หิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
แอคชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไอซ์สโนว์,สาวพลังหิมะ,แอคชั่น,ยอดมนุษย์,ฮิวแมน,เหนือธรรมชาติ,แฟนตาซี,การต่อสู้,YukiCoCo,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไอซ์สโนว์ สาวพลังหิมะหิมะกลายเป็นหนึ่งเดี่ยวกับฉัน เพียงเพราะฉันกลายเป็นผู้หญิงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
คำแนะนำจากคนเขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่จบ
เลยขอนำเสนอไว้สักตอนหนึ่งให้อ่านเล่นๆ ก่อนที่จะมาเขียนต่อ
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นไม่ได้อ้างอิงจากอะไรทั้งสิ้น
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับผู้มาอ่าน
และให้ความสนใจในนิยายเรื่องนี้นะคะ
บทนำของเรื่อง
เมื่อเด็กสาวลูกเสี้ยวไทยนามว่า มิรารี ต้องออกเดินทางไปยังงานเทศกาลวิทยาศาสตร์ที่นิวยอร์กตามความต้องการของเธอ แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อด็อกเตอร์คนหนึ่งทำเรื่องขึ้นก่อให้เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้คนตายนับพันร่วมถึงตัวมิรารีที่ไม่น่าจะรอดจากเหตุการณ์นั้น แต่แล้วเวลาผ่านไป 10 ปีตัวเธอที่น่าจะโดนแช่แข็งตายกับฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตาเข้าพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนไป แล้วเธอจะหาใครมาช่วยเธอได้ล่ะ?
กำหนดการลงนิยาย
ยังไม่แน่ชัดนะคะ
ตอนที่ 10 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือ
ข้อความสุดท้ายถูกส่งไปหลังจากตอบกลับไปสองรอบ มิรารีจ้องมองจอคอมอย่างสงสัยที่ไร้การตอบกลับ เธอรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีว่าที่เธอส่งเป็นกับดักของฝ่ายศัตรูไหม จนตอนนี้ท้องไส้เธอปั่นป่วนจนอยากอาเจียนออกมา กู้ดนี่ที่อยู่ข้าง ๆ ได้แต่เกาะอย่างเป็นห่วง มิรารีจ้องมองอีกฝ่ายที่เป็นห่วงเธอได้แต่ยิ้มให้อย่างฝืน ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงออกมาจากหน้าจอ มิรารีเงยหน้าขึ้นมามองที่หน้าจอบรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไร้เสียง นอกเวลาน้ำตาจากดวงตาสีฟ้าอ่อนกำลังตกลงอย่างช้า ๆ อาบข้างแก้มทั้งสองข้าง
“เรา...กำลังจะไปช่วย โปรดรออยู่เฉย ๆ”
มิรารีพึมพำข้อความบนหน้าจอ มันยิ่งทำให้ความรู้สึกที่รอความหวังกลับมา ความหวังเล็กน้อยกำลังจะมาช่วยเธอ ยิ่งทำให้เธอร้องไห้ออกมากกว่าเดิม
“ขอบคุณ...ขอบคุณ...”
“กู้ด...”
กู้ดนี่จ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังร้องไห้ ตัวเขานั้นเดินเข้ามาโอบกอดอีกฝ่าย มิรารีพยายามเช็ดน้ำตาที่กำลังตกลงมาเป็นน้ำแข็ง
“ขอโทษนะ...ฉันกำลังดีใจนะ...ที่มีคนกำลังมาช่วยนะ...”
“กู้ด?”
