โนเอลไม่เคยเชื่อในโชคชะตา ไม่เคยคิดว่าต้นไม้กลางหุบเขาต้องห้ามจะพาให้ชีวิตทั้งหมดเปลี่ยนไป พ่อส่งเขามาที่นี่เพื่อหาสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ทว่าเจตจำนงของเขากลับแตกต่าง โนเอลมาเพื่อค้นหาต้นเหตุของฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขามาทั้งชีวิต สิ่งที่พบกลับเป็นภูตไม้ผู้ปกปักรักษา ผู้ซ่อนประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของเมืองที่สาบสูญเอาไว้ โนเอลไม่แน่ใจว่าภูตตนนั้นถือกำเนิดมาจากที่ใด รู้เพียงว่าเขารอใครบางคนมานานแสนนาน

หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้ - บทที่ 3 แสงเรืองรองยามค่ำคืน โดย จังบาดาบู @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ย้อนยุค,ลึกลับ,พระเอกสวย,คลั่งรัก,พล็อตสร้างกระแส,นายเอกหล่อ,พระเอกคลั่งรัก,สยองขวัญ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แฟนตาซี,ย้อนยุค,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พระเอกสวย,คลั่งรัก,พล็อตสร้างกระแส,นายเอกหล่อ,พระเอกคลั่งรัก,สยองขวัญ,แฟนตาซี

รายละเอียด

หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้ โดย จังบาดาบู @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โนเอลไม่เคยเชื่อในโชคชะตา ไม่เคยคิดว่าต้นไม้กลางหุบเขาต้องห้ามจะพาให้ชีวิตทั้งหมดเปลี่ยนไป พ่อส่งเขามาที่นี่เพื่อหาสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ทว่าเจตจำนงของเขากลับแตกต่าง โนเอลมาเพื่อค้นหาต้นเหตุของฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขามาทั้งชีวิต สิ่งที่พบกลับเป็นภูตไม้ผู้ปกปักรักษา ผู้ซ่อนประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของเมืองที่สาบสูญเอาไว้ โนเอลไม่แน่ใจว่าภูตตนนั้นถือกำเนิดมาจากที่ใด รู้เพียงว่าเขารอใครบางคนมานานแสนนาน

ผู้แต่ง

จังบาดาบู

เรื่องย่อ

สารบัญ

หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้-บทที่ 0 อารัมภบท,หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้-บทที่ 1 แสงรำไรในม่านฝน,หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้-บทที่ 2 ไม้สนซีดาร์กลางหมู่ดอกไม้,หอมหวนลมหายใจแห่งภูตไม้-บทที่ 3 แสงเรืองรองยามค่ำคืน

เนื้อหา

บทที่ 3 แสงเรืองรองยามค่ำคืน

เถาองุ่นเลื้อยพันซุ้มไม้สูงใหญ่ กลิ่นหอมหวานของผลไม้สุกงอมผสมกับกลิ่นเครื่องเทศบางเบาลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ นกกิ้งโครงที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ขับขานท่ามกลางบทสนทนาของคนทั้งสอง

“มีความสุขหรือไม่?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามคนข้างกาย

“แน่นอน” โนเอลตอบ ดวงตาของเขาทอดมองทิวทัศน์เบื้องหน้า “หากสถานที่สวยงามเช่นนี้มีในโลกความเป็นจริง ข้าคงได้แวะเวียนไปทุกวัน”

“ข้าจะพาเจ้าไปเมื่อไหร่ก็ได้” เลดี้ลูซเอ่ยท้วงอย่างขบขัน

“ก็นี่เป็นความฝันมิใช่หรือ จะดีเท่าตาเนื้อได้อย่างไร” โนเอลพูดพลางสำรวจภาพตรงหน้า ผลองุ่นพวงโตสีสดใสไม่มีแม้แต่ร่องรอยนกจิกกิน ขัดกับเสียงนกร้องที่ดังไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แม้ทิวทัศน์เหล่านี้จะสวยงามมากเพียงใด แต่ความพร่าเลือนไม่ชัดเจนยังคงหลงเหลืออยู่มากมาย แน่นอนว่ารวมถึงตัวตนของเลดี้ลูซด้วย รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนริมฝีปากของโนเอล "ตอนนี้มีเพียงตัวเจ้าที่ข้ายังสงสัยว่า...ข้าจินตนาการถึงหญิงที่งดงามเช่นนี้ได้อย่างไร"

