จากหญิงสาวชนชั้นรากหญ้าผู้เบื่อหน่ายโลก สู่การเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูตัวร้ายในเกมโอโตเมะ
หญิง-หญิง,แฟนตาซี,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้ายจากหญิงสาวชนชั้นรากหญ้าผู้เบื่อหน่ายโลก สู่การเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูตัวร้ายในเกมโอโตเมะ
ทาคาฮาชิ ไม หญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ต้องจบชีวิตลงในวัยเพียง 21 ปีจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ทว่าในช่วงเวลาที่สติของเธอใกล้ดับสิ้น วงเวทสีเขียวขนาดใหญ่กลับปรากฏขึ้นใต้ร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด พาเธอหายลับไปยังสถานที่ที่ไม่อาจระบุได้
เธอลืมตาขึ้นในโลกที่ไม่คุ้นเคย รายล้อมด้วยผู้คนแปลกหน้า และเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่เรียกว่า 'เวทมนตร์' แต่ของขวัญจากโชคชะตาย่อมมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย เพราะตั้งแต่นี้ไป เธอจะไม่ถูกจดจำในฐานะมนุษย์อีกต่อไป หากแต่เป็น 'อสูรรับใช้'
และหากความโชคดีนั้นแฝงไว้ด้วยโชคร้าย ก็ราวกับโชคร้ายยังซ้อนทับมาอีกชั้น เมื่อเจ้านายที่กุมพันธะสัญญาของเธอไว้ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น 'นางร้าย' จากเกมจีบหนุ่ม ที่เส้นทางชีวิตไม่ได้มุ่งไปสู่จุดจบแบบ Happy Ending!
นิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนที่ถูกแต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น
“ฉันขออัญเชิญใหม่ค่ะ อย่างน้อยฉันก็ควรจะได้อสูรรับใช้ระดับสองหรือสามดาว ไม่ใช่แค่สามัญชนคนธรรมดาแบบนั้น!”
“นักเรียนวาเลนเซีย เราไม่อาจอนุญาตให้เธอทำเช่นนั้นได้ เธอก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า ผู้ใช้เวทหนึ่งคนสามารถมีอสูรรับใช้ได้เพียงตนเดียวเท่านั้น เว้นเสียแต่จะเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมพลังเวทอันล้นเหลือเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ควบคุมอสูรรับใช้หลายตนได้”
“แล้วทำไมฉันถึงได้อสูรรับใช้ที่เป็นแค่ ‘มนุษย์ธรรมดา’ ล่ะคะ…” คำพูดนั้นหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงปนหยัน เจือแววตัดพ้อ เหมือนพยายามหาคำอธิบายเพื่อกลบเกลื่อนความเสียหน้าและผิดหวังในตัวเอง “หรืออาจารย์กำลังจะบอกว่าพลังเวทของฉันต่ำต้อยจนกระทั่งอัญเชิญอะไรไม่ได้เลย นอกจากคนที่ไม่มีแม้แต่พลังเวทงั้นเหรอ…” เธอหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ใช่เพราะตลก หากเป็นการเย้ยหยันโชคชะตาของตนเอง “อย่างน้อยถ้าได้อสูรระดับหนึ่งดาวที่ทำอะไรไม่เป็นยังจะดีเสียกว่าอีก...”
บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบลง อากาศหนาวเย็นขึ้นอย่างแปลกประหลาด ไม่ใช่เพราะเวทมนตร์หรอก แต่เป็นเพราะคำพูดของเธอมันกัดกร่อนหัวใจคนฟังได้อย่างร้ายกาจ
ฉันได้ยินหมดเลยนะ... ทุกคำที่เธอพูด…
แหม ก็เข้าใจแหละ อุตส่าห์ตั้งใจอัญเชิญอสูรรับใช้เท่ ๆ ดุดัน หน้าตาโหด ๆ พลังเวทล้นฟ้า แต่ดันได้ฉัน... มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยังหายใจฟืดฟาดตอนตื่นนอน เข้าใจเลยว่ามันน่าผิดหวังขนาดไหน
ขนาดฉันเองยังผิดหวังกับตัวเองเหมือนกันเลย
“เอาแต่จ้องฉันแบบนี้... เธอต้องการอะไรจากฉันรึเปล่า...” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องพักซึ่งดูจะเป็นห้องหลับนอนประจำของเด็กสาวผมสีเขียวลูกแพร์ ความรู้สึกอึดอัดบางอย่างก็พลันก่อตัวขึ้นทันที เหตุผลก็เพราะเจ้าของห้องนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงขนาดเล็กไม่ไหวติง ราวกับเป็นรูปปั้นมีชีวิต พร้อมกับสายตาคู่โตที่หันมาจ้องฉันเขม็งไม่กะพริบ ราวกับฉันเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งในความเป็นจริง… ก็คงใช่
ห้องพักนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ถูกจัดสรรอย่างลงตัวและสะอาดสะอ้าน ด้านซ้ายมือของประตูทางเข้าเป็นห้องน้ำในตัว มีประตูบานเล็กที่ปิดสนิท กลิ่นสบู่อ่อน ๆ ลอยออกมาแตะปลายจมูก ถัดจากห้องน้ำเข้าไปคือเตียงนอนขนาดหนึ่ง ที่อยู่ชิดติดผนังและหลบสายตาจากทางเข้าพอสมควร โดยวางหันหัวเตียงไปทางหน้าต่างที่รับแสงธรรมชาติได้ดีในช่วงสาย ฝั่งซ้ายตรงข้ามเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือที่วางตำราเรียงเป็นระเบียบ และชั้นหนังสือเตี้ย ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือเวทมนตร์หลากเล่ม บางเล่มดูเก่าจนปกแทบหลุด แต่กลับถูกดูแลอย่างทะนุถนอม
ภายในห้องไม่มีของตกแต่งฟุ่มเฟือย มีเพียงสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันและการเรียนของนักเรียนเวทมนตร์ แต่ถึงจะดูเรียบง่ายขนาดไหน ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวมันดูห่างเหินและเย็นชาจนน่าขนลุก
และในความเงียบที่คล้ายจะกลืนกินทุกเสียงนั้น มีเพียงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาอย่างไม่ลดละ ราวกับกำลังจับตาดูว่าฉันจะทำอะไรผิดพลาดอีกเมื่อไร…
“เธอเป็นมนุษย์จริง ๆ เหรอ หรือเป็นอสูรรับใช้ที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์” เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างไม่ไว้ใจ ขณะสายตายังจับจ้องมาที่ฉันไม่วาง “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่าสามารถอัญเชิญมนุษย์ได้ หรือมีอสูรรับใช้ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ขนาดนี้…”
“แต่ที่โลกฉันมีสิ่งที่เรียกว่าการอัญเชิญผู้กล้านะ โลกของเธอไม่มีเหรอ...” ฉันเอ่ยอย่างไม่คิดมาก พลางนึกถึงพระเอกในมังงะและนิยายที่เคยอ่านมา
“ผู้กล้าเนี่ยนะ...” เธอแค่นหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ผู้กล้าอะไรกัน แค่ตรวจสอบพลังเวทยังไม่ผ่านเลยด้วยซ้ำ อีกอย่าง... วงเวทนั่นมันก็วงเวทสำหรับเรียกอสูรอสูรรับใช้โดยเฉพาะ จะให้ได้ผู้กล้ามาได้ยังไงกัน...” เธอจ้องฉันนิ่งแล้วกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มครึ่งปากที่ไม่บอกอารมณ์แน่ชัด “เพราะงั้น บอกความจริงมาเถอะ ว่าเธอน่ะเป็นสัตว์อสูรที่แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ใช่ไหม...”
