ฉันไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่เพื่อให้รู้ว่าฉันคิดอย่างไรตอนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือเพียงฝันถึงมันอยู่ When the Dream Refused the End ไม่ได้ถามว่าความฝันคืออะไร — แต่มันถามว่า ถ้า “ความจริง” เองก็เริ่มหลอกเรา แล้วเรายังเหลือสิ่งใดให้เชื่ออีก? ฉันเพียงอยากฟังเสียงของใครสักคนที่ยังกล้าตั้งคำถาม แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบอยู่จริงก็ตาม
แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ยุคกลาง,ย้อนยุค,ปรัชญา,ผจญภัย,แอคชั่น,ต่อสู้,ตามหาความจริง,พระเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฝันปฏิเสธจุดจบ (When the Dream Refused the End)ฉันไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่เพื่อให้รู้ว่าฉันคิดอย่างไรตอนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือเพียงฝันถึงมันอยู่ When the Dream Refused the End ไม่ได้ถามว่าความฝันคืออะไร — แต่มันถามว่า ถ้า “ความจริง” เองก็เริ่มหลอกเรา แล้วเรายังเหลือสิ่งใดให้เชื่ออีก? ฉันเพียงอยากฟังเสียงของใครสักคนที่ยังกล้าตั้งคำถาม แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบอยู่จริงก็ตาม
อัศวินหนุ่มนาม อาเธอร์ ตื่นจากการหลับใหลสามปีในหมู่บ้านห่างไกล หลังจากเคยต่อสู้กับมังกรจนบาดเจ็บสาหัส—แต่เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ผู้คนต่างยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษผู้ขับไล่สัตว์ร้าย เขาเริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงของอดีตและโลกที่เขาไม่แน่ใจว่าคือ “ความจริง” หรือ “ความฝัน” ระหว่างทางเขาพบเหล่าผู้ร่วมชะตากรรม—นักพรต ผู้วิเศษ ตัวตลก ขุนนาง และผู้เตร็ดเตร่—แต่ละคนสะท้อนบาดแผล ความเชื่อ และอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน
เมื่อความทรงจำค่อย ๆ กลับมา อาเธอร์พบว่าตนเกี่ยวข้องกับการกบฏและสงคราม—ราชาแดนประจิม ผู้มีใบหน้าเหมือนเพื่อนในอีกโลกกลายเป็นศูนย์กลางของความคลุมเครือ ระหว่างศรัทธาในอุดมคติและการครอบงำของอำนาจ ทุกการพบพาคือการรื้อฟื้นคำถามว่า “เราเป็นใคร เมื่อความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ไม่อาจเชื่อถือได้?”
ในตอนจบ โลกแตกสลายไปพร้อมเส้นแบ่งของความจริงและความฝัน อาเธอร์ยืนอยู่ท่ามกลางซากสงครามโดยไม่อาจนิยามตนเองได้อีก เขาไม่ใช่ฮีโร่ ไม่ใช่กบฏ ไม่ใช่คนตื่นหรือคนฝัน—เขาอาจเป็นเพียงสิ่งที่หลงเหลือจากการเล่าเรื่องของผู้อื่นเท่านั้น
เสียงนกร้องแผ่วผ่านหน้าต่างกระจกแตก แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องผ่านรอยร้าวเป็นลำ ฝุ่นบางปลิวเหนือเตียงไม้เก่า เสียงผ้าชื้นเช็ดวนบนเกราะดำที่ถูกขัดจนเงาวับ แม้จะเต็มไปด้วยรอยขีดเป็นร่อง แต่ยังแลดูสง่าเกินกว่าจะวางอยู่ในโบสถ์ซึ่งไร้พระเจ้า