เลดี้ลูซเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจกับคำพูดที่ไม่คาดคิด ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามา ทั้งความสับสน ความโกรธเกรี้ยว ความโศกเศร้า ราวสายน้ำปั่นป่วน ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย กำลังพยายามหาคำตอบในสิ่งที่โนเอลเพิ่งกล่าวไป

ทันทีที่โนเอลสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาก็หันไปมองอีกฝ่ายทันที บัดนี้แววตาของเลดี้ลูซเหม่อลอย รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า

ในขณะเดียวกัน กลิ่นหอมหวานก็เริ่มเจือจางลง กลิ่นซีดาร์วูดอันอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นไหม้โชยอ่อนๆ คล้ายควันไฟ ภาพไร่องุ่นเริ่มพร่ามัว แปรเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังและเปลวไฟลุกโชน เสียงขับขานของนกถูกแทนที่ด้วยเสียงคำรามต่ำๆ ที่ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง

เลดี้ลูซเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่บัดนี้ถูกเมฆหมอกสีเทาบดบัง “ดูเหมือนบางอย่างกำลังไม่เป็นใจเสียแล้ว”

ร่างของโนเอลชาวาบไปทั้งตัว ภาพของเลดี้ลูซเริ่มเลือนหายไปในความมืด เสียงคำรามต่ำๆ ชัดเจนขึ้น ราวกับว่ากำลังมีสัตว์ร้ายขู่คำรนอยู่ข้างหู


“เฮือก!”

โนเอลสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลงท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เหงื่อกาฬไหลซึมทั่วแผ่นหลัง เขาหอบหายใจอย่างรุนแรง พยายามตะครุบอากาศเข้าปอด ความหนาวเย็นกัดกินไปถึงกระดูก เสียงคำรามจากในฝันยังคงดังอยู่ในโสตประสาท

โครม!

เสียงกิ่งไม้ใหญ่หักดังสนั่น ราวกับว่ามีบางอย่างขนาดใหญ่พุ่งชนอย่างจัง เปลวไฟจากกองไฟที่พวกเขาก่อไว้วูบไหวอย่างบ้าคลั่ง เสียงม้าที่ผูกไว้ร้องดังระงมด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด

“หมาป่า!” เกรย์ตะโกนขึ้น ดวงตาคมเหลือบมองโนเอลที่เพิ่งลืมตาตื่น ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังปรากฏตัว เงาร่างมหึมากำลังคืบคลานกลับออกมาจากพุ่มไม้ ดวงตาของมันเรืองแสงสีแดงก่ำราวกับถ่านเพลิงที่คุกรุ่น ตัวของมันสูงใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปหลายเท่า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศจากการโจมตีของเกรย์ มันไม่ใช่หมาป่าธรรมดาอย่างที่คิด แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกบางอย่างครอบงำ

“ฟินน์ล่ะ” โนเอลร้องเรียก เมื่อไม่เห็นอีกฝ่าย

“ข้าตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอเขาแล้ว” ลิลิธกล่าวเสียงสั่นเครือ แววตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่เก็บซ่อนไว้ “ข้าพยายามปลุกเจ้าอย่างไรก็ไม่ยอมตื่นเสียที”

ทันทีที่ละสายตาจากโนเอล ดวงตาของลิลิธก็เบิกโพลงขึ้น ร่างดำทะมึนของหมาป่าตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว กรงเล็บคมใหญ่กางออกพร้อมขย้ำร่างของทั้งคู่

“ระวัง!” ลิลิธร้องลั่นสุดเสียง พร้อมกับโถมร่างของตัวเองชนเข้ากับโนเอลอย่างแรง ดึงเขาให้หลบลงไปด้านข้างด้วยกัน กรงเล็บของหมาป่าผ่านศีรษะของพวกเขาไปเพียงเสี้ยววินาที

"ลิลิธ! อยู่ข้างหลังข้า!" โนเอลดึงลิลิธให้หลบไปด้านหลังตนเอง เขาหอบหายใจหนัก ความตกใจจากฝันร้ายยังคงเกาะกุมในอก ทว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า ร่างกายของเขาก็ถูกบังคับให้ตอบสนองกับสัญชาตญาณที่พุ่งสูงขึ้น

