แฝดสองกำลังดีแต่แฝดสี่แม่ค่อนข้างจะปวดหัว

ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด - ตอนที่ 4 ก็เลยแกล้งความจำเสื่อมเสียให้มันจบๆ ไป โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,รัก,ชาย-หญิง,ครอบครัว,เกิดใหม่,นิยายรักจีนโบราณ,เกิดใหม่,ครอบครัว,แม่ลูกแฝด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,รัก,ชาย-หญิง,ครอบครัว,เกิดใหม่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,เกิดใหม่,ครอบครัว,แม่ลูกแฝด

รายละเอียด

ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฝดสองกำลังดีแต่แฝดสี่แม่ค่อนข้างจะปวดหัว

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

ใครมันจะไปคาดคิดว่าชีวิตของผู้หญิงที่ได้เกิดมาสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างจะมีจุดจบที่น่าอนาถเพียงเพราะเดินไปตามควายกลางทุ่งหญ้าในวันฝันตกจึงถูกฟ้าผ่าแต่แล้วเรื่องราวชีวิตของวาสนาที่ดูจะสิ้นวาสนากลับไม่ได้มีจุดจบอยู่เพียงแค่นั้นแต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเมื่อดวงวิญญาณของเธอถูกส่งไปอีกภพหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตใหม่ในนามของไป๋ฮวาซูหญิงสาวผู้มีลูกชายและลูกสาวฝาแฝดที่คลอดออกมาครั้งเดียวถึงสี่คนแม้จะโชคดีที่ได้สามีเป็นคนเอาถ่านแต่ก็ใช่ว่าไป๋ฮวาซูคนใหม่จะไม่ต้องใช้ความพยายามสร้างฐานะให้ครอบครัวและดูแลลูกเสียเมื่อไหร่

 

หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้

1. ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์ (4 เหรียญ)

2. ปลดเหรียญอ่านฟรี 1 สัปดาห์

3. หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบค่ะ (8 เหรียญ)

สารบัญ

ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด-ตอนที่ 1 ฟ้าผ่าตายเพราะควายเป็นเหตุ,ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด-ตอนที่ 2 แฝดสองพอทนแฝดสี่พอเลย,ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด-ตอนที่ 3 ท่านแม่หาใช่เป็นคนน่ากลัว,ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด-ตอนที่ 4 ก็เลยแกล้งความจำเสื่อมเสียให้มันจบๆ ไป,ปวดหัวแทบบ้าเมื่อเกิดใหม่มาเป็นมารดาของลูกแฝด-ตอนที่ 5 เป็นแม่สามีที่แก่กะโหลกกะลา

เนื้อหา

ตอนที่ 4 ก็เลยแกล้งความจำเสื่อมเสียให้มันจบๆ ไป

“เจ้าไปนั่งพักก่อนเถิดทำอะไรวุ่นวายมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่เหนื่อยบ้างหรืออย่างไร ข้าถามตรงๆ นะฮวาเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงมีนิสัยแปลกไปราวกับพลิกฝ่ามือเช่นนี้เล่า” เป็นฝ่ายของสามีที่เห็นภรรยาวุ่นวายอยู่กับการทำครัวและทำความสะอาดบ้านตั้งแต่นางลุกขึ้นมาจากที่นอนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนเขาต้องเข้ามาขอให้นางหยุดทำ

และสิ่งที่เขาถามออกมานั้นคือสิ่งที่มันติดอยู่ในใจเพราะการกระทำทุกอย่างของภรรยานั้นล้วนแต่แปลกไปตั้งแต่นางฟื้นตื่นขึ้นมาจากอุบัติเหตุจนเขาเองก็แอบกลัวว่าแท้ที่จริงแล้วมีภูตผีตนใดที่มาสิงร่างกายของนางอยู่ในตอนนี้และที่เขากลัวเพราะกังวลว่าลูกๆ จะได้รับอันตรายจากผีร้าย

“แปลกอย่างนั้นหรือเจ้าคะข้าคิดว่าข้ากำลังทำในสิ่งที่ควรทำก็เท่านั้นเพราะท่านทำงานอยู่นอกบ้านเพราะฉะนั้นเรื่องงานภายในบ้านและการดูแลลูกควรที่จะเป็นหน้าที่ของข้าไม่รู้สิข้าคิดว่าจำอะไรก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เอ่อ ข้าหมายถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันอย่างเช่นในแต่ละวันข้าเคยทำอะไรบ้าง” ไหนๆ ก็ไม่มีข้ออ้างอะไรที่มันจะสมเหตุสมผลมากไปกว่าการอ้างเรื่องของความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุไปเสียเลยในเมื่อจิตวิญญาณเป็นไป๋ฮวาซูคนใหม่นางก็ควรปฏิบัติตัวใหม่ไปด้วยเพื่อให้มันง่ายต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากนี้