ที่นี่ไม่มีรูปเคารพ ไม่มีคำสวด ไม่มีเทียน—ไม่มีพระเจ้า หรืออาจจะมีก็ได้ หากแต่พระองค์นั้นเลือกจะไม่ตรัสกับเราอีกต่อไป เหลือเพียงช่องว่างที่ร่วงหล่นไร้การเติมเต็มจากรอยร้าวของกระจกสีซีดซึ่งไม่มีใครกล้าซ่อม บ้างเชื่อว่ารอยร้าวนั้นคือสายตาของผู้เคยเฝ้ามองก่อนร่วงหล่น บ้างเพียงแค่ทำตามคนก่อนหน้า
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุขอยู่ภายนอก
เสียงหัวเราะนี้เป็นของใหม่ในหมู่บ้านใหญ่ที่เคยถูกเผาไปเกือบครึ่งเมื่อสามปีก่อน ผู้ใหญ่ที่รอดมักไม่กล้าพูดถึงเรื่องในวันนั้น ส่วนเด็กที่ไร้ภาพไฟในหัวจึงหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงในสถานที่ซึ่งเงียบราวกับไว้อาลัยชั่วนิรันดร์
เสียเด็กเล่นไล่จับกันในโบสถ์นั้นทำให้หมู่บ้านมีชีวิตชีวายิ่ง แต่เสียงเดียวกันนี้เองก็ได้ดังเข้าไปในโสตประสาทของใครบางคนจนรู้สึกปวดหัว
‘หนวกหู... ไอ้พวกที่รบกวนคนตอนนอนขอให้ตกนรก... ’
เสียงสถบในหัวที่ยังตื่นไม่เต็มที่ ได้ตัดสินเด็กพวกนั้นราวกับผู้พิพากษาในฝัน—ก่อนที่สติเก่าจะค่อยๆ ตื่นตามตัวมาเป็นสิ่งสุดท้าย
ฉันลืมตาขึ้น—แต่ไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกเหมือนปวดเมื่อยไปทั้งตัวทั้งๆ ที่เมื่อวานสตรีมเกมเสร็จก็เข้านอนตามเวลา
มันน่าขำ... ฉันเคยไม่หลับไม่นอนเพื่อเล่นเกมข้ามวันหลังสตรีมโดยไม่รู้สึกอะไร—แต่พอตื่นมาในตอนนี้กลับรู้สึกเมื่อยล้าไม่ต่างจากแบกโลกไว้ทั้งใบ
ข้อนิ้วขยับช้าอย่างไม่คุ้นชิน—เหมือนเส้นเอ็นเหล่านั้นเคยจับบางสิ่งไว้ไม่ยอมให้ห่างจากมือ ไม่ใช่ คีย์บอร์ด เมาส์ หรืออะไรพวกนั้น การจะงักไม่ได้อยู่แค่ในกล้ามเนื้อ แต่รวมถึงดวงดาที่เปิดขึ้นแล้วต้องพบกับเพดานเก่าแก่ที่ถูกทำความสะอาดไว้อย่างดี... อะไรนะ?
“ซะ-เซอร์... ท่านเซอร์ฟื้นแล้ว?!”
เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างตกใจด้วยภาษาอังกฤษ ฉันหันไปช้าๆ เห็นชายชรารูปร่างผอม ผูกผ้าคาดเอวอย่างเรียบร้อย
เมื่อมองโดยรวมแล้วดูไม่ต่างจากพ่อบ้านที่เห็นในละครบ่อยๆ เขาวางชามน้ำลงอย่างเร่งรีบก่อนจะรีบลุกไปที่ประตู
“ขะ-ข้าจะรีบไปตามนักบวชมา... ! ท่านอย่าขยับมากนะขอรับ เดี๋ยวแผลจะแย่ลง!”
นักบวช? แผล? มันเกิดอะไรขึ้น...
ฉันยกตัวขึ้นมองรอบๆ จากมุมนี้มองเห็นชุดเกราะสีดำขลับวางคู่ผ้าเช็ดอยู่บนม้านั่งด้านข้าง—ใช่ มีเพียงผ้าเช็ด ไม่มีลูกแก้ว ไม่มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์... แค่เศษผ้าธรรมดาที่ใครบางคนใช้เช็ดเกราะให้ทุกวันเหมือนดูแลวัตถุจัดแสดง
ข้างนอกหน้าต่าง ฝุ่นแดดลอยวนเหนือนาข้าวแคระแกร็น กับต้นไม้แห้งตายที่ขึ้นคลุมซากบ้านครึ่งหลัง ตรงขอบฟ้ามีป้อมไม้ผุ ซึ่งสูงพอให้เงาเรือนยอดแตะกับม่านหมอกสีเทาอ่อน ดูคล้ายเมืองกลางทุ่งนาในชนบท
หันมาที่ร่างกายก็เห็นผ้าพันรอบลำตัว ใต้ผ้าพันแผลที่ล้อมรอบแผ่นอกดุจสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ยอมปล่อยมือ รอยดำขนาดใหญ่ไร้ความรู้สึกให้เจ็บแสบ แต่ใกล้เคียงโรคประหลาดเสียมากกว่า
กลิ่นเงาเขม่าจางๆ ที่ตกค้างดั่งคำถามที่ยังไร้ผู้แถลง ผสมกลิ่นสนิมที่ฝังอยู่ในลมหายใจและน้ำสมุนไพรขังเหนียวหนืดในอากาศ
อะไรวะ? เกิดอะไรขึ้น? ในหัวฉันเริ่มเรียงสมมุติฐานมากมายแบบเกมจำลองโลกจริงที่เคยเล่นในหัวบ่อยครั้ง แต่ปัญหาคือตอนจำลองไม่เคยคิดถึงห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกำยานจนเวียนแบบนี้ หรือจำลองความเมื่อยล้าที่รู้สึกอยู่ในตอนนี้ได้—สรุปแล้วคือมันไม่ได้ช่วยอะไร... แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ชีพจรในอกช้าลงหนึ่งจังหวะ
ขณะกำลังคิดรำพึงไปต่างๆ นาๆ เสียงบานประตูก็เปิดออกอีกหน
ชายผู้สวมชุดนักบวชเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มเปี่ยมปีติ ยกมือหนึ่งแตะตราปักรูปพีระมิดที่มีตาดวงใหญ่โตบนหน้าอกเสื้อคลุมสีขาวของนักบวช—สัญลักษณ์ดวงตาที่ถูกขีดฆ่า เป็นเครื่องหมายของศาสดาที่ร่วงหล่นในสงครามยุคก่อน ผู้คนเรียกขานวันนั้นว่า ‘วันเงียบแห่งเซราฟีม’ ที่ทุกคนต่างเล่ากันปากต่อปากว่าพระเจ้าได้ตายลงในวันนั้น
หลายร้อยปีก่อน โบสถ์แห่งนี้เคยเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง แม้แต่หมู่บ้านใหญ่แห่งนี้เองก็ถูกสร้างขึ้นเพราะโบสถ์แห่งนี้เอง ก่อนที่เวลาจะไหลไป... และทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนสถานรักษาที่มีผู้เชื่อมาปฏิบัติตน แม้ไม่มีผู้ใดจุดเทียนกราบไหว้สิ่งใดอีกต่อไป
นักบวชโค้งศีรษะเล็กน้อย... ท่าทางของเขาสุภาพเกินพอดี ราวกับคนที่คุ้นชินการคำนับให้บางสิ่งอยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขายังคงเคารพเพราะศรัทธา—หรือแค่เคยชินกับการความกลัว ว่าวันที่เขาวางความเชื่อลง โลกจะไม่ให้อภัยเขาเมื่อตายไป
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงสุภาพ
“ท่านอัศวิน(เซอร์ไนท์)... เราดีใจที่ท่านคืนสติ วิญญาณของท่านนั้นไม่เคยหลุดจากพวกเรา ทุกคนคอยสวดภาวนาว่าวันหนึ่งท่านจักฟื้นขึ้น”
สำเนียงผู้ดีอังกฤษทำให้ฟังยากประหนึ่งรับชมบทละครโบราณ แต่สมองฉันกลับแปลมันได้ราวกับเกิดโตด้วยภาษาเดียวกัน
ฉันนิ่วหน้าขณะเอ่ยถามเขา
“คุณ... เรียกผมว่าอะไรนะ?”
นักบวชชะงักเล็กน้อย ราวกับไม่เข้าใจคำถาม
“ต้องอภัยด้วยท่านเซอร์ 'คุณ' คำนี้ข้าไม่คุ้นนัก มัน... แปลว่าอะไรรึท่าน พวกข้าใช้ชีวิตในบ้านนอกเช่นนี้ จึงไม่อาจเข้าใจคำศัพท์ของท่านผู้สูงศักดิ์ได้...”
‘แปลว่าต้องใช้คำว่า "ท่าน" แทน?’
สมองสรุปสถานการณ์อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดซ้ำ ดูเหมือนว่าการที่เคยจำลองสถานการณ์ต่างๆ จะไม่ได้เสียเปล่า
“ข้าหมายถึงท่าน... ท่านเพิ่งเรียกข้าว่าอะไร?”
“อ้อ! เอ่อ... หากข้าอาจกล่าวผิดไป ข้าต้องขออภัยด้วยท่านขุนนาง...”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อเอ่ยคำว่า ‘ขุนนาง’ ราวกับกลัวจะสะกิดสายตาใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในห้อง—ชาวบ้านไร่แถบนี้เชื่อว่าหากพูดถึงนักปกครองโดยไม่ผ่านพิธี อาจถูกสุ่มเรียกไปเกณฑ์แรงงานในเมืองหลวงเอลวาราธในทันที
“หลังจากท่านช่วยขับไล่มังกรที่มาโจมตีหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อสามปีก่อน ท่านก็สลบไป... พวกเราจึงทำได้เพียงคาดเดาว่าท่านน่าจะเป็นอัศวิน”
สามปี? ฉันหลับไปสามปี?
‘ไม่มีทาง เมื่อวานฉันเพิ่ง... ’
จู่ๆ ก็นึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมา ภาพที่ฉันนอนในห้องตัวเองกับน้องชาย
ฉันเห็นเขาร้องไห้ขณะที่พี่สาวอย่างฉันกำลังจะตาย เห็นเขาเผาร่างของฉันในงานศพ ก่อนจะเอากระดูกไปฝังไว้ในป่าหลังบ้าน
เป็นภาพที่ชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธ
แต่ฉันไม่ใช่ผู้หญิง เป็นผู้ชายไม่ต่างจากตอนนี้...
และไม่เคยมีน้องชาย มีเพียงพี่ชายสองคน...
ที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ภาพนั้นดูจริงเกินไป—แต่เพราะในภาพหนึ่งที่มีป้ายหลุมศพสลักชื่อลงไป ชื่อที่ดูคุ้นตาและคุ้นเคยอย่างน่าใจหาย แม้ฉันจะไม่เคยใช้มันมาก่อนก็ตาม
“... ไม่มีใครรู้ว่าท่านมีนามว่าอะไร ไม่มีญาติมาหา ไม่มีใครมาเยี่ยม... เอ่อ จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ถูกนัก มีหญิงสาวผู้หนึ่ง—เธอจะมาเยี่ยมท่านปีละครั้ง นั่งอยู่ตรงมุมนั้นเงียบๆ จนพลบค่ำ ก่อนจะจากไปเหมือนกันทุกปี”
การที่มีใครบางคนจะมานั่งอยู่ข้างเตียงของคนหมดสติสามปีโดยไม่พูดอะไร มันทำให้ดูน่ากลัวในบางแง่มุม
เขาพูดด้วยสีหน้าแปลกเล็กน้อยคล้ายยากจะอธิบาย
“เธอไม่เคยพูดอะไร ไม่เคยบอกชื่อเช่นกัน... อันที่จริงเมื่อเธอมาครั้งแรกข้าก็อยากจะลองถามดู แต่เวทมนต์มิติที่จู่ๆ ก็แยกออกนั้นน่าหวาดกลัวเกินกว่าคนธรรมดาอย่างเราจะกล้าลองดี...”
เขาเหลือบตามองมุมหนึ่งของห้องที่อยู่ไกลตัว
“... บางครั้งแค่ยืนอยู่ใกล้ก็มีความกลัวเหมือนจะถูกดูดเข้าไปได้ตลอดเวลา ไม่มีใครกล้ายืนตรงนั้นเลยจนทุกวันนี้”
ฉันฟังเขาพูดไปเรื่อยๆ แต่ในหัวฉันมีเสียงหนึ่งกระซิบว่า ‘นี่มันฝันรู้ตัวชัดๆ ’—แต่อีกเสียงก็แทรกทันทีว่า ‘ไม่มีฝันไหนเจ็บแบบนี้หรอกเจ้าบ้า”
ทุกอย่างมันชัดเกินไป ละเอียดเกินไป ถึงอย่างนั้นก็มึนงงราวกับโลกที่สร้างไว้ในหัวตอนฝันรู้ตัว แต่กลับรู้สึกแตกต่างจากทุกความฝันที่ผ่านมา
เพราะเมื่อฉันวางมือลงบนอกเบาๆ—ร่างกายตอบกลับเหมือนเส้นประสาททั้งร่างถูกปักเข็มเย็นเฉียบในชั่วพริบตา แล่นปราดลามไปถึงกระดูกอย่างฉับพลันจนเผลอกัดฟันแน่น
“อึก!”
“ทะ—ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?! พวกเราคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นพิษมังกรที่ไม่ยอมสลาย ข้าจะสั่งให้เพิ่มสมุนไพรในคืนนี้—”
“ไม่ต้อง” ฉันขัดเบาๆ เสียงนั้นหลุดออกมาห้วนและแข็งเกินคำสั่ง ราวกับมันไม่ได้พูดผ่านใจ แต่กระดูกซี่โครงที่ยังเจ็บนั้นเองเป็นคนพูดแทน
“ข้าแค่อยากอยู่เงียบๆ สักพัก...”