เกรย์ยังคงสู้กับหมาป่าอีกตัว ทักษะของอดีตทหารรับจ้างปรากฏชัดเจนทุกการเคลื่อนไหว ร่างกำยำหลบหลีกคมเขี้ยวได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับส่งดาบเข้าฟาดฟันตอบโต้

ในขณะที่เกรย์รับมือกับภัยตรงหน้า โนเอลทำได้เพียงพยายามหลบหลีกการโจมตีของหมาป่าอีกตัวที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาสอดส่ายมองหาดาบที่ตกอยู่ไม่ไกล หวังจะคว้ามันมาเป็นที่พึ่งให้เร็วที่สุด ร่างสูงใหญ่ของหมาป่าขยับเข้ามาอีกก้าว เสียงขู่คำรามต่ำๆ ดังขึ้นเหนือหัว

ด้านหลังโนเอล ลิลิธกำมือแน่น ดวงตาสีเพลิงของเธอทอแสงเรืองรอง พร้อมรับมือกับภัยอันตรายทุกเมื่อ

ทว่า ในความโกลาหลที่ไม่มีใครคาดคิด เงาร่างมหึมาของหมาป่าอีกตัวที่ซุ่มอยู่ด้านหลังกำลังย่องเข้ามา ราวกับว่าพวกหมาป่าที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่เป็นเพียงตัวล่อ ขนาดของมันใหญ่กว่าหมาป่าตัวอื่นหลายเท่า มันมีหัวอีกหัวเบียดเสียดอยู่ข้างกัน ดวงตาสี่ดวงแดงก่ำด้วยความกระหาย เขี้ยวของมันยาวจนเลยจากคาง น้ำลายเหนียวหนืดไหลเยิ้มจากมุมปากทั้งสองข้าง เมื่อถึงระยะ มันก็กระโจนใส่ร่างของโนเอลและลิลิธอย่างรวดเร็ว

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังสนั่นป่า ไม่ใช่เสียงของลิลิธหรือโนเอล... แต่เป็นเสียงโหยหวนของหมาป่าที่พุ่งเข้ามา

ร่างของโนเอลล้มลงหอบสั่นที่พื้น มือกุมแน่นบริเวณหัวใจ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แสงสีทองส่องสว่างไปตามแขนราวรากไม้ที่หยั่งลึกลงในร่างกาย มันส่องแสงวูบวาบคล้ายเส้นเลือดที่เต้น ตุบ ตุบ ใต้ผิวหนัง

ลิลิธมองไม่ผิดแน่ เมื่อครู่นี้มีม่านพลังสีทองสว่างจ้ากระจายออกมาจากตัวของโนเอล มันปะทะเข้ากับร่างมหึมาของหมาป่าจนเซถลาไปด้านหลังอย่างรุนแรง

เสียงร้องโหยหวนดังระงมอีกครั้ง ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกบางอย่างกัดกินจากข้างใน พลังที่โนเอลปล่อยออกไปนั้นสร้างความเสียหายอย่างหนัก หมาป่าบางตัวถึงกับล้มลงแน่นิ่ง ไม่สามารถขยับได้อีก

“หมาป่าสองหัว พวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่” ลิลิธเอ่ยเสียงสั่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อสังเกตเห็นร่างของหมาป่าสองหัวนอนอยู่ไม่ไกล

เกรย์ที่กำลังง้างดาบอยู่นิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นพลังที่โนเอลไม่เคยแสดงมาก่อน "แข็งแกร่งขึ้น...ดี" เขาพึมพำกับตนเอง

ทันใดนั้นเสียงร้องของฟินน์ก็ดังแว่วมาจากอีกทาง

"ฟินน์!" เกรย์เรียกอย่างร้อนรน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่สัตว์ร้ายที่ยังบาดเจ็บจากพลังของโนเอลทันที ดาบในมือของเขาฟาดฟันปลิดชีพมันพวกมันทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

“ท่านรีบไปเถิด ข้าช่วยดูทางนี้เอง” ลิลิธว่าพลางประคองโนเอลไว้บนตัก เกรย์ได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งไปในทิศทางที่เสียงร้องของฟินน์ดังมา