“ก็เป็นเรื่องที่ดีแม้ที่ผ่านมาเจ้าจะไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้บ่อยครั้งนักแต่หากลูกๆ ได้กินกับข้าวฝีมือเจ้าพวกเขาคงดีใจไม่น้อย” นับครั้งที่ไป๋ฮวาซูจะเข้าครัวปรุงอาหารแต่ทุกครั้งลูกๆ ก็จะแสดงความดีใจผ่านออกมาด้วยการกินอาหารที่มารดาปรุงให้หมดเกลี้ยงทุกจานไม่เคยมีเหลือทิ้ง

และถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไป๋จิ่งลู่กับไป๋ฮวาซูจะเป็นไปอย่างมิตรสหายมากกว่าสามีภรรยาแต่การที่เห็นว่านางสนใจและใส่ใจลูกๆ มากขึ้นนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี

“ข้าจะพยายามเป็นแม่ที่ดีขึ้นรวมถึงการเป็นภรรยาที่ดีด้วยท่านพี่ไม่ต้องกังวลใจไป” คำพูดของไป๋ฮวาซูมิได้มีนัยแอบแฝงใดๆ ทุกสิ่งที่นางพูดออกไปเกิดจากการตรึกตรองมาเป็นอย่างดีเมื่อในชีวิตนี้สตรียังต้องพึ่งพาบุรุษในเรื่องของการเลี้ยงดูเมื่อยังเป็นเด็กแน่นอนว่าต้องพึ่งพาบิดาแต่เมื่อออกเรือนมาก็คือต้องพึ่งพาสามีและในเมื่อไป๋ฮวาซูคนเก่ามีสามีที่ค่อนข้างดีอยู่แล้วเหตุใดนางจึงจะต้องปล่อยเขาให้หลุดมือไปด้วยเล่า

สองสามีภรรยาไม่ได้พูดคุยกันมากไปกว่านั้นเนื่องจากลูกๆ ของนางวิ่งเข้ามาในบ้านเพื่อขอของว่างยามบ่ายรับประทานกันแล้วซึ่งเป็นตัวไป๋ฮวาซูนี่แหละที่ทำให้เด็กๆ ติดนิสัยเนื่องจากหลายวันที่ผ่านมานางทำของว่างหลายอย่างให้พวกเขาได้ลองชิมกันหลังจากที่ตื่นนอนกลางวันแล้ว

“วันนี้แม่ทำแป้งย่างไส้ผลไม้ให้พวกเจ้าได้ลองชิมกันนะมาลองกินดูว่ารสชาติถูกปากหรือไม่ ท่านพี่ก็ด้วยนะคะกินของว่างกับน้ำชาเสียก่อนค่อยออกไปทำงานต่อก็ได้” ของว่างในวันนี้ไป๋ฮวาซูคิดทำแป้งเครปจากส่วนผสมง่ายๆ อย่างไข่ ยีสต์ที่เลี้ยงเองจากธรรมชาติรวมไปถึงนมวัวที่ได้มาโดยบังเอิญจากเพื่อนบ้านที่มีแม่วัวสาวที่ให้น้ำนมเยอะมากในแต่ละวันนางจึงขอให้สามีไปช่วยซื้อนมมาต้มให้ลูกๆ ดื่มและแบ่งมาทำขนมรวมไปถึงทำเนยและชีสสดแบบง่ายๆ วันก่อนก็ทำเกี๊ยวทอดไส้ชีสมาครั้งหนึ่งแล้วและได้ผลตอบรับค่อนข้างดี

เด็กๆ ดีใจที่จะได้กินของอร่อยกันในเมื่อก่อนเข้ามาหาท่านแม่พี่ใหญ่ได้พาทุกคนไปล้างมือกันมาแล้วในตอนนี้เด็กฝาแฝดทั้งสี่จึงเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเองที่กินข้าวตัวใหญ่ที่ท่านพ่อต่อไว้ใช้ด้วยตัวเองแม้ฝีมือจะหยาบไม่สวยงามเช่นที่ซื้อมาจากร้านเครื่องเรือนแต่โต๊ะตัวนี้ก็แข็งแรงเป็นอย่างมาก

