยตรง ข้าในตอนนี้อ่อนแรงเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมา ช่างบังเอิญเหลือเกินที่มนุษย์จากต่างโลกเช่นเจ้ามาปรากฏตัวในรังของข้าในตอนที่ข้ากำลังจะตาย แล้วยังเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถสื่อสารกับข้าผ่านทางจิตเช่นนี้ได้อีก เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แค่เพียงเจ้าคิด ข้าก็รับรู้ได้แล้ว’


‘นี่นกกำลังคุยอยู่กับนกฟีนิกซ์อยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย เหมือนฝันเลยแฮะ คุณบอกว่านกยังไม่ตายเหรอคะ แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกันคะ ทำไมนกถึงมาอยู่ที่นี่ได้’ นกมองสบตากับฟีนิกซ์ แล้วลองตอบกลับด้วยความคิดอย่างที่เจ้าตัวบอกให้ทำ


‘เจ้ามาจากมิติโลกมนุษย์ ตอนนี้เจ้าอยู่ในอีกมิติหนึ่ง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เจ้าไม่สามารถกลับไปที่มิตินั้นได้อีกแล้ว จะว่าไปก็เหมือนเจ้าได้ตายจากโลกนั้นไปแล้ว แต่ในโลกนี้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่’


‘นี่คุณกำลังจะบอกว่านกหลุดมาต่างมิติเหรอคะ บ้าไปใหญ่แล้ว นกต้องฝันอยู่แน่’ 


‘เจ้าไม่ได้ฝันอยู่ เจ้ามาอยู่ต่างมิติจริง ๆ ในโลกของข้า เจ้ายังเจ็บปวดอยู่มิใช่ฤา’


‘เจ็บจริง ๆ ด้วย นี่นกไม่ได้ฝันเหรอ’ นกยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาตรงหน้า กำมือเข้าหากันแน่นพร้อมกับหลับตาด้วยสีหน้าเจ็บปวดแล้วลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าสับสน


‘แต่บางที ในความฝันที่เหมือนจริงมาก ๆ นกก็เจ็บเหมือนกันนะ หลัง ๆ มานี่ นกแยกความฝันกับความจริงไม่ค่อยออก นกไม่แน่ใจเหมือนกันว่านกฝันอยู่รึเปล่า’ นกคิดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมา 


‘เจ้าคงสับสนและเจ็บปวดมากสินะ…’ น้ำเสียงของฟีนิกซ์ที่ดังกังวานในหัวนกฟังดูเศร้าสร้อย แต่กลับทำให้นกรู้สึกว่าฟีนิกซ์เข้าใจนกจริง ๆ 


‘ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเจ้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร ข้านอนอยู่ดี ๆ เจ้าก็ตกลงมาทับข้า กว่าจะเรียกให้เจ้ารู้สึกตัวได้ก็นานพอดู’


‘อะไรนะ นกตกลงมาทับคุณเหรอ คุณบาดเจ็บมั้ยคะ เป็นอะไรมากรึเปล่า’ 


นกพุ่งตัวไปหาฟีนิกซ์ทันที แต่ก็ต้องชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของตัวเองนั้นทำให้ความเจ็บปวดมหาศาลถาโถมเข้ามาในร่างกาย นกสูดหายใจเข้าลึก ข่มความเจ็บปวด แล้วเอื้อมมือไปคว้าปีกสีทองขึ้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ ข้างนั้นทีข้างนี้ที เพื่อหาว่ามีจุดแตกหักหรือไม่ แต่ก็สัมผัสได้เพียงความอ่อนนุ่มของขนนกสีทอง ในขณะที่ฟีนิกซ์ยอมให้นกจับปีกตัวเองพลิกไปมา ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องนกอยู่ก็ฉายแววเอื้อเอ็นดู และสนใจในตัวนกมากขึ้นเรื่อย ๆ


‘เดี๋ยวนะ เมื่อกี๊คุณบอกว่าคุณกำลังจะตาย เป็นเพราะนกเหรอคะ ไม่นะ นกแค่อยากตาย ไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเจ็บ นกไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว ฮือ’


นกพูดจบแล้วก็เริ่มร้องไห้ จนฟีนิกซ์ชะงักไปเล็กน้อย สายตางุนงงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน


‘เปล่า เจ้าหาได้ทำให้ข้าเจ็บไม่ แค่ถึงเวลาของข้าที่จะต้องตาย ข้าเป็นฟีนิกซ์ ข้าต้องตายแล้วเกิดใหม่เมื่อถึงเวลา ครานี้คงเป็นเพราะเจ้ามาที่นี่ ตรงกับเวลาที่มังกรสายฟ้าตาย จึงถึงเวลาของข้าแล้วเช่นกัน’