“จะคิดยังไงก็แล้วแต่เธอเลย” ฉันตอบเรียบ ๆ พลางยักไหล่ “แต่สำหรับฉัน ฉันก็คือมนุษย์อยู่ดี”
“งั้นก็ได้... ถ้างั้นก็ปล่อยให้ฉันคิดในแบบของฉันก็แล้วกัน…”
นี่เป็นคืนที่สองแล้ว... นับตั้งแต่ฉันถูกดึงมายังโลกใบนี้
แม้คืนนี้จะสงบเงียบกว่าคืนแรก ที่หลับที่นอนก็ไม่ได้อึดอัดหรือเต็มไปด้วยเสียงแปลกปลอมเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกอบอุ่นใจกลับไม่เคยแวะเวียนเข้ามาเลยสักครั้ง
โลกใบนี้…โลกที่ฉันเคยเฝ้าฝันอยากก้าวเข้าสู่ กลับกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากฝันโดยสิ้นเชิง ทั้งสายตาเย็นชา การไม่ยอมรับ หรือแม้แต่การปฏิบัติที่ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงหรือทาสคนหนึ่ง
มุมเล็ก ๆ ที่ปลายเตียงภายในห้อง เป็นที่ซุกตัวของฉัน บนพื้นเย็น ๆ ของกระเบื้องมีเพียงผ้าผืนหนึ่งปูรองไว้แทนฟูก หมอนใบเก่าทรุดตัวแบนราบ และผ้าห่มผืนบางที่แทบจะไม่ช่วยต้านทานความหนาวเหน็บได้เลย กลายเป็นที่นอนของ ‘อสูรรับใช้’ ที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งของชิ้นหนึ่ง
แบบนี้… ฉันจะทนอยู่ในโลกใหม่นี้ได้อีกนานแค่ไหนกันนะ…
ฉันไม่ได้วาดฝันว่าตัวเองจะถูกเชิดชูเหมือนผู้กล้าที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยเหลือผู้คน ไม่เคยต้องการสิ่งนั้นเลย
แค่หวังจะได้รับการปฏิบัติ... ในฐานะ ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง
“นี่! จะนอนสันหลังยาวไปถึงไหน ตื่นได้แล้วนะ” ดวงตาที่เพิ่งปิดลงได้ไม่ถึงชั่วโมงดีต้องฝืนเปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงเรียกอันดังลั่นของใครบางคนลากฉันกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่างไม่ปรานี “ฉันบอกให้ตื่นไง!”
“อื้อ... ตื่นแล้วน่า...” ช่างเป็นเช้าที่สดใสเสียจริง สดใสเสียจนอยากฝังตัวอยู่ในผ้าห่มตลอดทั้งวัน ความงัวเงียผสมความหงุดหงิดกัดกินหัวใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตา และน้ำเสียงบาดหูของเด็กสาวผมเขียวผู้เป็นเจ้าของห้องก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
“นี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน เป็นอสูรรับใช้ของฉันไม่ใช่รึไง แล้วกล้าดียังไงถึงปล่อยให้เจ้านายต้องมาตามปลุกถึงที่แบบนี้!” ยิ่งพูด สีหน้าของเด็กสาวก็ยิ่งแดงก่ำด้วยความโมโห “ที่จริงมันควรจะเป็นเธอที่ตื่นก่อน แล้วมาปลุกฉันด้วยซ้ำ ไหนจะเตรียมเสื้อผ้า เตรียมน้ำให้ ฉันไม่เห็นเธอจะทำอะไรเลย!”
“นี่ฉันเป็นคนรับใช้ของเธอรึไง...”
“อสูรรับใช้มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนรับใช้นั่นแหละ!” เธอยักไหล่แล้วทำเสียงจิ๊ปากใส่ฉัน
ฉันถอนหายใจแรงแบบไม่คิดจะปิดบังอารมณ์
โลกบ้าอะไรเนี่ย…! แม่ง หงุดหงิดเป็นบ้าเลย!
“เธอควรทำตัวให้มีประโยชน์บ้างนะ ไม่ใช่นั่งกินนอนกินไปวัน ๆ อสูรรับใช้ตัวอื่น ถึงจะเป็นแค่ระดับหนึ่งดาว แต่ก็ยังพอจะสร้างสีสันให้เจ้านายอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง แล้วเธอล่ะ… สู้ก็ไม่ได้ พลังเวทก็ไม่มี ยังจะทำตัวเป็นภาระให้ฉันอีกเหรอ”
“แม่งเอ้ย!” เสียงสบถลอดออกจากปากฉัน ทันทีที่ฝ่ามือของฉันขยับขึ้น ความเจ็บปวดรุนแรงคล้ายถูกไฟฟ้าช็อตก็แล่นพล่านทั่วร่าง โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่มีตราประทับนั่น… มันเหมือนกำลังแผดเผาหัวใจให้ไหม้เกรียมไปทั้งดวง
“นี่เธอคิดจะตบฉันเหรอ!” เธอลุกขึ้นยืนจ้องฉันอย่างเหลืออด
“ก็ปากเธอมันเหมือนว่าอยากจะโดนปะทะนี่!”