วันนี้ของว่างเป็นแผ่นแป้งย่างบางๆ สีนวลที่มีกลิ่นหอมด้านหนึ่งนั้นทาสิ่งที่ท่านแม่บอกว่าเป็นผลผิงกั่วกวนกับน้ำตาลใส่ผงอบเชยและเปลือกส้มเล็กน้อยเพื่อความหอมมากยิ่งขึ้นจากนั้นก็ม้วนแป้งเป็นแท่งยาวๆ ก่อนที่ท่านแม่จะหั่นมันเป็นแว่นๆ ให้กินคู่กับน้ำนมวัวต้มหอมๆ ส่วนของท่านพ่อก็มีของว่างเช่นเดียวกันแต่กินคู่กับน้ำชา

“คนที่หมู่บ้านเราไม่ค่อยนิยมกินน้ำนมวัวเพราะมีกลิ่นคาวแต่เจ้ากลับนำมันมาปรุงอาหารให้พวกเรากินได้อย่างเอร็ดอร่อยช่างดียิ่งนัก” ชีวิตนี้ไป๋จิ่งลู่เคยเห็นคนที่กินนมวัวคือพวกชาวผมแดงตาฟ้าที่ท่าเรือเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วเพราะตั้งแต่มีลูกเขาก็ไม่ได้ออกไปขายสุรายังที่ไกลๆ อีกเลยเพราะส่วนมากลูกค้าของเขาจะติดต่อเข้ามารับสินค้ากันด้วยตัวเอง

“น้ำนมวัวดื่มได้เจ้าค่ะแต่ต้องนำไปต้มฆ่าเชื้อโรคเสียก่อนที่คนส่วนมากไม่นิยมกินกันก็อาจจะเป็นเพราะยังไม่รู้วิธีการปรุงเอาไว้ครั้งต่อๆ ไปข้าจะปรุงเครื่องดื่มจากนมวัวให้กินกันอีกรับรองว่าท่านพี่ลูกๆ ต้องชอบใจเป็นแน่” ระหว่างที่พูดไปไป๋ฮวาซูก็ยังช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ลูกๆ ไปด้วยหากใครกินเลอะเทอะนางก็จะหยิบผ้าเช็ดปากที่แต่ละคนมีวางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเช็ดให้อย่างแผ่วเบา

“แม่รู้ว่าเจ้าอยากกินอีกแต่กินเท่านี้ก็เพียงพอแล้วเดี๋ยวมื้อเย็นจะกินข้าวได้ไม่มาก เอาล่ะหากว่าอิ่มแล้วก็ไปนั่งเล่นกันรอแม่ก่อนขอให้ล้างจานชามเสร็จแม่จะพาพวกเจ้าไปนั่งเล่นกันที่สวนเราจะไปช่วยกันเก็บเมล็ดพันธุ์ผักที่แม่เอาผึ่งลมเอาไว้และหลังจากนี้เราจะได้ช่วยกันทำสวนผัก”

เมื่อเห็นว่าบุตรชายคนรองทำตาปริบๆ มองขนมในจานของพี่น้องเพราะว่าตัวเองกินหมดไปแล้วก็ได้แต่เอ็นดูแต่นางไม่สามารถปล่อยให้พวกเขากินกันตามใจตนเองจึงได้แต่พูดปลอบและลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกชายที่ไม่ได้ช่างพูดคนนี้ด้วยความอ่อนโยนนางเพียงอธิบายไม่ได้ดุได้ว่าซึ่งไป๋ลู่จิวก็เข้าใจที่ท่านแม่บอกเป็นอย่างดีและไม่ได้มีท่าทีงอแงหรือว่าคิดอยากจะแย่งของกินของพี่น้องแต่อย่างใดเด็กน้อยเพียงแค่เสียดายที่ตนเองกินของอร่อยหมดเร็วไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

