จากหญิงสาวชนชั้นรากหญ้าผู้เบื่อหน่ายโลก สู่การเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูตัวร้ายในเกมโอโตเมะ

The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย - CHAPTER 2 สัญญาที่ไม่อยากผูกพัน โดย Black Panda @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หญิง-หญิง,แฟนตาซี,รัก,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

หญิง-หญิง,แฟนตาซี,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย โดย Black Panda @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จากหญิงสาวชนชั้นรากหญ้าผู้เบื่อหน่ายโลก สู่การเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหนูตัวร้ายในเกมโอโตเมะ

ผู้แต่ง

Black Panda

เรื่องย่อ

ทาคาฮาชิ ไม หญิงสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ต้องจบชีวิตลงในวัยเพียง 21 ปีจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ทว่าในช่วงเวลาที่สติของเธอใกล้ดับสิ้น วงเวทสีเขียวขนาดใหญ่กลับปรากฏขึ้นใต้ร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด พาเธอหายลับไปยังสถานที่ที่ไม่อาจระบุได้

เธอลืมตาขึ้นในโลกที่ไม่คุ้นเคย รายล้อมด้วยผู้คนแปลกหน้า และเต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่เรียกว่า 'เวทมนตร์' แต่ของขวัญจากโชคชะตาย่อมมาพร้อมกับราคาที่ต้องจ่าย เพราะตั้งแต่นี้ไป เธอจะไม่ถูกจดจำในฐานะมนุษย์อีกต่อไป หากแต่เป็น 'อสูรรับใช้'

และหากความโชคดีนั้นแฝงไว้ด้วยโชคร้าย ก็ราวกับโชคร้ายยังซ้อนทับมาอีกชั้น เมื่อเจ้านายที่กุมพันธะสัญญาของเธอไว้ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น 'นางร้าย' จากเกมจีบหนุ่ม ที่เส้นทางชีวิตไม่ได้มุ่งไปสู่จุดจบแบบ Happy Ending!

 

 

นิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนที่ถูกแต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร และเหตุการณ์เป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น

 

สารบัญ

The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย-CHAPTER 0 เกมเริ่มต้น,The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย-CHAPTER 1 พันธสัญญาผิดคาด,The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย-CHAPTER 2 สัญญาที่ไม่อยากผูกพัน,The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย-CHAPTER 3 ในโลกที่ไม่ใช่ความฝัน,The Villain's Guardian — อสูรรับใช้ตัวโปรดของคุณหนูนางร้าย-CHAPTER 4 บทเรียนแรกของอสูรรับใช้

เนื้อหา

CHAPTER 2 สัญญาที่ไม่อยากผูกพัน

Part : ทาคาฮาชิ ไม

‘ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว’

‘...เพียงแค่ใครสักคน...’

เสียงผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว... ทั้งที่ฉันกำลังจะตายอยู่รอมร่อ ฉันยังจะได้ยินเสียงแว่วของเธออีกหรือนี่...

“ข้าขอทำสัญญาด้วยนามที่แท้จริงของข้า พันธสัญญาอัญเชิญของข้าเอ๋ย จงขานรับต่อเสียงเรียกของข้า จงออกมา!”

อึก... ร่างกายไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว... คงถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปจริง ๆ สินะ...

เมื่อยอมรับชะตากรรมอันแสนสั้นของตัวเองได้ ฉันจึงค่อย ๆ หลับตาลงอย่างสงบใจ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้คนรอบด้าน และสายฝนที่หลั่งไหลไม่หยุดหย่อน... ชโลมหยาดโลหิตสีแดงฉานให้ไหลเจิ่งนองไปทั่วผืนดิน

แต่แล้ว... ในช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเองได้หลุดลอยจากสติไปโดยสิ้นเชิง เสียงหวีดร้องแทรกมากับสายลมบ้าคลั่งก็กระชากความคิดของฉันให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

เสียงลม... เสียงผู้หญิงกรีดร้อง... นี่ฉัน... ฝันอยู่เหรอ…

เมื่อความคิดนั้นแวบเข้ามา เปลือกตาที่เคยปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ และในจังหวะเดียวกัน แสงสีเขียวอ่อนกับพายุที่โหมกระหน่ำรอบตัวก็ค่อย ๆ จางหายไป

“ดูนั่นสิ! มีเงาอะไรในลมนั่น!”