การปะทะฝีปากกำลังจะปะทุขึ้นอีกระลอก แต่แล้วเสียงสัญญาณอันคุ้นเคยที่บ่งบอกว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนก็ดังขึ้นราวกับระฆังศักดิ์สิทธิ์ หยุดศึกไว้ก่อนที่เลือดจะตกยางออก
“นั่นใช่ไหม… สามัญชนที่รับบทเป็น อสูรรับใช้... คิกคิก”
“นี่โรงเรียนของเราตกต่ำถึงขั้นมีการทำสัญญาทาสกันในรั้วโรงเรียนแล้วหรือยังไงนะ”
“สมกับเป็นคุณหนูหมาหัวเน่าจากตระกูลดยุกจริง ๆ เลยนะ”
“พอเทียบกับเลดี้อลิซ... ที่เป็นเพียงลูกสาวบารอนธรรมดาแต่กลับได้อสูรรับใช้ระดับสามดาวแล้ว ก็ยิ่งเห็นความต่างชัดเจน ราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ ฮ่าฮ่า”
“แบบนี้คุณชายธีออนจะเปลี่ยนคู่หมั้นเป็นเลดี้อลิซไหมนะ...”
“คงไม่ง่ายหรอก เพราะเจ้าชายคาร์ซิเลียนเองก็ดูเหมือนจะมีใจให้เลดี้อลิซเหมือนกัน”
“แต่เจ้าชายก็มีเลดี้รามิเรซอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...”
“ใครจะไปรู้ล่ะ... เรื่องหัวใจมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก”
แค่เพียงเราสองคนเดินผ่าน เสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้นก็หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ราวกับคลื่นที่ถาโถมใส่ไม่หยุดหย่อน
“หวังว่าเลดี้วาเลนเซียคงไม่ได้คิดจะพาทาสขึ้นไปนั่งเรียนในห้องด้วยหรอกนะ…”
ทันทีที่ประโยคดูแคลนเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากพวกคนปากหอยปากปู สีหน้าและท่าทีฉุนเฉียวของเด็กสาวที่เคยแผ่วลงไปแล้วก็พลันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนทิศทางเดินอย่างกะทันหัน
จากที่เราใกล้จะถึงอาคารเรียนอยู่แล้ว กลับกลายเป็นว่าก้าวเท้าของเราค่อย ๆ เบี่ยงออกห่าง และมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ...ที่ที่ฉันไม่มีวันลืม
“เผ่าพันธุ์อะไรคะ...” หญิงสาวที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นมิตร
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ด้วยตัวเองน่าจะชัดเจนกว่านะ” เด็กสาวตอบกลับเรียบ ๆ พลางปรายตามองมาทางฉันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“แล้วไหนล่ะคะ อสูรรับใช้ตัวที่ว่า...”
“นี่ไงคะ” คราวนี้เธอไม่เพียงแค่มอง แต่ชี้นิ้วมาทางฉันอย่างชัดเจน
“คะ... นักเรียนกำลังล้อเล่นอะไรอยู่คะ...”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นค่ะ” น้ำเสียงของเธอเย็นเฉียบแต่หนักแน่น “ฉันจะฝากอสูรรับใช้ของฉันไว้ที่ศูนย์ดูแลนี้จริง ๆ”
โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง เมื่อไม่นานหลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนที่จำเรื่องของฉันได้เดินเข้ามาและช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ก่อนที่ความเข้าใจผิดจะลุกลามมากไปกว่านี้
“เฮ้อ..” แบบนี้เรียกได้ว่าเด็กสาวคนนั้นยังมีเมตตาหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่านะ... ด้วยเม็ดเงินมหาศาลที่เธอจ่ายไม่อั้น ทำให้ตอนนี้ฉันไม่ต้องกลับไปนอนในกรงแคบอับชื้นเหมือนคืนนั้นอีกแล้ว แต่กลับได้มาอยู่ในสถานที่วิเศษ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี และสัตว์อสูรน้อยใหญ่ที่วิ่งเล่นกันอย่างอิสระราวกับสวรรค์ของพวกมัน
“ถ้าอย่างนั้น... จะให้จัดอสูรรับใช้ของคุณหนูไว้โซนไหนคะ… กินพืช... หรือกินเนื้อ…”
“กินพืชแล้วกันค่ะ”
พอนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ ฉันก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ อยู่ ๆ ตัวเองก็ถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกับพวกสัตว์กินพืชเสียอย่างนั้น แต่ที่น่าแปลกคือ... ฉันกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเด็กสาวคนนั้นเลยสักนิด ทั้ง ๆ ที่ไม่นานมานี้เรายังปะทะคารมกันจนเกือบลงไม้ลงมือ
“ได้ยินว่าปีนี้มีเด็กปีห้าอัญเชิญอสูรรับใช้ระดับห้าดาวออกมาได้ด้วยใช่ไหม...”