และเพราะที่บ้านของสามีนั้นยังมีพื้นที่ว่างอีกมากแต่ส่วนใหญ่แล้วไป๋ฮวาซูคนเก่าจะชอบปลูกดอกไม้มากกว่าการปลูกผักเพราะนางชอบสิ่งสวยงามแต่ในเมื่อยังมีที่ว่างเหลืออยู่นางจึงขอให้สามีช่วยทำแปลงผักให้แล้วตัวนางเองก็ไปเก็บเมล็ดพืชต่างๆ มาจากชายป่ามีบางอย่างที่ของแบ่งซื้อมาจากเพื่อนบ้านแต่ก็ได้มาเป็นฝักแก่ที่ต้องนำมาเก็บเมล็ดเอาเองซึ่งนางก็นำฝักของพืชเหล่านั้นมาผึ่งลมเอาไว้จนมันแห้งได้ที่แล้ว

นับว่าเป็นกิจกรรมที่จะช่วยสานความสัมพันธ์ภายในครอบครัวโดยที่มิต้องเสียเงินเลยแม้แต่อีแปะเดียวแต่นางมั่นใจว่าสิ่งที่จะได้กลับมานั้นมันมีมูลค่ามากมายจนถึงขั้นที่ไม่สามารถเทียบเป็นจำนวนเงินได้เลยเพราะนอกจากผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตแล้วก็ยังจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวช่วยลดช่องว่างระหว่างนางและลูกๆ ได้มากมายเหลือเกิน

ที่หลังบ้านบริเวณที่ไป๋ฮวาซูหมายมาดเอาไว้ให้สามีทำแปลงผักนั้นเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับบ่อน้ำแม้จะมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่านบริเวณหลังบ้านแต่การที่พืชอยู่ใกล้ๆ แหล่งน้ำเอาไว้ก่อนน่าจะช่วยให้จัดการอะไรๆ ได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้แล้วยังมีต้นไม้ใหญ่อยู่อีกสองสามต้นที่สามารถอาศัยร่มเงาของมันหลบแดดในยามที่ต้องออกมาทำงานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี

เมื่อมองเลยไปจากเขตรั้วบ้านที่เป็นไม้ไผ่สร้างอย่างง่ายๆ ก็จะเห็นพื้นที่ทำกินของเพื่อนบ้านที่ตอนนี้ทุ่งนาเริ่มเป็นสีเหลืองทองบ่งบอกว่ารวงข้าวนั้นใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวโดยที่ชาวบ้านในหมู่บ้านกว่าแปดส่วนนั้นยังมีอาชีพทำนาส่วนที่เหลือก็จะทำอาชีพอื่นๆ แม้กระทั่งสามีของไป๋ฮวาซูก่อนที่จะหมักสุราขายเต็มตัวเขาก็เคยทำนาอยู่กับครอบครัวของตนเอง

แต่เมื่อหลังจากแต่งงานได้แยกบ้านออกมาแล้วไป๋จิ่งลู่จึงมุ่งมั่นฝึกฝนแต่อาชีพที่ท่านปู่ผู้ล่วงลับได้ถ่ายทอดวิชาเอาไว้ให้แต่ก็ยังกลับไปช่วยที่บ้านทำนาอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องการแรงงานอย่างการปักดำและเกี่ยวข้าวแต่เพราะช่วงหลังที่โรงหมักสุรามีงานมากขึ้นจึงไม่ได้ไปช่วยลงแรงแต่ก็ยังช่วยจ่ายเงินค่าจ้างคนงานให้อยู่ดี

“ท่างแม่อังนี้พิก เผะๆ” เหม่ยเหมยตัวน้อยใช้นิ้วสั้นป้อมไม่ต่างจากแง่งขิงของตัวเองชี้มายังเม็ดพริกแห้งสีแดงๆ ที่อยู่ในกระจาดของท่านแม่แล้วส่ายหน้าทำท่าคล้ายจะบอกมารดาว่ามันเผ็ดและไม่อร่อย

“ใช่เล้วเหม่ยเหมยพริกนี้เผ็ดและมีความแสบร้อนแม่จึงต้องเก็บเมล็ดของมันด้วยตัวเองให้เด็กเล็กๆ เช่นพวกเจ้าทำไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างพริกนี้หายากด้วยท่านพ่อได้มาไม่มากแต่ถ้าเราปลูกมันได้ก็จะมีพริกให้กินมากมายไม่มีหมด” ไป๋ฮวาซูมักจะอธิบายทุกอย่างให้ลูกๆ ฟังอย่างเป็นเหตุเป็นผลเสมอและนางจะเลี่ยงวิธีการหลอกล่อด้วยกลโกงเพราะเด็กจะจดจำไปแบบผิดๆ