ไม่นานนักเขาก็มาถึงจุดที่ฟินน์กำลังต่อสู้ ฟินน์กำลังรับมือกับหมาป่าตัวใหญ่สามตัว ดวงตาของพวกมันเรืองแสงสีแดงก่ำเช่นกัน ฟินน์ใช้ความเร็วของเขาหลบหลีกการจู่โจมได้อย่างยอดเยี่ยม ทว่าการถูกหมาป่าขนาดมหึมาที่แข็งแกร่งกว่าหมาป่าทั่วไปรุมโจมตี ก็ทำให้เขาพลาดท่าบาดเจ็บเข้าที่ขาขวา

“แค่หมาป่าไม่กี่ตัวเอง!” ฟินน์ให้กำลังใจตนเอง พยายามกดความเจ็บปวดและฟาดดาบใส่หมาป่าที่กำลังเข้ามาโจมตี

เกรย์ที่ตามมาติดๆ พุ่งเข้าช่วยฟินน์ทันที การเคลื่อนไหวของเขาราบรื่นและเด็ดขาด ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ทว่ายังไม่ทันได้ปลิดชีพของหมาป่าทั้งสาม พวกมันก็ตัวถอยร่นหนีเข้าไปในป่าทันทีที่สัญชาตญาณร้องเตือนว่าจ่าฝูงของพวกมันถูกเกรย์เล่นงานแล้ว

ฟินน์ทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ใกล้ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าคิดว่าข้าเก่งแล้วนะ... แต่เจ้าพวกนี้มันไม่เหมือนที่เคยฝึกมาเลย”

“อย่ามัวบ่นอยู่เลย ขึ้นหลังข้ามา...” เกรย์ว่าพลางย่อตัวลงเตรียมรับอีกฝ่ายขึ้นหลัง สายตาที่เคยเย็นชานั้นอ่อนโยนกว่าที่เคย “อีกอย่าง... เจ้าเก่งมากแล้วที่รอดมาได้”

ได้ยินดังนั้น ฟินน์ก็ยิ้มกว้างออกมาแทบจะทันที ความดีใจเอ่อล้นจนเก็บไว้ไม่อยู่


กลิ่นคาวเลือดเจือจางลงในอากาศที่ยังคงเย็นยะเยือก อาการของโนเอลเริ่มดีขึ้นแล้ว เขานั่งนิ่งไม่สนทนากับใคร เพียงกุมมือที่ยังคงสั่นเล็กน้อย ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน ดวงตาคมของเกรย์กวาดมองรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง แม้ภัยอันตรายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความตึงเครียดกลับไม่ได้จางหายไป

“ข้ากำลังเฝ้ายามอยู่ดีๆ จากนั้นก็เกิดปวดเบาขึ้นมา เลยปลุกเกรย์ให้มาเฝ้าแทน” ฟินน์เล่าเหตุการณ์ให้ลิลิธฟัง เขาพยายามสื่ออารมณ์ผ่านทางใบหน้าและน้ำเสียงออกมาอยากตั้งใจ “จากนั้นไม่นานก็มีเสียง บรู๊ววว… เสียงหมาป่าดังระงมไปทั่ว”

“ตอนสำรวจรอบๆ ข้ามั่นใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยหมาป่าในบริเวณนี้เลย” เกรย์กล่าวเสริม

“จริงด้วย ตอนที่ข้ากำลังต่อสู้อยู่กับหมาป่าทั้งสามตัวอย่างดุเดือดและสูสี ข้าเห็นแสงสีทองเรืองรองสว่างวาบมาจากทางที่พวกเจ้าอยู่ด้วย ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนั้นมาก่อนเลย พวกเจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่ รู้หรือไม่ว่ามันคือแสงอะไร” ฟินน์รัวคำถาม

“อย่าเพิ่งถามอะไรมากความเลย” เกรย์ตอบ ก่อนตรงเข้าไปสำรวจร่างของหมาป่าสองหัวที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นผลึกสีดำขนาดเล็กฝังอยู่บนหน้าผากของหนึ่งในหัวของมัน

“ตาลุงนี่เอาอีกแล้ว” ฟินน์มุ่ยปาก

ไม่นานเกรย์ก็เดินกลับมาหาพวกเขา ใบหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม พร้อมกับผลึกสีดำที่งัดออกมาจากหน้าผากของสัตว์ร้าย “มันถูกฝังอยู่กลางหน้าฝากของหมาป่าสองหัว” เขากล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะวางมันลงที่พื้นต่อหน้าทุกคน

ฟินน์ขมวดคิ้ว “เหมือนข้าเคยเห็นที่ไหน...”