“อืม...กำลังมีคนจะมาช่วยเราแล้วนะ...กู้ดนี่...” มิรารีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
กู้ดนี่เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าที่กำลังมีความสุขก็ได้แต่ร้องด้วยเสียงแจ่มใส “กู้ดดดดด~”
มิรารีหันไปที่หน้าจอพร้อมกับส่งข้อความตอบกลับไปอย่างเงียบ ๆ แต่ก็มีข้อความตอบกลับนั้นเป็นข้อความที่ทำให้เธออึ้งไปชั่วขณะที่ฝั่งตรงหน้าส่งข้อความนี้มา แต่ข้อความนี่ทำให้เธอเข้าใจถึงสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามอยากให้ทำ หลังจากนั้นเธอออกจากห้องเธออุ้มกู้ดนี่ออกไปจากห้องเพื่อไปรอเวลาที่คนที่ส่งข้อความจะมาช่วยเธอ แต่ภายในใจของเธอกลับบอกว่าอย่าเชื่อใจในสิ่งที่เห็นต้องป้องกันตัวเสียหน่อยไม่เสียหาย
มิรารีอุ้มกู้ดนี่ออกจากห้องนั้นไปอย่างไม่สนใจอะไร เพราะเธอไม่รู้ว่าห้องนั้นระบบปิดอยู่ไหน เธอไม่อยากเสี่ยงให้ห้องระเบิดเพราะเธอ ระหว่างที่เดินไปตามทางนั้นเธอก็ลองสำรวจบางห้องก็ได้เห็นข้อมูลหลายอย่าง ภายในตึกแรกเหมือนที่ทำงานมากกว่า อาจจะเป็นที่ทำงานของผู้ใหญ่ แล้วโซนตึกแรกเป็นโรงเรียนที่มีทั้งห้องนอนจนไปถึงห้องเรียน แต่เธอยังไม่เจอห้องฝึก หรือว่าพวกเขาจะฝึกรอบนอกที่มีแต่ป่ากัน มิรารีกำลังครุ่นคิดก่อนจะหันไปหากู้ดนี่
“กู้ดนี้เคยเห็นพวกเมต้าฮิวแมนแบบฉันไหม?”
“กู้ด?" กู้ดนี่ส่ายหน้าเหมือนบอกว่าไม่เคยเห็น
“ไม่เคยเหรอ? ทำไมล่ะ?” มิรารีเอียงคออย่างสงสัย
‘กู้ดนี่ตื่นหลังจากทุกคนไม่อยู่...’ กู้ดนี่ส่งกระแสจิตให้
“ซะงั้น?”
มิรารีไม่นึกว่าคำตอบของกู้ดนี่จะเป็นแบบนั้น ทำเอารู้สึกเสียดายหน่อย ๆ ที่อีกฝ่ายไม่เห็นคนที่เหมือนเธอ แต่ก็แอบสงสารอีกฝ่ายหน่อย ๆ
“แล้ว...เธอไม่เหงาเหรอ? หรือว่าเพราะมีเพื่อน ๆ อยู่ตอนแรก?” มิรารีเอ่ยถามแต่กู้ดนี่ส่ายหน้าเบา ๆ
‘กู้ดนี่อยู่ตัวคนเดียว...จนกระทั่งเจอมะม๊า’
“มะม๊า? แม่ของเธออยู่ไหน?” มิรารีเอ่ยถามอย่างสงสัย
กู้ดนี่ยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปตรงหน้าของมิรารี นั้นทำให้เธอจ้องมองอย่างงุนงง ก่อนจะยกนิ้วชี้ตัวเอง
“ฉันเหรอ?”
“กู้ดดด~”
สีหน้าอันร่าเริงของอีกฝ่ายทำเอาเธอเขินหน่อย ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นมือเข้ากอดใบหน้าของเธอ นั้นทำเอาเธอรู้สึกอบอุ่นหน่อย ๆ ที่เจอเจ้าตัวเล็กนี่ทำตัวขี้อ้อนเหมือนเด็กคนหนึ่ง
“จะดีเหรอ? ฉันไม่ได้สร้างเธอขึ้นมานะ...”
