แฝดสองกำลังดีแต่แฝดสี่แม่ค่อนข้างจะปวดหัว
จีน,รัก,ชาย-หญิง,ครอบครัว,เกิดใหม่,นิยายรักจีนโบราณ,เกิดใหม่,ครอบครัว,แม่ลูกแฝด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝดแฝดสองกำลังดีแต่แฝดสี่แม่ค่อนข้างจะปวดหัว
ใครมันจะไปคาดคิดว่าชีวิตของผู้หญิงที่ได้เกิดมาสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างจะมีจุดจบที่น่าอนาถเพียงเพราะเดินไปตามควายกลางทุ่งหญ้าในวันฝันตกจึงถูกฟ้าผ่าแต่แล้วเรื่องราวชีวิตของวาสนาที่ดูจะสิ้นวาสนากลับไม่ได้มีจุดจบอยู่เพียงแค่นั้นแต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเมื่อดวงวิญญาณของเธอถูกส่งไปอีกภพหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตใหม่ในนามของไป๋ฮวาซูหญิงสาวผู้มีลูกชายและลูกสาวฝาแฝดที่คลอดออกมาครั้งเดียวถึงสี่คนแม้จะโชคดีที่ได้สามีเป็นคนเอาถ่านแต่ก็ใช่ว่าไป๋ฮวาซูคนใหม่จะไม่ต้องใช้ความพยายามสร้างฐานะให้ครอบครัวและดูแลลูกเสียเมื่อไหร่
หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ
กติกาการลงนิยาย
ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้
1. ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์ (4 เหรียญ)
2. ปลดเหรียญอ่านฟรี 1 สัปดาห์
3. หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบค่ะ (8 เหรียญ)
ทางด้านภรรยาใหม่ของบิดาและบุตรชายของนางเมื่อได้เงินจากการตัดขาดของบ้านรองไปได้ไม่นานน้องสะใภ้ก็มาพบไป๋จิ่งลู่และไป๋ฮวาซูอีกครั้งเพราะคราวนี้นางถูกสามีไล่ออกจากบ้านจริงๆ ด้วยเหตุที่ว่าเขาไปติดพันสตรีผู้หนึ่งในหมู่บ้านข้างๆ และต้องการที่จะแต่งงานใหม่เมื่อน้องสะใภ้ไม่ยอมนางจึงถูกเขาทุบตีและขับไล่ออกมาจากบ้านอย่างไร้เยื่อใยพร้อมหนังสือหย่าแต่กลับไม่คืนสินเดิมหรือให้เงินมาตั้งตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว
โดยนางมาพบสองสามีภรรยาเพราะจะมาบอกว่าตนเองตั้งใจจะเดินทางกลับไปบ้านเดิมเพื่อเริ่มชีวิตใหม่จึงมาขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมาซึ่งไป๋ฮวาซูและสามีก็หาได้เชื่อเรื่องราวที่นางเล่าในทันทีพวกเขาจัดการสืบเรื่องราวและพบว่าเป็นจริงจึงได้ให้เงินจำนวนหนึ่งและสัญญาว่าจะจ้างเกวียนไปส่งให้ถึงบ้านเดิมแม้จะเป็นห่วงแต่ก็ต้องยอมปล่อยไปเพราะน้องสะใภ้ตั้งใจแบบนั้นอีกทั้งยังบอกว่าหากมีปัญหาก็กลับมาได้เสมอหรือว่าส่งจดหมายส่งข่าวมาบ้างเป็นครั้งคราวก็ยังดี
“หากเจ้าอยากพาลูกๆ ไปข้าจะคืนพวกเขาให้พร้อมหนังสือซื้อตัวในวันนั้นอย่างน้อยๆ เจ้าก็ยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของพวกเขาทั้งสองคนข้าไม่อาจพรากลูกพรากแม่ได้หรอก” ไป๋จิ่งลู่เป็นฝ่ายที่เอ่ยปากเรื่องหลานๆ ของตัวเองออกมาก่อนแม้ตอนนี้ทั้งคู่จะไม่รู้ว่ามารดามาที่ร้านแต่เด็กๆ ต่างก็รับรู้กันว่าที่บ้านนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวก็มักจะมาถึงหูโดยการบอกเล่าของคนอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้หลานๆ เข้าใจผิดเขาจึงตั้งใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังต้องแต่ต้นและท่าทีของหลานชายที่นิ่งเฉยก็กลับทำให้ผู้เป็นลุงต้องแปลกใจจนต้องซักถามให้รู้ถึงเหตุผลและทั้งไป๋เฟยหลิงและไป๋เฟยอินก็พูดตรงกันว่าบิดาเคยพูดเอาไว้ว่าจะขายพวกเขาหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ทำเพราะท่านแม่และท่านย่าออกหน้าปกป้องมาโดยตลอด