“เงานั่น... มันเหมือนคนเลยนะ”

“นี่เธออัญเชิญตัวอะไรออกมาน่ะ!”

“นั่นมัน... มนุษย์ไม่ใช่เหรอ”

เมื่อหมอกฝุ่นลอยละลายหายไปจนหมด ทัศนียภาพที่เคยเลือนรางก็ค่อย ๆ เปิดเผยให้เห็นกลุ่มคนหนุ่มสาวนับร้อยยืนนิ่งจ้องมาทางฉันอย่างตื่นตะลึง

ที่นี่มัน... ที่ไหนกันเนี่ย...

ฉันพยายามสงบใจ ทั้งที่สติใกล้แตกสลายเต็มที กับภาพตรงหน้าที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกอย่างก็ดูแปลกประหลาดชวนหวาดระแวง ทั้งอัฒจันทร์ขนาดใหญ่ที่คล้ายโคลอสเซียมแบบในกรุงโรมโบราณ หรือแม้แต่เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นที่สวมใส่คลุมผ้า ถือไม้เท้า หรือแม้กระทั่งดาบในมือ... ทุกอย่างช่างเหมือนกับฉากในหนังหรือนิยายแฟนตาซีไม่มีผิด

“นะ นี่คือ... อสูรรับใช้ของฉันเหรอ...” ฉันสะดุ้งสุดตัวจากภวังค์ เมื่อเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้า 

เส้นผมสีเขียวลูกแพร์ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล...

นี่มันเป็นฝันประเภทไหนกันเนี่ย... อย่างกับหลุดเข้าไปในโลกของนิยายหรือมันฮวาอะไรเทือกนั้นอย่างนั้นแหละ...

และทันใดนั้นเอง ฉันก็รู้สึกขนลุกซู่ เมื่อเผลอตระหนักรู้เรื่องน่ากลัวบางอย่างเข้า จึงรีบหยิกตัวเองแรง ๆ ตามสัญชาตญาณทันที

เจ็บ.. แต่ไม่ตื่น ฉันยังอยู่ที่เดิม.. คนตายไปแล้วก็น่าจะไม่มีความรู้สึกสิ.. “เอ๊ะ! หรือนี่เรายังไม่ตายเหรอ...” แถมที่นี่อาจจะไม่ใช่ความฝันด้วยใช่ไหม “ไม่เจ็บ ไม่มีแผล ไม่มีเลือด เป็นไปได้ไง!”

“พูดภาษามนุษย์ได้ด้วย แถมไม่ใช่เทเลพาธี... “ ฉันหันกลับไปมองเด็กสาวผมสีแปลกอีกครั้ง

ผมสีแบบนั้นมันมีอยู่จริงบนโลกไหมนะ ต่อให้เป็นชาวตะวันตก ก็ไม่เคยเห็นสีผมที่สดเกินจริงขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่การย้อมก็ต้องเป็นวิก... แต่ทุกคนที่นี่ต่างก็มีสีผมแปลกตากันทั้งนั้น มันดูไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ยุคฉันจะทำพร้อมเพรียงกันได้ นี่มัน... หรือจะเป็นพันธุกรรม...

พอคิดได้แบบนั้น ความคิดที่ว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนโลกอื่นก็ดูเข้าเค้าอยู่ไม่น้อยเลย

แต่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรให้ถี่ถ้วน เด็กสาวคนนั้นก็ยกมือขึ้น เปล่งเสียงบางอย่างออกมา ทำให้วงเวทที่เคยเงียบสงบพลันเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับสายลมอ่อน ๆ ที่เริ่มพัดวนรอบตัวของเราทั้งสอง

เจ้าผู้ซึ่งตอบรับการอัญเชิญจากข้า นามของข้าเซเลสเทียร์ วาเลนเซีย...”

“หยุดเดี๋ยวนี้ นักเรียนวาเลนเซีย! อย่าเพิ่งสร้างพันธะสัญญากับอสูรตนนั้น!” เสียงตะโกนดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่ง ทว่ากระแสลมที่โหมพัดอยู่รอบตัวกลับกลืนเสียงนั้นจนจับใจความแทบไม่ได้

“...จะขอสร้างพันธสัญญากับเจ้า จงยอมรับและทำพันธสัญญากับข้า!” 