‘นอกจากคุณแล้วยังมีมังกรสายฟ้าที่ต้องตายเพราะนกอีกเหรอคะ ฮือ นกไม่ได้ตั้งใจ นกขอโทษนะคะ นกขอโทษ’


ฟีนิกซ์ชะงักไปอีกครั้งเมื่อนกร้องไห้หนักกว่าเดิม สายตาอ่อนโยนฉายแววเข้าอกเข้าใจ


‘มิใช่เช่นนั้น มังกรสายฟ้าสหายข้า เพิ่งตายลงหลังจากเจ็บหนักมานานปี ก่อนที่เจ้าจะตกลงมาในรังของข้า ข้าและเขาเป็นสองสัตว์ในตำนานที่คอยปกป้องดูแลโลกแห่งนี้ เมื่อเขาตาย จึงถึงเวลาที่ข้าจักต้องตายตามไปด้วย เพื่อที่เราจักได้เกิดใหม่ เพื่อฟื้นพลังสำหรับดูแลปกป้องเหล่าสรรพสัตว์ในโลกแห่งนี้ต่อไป เจ้าเข้าใจหรือไม่ นกน้อย’


‘นกพอจะเข้าใจแล้วค่ะ’ นกพยักหน้าพลางปาดน้ำตา ‘แล้วแบบนี้เวลาตายจะเจ็บไหมคะ’


ฟีนิกซ์หลับตาครุ่นคิด ‘ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ตอนนี้ข้าแค่อ่อนแรง ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดอันใด แต่นี่เป็นการตายครั้งแรกในรอบหนึ่งหมื่นปีของข้ากับมังกรสายฟ้า ตัวข้าเองก็จำความรู้สึกของครั้งก่อนมิได้แล้วเช่นกัน’


‘หมื่นปี? นี่คุณอยู่มาหมื่นปีแล้วเหรอคะ นานจัง ไม่เบื่อหรือเหนื่อยบ้างเหรอคะ’


ดวงตาสีนิลคู่สวยเปิดขึ้นสบตากับนกอีกครั้ง ‘เหนื่อยอย่างนั้นหรือ อาจจะมีบ้าง แต่เบื่อหรือ ไม่เคยเลย ถ้าเจ้าได้ลองมาเป็นข้า ได้เฝ้ามองเหล่าสรรพสัตว์เกิดขึ้น เติบโต เจ็บป่วย และตายไป เจ้าจะเข้าใจว่า ช่วงชีวิตหนึ่งของเหล่าสรรพสัตว์นั้นหาได้ยาวนานไม่ ข้ามีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะได้ใช้เวลากับพวกเขาแต่ละชีวิต ข้าต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่า’


‘คุณต้องเฝ้าดูพวกเขาเกิดมา แล้วก็ตายจากไปเรื่อย ๆ งั้นเหรอคะ น่าเศร้าจังค่ะ’ น้ำใสเริ่มเอ่อคลอนัยน์ตาดำอีกครั้ง


‘อย่าเศร้าไปเลย นกน้อย ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องตาย แม้แต่สัตว์ในตำนานอย่างข้ากับมังกรสายฟ้าที่ตายแล้วเกิดใหม่ได้ ก็ยังมีเวลาที่ต้องตาย ทุกชีวิตต่างมีบทบาทหน้าที่ต่อโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดหนีจากวัฏจักรนี้ได้’ ดวงตาคมจ้องลึกลงไปในจิตใจของนก ‘แล้วเจ้าเล่า นกน้อย เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด…’


คำพูดสุดท้ายของฟีนิกซ์ดวงดาวดังกังวานอยู่ในหัวนก แสงสีทองสว่างเรืองออกมาจากตัวนกสีทองที่กำลังลอยขึ้นตรงหน้า นกเอื้อมมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างออกไปหาแสงนั้น ร่างนกสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้งก่อนจะหายวับไป แสงสีทองเลื่อนมาปรากฏอยู่บนมือน้อยทั้งสองข้าง นกรู้สึกถึงน้ำหนักน้อย ๆ ในมือ ก่อนจะเห็นลูกนกสีทองตัวจิ๋วจ้องเธอด้วยดวงตาสีนิลที่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด


‘ยินดีที่ได้พบกันอีกครา มนุษย์น้อยจากต่างมิติ เสียงใสดังกังวานในหัวของนกอีกครั้ง ถึงแม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไป แต่น้ำเสียงนั้นยังคงเดิม เจ้าชื่อนกใช่หรือไม่ ข้าชื่อเอสเตล ฟีนิกซ์แห่งดวงดาว จ้าวแห่งความหวัง ข้าต้องการทำพันธะสัญญากับเจ้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่ นกน้อย’


‘พันธะสัญญา? กับนกเหรอ? พันธะสัญญาคืออะไรเหรอคะ ทำไมถึงเป็นนก’


‘ข้าคือฟีนิกซ์แห่งดวงดาว ผู้ปกปักรักษาผืนป่าลอเรอาแห่งนี้ ผู้ครอบครองพลังแห่งความหวัง ลูกนกสีทองตัวจิ๋วยืดอกขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิเมื่อเอ่ยถึงหน้าที่ของตนเอง ส่วนเจ้า…’ ปีกน้อยชี้มาตรงหน้านก ‘…เจ้าคือผู้ที่ข้าเลือกให้เป็นคู่แห่งพันธะสัญญา เพื่อช่วยข้าปกป้องผืนป่าแห่งนี้ พลังของข้ามีไว้เพื่อจุดประกายความหวังในใจของเหล่าสรรพสัตว์ในโลกใบนี้ คู่พันธะของข้าจะช่วยข้าส่งต่อความหวังไปยังเหล่าภูต พราย เทพ อสูร และมนุษย์ ที่ข้าไม่สามารถสื่อสารด้วยได้ ส่วนพลังแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่นั้น ย่อมเป็นหน้าที่ของมังกรสายฟ้าและคู่พันธะสัญญาของเขา’


นกเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ‘คุณเลือกนกเหรอคะ? นกเนี่ยนะคะ? ให้นกทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะ นกไม่มีค่าพอ นกก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนึง ที่อยากตายอย่างสงบ ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว… ไม่อยากฝืนยิ้มอีกแล้ว…’ นกจบประโยคแล้วสะอื้นเสียงเบา แต่ก็ไม่อาจเล็ดรอดผ่านสายตาผู้ที่กำลังเฝ้าดูอยู่ไปได้


‘เจ้ามีค่ามากเกินพอ นกน้อย เจ้าเพิ่งรู้จักข้า แต่เจ้ากลับเป็นห่วงข้าที่กำลังจะตาย ว่าจะเจ็บปวดหรือไม่ ทั้งที่ใจและกายของตัวเจ้าเองเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าข้ามากนัก เจ้าห่วงแม้กระทั่งว่า ข้าจะเบื่อเหนื่อย หรือเศร้าใจหรือไม่ จิตใจเจ้าบริสุทธิ์ยิ่ง ใช่แล้ว นกน้อย ข้า เลือก เจ้า’


ฟีนิกซ์เอ่ยถ้อยคำช้าชัด ฝังลึกลงไปในใจที่แตกร้าวของนก ดุจแสงริบหรี่ท่ามกลางความมิดมิด แม้ไม่อาจทำให้ความมืดสว่างขึ้นได้ แต่ก็มีบางอย่างที่เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไป


‘ข้ายังไม่อาจรับรู้ได้ว่าเจ้าผ่านเรื่องราวอันใดมาบ้าง นอกเหนือจากที่เจ้าคำนึงถึงในตอนนี้ จนกว่าเราจะทำพันธะสัญญากัน แต่เจ้าดูเหมือนคนที่แหลกสลายไปแล้ว ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้เลย ทำพันธะสัญญากับข้าเถิดหนา ขอให้ข้าได้รับรู้และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้า ข้าจักสอนให้เจ้าใช้พลังเวท เพื่อตัวเจ้าเอง และเพื่อผืนป่าลอเรอาของข้า’


นกเงยหน้าขึ้นสบตากับฟีนิกซ์ตัวจ้อยอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ‘มีพลังที่สามารถช่วยทำให้นกไม่เจ็บปวดอีกได้รึเปล่า มีพลังที่จะทำให้ตัวนกมีค่ามากกว่านี้ได้ไหม นกจะแข็งแกร่งขึ้นและไม่เป็นภาระของใครได้ไหม แล้วนกจะกลับมาเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้อีกรึเปล่า’ นกเอ่ยถามคำถามที่ไม่เคยกล้าถามใครออกไป แล้วแอบคาดหวังอยู่ลึก ๆ ในใจ ให้คำตอบของฟีนิกซ์เป็นไปดังหวัง