เช่นพริกนี้ไป๋เหมยฮวาเคยไม่เชื่อว่ามันเผ็ดเพราะชอบใจที่มันมีสีแดงสวยเด็กน้อยจึงงับเข้าไปเต็มๆ คำผลที่ได้คือหลังจากนั้นไม่นานก็ร้องไห้จ้าต้องทั้งปลอบและให้นางดื่มนมเพื่อคลายความเผ็ดร้อนในปากหลังจากนั้นบุตรสาวคนเล็กก็จำได้ขึ้นใจแล้วว่าพริกนี้มีรสชาติเผ็ดและนางไม่ควรจะไปกินมันอีก

เด็กๆ พยักหน้ากันไปทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้างแต่มารดาก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยปล่อยให้พวกเขาใช้นิ้วมือน้อยๆ แยกเมล็ดพืชออกจากเปลือกหรือเนื้อที่แห้งของมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้เด็กๆ จะทำไปเล่นไปก็ไม่มีปัญหาจนสุดท้ายแล้วลูกๆ ก็ออกไปวิ่งเล่นกันใกล้ๆ นี้โดยทิ้งให้มารดานั่งแยกเมล็ดพันธุ์ผักอยู่คนเดียว

“ฮวาเอ๋อร์เจ้ามาดูทางนี้หน่อยพี่ชายบ้านเซี่ยมีของป่าสดๆ มาขายเจ้ามาเลือกดูเลยว่าจะซื้ออะไรไปทำอาหารเย็นให้ลูกๆ กิน” นั่งทำงานเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงสามีเรียกมาจากข้างหลังบ้านไป๋ฮวาซูจึงลุกขึ้นมาดูลูกก่อนว่ายังเล่นอยู่ในเขตรั้วบ้านใช่หรือไม่เมื่อพวกเขาไม่ได้ไปซนที่ไหนนางจึงรีบเดินไปตามเสียงของสามี

ที่หลังบ้านฝั่งติดแม่น้ำสามีกำลังยืนคุยอยู่กับพี่ชายบ้านเซี่ยซึ่งเป็นพรานมีฝีมือในหมู่บ้านแห่งนี้รอบๆ ตัวของพวกเขามีทั้งไก่ป่าที่ตายแล้วและมีบางส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกขังไว้ในตะกร้าสะพายหลังนอกจากนี้ยังมีปลาสดๆ ตัวใหญ่เท่าแขนอีกหลายตัวเลยทีเดียว

“ปลานี่ตัวใหญ่จริงเชียวเจ้าค่ะพี่ชายเซี่ย ข้าเอาปลาตัวนี้หนึ่งตัวส่วนไก่ป่าที่ยังเป็นอยู่ท่านจะขายหรือไม่เจ้าคะข้าอยากได้ไก่ตัวเมียมาเลี้ยงเอาไว้ให้ลูกๆ ได้กินไข่” ไป๋ฮวาซูเอ่ยถามโดยช่วงนี้อาหารที่นางทำขึ้นนั้นล้วนเน้นการบำรุงเจ้าก้อนแป้งทั้งสี่เพื่อให้พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้

“ไก่พวกนี้ไข่มันใบเล็กนักน้องสะใภ้เลี้ยงไว้ก็กลัวจะไม่คุ้มค่าทั้งเวลาและอาหารเอาเป็นว่าหากข้าเข้าไปขายของในอำเภอเจ้าจะฝากไปซื้อไก่ไข่ก็ได้จะมีพ่อค้าเร่มาขายสัตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกๆ สองเดือน” พี่ชายบ้านเซี่ยกล่าวอย่างใจดีเพราะเกรงว่าหากเลี้ยงไก่ป่าและมันจะเป็นการสิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุ

“เช่นนั้นข้าเอาปลาเป็นสองตัวเจ้าค่ะแล้วเรื่องไก่ข้าจะขอให้ท่านพี่พาไปเลือกเองจะดีกว่าแต่หากพ่อค้าเร่ผ่านมาคงต้องรบกวนพี่ชายเซี่ยมาบอกข่าวด้วย” เมื่อเห็นสามีทำสีหน้างวยงงไป๋ฮวาซูก็เข้าใจได้เพราะเรื่องนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้พูดคุยกันมาก่อนก็เอาเป็นว่านางปรึกษาเขาอีกครั้งก่อนแล้วจึงค่อยว่ากันอีกครั้งในเรื่องของการเลี้ยงไก่เอาไว้กินไข่เนื่องจากนางคงไม่สามารถสร้างเล่าไก่ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน