ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล - Chapter 11 : Dylan Greyjoy โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล โดย Lady.Iris @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง

ผู้แต่ง

Lady.Iris

เรื่องย่อ

สารบัญ

Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-บทนำ :,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 1 : Lemon cake,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 2 : His name,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 3 : Just a talent,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 4 : Popular guy ,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 5 : Movie date,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 6 : Leadership ,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 7 : You an idiot,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 8 : My type,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 9 : Knock knock,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 10 : Kiss me,Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาล-Chapter 11 : Dylan Greyjoy

เนื้อหา

Chapter 11 : Dylan Greyjoy

Chapter : Dylan Greyjoy


                     “เป็นไงบ้างฮะๆ”

เด็กชายตัวน้อยถามเสียงใสแจ๋วพลางเกาะข้างโต๊ะอย่างกระตือรือร้น ดวงตาสีทองเปล่งประกายขณะมองคุณย่าแกะคัพเค้กออกจากพิมพ์ กลิ่นหอมหวานของขนมอบใหม่ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง ดีแลนปีนขึ้นเก้าอี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอได้เห็นคัพเค้กใกล้ๆ ก็พบว่ามันทั้งสวยงามและน่ากินจนเขาเผลอจ้องตาไม่กะพริบ

คุณย่าหยิบคัพเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เป่าไล่ไอร้อน แล้วกัดชิมคำเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นว่า

“สมกับเป็นหลานย่า มีพรสวรรค์นะเนี่ย”

มือที่อ่อนโยนของคุณย่าลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ จนกลุ่มผมสีทองนั่นยุ่งเหยิงไปหมด แต่ดีแลนกลับหัวเราะเบาๆ ด้วยความสุข รอยยิ้มของคุณย่าในวันนั้นยังคงชัดเจนในความทรงจำ รอยยิ้มที่บอกทุกอย่างว่าเธอภูมิใจและมีความสุขอย่างแท้จริง

นั่นคือดีแลนในวัย 7 ขวบ เด็กชายที่พบว่าเขารักการทำขนมตั้งแต่วันนั้น

“ทางซ้ายว่างอยู่รีบส่งไปเร็ว!!”

สนามบาสเกตบอลกลางโรงเรียนเต็มไปด้วยเสียงเชียร์ของเพื่อนๆ และเสียงรองเท้ากีฬากระทบพื้นสนามดังลั่น ดีแลนส่งลูกบาสให้เพื่อนร่วมทีมอย่างแม่นยำ ก่อนจะกระโดดขึ้นรับบอลกลับมา และทำคะแนนได้สำเร็จ เสียงเฮดังขึ้นทั่วสนาม ใบหน้าของทุกคนในทีมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งดีใจและตื่นเต้นกับชัยชนะที่เกิดขึ้น

หลังเกมจบ อาจารย์ประจำทีมเดินเข้ามาหาดีแลน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ดีแลน ฉันขอเถอะนะ เข้าทีมโรงเรียนเถอะ ความสามารถของเธอมันจำเป็นจริงๆ”

เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ มองหน้าเพื่อนๆ ที่กำลังส่งสายตารบเร้าอย่างเต็มที่ ทำให้เขาพยักหน้าตกลงในที่สุด เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นรอบตัว ทุกคนดูมีความสุขเหลือเกิน

ความจริงแล้ว ดีแลนไม่ได้ชื่นชอบการเล่นบาสมากมายขนาดนั้น เขามองว่ากีฬานี้เป็นเพียงอีกกิจกรรมหนึ่งที่พอจะทำได้ดี แต่สิ่งที่เขาชอบจริงๆ กลับเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคน มันทำให้เขารู้สึกว่าการเล่นของเขามีความหมาย รอยยิ้มเหล่านั้นคือหลักฐานของความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย

“ตกลงครับโค้ช”

นี่คือการตัดสินใจของดีแลนในวัย 13 ปี เด็กหนุ่มที่เรียนรู้ว่า ความสุขของตัวเองคือการได้เห็นรอยยิ้มของผู้อื่น

ในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและบรรยากาศสบายๆ อาจารย์ยืนอยู่หน้าชั้นพร้อมสมุดผลสอบในมือ เสียงเคาะโต๊ะเบาๆ ของเขาดึงความสนใจของทุกคนกลับมา

“เอาล่ะ ทุกคน ตั้งใจฟังนะ ผมมีเรื่องจะแจ้งเกี่ยวกับผลสอบครั้งนี้” เสียงในห้องเงียบลงทันที ก่อนที่อาจารย์จะเปิดสมุดผลสอบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“ฉันอยากแสดงความยินดีกับคนที่ทำคะแนนได้สูงสุด…ดีแลน! เธอได้ที่หนึ่งอีกแล้วนะ”

เสียงปรบมือดังขึ้นจากเพื่อนร่วมชั้น ทุกสายตาหันไปหาเจ้าของชื่อด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และคำพูดติดแซวที่ฟังดูขี้เล่น

“โอ๊ย เหลือคะแนนไว้ให้พวกเราบ้างสิ มิสเตอร์เพอร์เฟค!”