“กู้ด!” กู้ดนี่พยักหน้าพร้อมกับแสดงสีหน้าดีใจ “ม๊า”
“อ๊ะ!” มิรารีได้ยินอีกฝ่ายพูดคำอื่นออกมานอกจากกู้ด ทำเอาเธอหัวเราะเบา ๆ “พยายามจะเรียกฉันว่าแม่เหรอ? น่ารักจริง ๆ”
“กู้ดดดด~”
มิรารีหอมแก้มเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู ถึงจะเป็นต้นไม้ แต่มีความน่ารักอย่างที่เธอไม่เคยเห็น ก่อนที่เธอจะพาเจ้าตัวเล็กไปเดินสำรวจต่อ พวกเธอสองคนเดินกันจนมาถึงจุดหนึ่งกำแพงได้เปิดออกทำเอาเธอตกใจทันที
“เย้ย!!!”
“กู้ดดดด!!”
“ตกใจหมดเลยเนอะ...”
“กู้ด...” กู้ดนี่พยักหน้าเบา ๆ
มิรารีจ้องมองกำแพงที่จู่ ๆ เปิดเอง เธอลองชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นทางข้างหน้าที่ต่ำลงไป แสงไฟกำลังไล่เปิดช้า ๆ เธอนึกถึงทางลับที่เธอเจอที่ชั้นหนึ่งของตึกแรกก็สงสัยว่ามันเป็นทางเชื่อมกันหรือเปล่า
“ลองเข้าไปดูหน่อยไหม?”
“กู้ด!”
กู้ดนี่ได้ยินคำพูดอีกฝ่ายก็เกิดกลัว เพราะข้างล่างเป็นสถานที่ที่กู้ดนี่ไม่เคยเข้าไปข้างใน มิรารีจ้องมองอีกฝ่ายแล้วลูบหัวเบา ๆ
“ฉันอยู่ตรงนี้นะ ถ้ามีอะไรฉันจะอยู่ข้าง ๆ”
“กู้ดดดดดด~”
“งั้นไปกัน!!”
มิรารีก้าวข้างตรงไปยังทางข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นโดยไม่สนใจอันใดว่าทางข้างล่างนั้นจะมีภัยอันตรายอันใด แต่เธอกับรู้สึกถึงความน่าตื่นเต้นใหม่ที่ยังไม่เคยเห็น
โรงเก็บยานยนต์ เขตสถานวิจัย
โจเซฟวิ่งตรงมาที่โรงเก็บยานยนต์เพื่อตามหาเครื่องบินที่เขาต้องการใช้จนเจอกับยานลำหนึ่งที่เหมาะสมกับภารกิจครั้งนี้ โจเซฟวิ่งไปที่โซนห้องเก็บกุญแจเครื่องบินก็หยิบอันที่ใช่ออกมาแล้วเข้าไปตรวจสภาพเครื่องและน้ำมันที่มี ส่วนเอวานั้นกำลังเตรียมอุปกรณ์และของหลายอย่างตั้งแต่อาหาร ของใช้ เครื่องปฐมพยาบาล สิ่งต่าง ๆ พวกนี้เป็นสิ่งที่เอวาคิดว่ามิรารีคงต้องการมาก ๆ เกิดไปถึงอีกฝ่ายบาดเจ็บ เธอก็มีเครื่องปฐมพยาบาลให้ ส่วนอาหารเอาไปเสริมเพื่ออาหารภายในเกาะนั้นอาจจะเสียหรือหมดไปแล้ว เนื่องจากตู้เย็นนั้นรักษาของกินได้เกือบเป็นปี แต่เธอไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นไง เธอก็ยิ่งห่วงมิรารีมาก ๆ กลัวจะอดอาหารมานาน เพราะเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเก็บของเขากระเป๋าทั้งหมดแล้วยกขึ้นบ่าเตรียมตรงดิ่งไปที่โรงเก็บยานยนต์ทันที
โจเซฟที่กำลังตรวจสภาพเครื่องบินอยู่หลังคานั้น เขาก็หันไปเห็นเอวาเดินมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายขนาดใหญ่
“เห้ย!! ขนอะไรมาเยอะแยะ!!”
โจเซฟเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายขนของมาเกินตัวมาก ๆ ทำเอาสงสัยว่าอีกฝ่ายจะย้ายบ้านหรือไงกัน
“อะไร!! ฉันแค่ขนเสบียงและของจำเป็นเท่านั้น!!”
“เราไปช่วยนะไม่ได้ไปอยู่!!”
“ฉันรู้ยะ! แต่การไปที่นั่นต้องใช้เวลาไปอีกนะ!”
“เฮ้อ...เธอเนี่ยนะ...” โจเซฟรู้สึกไม่สบอารมณ์กับอีกฝ่ายจริง ๆ
“เลิกพูดเถอะ!!!”
เอวารีบเดินเข้าไปข้างในเครื่องบิน เธอวางกระเป๋าลงก่อนที่โจเซฟก็ปีนลงมาอยู่ในห้องเครื่อง เขาเตรียมตัวปิดประตูด้านหลังเครื่องทันที
“แล้วเตรียมเครื่องเสร็จแล้วเหรอ?”
“ใช่ แล้วเธอมีอะไรอีกไหม?”
“ไม่!”
“โอเค งั้นฉันขอเวลาอีกสักครู่” โจเซฟหันไปตรวจสอบบางอย่างต่อก่อนเตรียมตัวเดินทาง
“อืม”
เอวาพยักหน้าก่อนจะเดินไปเก้าอี้ข้างคนขับ เธอจ้องไปที่แผงควบคุมสักพักจนนึกบางอย่างได้ เธอหันไปหาโจเซฟที่ยังตรวจบางอย่างโดยไม่สนใจเธอนั้นทำให้เธอปิดบางอย่างโดยไม่บอกอีกฝ่าย เธอนั่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอรู้ว่าทำแบบนี้เธอมีสิทธิ์โดนไล่ออก แต่เธอยอมเสี่ยงเพื่อพาเพื่อนกลับมา ไม่นานนัก โจเซฟก็เดินมานั่งที่เก้าอี้คนขับ
เอวามองอีกฝ่ายที่กำลังจะนั่งเธอก็ถามบางอย่าง “ใบอนุญาตเอามาแล้วใช่ไหม?”
โจเซฟสะดุ้งทันทีที่อีกฝ่ายพูดขึ้น แล้วค่อย ๆ หันไปถามอีกฝ่าย “นี่ยังจะให้ฉันเอามาอีกเหรอ?”
“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ!”
พอโดนพูดแบบนั้นโจเซฟก็วิ่งไปเปิดประตูแล้ววิ่งแวบหายไป ก่อนจะกลับมาพร้อมใบอนุญาตการขับเครื่องบินในมือของเขา
“พอใจนะ!”
“จ้า!” เอวาทำหน้ายิ้มเยาะออกมา
โจเซฟขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายนั้นจู้จี้กับเขา เขานั่งลงพร้อมกับสตาร์ทเครื่องบิน เสียงเครื่องบินกำลังดังไปทั้งโรงเก็บดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ เอวาจ้องมองไปที่ข้างหน้า เธอกดมือถือของเธอทำให้ประตูทางออกของโรงเก็บเปิดออก โจเซฟเห็นแบบนั้นเขาจับไปที่คันเร่ง
“เตรียมตัว!!”
“ออกตัว!!”