“ผลึกจำลองเอเธเรีย” โนเอลเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว พลางพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆ สายตาของเขาจับจ้องไปยังผลึกสีดำที่วางอยู่บนพื้น

ฟินน์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เหมือนกับที่เมืองแคลรอลแวน? ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาปรากฏในที่ห่างไกลขนาดนี้”

เกรย์พยักหน้า “ใช่... แต่เป็นแบบที่ถูกปนเปื้อน”

เครื่องประดับเวทเอเธเรียไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นจากเมืองแคลรอลแวนแห่งนี้โดยตรง หากแต่มาจากตำนานที่เล่าขานถึงบรรพบุรุษของตระกูลโนเอล

ตามบันทึกเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ก่อนที่ตระกูลเดลสันจะย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองแคลรอลแวน บรรพบุรุษผู้ชาญฉลาดได้ค้นพบผลึกสองชิ้นที่บรรจุเวทมนตร์มหาศาล ด้วยเกรงว่าลูกหลานจะลุ่มหลงในพลังอำนาจจนความโลภ พวกเขาจึงตัดสินใจซ่อนผลึกชิ้นหนึ่งไว้ ณ เมืองเก่า ให้เป็นสมบัติของธรรมชาติ

ส่วน ผลึกอีกชิ้นหนึ่ง ถูกนำติดตัวมายังเมืองแคลรอลแวน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และเพื่อเป็นรากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล จากนั้นไม่นาน ผลึกชิ้นนี้ก็ได้รับนามใหม่ว่า 'หัวใจแห่งเอเธเรีย'

ด้วยความรู้ที่สั่งสมมาแต่โบราณ ตระกูลโนเอลได้เรียนรู้วิธีในการดึงพลังเวทจากหัวใจแห่งเอเธเรียออกมา และบรรจุไว้ใน 'ผลึกจำลองเอเธเรีย' ชิ้นเล็กๆ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีต เพียงเศษผงของมันก็สามารถนำมาสร้างเป็นเครื่องประดับเวทอันล้ำค่าที่ช่วยค้ำจุนตระกูลเดลสันสืบมา

ทว่า ความสงบสุขนั้นก็มิได้คงอยู่ตลอดไป...

หลายร้อยปีก่อน 'หัวใจแห่งเอเธเรีย' อันเป็นแก่นแท้แห่งพลังได้หายไปอย่างปริศนา พร้อมกับการหายตัวไปของผู้นำตระกูลในรุ่นนั้น และเพลิงที่โหมกระหน่ำเผาผลาญคฤหาสน์จนมอดไหม้ ทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านและ 'ผลึกจำลองเอเธเรีย' ที่เหลือเพียงน้อยนิด กลายเป็นมรดกอันจำกัดที่ถูกส่งต่อมายังลูกหลาน

โดยเชื่อว่าจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ทำให้ผลึกจำลองเอเธเรียอันบริสุทธิ์ถูกรบกวนจนอ่อนแอและง่ายต่อการปนเปื้อน ส่งผลให้เครื่องประดับเวทเอเธเรียที่บริสุทธิ์ยิ่งมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากหายากและระยะการใช้งานไม่นาน เมื่อปนเปื้อนจะทำให้พลังเวทต่ำลงจนใช้งานไม่ได้ กลายเป็นเครื่องประดับล้ำค่าที่เหล่าขุนนางต่างหยิบยกมาอวดอ้างถึงความมั่งคั่งและฐานะอันสูงส่งของตนเอง


ที่ผ่านมา ผลึกเอเธเรียที่ถูกปนเปื้อนยังไม่เคยส่งผลร้ายแรงเช่นนี้ บางชิ้นเพียงทำให้ผู้ครอบครองป่วยไข้เล็กน้อย และเมื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการทำลาย พลังทั้งหมดก็จะสลายหายไป กลายเป็นเพียงผลึกใสธรรมดา