“พูดเบา ๆ หน่อย เด็กปีห้าที่ว่า... คือคุณชายธีออน ตระกูลดยุกแมคฟาแลนด์นะ”
“นายนี่ก็ขี้กลัวจริง แล้วอสูรรับใช้ห้าดาวนั่นคืออะไร… คุณชายเอามาฝากที่นี่หรือเปล่า… ฉันอยากเห็นกับตาสักครั้ง”
“อืม... ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ได้ยินมาว่าเป็นกริฟฟินน่ะ น่าจะเอามาฝากไว้แถวนี้แหละ เพราะบางตึกของอะคาเดมีก็ห้ามพาอสูรรับใช้เข้าไปเหมือนกัน”
“ว่าแต่... คู่นั้นก็ดูเหมาะกันดีนะ”
“หมายถึงใครอีกล่ะ”
“ก็คุณชายธีออนกับเลดี้เซเลสเทียร์น่ะสิ คนหนึ่งได้อสูรระดับตำนาน อีกคนได้... ชาวบ้านตาดำ ๆ ไร้พลัง นี่มันคู่สร้างคูสมชัด ๆ สูงสุดกับต่ำสุด ฮ่า ๆ!”
“เห้ย! เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวก็ซวยหรอก”
“ครับ ๆ นายนี่ขี้กลัวเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ”
“ส่วนนายก็ปากพาซวยไม่แพ้กันนั่นแหละ!”
ทันทีที่ชายหนุ่มสองคนนั้นเดินจากไป ฉันก็รีบก้าวออกมาจากที่หลบซ่อน
“เซเลสเทียร์ วาเลนเซีย” ทำไมฉันถึงไม่เอะใจเลยตอนที่ได้ยินใคร ๆ เรียกเด็กคนนั้นว่า ‘เลดี้วาเลนเซีย’ ยิ่งพอได้ยินชื่อ ‘ธีออน’ ที่มักถูกพูดถึงคู่กันอยู่บ่อยครั้ง ฉันก็เริ่มแน่ใจ... “ธีออน แมคฟาแลนด์” ชายหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเกมจีบหนุ่ม ผู้มีภาพลักษณ์เป็นเพลย์บอยเจ้าสำราญ
ส่วน ‘เซเลสเทียร์ วาเลนเซีย’ ก็คือคู่หมั้นของธีออน นางร้ายในเกม ที่ถูกออกแบบมาให้คอยขัดขวางความรักของผู้เล่น
“เฮ้อ... นี่ฉันหลุดเข้ามาอยู่ในเกมนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ” แถมยังไม่ได้เข้ามาเป็นชาวบ้านเอหรือบีที่ไม่มีบทอะไรเลย แต่กลับกลายเป็น ‘อสูรรับใช้ผู้ต่ำต้อยของนางร้าย’ ซะงั้น!
“แบบนี้มันซวยสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่รึไง…”
เพราะตามสัญญาของการอัญเชิญ หากเจ้านายตาย อสูรรับใช้ก็จะต้องตายตามไปด้วย
และแม้ฉันจะรู้ว่านี่คือโลกของเกม แต่มันช่วยอะไรได้ตรงไหน ในเมื่อฉันไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนสักนิด
“ฉันนี่มันดวงซวยของแท้เลย เฮ้อ...”