โจเซฟเคลื่อนคันเร่งให้เครื่องบินเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเร็วพร้อมกับทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงเครื่องบินดังไปทั่วทั้งเกาะแห่งความหวัง ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่กำลังดื่มด่ำกับเครื่องดื่มอย่างมึนเมาอยู่นั้นต้องตาตื่น คาร์เตอร์เห็นเครื่องบินนั้นเขาลุกขึ้นอย่างตกใจที่มีเครื่องบินออกในเวลาแบบนี้ ทำให้เขาต้องรีบกลับเข้าตึกเพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง มิเกลเห็นเพื่อนชายเดินไปไหนก็ไม่รู้ แต่เขาก็รีบลุกขึ้นตามอีกฝ่ายทันที
“คาร์เตอร์รอด้วย!!” มิเกลพยายามลุกขึ้นอย่างมึนเมา ตัวเขาเซไปเซมาจนเกือบทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็ยังวิ่งตามอีกฝ่าย
คาร์เตอร์ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วจนไปถึงห้องหนึ่งที่มีเหล่าเจ้าหน้าที่มากมายกำลังปฏิบัติการอยู่ในช่วงยามดึก พวกเขากำลังใช้เวลาอย่างน่าเบื่อ เพราะไม่ค่อยมีอะไรทำ บางคนก็เอามือถือขึ้นมาเล่น บางคนก็จ้องหน้าจอคอมดูกล้องวงจรปิดในมุมอื่น ๆ บางคนกำลังเอาอาหารขึ้นมากินอย่างไม่สนใจอะไร ถึงตรงนี้จะเป็นห้องปฏิบัติการสำหรับควบคุมสิ่งต่าง ๆ ภายในเกาะ พวกเขากำลังใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น คาร์เตอร์ก็เปิดประตูเข้าไปจนเสียงดัง ปัง! ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนต่างตกใจแล้วหันไปมองว่าใคร จนพวกเขาเห็นอีกฝ่ายก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
“สวัสดียามดึกค่ะ/ครับ! หัวหน้า!”
คาร์เตอร์เข้ามาพร้อมกับเดินมาจุดที่เขายืนบัญชาการทุกครั้ง “ตรวจสอบเดียวนี่!! เครื่องบินที่ออกไปไม่นานมานี่ เป็นเครื่องบินหมายเลขอะไรและใครเป็นคนขับ!!”
“รอสักครู่ครับ!!” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งหันไปที่เครื่องพร้อมกับตรวจสอบโดยทันที เมื่อผลได้เขาก็เริ่มพูดในทันที “ตรวจสอบแล้วครับ! เครื่องบินที่ออกไปเป็นรุ่นทดลองที่ยังไม่ได้จดทะเบียนลงในระบบของเราครับ!!”
“ห๊า! ทำไมพวกผู้สร้างเครื่องพวกนั้นถึงไม่ทำการลงทะเบียนเครื่องบินที่ว่านั้น!!”
“เนื่องจากเป็นรุ่นทดลองเกี่ยวกับอุปกรณ์ล่องหน จึงยังไม่ได้ทำการลงทะเบียนในระบบนะคะ” เจ้าหน้าที่หญิงเอ่ยตอบอย่างกลัว ๆ
“โธ่เอ๊ย!!” คาร์เตอร์สบถออกมาอย่างโกรธเคือง "แล้วสามารถติดต่อคนขับได้ไหมว่าใครขับ!!”
“ตรวจสอบแล้วค่ะ แต่ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากทางนั้นปิดเครื่องสื่อสารนะคะ!!”
“บ้าฉิบ!! ตรวจสอบว่ามันจะไปไหน เดียวนี่!!” คาร์เตอร์ทุบโต๊ะอย่างไม่พอใจที่มีคนทำอะไรไม่ผ่านเขา
เจ้าหน้าที่แต่ละคนกำลังพยายามตรวจสอบว่าเครื่องบินลำนั้นกำลังไปที่ไหนจนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดูทิศทางของเครื่องบินก็คาดคะเนได้ว่าเครื่องบินลำนั้นไปที่ไหน
“หัวหน้าค่ะ เราคาดการณ์ว่าเครื่องบินลำนั้นกำลังไปไหนแล้วค่ะ!!”
“ไม่เอาคาดการณ์!! บอกมาว่ามันกำลังไปไหน!!”
เจ้าหน้าที่คนนั้นกำลังจะเอ่ยพูดออกมา “ลำนั้นกำลังตรงไปที่เกาะเซอร์ไวครับ!”