แต่ท้ายที่สุดแล้วท่านพ่อก็ขายพวกเขาที่เป็นลูกรวมถึงทอดทิ้งท่านแม่ที่เป็นภรรยาได้ลงคอเด็กชายทั้งสองที่อดทนมาตั้งแต่รู้ความจึงไม่ได้หลงเหลือความรู้สึกอะไรกับบิดาแล้วนอกไปเสียจากความเฉยชา
“ข้ารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกไปนั้นมันเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจแต่ข้าขอให้พี่ชายและพี่สะใภ้เลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนเอาไว้ได้หรือไม่เจ้าคะเพราะหากลูกกลับไปบ้านเกิดกับข้าชีวิตของพวกเขาก็จะยิ่งตกต่ำท่านก็น่าจะรู้ว่าสตรีที่หย่าร้างไม่เป็นที่ต้องการของใครแม้แต่คนในครอบครัวบ้านเดิม” ไป๋ซินจูตอบออกมาพร้อมกับความรู้สึกขมปร่าที่เอ่อล้นออกมาจากหัวใจ
“เมื่อรู้ว่ากลับไปแล้วจะลำบากไม่สู้เจ้าอยู่ด้วยกันกับลูกที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ” ไป๋ฮวาซูเอ่ยถามในเมื่อน้องสะใภ้มองเห็นอนาคตตั้งแต่ยังไม่กลับไปบ้านเดิมแล้วนางจะดันทุรังกลับไปทำไมกัน
“อยู่ที่นี่ข้าก็รู้สึกผิดกับท่านทั้งสองและหลานๆ ฝาแฝดทั้งสี่คนเจ้าค่ะกลับไปบ้านก็ยังหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากบิดามารดาบ้างอย่างน้อยๆ พวกเขาคงไม่มีใครฆ่าแกงข้าหากโชคร้ายก็แค่ถูกจับให้แต่งงานใหม่ออกไปกับใครสักคนที่มีเงินมากสักนิดหรือหากโชคดีก็จะถูกเลี้ยงเอาไว้ให้คอยทำงานบ้านและดูแลคนในครอบครัว” เมื่อน้องสะใภ้กล่าวเช่นนั้นไป๋ฮวาซูก็คิดว่าจะไม่รั้งอะไรนางที่นางทำคือเรียกหลานๆ มาพบมารดาให้เวลาพวกเขาได้พูดคุยกันจนพอใจ
“เหตุใดเจ้าจึงช่วยนางทั้งๆ ที่นางก็เคยร้ายกาจกับเจ้าตั้งมากมาย” หลายวันต่อมาเมื่อคนที่เป็นอดีตน้องสะใภ้เดินทางกลับไปยังบ้านเดิมของนางแล้วด้วยความช่วยเหลือจากเงินของเขาเองไป๋จิ่งลู่ก็ถึงกับต้องถามภรรยาอย่างจริงจังในเรื่องที่นางบอกเขาให้เป็นคนออกหน้าช่วยเหลือ
“อาจจะเป็นเพราะข้าเข้าใจว่านางเองก็เป็นเพียงหมากอีกหนึ่งตัวของแม่เลี้ยงของท่านสตรีผู้นั้นไม่เคยรักใครนอกจากบุตรชายของตนเองขนาดหลานชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ในบางคราวนางยังไม่ดูดำดูดี บ้านใหญ่ถูกบงการโดยไป๋เยี่ยนอี๋มานานแสนนานแล้วเจ้าค่ะแต่ตัวข้าเองก็เพิ่งมาคิดได้ภายหลัง
ที่ผ่านมานางอยากได้ทุกอย่างที่เป็นของมารดาท่านไม่ว่าจะเป็นตัวท่านพ่อหรือทรัพย์สมบัติทำให้นางจงเกลียดจงชังและผลักไสท่านออกมาจากบ้านทุกทางส่วนท่านพ่อที่ไม่มีปากมีเสียงส่วนหนึ่งก็เพราะสงสารภรรยาใหม่ที่เคยเป็นคนรักเก่าเขาแค่อยากจะชดเชยให้นางจึงเลือกที่จะหลับตาลงเสียข้างหนึ่งแต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันกลับเป็นสิ่งที่ทำลายครอบครัว”
เรื่องความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงของรุ่นพ่อรุ่นแม่สกุลไป๋นั้นไป๋ฮวาซูก็เคยได้ยินได้ฟังจากปากสามีมาบ้างนางพอจะทราบว่าแม่เลี้ยงของสามีนั้นเจ็บช้ำจากการที่มารดาของเขาได้ชายคนที่นางรักไปครอบครองทำให้นางต้องรอมาเสียหลายปีกว่าจะได้ท่านพ่อกลับคืนไปแต่ถึงได้มาแล้วก็ยังมีไป๋จิ่งลู่ที่เป็นดั่งหนามยอกอกนางจึงคิดที่จะทำลายเขาทุกหนทางตั้งแต่เป็นเด็กชายไม่รู้ความจนมาถึงปัจจุบัน
แต่มันก็เห็นแล้วว่าทุกสิ่งที่นางทำมานั้นหาได้ทำลายไป๋จิ่งลู่ที่นางเกลียดชังแต่กลับเป็นการทำลายครอบครัวที่ไป๋เยี่ยนอี๋ไขว่คว้ามาทั้งชีวิตให้พังทลายหายไปต่อหน้าต่อตาในตอนนี้แม้บ้านจะยังไม่แตกแต่อีกไม่นานไป๋ฮวาซูคิดว่าวันนั้นมันต้องมาถึงเพราะจากที่น้องสะใภ้บอกเล่าท่านพ่อเองก็แยกตัวออกไปอยู่ในที่นาตั้งแต่ที่ตอนสามีของนางตัดขาดและน้องชายของเขาขายบุตรชายออกมาแล้ว
“จิตใจของมนุษย์ยากจะหยั่งนักข้าเห็นแม่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเด็กแต่ก็ยังไม่เคยเข้าใจเหตุผลและการกระทำของนางเลยสักครั้งก็ไม่รู้ว่าท่านแม่ของข้านั้นทำอะไรผิดนางก็แต่งงานเพราะผู้ใหญ่เห็นชอบและท่านพ่อก็ตกหลุมรักที่มารดาข้าเป็นคนดีเป็นสตรีที่เพียบพร้อมแล้วการที่นางเป็นคนเช่นนั้นมันผิดหรืออย่างไรกัน
แต่ก็เอาเถอะข้าไม่อยากบ่นว่าให้กระดูกของท่านแม่ต้องร้อนเป็นไฟหลังจากนี้ใครจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยแล้วแต่กรรมแล้วแต่บุญของคนผู้นั้นไปก็แล้วกัน
หรือว่าพวกเราจะรับท่านพ่อมาอยู่ด้วยอย่างน้อยๆ หลานๆ ก็ยังสนิทกับท่านปู่พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่พ่อไปทางแม่ไปทางส่วนตัวเองก็ต้องมาอยู่กับลุงและป้าสะใภ้ไม่ได้อยู่กับคนในครอบครัวของตัวเองจริงๆ”
ไป๋จิ่งลู่เองก็เหนื่อยกับสองแม่ลูกคู่นั้นแต่ถึงยังจะเป็นห่วงบิดาเขาก็ยังแอบไปดูแลไปหาตรงที่นาได้เวลานี้ไม่ควรไปสนใจคนที่ไม่มีจิตสำนึกพวกนั้นแต่สิ่งที่สำคัญคือต้องดูแลสภาพจิตใจของหลานๆ เสียมากกว่า
“ข้าคิดว่าท่านพ่อไม่มีทางมาอยู่กับเราหรอกเจ้าค่ะข้ามั่นใจว่าท่านไม่มีทางมาแตะต้องสิ่งที่ท่านพี่หาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเพราะความละอายใจหากจะให้ข้าพูดตรงๆ ท่านพ่อก็ทิ้งขว้างท่านตั้งแต่แต่งงานกับภรรยาใหม่ท่านเองก็เติบโตมาได้เพราะท่านปู่นะเจ้าคะ
วันนี้เมื่อท่านพี่ยืนด้วยตนเองได้แล้วท่านพ่อคงยิ่งละอายใจที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเติบโตแต่ละย่างก้าวของท่านพวกเราคอยดูแลอยู่ห่างๆ เช่นนี้ข้าว่ามันก็ดีอยู่แล้วส่วนเรื่องหลานๆ ข้าคิดว่าทั้งสองคนรู้ดีรู้ชั่วแม้จะยังมีอายุเพียงเท่านั้นพวกเขาคงไม่มีทางทำตามแบบในสิ่งที่ตนเองเห็นบิดาและท่านย่าทำมาทั้งชีวิตหรอกเจ้าค่ะ”
สิ่งที่ท่านย่าและบิดาของหลานชายทั้งสองทำเด็กๆ เห็นอยู่เป็นประจำก็คือการเอาเปรียบบ้านรองทุกในทุกๆ เรื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นอกจากนั้นยังคงใส่ร้ายป้ายสีให้หลานๆ เข้าใจว่าท่านลุงและป้าสะใภ้เป็นคนที่หาความดีไม่ได้และนั่นมันก็เคยได้ผลเมื่อครั้งที่ไป๋เฟยหลิงและไป๋เฟยอินยังเล็กมาก
แต่เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นจนรู้ความสิ่งที่ได้พบเห็นและได้สัมผัสด้วยตนเองนั้นช่างแตกต่างจากสิ่งที่ท่านย่าและท่านพ่อเคยพูดเอาไว้ให้ฟังนักพวกเขาจึงเกิดคำถามและอยากจะค้นหาคำตอบจนสุดท้ายแล้วก็ค้นพบและสามารถแยกแยะได้แล้วว่าอะไรคือเรื่องดีหรือไม่ดีการทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้นเป็นอย่างไรและการใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นให้เกิดความเสื่อมเสียเขาทำกันอย่างไรบ้าง
“บางครั้งข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสมีอายุสักหกสิบเจ็ดสิบปีเพราะเข้าใจการใช้ชีวิตอย่างถ่องแท้” ไป๋จิ่งลู่ที่ได้นั่งฟังภรรยาอย่างตั้งใจได้แต่ยิ้มและเมื่อเขาคิดตามสิ่งที่นางพูดไปอย่างช้าๆ ก็เข้าใจแล้วว่ามันล้วนเป็นความจริงทั้งหมดทั้งสิ้นจึงอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าให้ภรรยาได้มีรอยยิ้ม
“หากเป็นเมื่อก่อนข้าเองก็คิดอะไรเช่นนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะแต่หลังจากชีวิตก้าวเข้าใกล้ปรโลกไปแล้วหนึ่งครั้งข้าจึงมองการใช้ชีวิตของตนเองต่างออกไปจากเดิม
ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะเป็นคนเฉยเมยไม่รู้ร้อนรู้หนาวเพราะเข้าใจไปว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของข้าแต่ที่ไหนได้ทุกสิ่งทุกอย่างมันต่างเกี่ยวพันและมีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด
ข้าพยายามอย่างมากที่จะทำตัวเป็นภรรยาที่ดีและมารดาที่เป็นที่พึ่งของลูกๆ ได้ในชีวิตนี้ข้าต้องการเพียงอย่างเดียวคือการได้เห็นลูกๆ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและรู้คุณค่าของการได้เกิดมาเป็นคน” นี่คือความรู้สึกจริงๆ จากใจของไป๋ฮวาซูที่นางไม่เคยได้ปริปากบอกใครเลยสักคน
“เจ้าทำทุกอย่างได้ดีมากๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของภรรยาหรือหน้าที่ของมารดาของเด็กแฝดทั้งสี่คน แล้วก็มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกเจ้าว่าอันที่จริงว่าพวกเราต่างก็ทำทุกอย่างเพื่อลูกๆ เช่นเดียวกันก็เท่ากับว่าเป้าหมายของเราทั้งคู่มีเพียงหนึ่งเดียว” ไป๋จิ่งลู่จับมือเล็กๆ ของภรรยามากุมเอาไว้เพื่อเป็นการยืนยันว่าทั้งเขาและนางต่างก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาตั้งแต่เริ่มแรก
“ท่านพี่ก็เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นบิดาที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา” ไป๋ฮวาซูไม่ได้หยอดคำหวานป้อยอสามีแต่สิ่งที่นางพูดคือสิ่งที่ไป๋จิ่งลู่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“เจ้าเองก็เป็นมารดาที่ประเสริฐนักชีวิตของเจ้าสละให้พวกเขาตั้งแต่วันแรกคลอดข้ายังจำได้ดีตอนที่หมอตำแยทำคลอดเหม่ยเหมยแม้นางจะตัวเล็กที่สุดแต่ก็คลอดออกมาได้ยากที่สุดเช่นกันจนหมอตำแยต้องตะโกนออกมาจากห้องเพื่อถามข้าว่าจะเก็บลูกหรือแม่ไว้แต่ข้ายังไม่ตอบอะไรเจ้าก็รีบกรีดร้องออกมาว่าต้องช่วยลูกก่อน” เหตุการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เป็นสามีจดจำได้ขึ้นใจแม้มันจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม
“มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นด้วยสินะเจ้าคะความเจ็บปวดมันทำให้ข้าจำอะไรไม่ค่อยปะติดปะต่อแต่หลังจากนั้นก็รู้สึกคล้ายกับตัวเองได้เกิดใหม่จริงๆ”
“จนถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็ยังเลือกลูกๆ ก่อนเสมอขอบใจเจ้ามากที่ดูแลลูกของเราเป็นอย่างดีและข้าก็ดีใจมากที่มันเป็นเช่นนั้น” ไป๋จิ่งลู่ดีใจมากที่ภรรยารักลูกมากกว่าชีวิตของนางเองและหลังจากนี้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาได้สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะเป็นฝ่ายปกป้องดูแลทั้งภรรยาด้วยชีวิตของตนเองไม่ต้องให้นางเป็นคนที่ตัดสินใจหรือว่าออกหน้าใดๆ แล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มีมี่กับเหม่ยเหมยขอนอนด้วยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กๆ ที่ติดจะงัวเงียของบุตรสาวทำให้บิดามารดาที่กำลังมีช่วงเวลาที่ซาบซึ้งต้องผละจากกันด้วยความเสียดายแต่เมื่อลูกๆ กล้าหาญถึงขนาดเดินฝ่าความมืดมาหาพวกเขาถึงห้องนอนก็ต้องดูแลเจ้าตัวน้อยก่อนเป็นเรื่องปกติ
“นอนไม่หลับกันหรือลูกรักหรือว่าหลับไปแล้วแต่ตื่นเพราะฝันร้าย” ไป๋ฮวาซูรับบุตรสาวที่สามีอุ้มส่งขึ้นเตียงมาให้ทีละคนช่วยจัดท่าจัดทางให้พวกนางได้นอนสบายแล้วจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“น้องนอนแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาเจ้าค่ะจากนั้นก็ร้องจะหาท่านแม่มีมี่จึงพาน้องเดินออกมาจากห้อง” พี่สาวเล่าให้มารดาฟังส่วนคนน้องนั้นเมื่อได้กลิ่นกายหอมๆ ที่คุ้นเคยของมารดาก็หลับไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็นอนเถิดพ่อกับแม่อยู่กับพวกเจ้าตรงนี้แล้วลูกรัก” กระหม่อมเล็กบอบบางถูกมารดาบรรจงจุมพิตลงไปด้วยความรักและความห่วงใยและเมื่อหันไปมองสามีก็พบว่าสายตาที่อบอุ่นของเขากำลังทอดมองมาที่นางและลูกๆ เช่นเดียวกัน
“เจ้าส่งลูกเข้านอนแล้วแต่ไปก็เป็นเวลาของข้าบ้างแล้วล่ะฮวาเอ๋อร์ต้องส่งบิดาของลูกๆ เข้านอนแล้ว”
“เช่นนั้นท่านพี่ก็ต้องนอนหลับฝันดีนะเจ้าคะไม่ต้องกลัวฝันร้ายเพราะมีข้าอยู่ด้วยกันตรงนี้แล้ว” ไป๋ฮวาซูค่อยๆ ก้มลงเพื่อหวังจะจูบกระหม่อมสามีดังที่นางทำกับลูกๆ ทั้งสองคนแต่ไม่คิดว่าจะมีคนเจ้าเล่ห์ขยับใบหน้าเอาริมฝีปากของตนเองมารับจุมพิตนั้นไว้แทน
“สามีโตกว่าลูกมากจะจูบที่กระหม่อมไม่ได้ต้องเป็นที่ตรงนี้เท่านั้น” จนถึงตอนนี้ไป๋จิ่งลู่ก็ไม่เลิกหยอกเย้าภรรยาแต่เพราะเขินอายและหนีไปไหนไม่ได้ด้วยพื้นที่บนเตียงนั้นมีจำกัดไป๋ฮวาซูจึงทำได้แค่นอนหันหลังให้เขาแต่คนหน้าทนก็ยังตามมากอดรัดนางไว้ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาอยู่ดี
“ได้กอดเจ้านอนหลับทุกวันเป็นความสุขของข้าจริงๆ นะฮวาเอ๋อร์” แม้ภรรยาจะไม่ตอบกลับมาว่ากระไรแต่เสียงหัวใจของนางที่เต้นดังออกมาจากอกก็เป็นคำตอบแล้วว่าเราทั้งสองคนล้วนมีความสุขไม่ต่างกัน
จบบริบูรณ์