เลือดหยดหนึ่งไหลลงแตะพื้น ทันใดนั้น ความรู้สึกร้อนวาบก็พลุ่งขึ้นที่อกข้างซ้าย มันแผดเผาอย่างหนักหน่วงจนฉันทรุดลงไปนอนกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทานได้

“อ้ากกก นี่มันอะไรเนี่ย!” เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของฉัน...

ไม่ปล่อยให้ความสงสัยต้องค้างคา ฉันรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด ค่อย ๆ ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด ด้วยจังหวะที่สั่นไหวแต่แน่วแน่

อึก... นี่มัน... สัญลักษณ์อะไร... 

ความรู้สึกแสบร้อนที่ได้รับเมื่อครู่ เป็นเพราะรอยสัญลักษณ์ประหลาดนี้งั้นเหรอ…

“อสูรรับใช้ของฉัน..” เพียงถ้อยคำนั้นหลุดจากริมฝีปากของเด็กสาวตรงหน้า ก็ทำเอาฉันขนลุกวาบไปทั้งร่างอย่างไม่ทันตั้งตัว

“หมายความว่าไง... อสูรรับใช้อะไรของเธอเหรอ...” เธอมองมาที่ฉัน... ดวงตาคู่นั้นเยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว ราวกับจะตอกย้ำว่า... คำว่า ‘อสูรรับใช้’ นั้นไม่ใช่เพียงคำพูดลอย ๆ แต่มันคือความจริง

 

“นักเรียนวาเลนเซีย! ทำไมเธอถึงได้วู่วามแบบนั้น! เธอก็เห็นไม่ใช่หรือว่าอสูรตัวนี้มัน... แปลกประหลาดกว่าปกติ!” ฉันฟังไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขากำลังเถียงอะไรกันแน่ แล้วอสูรรับใช้ที่พูดถึงซ้ำ ๆ นั่นคืออะไรกัน…

“แต่ว่าเขาก็ออกมาจากวงเวทอัญเชิญนี่คะ ถึงรูปร่างจะเป็นแบบนั้น แต่มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง นอกจากอสูรรับใช้ของฉัน”

“ต่อให้เป็นอย่างนั้น เธอก็ไม่ควรรีบตัดสินใจแบบนี้! ไปกับฉันเดี๋ยวนี้ เราต้องไปพบท่านผู้อำนวยการโดยด่วน”

“แล้วอสูรรับใช้ของฉันล่ะ...”

อั่ก! ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จู่ ๆ ชายร่างสูงสองคนก็พุ่งเข้ามาและใช้กำลังบังคับให้ฉันหมอบลงกับพื้น

“พวกคุณจะทำอะไรเนี่ย!” แม้เรี่ยวแรงจะร่อยหรอแทบไม่เหลือ  แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็บีบบังคับให้ฉันต้องรวบรวมพลังเฮือกสุดท้าย เพื่อดิ้นรนสุดชีวิต หวังเพียงจะหลุดพ้นจากการจับกุมของชายร่างสูงทั้งสองคนนี้

“เอาตัวมันไปขังไว้ที่ด้านหลังศูนย์ดูแลอสูรรับใช้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีทางหนีได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเจ้านี่เป็นปีศาจที่แฝงตัวมาหรือเปล่า”

“หมายถึงฉันเหรอ... ปีศาจที่คุณพูดถึงน่ะ!” อารมณ์โกรธพลุ่งพล่านทันทีเมื่อชายในชุดจอมเวทเอ่ยด้วยความมั่นใจว่าฉันอาจเป็นปีศาจ และควรถูกขังอย่างแน่นหนา

“เอาตัวไปได้แล้ว! ส่วนนักเรียนวาเลนเซีย ตามฉันมา เราต้องรีบไปพบท่านผู้อำนวยการ!”

...

 

“ไอ้พวกเฮงซวย!”

เป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงแล้วที่ฉันถูกโยนเข้ามาในกรงขังทรงสี่เหลี่ยมอับชื้นแห่งนี้ กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั่ว ราวกับไม่มีใครแตะต้องหรือทำความสะอาดมานานหลายปี อากาศแน่นขนัด มืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น

แต่ที่น่าหงุดหงิดที่สุดไม่ใช่ความสกปรกหรือความมืด หากเป็นเพื่อนร่วมห้อง กรงที่อยู่ติดกัน ตัวอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็หอน เดี๋ยวก็ขู่ เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังไม่หยุด บางตัวพุ่งใส่ซี่กรงอย่างบ้าคลั่งจนโลหะสั่นสะเทือน

ฉันนั่งขดอยู่ที่มุมกรง หูอื้อไปหมดจากเสียงโกลาหลนั่น เหนื่อยล้าแต่ก็ไม่อาจหลับตาได้ เพราะไม่รู้เลยว่าในความมืดนั้น…จะมีอะไรโผล่ออกมาอีกเมื่อไหร่

อีกทั้งเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่กลางคืนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครนำอาหารหรือแม้แต่หญ้าแห้งมาให้ ไม่ใช่แค่ฉัน แต่แม้กระทั่งสัตว์ประหลาดพวกนี้ก็ยังถูกปล่อยปละละเลยไม่ต่างกัน

“ชีวิตฉันต่อจากนี้... จะเป็นยังไงนะ...”

หลังจากพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่จำได้ ฉันก็เริ่มแน่ใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่นี่อาจไม่ใช่โลกเดิมที่ฉันเคยอยู่ สิ่งที่ยืนยันข้อสงสัยนั้นได้ดีที่สุด ก็คือเจ้าสัตว์ประหลาดข้างกรงเหล่านี้

รูปร่างประหลาด ตัวใหญ่จนผิดธรรมชาติ บางตัวยังใช้เวทมนตร์ได้ด้วยซ้ำ แบบนี้แล้วจะไม่ให้คิดว่าเป็นต่างโลกได้ยังไง…

“แต่ว่า.. ฉันมาที่นี่ได้ยังไง...” 

คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวโดยไม่มีคำตอบ แต่ถ้าจะมีใครที่ตอบได้ สัญชาตญาณฉันบอกชัดเจน ต้องเป็นเด็กผู้หญิงผมสีเขียวคล้ายลูกแพร์คนนั้นแน่ ๆ 

เพราะเสียงของเธอ... คล้ายกับเสียงสุดท้ายที่ก้องกังวานก่อนสติของฉันจะดับวูบในโลกเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเอ่ยว่าฉันคือ 'อสูรรับใช้' ของเธอ...

ซึ่ง...อสูรรับใช้คืออะไรกันแน่ ฉันยังคงไม่รู้ แต่ทว่า...

“ฉันต้องหาทางเจอเธออีกครั้งให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” 

...

 

เช้านี้ช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ฉันนั่งนิ่งในความอึดอัด ข่มความหงุดหงิดที่ก่อตัวอยู่ลึก ๆ ภายในใจ เพราะทันทีที่แสงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเพียงน้อยนิด เจ้าพวกเฮงซวยจากเมื่อวานก็เข้ามาปลุกฉันขึ้นจากสภาพอิดโรยหลังแทบไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน แล้วลากฉันออกไปโดยไม่ปริปากอธิบายอะไร

“เราจะไปไหนกัน...” ฉันถามเสียงแผ่ว ทั้งง่วงทั้งหวั่นใจ... กลัวเหลือเกินว่าพวกมันจะพาฉันไปฆ่าทิ้ง...

“ที่ที่จะพิสูจน์ตัวตนของแกไง” น้ำเสียงห้วนจัดของชายผู้หนึ่งตอบกลับมา ซึ่งฉันจำได้แม่น เขาคือคนเดียวกับที่กล่าวหาว่าฉันเป็นปีศาจเมื่อวานนี้ และถ้าพูดถึงการ ‘พิสูจน์ตัวตน’ ก็คงหนีไม่พ้นการพิสูจน์ว่าฉันเป็นปีศาจหรือมนุษย์แน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย ก็ยังพอมีเรื่องให้โล่งใจอยู่บ้าง เพราะเด็กสาวผมสีเขียวลูกแพร์คนนั้น… คนที่ฉันมั่นใจว่าเกี่ยวข้องกับการที่ฉันหลุดมาอยู่ในโลกนี้ ก็นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกับฉันด้วย นี่อาจเป็นโอกาสดี ที่ฉันจะได้ไขข้อสงสัยในใจเสียที

“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม...” ฉันเอ่ยขึ้น พยายามสบตาเธอผ่านแสงสลัวในรถม้า เธอดูอายุไม่ห่างจากเด็กมัธยมปลายเท่าไหร่ “เธอเป็นคนพาฉันมาที่นี่ใช่ไหม… โลกนี้น่ะ”

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบ เสียงขัดขึ้นของชายคนเดิมก็ดังมาเสียก่อน “เรื่องนั้นไว้คุยกันหลังจากที่พิสูจน์ได้ว่าแกไม่ใช่ปีศาจเถอะ”

เฮ้อ...