‘เวทแสงของข้า สามารถรักษาอาการบาดเจ็บทางกายใด ๆ ก็ได้ แต่หากเจ้าอยากรักษาบาดแผลทางใจ เจ้าต้องรักษามันด้วยตัวเอง พลังเวทเป็นสิ่งที่มีค่าในโลกแห่งนี้ แต่เจ้าแน่ใจหรือ ว่าอยากใช้พลังเป็นตัวตัดสินค่าของชีวิตเจ้า เจ้ามิเคยคิดว่าผู้ที่อ่อนแอนั้นไร้ค่ามิใช่หรือ เจ้ามีจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด ข้ารับรู้ได้’


‘ไม่จริงหรอก นกไม่ได้ยิ่งใหญ่ นกเป็นแค่คนป่วยซึมเศร้าอ่อนแอ เพราะนกอ่อนแอ นกเลยป่วยอยู่แบบนี้ นกมันไม่มีอะไรดี นกไม่มีค่าพอที่จะสมควรอยู่ต่อไปด้วยซ้ำ นกก็แค่คนไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ’ น้ำใสไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสาย นกปล่อยให้มันไหลไป ไม่สนใจที่จะปาดมันออกอีกแล้ว


‘เจ้ากำลังดูถูกตัวเอง เจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้าคิดนัก จิตใจอันบริสุทธิ์ที่นึกถึงผู้อื่นก่อนตัวเองของเจ้าหาได้ยากยิ่ง เจ้าได้ตายจากโลกของเจ้าไปแล้ว แต่บัดนี้เปรียบเหมือนเจ้าได้เกิดใหม่ในโลกของข้า ในรังของข้า พร้อมกับตัวข้า ข้า… ฟีนิกซ์แห่งดวงดาว จักยอมให้เจ้าตายอีกหาได้ไม่ จงใช้พลังใจของเจ้า ช่วยข้าปกปักรักษาผืนป่าแห่งนี้ ช่วยข้าดูแลสรรพชีวิตในป่าลอเรอา ได้หรือไม่’


‘นกจะช่วยได้จริง ๆ เหรอคะ คนอย่างนกเนี่ยนะ’ นกเอ่ยถามอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อ


‘ได้สิ ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของเจ้า ถ้าเพียงแต่เจ้าเชื่อในตัวเอง เจ้าย่อมช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้อีกมาก’


‘เชื่อในตัวเองงั้นเหรอ แต่นกเลิกเชื่อในตัวเองมาเป็นปีแล้ว นกคงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว’ ร่างน้อยเอ่ยเสียงเบาพลางก้มหน้าลง


‘ข้าจะทำให้เจ้ากลับมาเชื่อในตัวเองอีกครั้ง จะทำให้เจ้ายิ้มได้จากใจ และทำให้เจ้าหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ให้โอกาสข้าได้หรือไม่’


ดวงตากลมโตเอ่อน้ำฉายแววเจ็บปวด ลังเลและสับสน ก่อนที่นกจะเผยความกลัวในใจออกมา


“นกอยากช่วยทุกคน แต่นกกลัวว่านกจะทำไม่ได้ นกกลัวว่านกจะมีพลังไม่พอ นกกลัวว่านกจะทำให้คนอื่นต้องผิดหวังอีก”


‘เช่นนั้น ก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจ ข้าจะให้เจ้ายืมพลังส่วนหนึ่ง แล้วเราจะออกไปท่องโลกใบนี้ด้วยกัน แล้วเจ้าจะได้เห็นว่าตัวเจ้ามีค่ามากแค่ไหน ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยให้คำตอบข้าอีกครั้ง ดีไหม’


ดวงตาสองคู่สบกันเนิ่นนาน นกสูดหายใจเข้าเต็มปอด เจ็บปวดจนต้องยกมือขึ้นมากุมอก แล้วปล่อยลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยออกมา 


“ถ้ามันจะทำให้นกมีค่ามากกว่าตอนนี้ได้ นกก็อยากจะลองดูค่ะ”


นกเชื่อว่าเห็นรอยยิ้มในดวงตาสีนิลคู่สวย ฉับพลันแสงสีทองจากฟีนิกซ์ก็เปล่งประกายโอบรอบตัวทั้งคู่ก่อนจะค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่ตัวนก นกรู้สึกว่าความเจ็บปวดตามร่างกายหายไปจนหมด เป็นครั้งแรกในรอบปีที่นกไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ นกกล่าวพร้อมหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง


“…ขอบคุณนะ เอสเตล”