“ขอบคุณที่ตั้งใจเรียนเสมอมา เธอเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคนมากนะ ดีแลน” อาจารย์เดินมาที่โต๊ะเขายิ้มกว้างพลางวางมือลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ

“ขอบคุณครับ ผมแค่ทำเต็มที่เท่านั้นเอง”

สายตาของอาจารย์ที่มองดีแลนนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ที่ยังคงหัวเราะและแซวเขาอย่างสนุกสนาน มันเป็นภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและความชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มที่ทั้งเก่งและเป็นที่รักของทุกคน

ดีแลนในวัย 17 ปี เด็กหนุ่มที่ไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน แต่ยังได้รับความรักและการยอมรับจากคนรอบข้าง

ใช่…รอยยิ้มเหล่านั้น รอยยิ้มที่เพื่อนๆ มอบให้เขาในห้องเรียน หรือเสียงหัวเราะขี้เล่นของคนรอบข้างเวลาพูดถึงความสมบูรณ์แบบของเขามันไม่ต่างอะไรจากรอยยิ้มอันเป็นมิตรของลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้านขนมและเดินจากไปพร้อมถุงกระดาษในมือ มันจริงใจ อบอุ่น และทำให้หัวใจพองโตได้ชั่วคราว

แต่ลึกลงไปในช่องว่างอันเงียบงันของจิตใจ ดีแลนยังสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ มันเป็นเหมือนรูโหว่ที่เขาไม่สามารถเติมเต็มได้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะชีวิตนี้แย่หรือขาดแคลนอะไร จริงอยู่ที่ชีวิตแบบนี้ทำให้เขาสบายใจ อบอุ่น และมั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็นิ่งเกินไป…ราบเรียบเกินไป

‘ทำไมกันนะ’ เขาคิดกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ดีแลนไม่ได้เกลียดชีวิตในแบบที่เป็นอยู่หรอก เขารักการอบขนม การทำให้คนอื่นมีความสุขผ่านอาหาร เขารักช่วงเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่กัดขนมชิ้นแรกแล้วเปล่งคำว่า “อร่อย!” ออกมา
หรือการที่เขาสามารถทำคะแนนให้กับทีมบาสเกตบอลของโรงเรียนได้สำเร็จ จนทุกคนส่งเสียงเฮลั่นด้วยความดีใจมันเหมือนกับการยืนยันตัวตนของเขา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีบางอย่างที่ขาดหายไป

บางสิ่งที่เขาโหยหา…บางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หรืออาจเป็นเส้นทางที่ยังไม่มีใครวาดไว้ การได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน อะไรสักอย่างที่ทำให้ชีวิตมีจังหวะใหม่ มีชีวิตชีวา และเติมเต็มความว่างเปล่าในใจ แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่า ‘บางสิ่ง ‘นั้นคืออะไร

และแล้วในห้วงความคิดที่ซับซ้อนของตัวเอง ใบหน้าของใครบางคนก็แวบเข้ามา ใครบางคนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างประหลาด คนที่ทำให้ชีวิตที่แสนเรียบง่ายนี้ดูเหมือนจะมีสีสันมากขึ้น

ใช่แล้ว คนคนนั้นใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาตามหามากที่สุด

เพราะคนคนนั้นคือความกล้าที่เขาไม่มี ความบ้าบิ่นที่เขาไม่กล้าลอง และความฝันที่เขายังไม่กล้าคว้า…

“เอ่อ…ดีแลน?” เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อค่อยๆ ลดหนังสือที่กำลังอ่านลง เขาหันไปมองต้นตอของเสียงด้วยท่าทีสงบนิ่ง

“ใช่ นายจริง ๆ ด้วย พอใส่เครื่องแบบแล้วแต่งตัวเนี๊ยบแบบนี้ แทบจำไม่ได้เลยนะ” อีกฝ่ายยิ้มบาง ๆ พลางใช้นิ้วเขี่ยแก้มเบา ๆ ราวกับจะแก้เขิน ผิวขาวตัดกับเส้นผมสีดำสนิท เครื่องประดับที่อยู่บนตัวมีไม่ต่ำกว่าสี่ชิ้น บ่งบอกชัดเจนว่าอีกคนสนุกกับการแต่งตัวแค่ไหน ต่างจากเขาที่สวมยูนิฟอร์มเรียบง่ายจนชินตา

นัยน์ตาเรียวที่แฝงความดื้อรั้นอย่างไม่ปิดบัง ดูเหมือนคนที่ทั้งท้าทายและยากจะรับมือ แต่ในขณะเดียวกันกลับมีเสน่ห์ที่ดึงดูดจนยากจะมองข้าม ไม่ว่าใครก็คงมองออกว่า เซนไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มากมายเลย แค่เป็นตัวของตัวเอง ก็โดดเด่นจนเกินพอแล้ว

เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันที่มักเดินผ่านหน้าร้านเขาโดยไม่แม้แต่ชายตามองชื่อร้านด้วยซ้ำ ตกดึกก็มักจะวนเวียนเก็บเครื่องดนตรีที่วางกระจัดกระจายตรงมุมต่าง ๆ แน่นอนว่าดีแลนจำเซนได้ตั้งแต่แรกเห็น แม้ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกันสักครั้ง เพราะอีกคนมักสวมหูฟัง และเดินอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด

แต่แล้ววันหนึ่ง เซนกลับเดินเข้ามาในร้าน และนั่นทำให้ดีแลนตกใจไม่น้อย ทว่าที่น่าประหลาดใจกว่านั้น คือเซนไม่มีทีท่าว่าจะรู้จักเขาเลยนี่สิ มันทำให้เขารู้สึก…แปลกดี จะเรียกว่าแปลกคนก็คงใช่ แต่ลึก ๆ แล้ว การที่ตัวเขาเองที่ใคร ๆ มักมองว่าสมบูรณ์แบบ กลับถูกเมินซะได้

มันยิ่งทำให้เซนดูน่าสนใจในสายตาเขาอย่างบอกไม่ถูก…

และยิ่งพอได้รู้จักกันเขาก็มั่นใจ ว่าเซนเป็นคนใจกล้ามาก

“อืม…” จูบที่เริ่มจากความสงสัยกลายเป็นการ ค้นหาที่ไม่รู้จบ ลิ้นของเซนขยับตามจังหวะหายใจของดีแลนค่อยๆ สอดแทรกจนความรู้สึกระหว่างพวกเขาถึงขีดสุด

เสียงลมหายใจหนักหน่วงผสมกับจังหวะของการ
สัมผัสที่ไม่ยอมปล่อยให้ทั้งสองห่างกันแม้แต่
น้อย จูบนี้ไม่ใช่แค่การสัมผัส แต่เป็นการ ยืนยันความรู้สึกที่ช่อนอยู่ในแต่ละการ
เคลื่อนไหว

ดวงตาของเซนที่อยู่ใต้ร่างเขาก็จับจ้องมา แววตาฉ่ำน้ำตาบ่งบอกถึงความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความแข็งกร้าวนั่น เขาสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนแม้ในความมืด

และทำให้ดีแลนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังจะพังทลาย เขาต้องการเข้าไปใกล้มากขึ้นต้องการครอบครองทุกอย่างที่เป็นของเซน ความหลงใหลในตัวเขาทำให้ดีแลนรู้สึกเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่งที่เป็นของเซน

เป็นครั้งแรกที่ดีแลนรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบในตัวเอง เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรขนาดนี้มาก่อน ราวกับโลกที่เคยเป็นเพียงสีเทา กลับถูกเติมเต็มด้วยสีสันที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทุกอย่างรอบตัวเขาดูมีความหมายมากขึ้น มันไม่ใช่แค่การสัมผัสความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากภายนอก แต่เหมือนมันลึกลงไปในตัวตนของเขา ราวกับมีเสียงดนตรีที่ไม่เคยได้ยินดังขึ้นในใจ

“บางที่…ทำอะไรแบบนี้อาจจะสนุกกว่าดูหนังด้วยกันก็ได้นะ”

“นั่นสิ”

'ไว้คราวหน้าเป็นฝ่ายชวนบ้างดีกว่า'

.

.

To be continued