เสียงที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจจากความหงุดหงิดที่ซ้อนทับกันหลายตลบ ก็ได้กลายเป็นเสียงที่ดังพอจะกรีดความเงียบให้แสบหูผู้อื่น แม้ตัวเองจะยังไม่ได้ยินมันดีพอ
“ขอรับ... เช่นนั้นข้าจะสั่งให้พ่อบ้านนำอาหารมาให้ท่าน”
“ขอบคุณ” คำพูดสั้นๆ ได้ตอบกลับไปอย่างไม่เป็นตัวเอง
นักบวชโค้งศีรษะอีกครั้งแล้วเดินออกไป ทิ้งใหฉันอยู่เพียงลำพังกับเสียงลมหายใจตัวเอง
ฉันเอนหลังพิงไม้เก่า เสียงมันลั่นกร๊อบราวกับกำลังฝากน้ำหนักไว้บนโลกที่ยังไม่มั่นใจว่าจะยอมรับฉันจริงๆ หรือแค่กำลังใหฉันฝันตื่นหนึ่งที่พร้อมจะพังลงมากลางอากาศ
‘เผลอๆ นี่อาจเป็นแค่บทฝึกของร่างกายก่อนจะถูกปลุกขึ้นมาในโลกจริงด้วยซ้ำ”
คิดมากไปก็แค่ทำให้หิวน้ำเปล่า ฉันหันมองแล้วหยิบถ้วยน้ำข้างเตียงขึ้นมาช้าๆ เมื่อดื่มเสร็จก็เพิ่งนึกบางอย่างได้... หวังว่ามันจะไม่ใช่น้ำล้างตัว
‘แต่หลายอย่างมันก็แปลก ย้ายร่าง? ข้ามมิติ? แต่อาจไม่ใช่ฝัน.. ไม่สิ... ถ้าเป็นฝันก็ต้องแยกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว’
ถึงอย่างนั้น...
‘ในฝัน... แม้จะมีคนที่สามารถบอกตัวเองว่ากำลังฝันได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้อย่างแน่นอนเมื่อฉากในฝันนั้นเปลี่ยนไป เพราะฝันก็มีเสียงของมันเอง—เงียบแต่ดังกว่าเสียงของโลกจริง... แต่ถ้าโลกจริงมันไร้เหตุผลยิ่งกว่าฝัน... แบบนั้นฝันจะถือว่า 'จริงกว่า' ได้หรือเปล่า?’
ในตอนที่เถียงไร้เหตุผลกับตัวเองในหัว ฉันก็เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในโลกเดิมหากนี่ไม่ใช่ฝัน
เสียงถอนลมหายใจเบาฟังชัดเจนขึ้นในโบสถ์ร้างที่ไม่มีบทสวด
แล้วฉันก็พูดกับตัวเองช้าๆ ขณะจับผมหยักศกบนหัวเบาๆ
‘... เมื่อกี้น่าจะขอกระจกมาด้วย’
เคยมองวิวที่สวยกว่านี้ผ่านจอหลายครั้ง..แต่จอมันไม่เคยเย็นจนแตะแล้วผิวสั่น จอเคยพาฉันไปไกลแค่ไหนก็ได้... แต่ไม่เคยทำใหฉันกลัวว่าถ้าก้าวผิด ทุกอย่างจะพังลงมาทับตัวจริงๆ
มองรอบห้องที่ดูเหมือนเกมฉบับอังกฤษยุคโบราณ
“เคยจินตนาการไว้หลายแบบ... พอเจอจริงๆ กลับไม่เหมือนแบบที่เคยคิด”
เฮอะ เสียงสถบหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ฉันเคยฝันถึงการเปลี่ยนโลก... .แต่ตอนนี้โลกกลับเปลี่ยนฉันแทน—ตอนนี้แค่รู้ให้ได้ว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่าก็ยากเกินไป
ฉันนั่งมองแสงด้านนอกที่ไม่เปลี่ยนสีโดยง่าย มองอะไรเดิมๆ ที่ดูเหมือนถูกจัดไว้แล้ว
ไม่มีเสียงใหม่ ไม่มีคำถามใหม่ เพียงเหม่อมองแบบนั้น
ฉันไม่ได้เข้าใจโลกนี้เพิ่มขึ้นเลย... แต่ก็ยังไม่อยากลุกไปไหน
เพราะทันทีที่ลุก มันอาจเริ่มเรื่องทฉันไม่อยากรู้คำตอบ
แต่ในตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง
ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ฉันไม่รีบลุก
ไม่ใช่เพราะกลัวว่าใครจะอยู่หลังประตู
แต่เพราะฉันเพิ่งรู้ว่า... สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่ใครที่อยู่อีกฟากของประตู
...แต่คือความจริงที่ว่า พวกเขาทั้งหมดต่างคิดว่าเรารู้จักกันมาก่อน
ในขณะทฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรารู้จักกันจริงหรือไม่