เมื่อก่อน ตอนอ่านนิยายหรือมันฮวา ฉันเคยใฝ่ฝันถึงการได้ไปยังโลกแฟนตาซี โลกที่มีเวทมนตร์ อัศวิน และการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง ฉันกลับพบว่ามันไม่สนุกเลยสักนิด…

รถม้าเคลื่อนตัวไปท่ามกลางความเงียบอันอึดอัดเกือบครึ่งชั่วโมง กระทั่งในที่สุดก็หยุดลงที่หน้าสถานที่หนึ่ง มันคือวิหารขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางลานหิน

“ลงมา แล้วเดินตามมาเงียบ ๆ” ชายคนนั้นออกคำสั่งเสียงเรียบ ฉันเองก็ทำตามโดยไม่ลังเล เพราะเบื่อหน่ายเต็มทีที่จะต้องทนฟังน้ำเสียงไม่เป็นมิตรและดูแคลนของเขาอีกต่อไป

...

 

“บางทีอาจจะเป็นมนุษย์ที่ถูกควบคุมอยู่ก็ได้... หรือไม่ก็...”

“ได้ข่าวว่าจริง ๆ แล้วเธอเป็นแค่สามัญชนธรรมดา”

“อย่างนี้หมายความว่าทั้งหมดเป็นแค่การจัดฉากของตระกูลวาเลนเซียงั้นเหรอ... เป็นถึงหนึ่งในห้าตระกูลดยุกที่ค้ำจุนอาณาจักรแท้ ๆ แต่กลับไม่มีพลังเวทมากพอจะอัญเชิญอสูรรับใช้ได้ ฮ่าฮ่า...ช่างน่าอับอายจริง ๆ”

“เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวเลดี้วาเลนเซียได้ยินเข้า”

“แล้วจะยังไงล่ะ… ก็แค่หมาหัวเน่าของตระกูลดยุก ขนาดคู่หมั้นยังอยากจะถอนหมั้น ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน”

เพียงแค่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน ข่าวเรื่องผลพิสูจน์ที่ว่าฉันไม่ใช่ปีศาจ หากแต่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟลามทุ่ง คำซุบซิบนินทาดังกระทบหูทุกครั้งที่ฉันเดินผ่าน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ทั้งฉันและเด็กสาวคนนั้นก็กลายเป็นเป้าสายตา ราวกับพวกเราคือคนผิดที่ไปก่อคดีเลวร้ายอะไรไว้เสียอย่างนั้น

“รออยู่ตรงนี้ก่อน ฉันจะเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการ” เธอออกคำสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในประตูบานใหญ่ที่ดูโอ่อ่า

“อืม... เข้าใจแล้ว” หลังจากเสร็จสิ้นการพิสูจน์ตัวตนในช่วงเช้า ชายคนที่ดูเหมือนนักเวทก็ได้ให้ข้อมูลบางอย่างกับฉันเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘อสูรรับใช้’ สิ่งมีชีวิตจากต่างมิติที่ถูกอัญเชิญมาเพื่อคอยรับใช้และปกป้องผู้เป็นนายโดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ซึ่งนั่นก็คือบทบาทที่ฉันได้รับอย่างไม่เต็มใจนักในตอนนี้

มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก หากฉันจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องคอยเดินตามและคำสั่งเด็กสาวผมสีเขียวลูกแพร์คนนี้ ทั้งที่ในใจฉันยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น อย่างน้อยก็ยังมีเธออยู่ตรงนี้... สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวจนเกินไปในโลกแปลกประหลาดใบนี้

...แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดไปเองฝ่ายเดียว

“ฉันขออัญเชิญใหม่ค่ะ อย่างน้อยฉันก็ควรจะได้อสูรรับใช้ระดับสองหรือสามดาว ไม่ใช่แค่สามัญชนคนธรรมดาแบบนั้น!”

คำพูดที่หลุดออกจากปากเธอแทงทะลุเข้ากลางอก แม้ฉันจะเดาได้อยู่แล้วว่าเธอคงไม่ยินดีที่ได้ใครอย่างฉันมาเป็นอสูรรับใช้... แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ดี