ทว่า เหตุการณ์เมื่อครู่กลับสร้างความสงสัยและความกังวลใจให้กับทุกคน

“เราต้องรีบออกจากบริเวณนี้” เกรย์กล่าวกับทุกคน

โนเอลยังอ่อนแรงเกินกว่าจะควบคุมม้าด้วยตนเองในเส้นทางขรุขระและคาดเดาไม่ได้เช่นนี้ เขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังของเกรย์ที่ควบม้านำหน้าทุกคน ฟินน์มั่นใจว่าบาดแผลที่ขาของตนไม่รุนแรงมาก เขาและลิลิธควบม้าตามหลังเกรย์มาคนละตัว ปิดท้ายด้วยม้าคู่ใจของโนเอลและม้าเสบียงที่ตามมาติดๆ

การเคลื่อนที่ในป่าที่มืดมิดและไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องยากลำบาก เสียงหมาป่าหอนแว่วๆ จากระยะไกลทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุก แสงจันทร์ที่ส่องรอดกิ่งไม้ลงมาเป็นเพียงแสงสลัวๆ สะท้อนเงาของต้นไม้ที่บิดเบี้ยว ฟินน์ที่ปกติเป็นคนช่างพูด กลับเงียบผิดปกติ

“เกรย์... เจ้าเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า?” โนเอลถามเสียงแผ่ว แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและอ่อนแรง ในหัวของเขามีแต่เรื่องกิจการของตระกูลที่เขาไม่เคยคิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่คาดคิดว่ามันจะส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก

พ่อบังคับให้เขาเรียนรู้การทำงานหลายๆ อย่าง แต่เขาปฏิเสธด้วยความอคติมาโดยตลอด โดยเฉพาะกระบวนการลับที่ผู้นำตระกูลเท่านั้นที่สามารถรับรู้ ซึ่งบัดนี้มันย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างสาหัส เขานั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แม้แต่วิธีการทำลายผลึกที่ปนเปื้อน หรือเหตุใดมันจึงรอดมาปรากฏในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ได้

หากเขารู้... เขาจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ ในฐานะลูกหลานตระกูลเดลสัน เขาจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งเรื่องพลังแปลกประหลาดที่ออกมาจากตัวเขา แท้จริงแล้วคืออะไร มันร้ายแรงมากหรือไม่

คำถามมากมายดังก้องอยู่ในหัวของโนเอล ความปั่นป่วนว้าวุ่นในจิตใจทำให้ลืมไปเสียสนิทว่ามือของตนเองยังคงสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรุนแรงจากภายในร่างกายมาตลอดทาง

“โลกนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้จักอีกมาก ท่านโนเอล” น้ำเสียงของเกรย์อ่อนโยนลงด้วยความเห็นใจ เขาอยู่กับโนเอลมาตั้งแต่ก่อนมารดาของโนเอลจะเสีย ตอนนี้อีกฝ่ายเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งของเขาไปแล้ว


พวกเขาเดินทางต่อไปไม่นาน จนกระทั่งแสงแรกของรุ่งอรุณเริ่มสาดส่อง บรรยากาศเริ่มคลายความน่ากลัวลง เปลี่ยนเป็นความเงียบสงบยามเช้า เกรย์หยุดพักที่เนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าได้ชัดเจน

“เราพักที่นี่ก่อนฟ้าจะสว่างเต็มที่” เกรย์บอก

ขณะที่เกรย์กำลังก่อกองไฟเล็กๆ เพื่อเตรียมอาหารเช้า ฟินน์ที่เริ่มคลายความกลัวลงก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับความโชคร้ายของพวกเขา “เพิ่งจะเดินทางมาได้เพียงสามเดือนก็เจอเรื่องแบบนี้แล้ว เราจะพบหัวใจแห่งเอเธเรียทันเวลาได้อย่างไรกัน”

โนเอลทำได้เพียงก้มหน้า ไม่ตอบกลับอะไร

หากตอบตามความตั้งใจเดิม เขาก็คงจะตอบไปเพียงว่า ‘ไม่ทันแล้วอย่างไร ตระกูลจะเป็นอย่างไรก็ช่างสิ’ เพราะเขามาที่นี่เพื่อตามหาความจริงส่วนตัวเท่านั้น

แต่ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มา จิตใจของเขาก็เริ่มมีความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย