ในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Sugar Chords บทเพลงเคลือบน้ำตาลในโลกที่ดนตรีขับกล่อมและความหวานเติมเต็ม พวกเขาได้ร่วมกันเขียนบทเพลงที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสอง
Chapter 7 : You an idiot
เซนนั่งจูนกีตาร์อยู่ในร้านอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่กดส่งรูปนั้นไป เขาก็แทบไม่ได้สนใจหรือคิดถึงมันอีกเลย มีสองเหตุผลชัดเจนสำหรับเรื่องนี้: หนึ่ง เขาปิดแจ้งเตือนทุกแอปไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และสอง ร้านของน้ามีออเดอร์เข้ามาเยอะแยะจนแทบไม่มีเวลาหายใจ
มือหนึ่งของเขาหมุนลูกบิดกีตาร์ช้า ๆ อีกมือดีดสายเพื่อเช็กเสียงไปพลาง ๆ เขามองออกไปนอกร้าน เห็นผู้คนเดินเข้าไปมาไม่ขาดสาย ก่อนที่ความสนใจจะกลับมาที่กีตาร์ในมือ
บ่ายวันเสาร์ที่แสนเงียบสงบของเซนถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อประตูร้านถูกเปิดออกอย่างแรงจนเสียงกระดิ่งที่ติดกับประตูสะท้อนไปทั่วทั้งร้าน เซนชะงักมือที่กำลังจูนกีตาร์ หันไปมองต้นเหตุของความวุ่นวาย
เป็นดีแลนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและเร่งรีบ เขาก้าวตรงมาหาเซนทันทีและพอเด็กหนุ่มผมบลอนด์ทำท่าจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง เซนก็ขยับตัวเล็กน้อย เอื้อมมือกลับไปจูนสายกีตาร์ต่อ พร้อมบิดปุ่มอย่างตั้งใจ เสียงสายกีตาร์ที่ถูกปรับดังกลบทุกคำพูดที่ดีแลนพยายามเปล่งออกมา
ใบหน้าของเซนยังคงนิ่งเรียบ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความร้อนรนของอีกฝ่าย เขาเหลือบมองดีแลนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้มกลับไปสนใจเครื่องดนตรีในมือ รักษาท่าทีเหมือนทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง แววตาเธอจ้องมองไปทั่วร้านราวกับสำรวจสิ่งแปลกใหม่ ก่อนจะเดินตรงมาหาทั้งเซนและดีแลน เซนหันไปมองโดยอัตโนมัติ แล้วเขาก็ต้องสะดุดตาเมื่อเห็นว่าเธอคือเด็กสาวที่เดินคู่กับดีแลนเมื่อสองวันก่อน
“นี่น้องสาวฉันเอง โคลอี้” ดีแลนกล่าวพร้อมกับยกมือผายไปยังเด็กสาวผมบลอนด์ที่ดูเหมือนจะมีเฉดสีเดียวกับเขา เซนถึงกับอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงตกใจจะหลุดออกจากปากเขาโดยไม่ตั้งตัว
“อะไรนะ!?”
"พี่ฉันเล่าเรื่องคุณให้ฟังเยอะเลย แต่รู้สึกว่าตัวจริงจะหล่อกว่าในรูปอีกนะคะเนี่ย" เธอพูดพร้อมเอามือนาบแก้มที่เริ่มออกสีแดงระรื่น แต่เซนไม่ได้สนใจการกระทำเหล่านั้นเลย เด็กหนุ่มทั้งอึ้ง รู้สึกผิด และอับอายขายหน้าจนอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเดี๋ยวนี้เพื่อหนีปัญหา
"ขอโทษนะ ที่ฉันแอบถ่ายรูปนาย ไม่รู้ทำไปทำไม แล้วก็เอิ่ม เอ่อ เอาเป็นว่าขอโทษนั่นแหละ" เซนยืนอยู่หลังร้านกับดีแลน ใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยมั่นใจ ตอนนี้เขาไม่รู้จะเริ่มต้นคำพูดยังไงดี แค่ได้ยินตัวเองพูดคำขอโทษออกไปมันก็ดูแปลกๆ
ดีแลนที่ยืนอยู่ตรงข้ามฟังแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับว่า
“สนใจฉันขึ้นมาบ้างแล้วเหรอ”
“เปล่า” เซนตอบเสียงแข็ง เขาพยายามปิดกั้นตัวเองไม่ให้ยอมแพ้ให้กับคำพูดหรือเล่ห์เหลี่ยมของดีแลนอีกแล้ว
“แต่ก็นึกถึงฉันไม่หยุดเลยใช่มั้ยล่ะ” ดีแลนยิ้มกวนๆ ขณะที่พูด เสียงเขาหลอกล้อและใบหน้าก็แสดงออกถึงความขี้เล่น จนเซนรู้สึกหมั่นไส้เล็กน้อย
“แค่ 0.03 วิต่อวันได้มั้ง” เซนตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ดีแลนได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ไหล่สั่นไปตามจังหวะ หัวเราะจนเซนต้องหันไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เห็นรอยยิ้มของเขา
“ขะ..ขำอะไรนักหนา”
“ไม่เอาน่าเซน ทำไมนายถึงต้องปิดกั้นตัวเองขนาดนั้นด้วย” ดีแลนพูด น้ำเสียงเขาอ่อนลงกว่าปกติ แต่ยังคงความจริงจังเอาไว้ในทุกคำ
“ก็บอกไปแล้ว ฉันไม่เก่งเรื่องพวกนี้” เซนตอบพลางถอยหลังทีละก้าวอย่างไม่รู้ตัว เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนต้อนให้จนมุม
“ลองขยายความคำว่าไม่เก่งดูซิ” ดีแลนถามพร้อมก้าวตามมาเรื่อยๆ ใบหน้าของเขาแฝงด้วยความมุ่งมั่นจะเอาคำตอบให้ได้
เซนถอนหายใจยาว พยายามรวบรวมคำพูดในหัว แต่ความรู้สึกที่ตีกันมั่วซั่วไปหมด
“เห้อ… ฉันไม่ค่อยมีเวลาว่างไปเดตกับใคร ฉันไม่เคยต้องมานั่งนึกถึงคนอื่นนอกจากตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไงอีกฝ่ายถึงจะรู้สึกว่าแบบนี้คือความพิเศษ ฉันไม่รู้ ดีแลน… ฉันแค่ไม่รู้”
คำพูดสุดท้ายของเซนเหมือนเสียงกระซิบ เขาก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องมองมา แต่ดีแลนกลับไม่พูดอะไรออกไปในทันที มีเพียงความเงียบที่แทรกตัวระหว่างพวกเขา เซนไม่แน่ใจว่ามันน่าอึดอัดหรือทำให้โล่งใจ แต่เขารู้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นแรงจนไม่อาจซ่อนได้อีกแล้ว
“ไม่เป็นไร เซน ความจริงแล้วฉันรอเก่ง—” ดีแลนพูดยังไม่ทันจบก็ถูกขัดด้วยน้ำเสียงดังของเซนที่แฝงความหงุดหงิดอย่างปิดไม่มิด
“โธ่ ดีแลน! ฉันอยากโฟกัสเรื่องอื่นที่มันสำคัญมากกว่านี้ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นาย!” เซนโพล่งออกมา พร้อมถอยหลังไปอีกก้าว แต่ดีแลนไม่ยอมปล่อยโอกาส เขาเดินเข้าไปใกล้แทบจะในทันที
“นี่กุญแจเข้าหลังร้าน คืนนี้ฉันน่าจะปิดร้านจนดึก เพราะต้องเปิดตัวเมนูใหม่พรุ่งนี้” ดีแลนพูดพลางคว้ามือของเซนที่ยังค้างอยู่ข้างลำตัวขึ้นมา ก่อนจะยัดกุญแจลงไป “ถ้าคิดถึงฉัน ก็แค่ลงมา โอเค๊”
เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มกวนประสาทที่ทำเอาเซนยืนอึ้งไป ดีแลนไม่ได้รอฟังคำตอบ เขาหันหลังเดินออกไปอย่างไม่เร่งรีบ ทิ้งเซนที่ยืนมองกุญแจในมือด้วยความสับสนปนหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความรู้สึกยุ่งเหยิงยังคงวนเวียนอยู่ในใจเขาไม่ไปไหน
หลังปิดร้านเสร็จ ดีแลนใช้เวลาทำขนมสูตรใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นมาอย่างตั้งใจ เมนูนี้เป็นอะไรที่พิเศษจนเขาอยากให้เซนเป็นคนแรกที่ได้ลองชิม แต่จนถึงตอนนี้ เซนก็ยังไม่ปรากฏตัว
ดีแลนนั่งอยู่บนโต๊ะไม้กลางร้าน มีขนมที่เขาเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ วางอยู่บนจานตรงหน้า เขามองนาฬิกาผนังที่ชี้เวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มาพร้อมความหวังค่อย ๆ จางหายไปในแสงไฟสลัวของร้าน
ในที่สุดเขาก็ถอดใจ เก็บขนมเข้าตู้เย็นอย่างเบามือ ราวกับกลัวจะทำลายสิ่งที่ตั้งใจทำไว้ เขาปิดไฟร้าน เตรียมจะกลับบ้าน แต่ก่อนออกจากตึก เขาเผลอเหลือบมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของเซนที่ยังเปิดไฟสว่างอยู่
ดีแลนยืนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไฟยังสว่าง นั่นหมายความว่าเซนไม่ได้เผลอหลับไป อีกฝ่ายแค่เลือกจะไม่ลงมาหาเขาเท่านั้นเอง
ในห้องของเซน ศิลปินหนุ่มกำลังนั่งจมอยู่กับโต๊ะทำงาน กีตาร์วางอยู่บนตัก และกระดาษโน้ตเพลงที่เต็มไปด้วยรอยขย้ำถูกกองไว้ข้างถังขยะ
เขาเขียนเนื้อเพลงลงไปด้วยลายมือเร่งรีบ พออ่านทบทวนก็ขมวดคิ้ว ถอนหายใจ ก่อนจะขย้ำมันแล้วโยนลงพื้นอีกครั้ง เสียงกระดาษร่วงดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพลงก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน
“…..” ความเงียบที่รายล้อมห้องเซนยังคงเข้มข้น มีเพียงเสียงนาฬิกาเดินเท่านั้นที่ดังอยู่เบา ๆ เขาพยายามเขียนเพลงต่อ แต่สมาธิก็ถูกขัดจังหวะด้วยความหิวที่เริ่มโจมตี
เซนลุกขึ้น เดินไปแง้มม่านมองผ่านหน้าต่างลงไปด้านล่าง ร้านของดีแลนที่อยู่ชั้นล่างก็ปิดไฟเงียบสนิท ไม่มีวี่แววของคนอยู่
ภาพนั้นเหมือนเป็นคำยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว และบางทีอาจจะหมายความว่าเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องลงไปเจอหน้าดีแลนอีก
เซนถอยกลับมานั่งลงที่โต๊ะทำงาน ถอนหายใจยาว มือเลื่อนไปหยิบกุญแจดอกเล็กในกระเป๋าเสื้อออกมา มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะเบา ๆ
“แบบนี้มันโคตรจะงี่เง่าเลย…..”
.
.
To be continued