“เกาะเซอร์ไว!! ทำไมมีแต่คนอยากไปเกาะนั้นกันจริง!!”
“คงเพราะไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ระบบไฟฟ้าของบนเกาะเกิดทำงานขึ้นมานะคะ!!”
“ว่าไงนะ!?” เมื่อได้ยินแบบนั้นความโกรธของคาร์เตอร์เริ่มพุ่งมากขึ้น “แล้วทำไมไม่มีคนบอกฉันสักคน!!”
เจ้าหน้าที่แต่ละคนต่างพากันหวาดกลัวมากขึ้นไม่กล้าพูดอะไร แต่แล้วเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เดินออกมาพูดขึ้น
“ขออภัยที่เราไม่บอกค่ะ หัวหน้า”
คาร์เตอร์หันไปมองเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ แต่ร่างกายของเธอเป็นสีม่วงทั้งร่างกาย ผมสีเขียวมินต์ ดวงตาสีเหลืองจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“อามิกะ! เธอเป็นหัวหน้าของเจ้าพวกนี้คงจะบอกได้นะ!”
“ค่ะ! เนื่องจากเอ...ไม่ใช่สิ ศาสตราจารย์เอวาส่งข้อความมาทางเราว่าที่ระบบที่เกาะเซอร์ไวเกิดความผิดพลาดแค่นั้นนะคะ”
“แล้วพวกเธอก็เชื่องั้นเหรอ!?”
“ไม่ค่ะ! ฉันเลยขอให้ลูกน้องตรวจสอบอีกครั้งเลยรู้ว่าระบบไฟฟ้าที่เกาะนั้นเกิดทำงานขึ้นมาจริง ๆ เลยคิดว่าน่าจะมีใครสักคนหรือคนของดาร์คเนสอาจจะเปิดระบบไฟฟ้าสำรองเราขึ้นนะคะ!!”
ระหว่างที่หญิงสาวที่ชื่ออามิกะกำลังอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคาร์เตอร์ มิเกลก็เดินมาถึงที่นี่พร้อมกับเดินเข้ามาข้างในอย่างช้า ๆ คาร์เตอร์ฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ คิ้วของเขาก็ขมวดกันจนเป็นปมไปแล้ว
“งั้นตรวจสอบกล้องทุกตัวในเกาะเซอร์ไวโดยทันที”
“เสียใจด้วยค่ะ...หัวหน้า...”
“เธอหมายความว่าไง? อามิกะ”
เจ้าหน้าที่ชายคนหนึ่งลุกขึ้นในทันที “พวกเราตรวจสอบแล้วครับ แต่กล้องทุกตัวถูกพวกดาร์คเนสทำร้ายตั้งแต่เมื่อตอนที่พวกมันบุกมาครั้งก่อนแล้วนะครับ!”
“ชิ!!” คาร์เตอร์ไม่สบอารมณ์ที่ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยจริงๆ
“ให้ฉันออกไปไหนช่วยไหม? คาร์เตอร์” มิเกลถามอย่างสงสัย
“หุบปากไป! มิเกล!”
มิเกลถึงกับเงียบกริบทันที “ขอโทษคร้าบ...”
มิเกลถึงกับหน้าหงอยอย่างกับคนจะร้องไห้ เพราะโดนอีกฝ่ายตะคอกใส่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่นายหนึ่งจะเอ่ยพูดขึ้นเมื่อเขากำลังจ้องมองหน้าจอแล้วเห็นบางอย่างที่ผิดปกติขึ้นมา
“มีปัญหาแล้วค่ะ!!”
“!!” คาร์เตอร์หันไปทางเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้น!?”
“มีเฮลิคอปเตอร์อีกลำหนึ่งกำลังตรงไปที่เกาะนั้นเช่นเดียวกันค่ะ แล้วตรวจสอบได้ว่าเป็นของพวกดาร์คเนสค่ะ!”
“ว่าไงนะ!!” คาร์เตอร์ถึงกับอึ้งไปเลยว่าเหตุการณ์นี้มันอะไรกัน
“ให้ตามไปไหม!!” มิเกลเปลี่ยนอารมณ์อย่างเร็วแล้วถามอีกฝ่ายขึ้นมาแบบนั้น
“ยัง! เราจะดูสถานการณ์ไปก่อน ถ้าเราส่งคนไปช่วยเยอะเกินไปอาจจะเป็นแผนลวงให้ล่อเราออกไป แล้วโจมตีที่นี่ก็ได้!”
“มันก็จริงนะ...” มิเกลนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายพูดขึ้น “แต่...คนที่กำลังไปที่เกาะนั้นล่ะ...คนของเรานะ!”
“ฉันรู้!!” คาร์เตอร์ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดไปหมด
“แล้วทำไม?” มิเกลเอียงคออย่างสงสัย
“นายก็น่าจะรู้นะ...ฉันไม่ต้องการเสียใครไปอีก!” คาร์เตอร์นึกถึงเหตุการณ์ที่เกาะนั้นที่เขาเสียทั้งเพื่อนและคนที่เขารู้จัก “เราจะไม่เอาคนหมู่มากไปเสี่ยงกับคนที่ออกไปทั้งนั้น!”
“มันก็...”
“ไม่ต้องห่วงถ้าเกิดอะไรขึ้น! เราจะขอให้อามิกะเปิดประตูไปที่เกาะนั้นได้ใช่ไหม? อามิกะ”
“ได้ค่ะ! หัวหน้า ฉันจะรอรับสั่งจากหัวหน้าเลยค่ะ!” อามิกะเตรียมตัวรอรับคำสั่งจากหัวหน้าที่เคารพรักอย่างใจรอ
“ดี!” คาร์เตอร์จ้องมองทุกคน ก่อนที่เขาจะสั่งเจ้าหน้าที่ทุกคนทันที “งั้นเปิดระบบสเปชั่น ณ เกาะเซอร์ไวเดียวนี้!”
*ระบบสเปชั่น เป็นระบบตรวจจับตำแหน่งตัวบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนเกาะ
“รับทราบ!!” เจ้าหน้าที่ทุกคนรีบไปที่หน้าจอคอมของตนเองทันที
คาร์เตอร์นั่งลงบนเก้าอี้ในทันที มิเกลมายืนข้าง ๆ อย่างตั้งใจดูภาพตรงหน้า
“กี่เดือนแล้วนะที่เราไม่ได้ลุยแบบนี้ในห้องนี้นะ”
“ฉันไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ด้วยซ้ำ...มันน่ารำคาญ ถ้าไม่ใช่ภารกิจดี ๆ”
“พูดได้นะ เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วนะ”
“ถึงไม่ใช่มนุษย์แต่จิตใจเราก็ยังเป็นมนุษย์ มิเกล ไม่งั้นเราไม่ช่วยผู้คนมากมายหรือไง”
“ก็จริงของนาย...ตอนนี้ฉันรอดูคนโดยนายเล่นงานตอนกลับมาดีกว่า”
คาร์เตอร์จับจ้องหน้าจอขึ้นภาพสีดำของเกาะเซอร์ไว พร้อมกับจุดสีแดงหนึ่งตำแหน่งบนเกาะนั้น ทำให้คาร์เตอร์สงสัยว่าคนที่อยู่บนเกาะนั้นเป็นใคร
“มีคนอยู่บนเกาะ?”
“หัวหน้า!!” อามิกะหันไปหาคาร์เตอร์ที่กำลังจ้องมองอยู่
คาร์เตอร์มองเขานึกถึงคำพูดของมิเกลทันที จนมิเกลอุทานออกมา
“ซาร่าพูดจริง...ที่นั่นมีคนอยู่...คนที่มีร่างกายสีขาว...”
“คุณคือใครกัน...บุคคลสีขาว”
จบตอนที่ 10 โปรดติดตามต่อตอนที่ 11 ต่อไป