ฉันไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่เพื่อให้รู้ว่าฉันคิดอย่างไรตอนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือเพียงฝันถึงมันอยู่ When the Dream Refused the End ไม่ได้ถามว่าความฝันคืออะไร — แต่มันถามว่า ถ้า “ความจริง” เองก็เริ่มหลอกเรา แล้วเรายังเหลือสิ่งใดให้เชื่ออีก? ฉันเพียงอยากฟังเสียงของใครสักคนที่ยังกล้าตั้งคำถาม แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบอยู่จริงก็ตาม
แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ยุคกลาง,ย้อนยุค,ปรัชญา,ผจญภัย,แอคชั่น,ต่อสู้,ตามหาความจริง,พระเอกเก่ง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฝันปฏิเสธจุดจบ (When the Dream Refused the End)ฉันไม่ได้เขียนเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่เพื่อให้รู้ว่าฉันคิดอย่างไรตอนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือเพียงฝันถึงมันอยู่ When the Dream Refused the End ไม่ได้ถามว่าความฝันคืออะไร — แต่มันถามว่า ถ้า “ความจริง” เองก็เริ่มหลอกเรา แล้วเรายังเหลือสิ่งใดให้เชื่ออีก? ฉันเพียงอยากฟังเสียงของใครสักคนที่ยังกล้าตั้งคำถาม แม้รู้ว่าไม่มีคำตอบอยู่จริงก็ตาม
อัศวินหนุ่มนาม อาเธอร์ ตื่นจากการหลับใหลสามปีในหมู่บ้านห่างไกล หลังจากเคยต่อสู้กับมังกรจนบาดเจ็บสาหัส—แต่เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ผู้คนต่างยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษผู้ขับไล่สัตว์ร้าย เขาเริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงของอดีตและโลกที่เขาไม่แน่ใจว่าคือ “ความจริง” หรือ “ความฝัน” ระหว่างทางเขาพบเหล่าผู้ร่วมชะตากรรม—นักพรต ผู้วิเศษ ตัวตลก ขุนนาง และผู้เตร็ดเตร่—แต่ละคนสะท้อนบาดแผล ความเชื่อ และอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน
เมื่อความทรงจำค่อย ๆ กลับมา อาเธอร์พบว่าตนเกี่ยวข้องกับการกบฏและสงคราม—ราชาแดนประจิม ผู้มีใบหน้าเหมือนเพื่อนในอีกโลกกลายเป็นศูนย์กลางของความคลุมเครือ ระหว่างศรัทธาในอุดมคติและการครอบงำของอำนาจ ทุกการพบพาคือการรื้อฟื้นคำถามว่า “เราเป็นใคร เมื่อความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ไม่อาจเชื่อถือได้?”
ในตอนจบ โลกแตกสลายไปพร้อมเส้นแบ่งของความจริงและความฝัน อาเธอร์ยืนอยู่ท่ามกลางซากสงครามโดยไม่อาจนิยามตนเองได้อีก เขาไม่ใช่ฮีโร่ ไม่ใช่กบฏ ไม่ใช่คนตื่นหรือคนฝัน—เขาอาจเป็นเพียงสิ่งที่หลงเหลือจากการเล่าเรื่องของผู้อื่นเท่านั้น
กาลครั้งหนึ่ง เคยมีตัวตลกอยู่ผู้หนึ่ง
เขาผู้ไร้นามปรากฏท่ามกลางหมู่ชน
ผู้คนเพียงเรียกเขาว่า “เจ้าผู้ทำให้หัวเราะได้เสมอ”
เขามักก้าวขึ้นกลางจัตุรัส
ปีนเก้าอี้ แกว่งกายประหลาด ดัดสำเนียงให้วิปลาส
ทุกคำพูดของเขาทำให้ใครบางคนขบขัน และทำให้ใครอีกหลายใจรู้สึกโล่งคลา
เสียงหัวเราะของเขาทำหน้าที่คล้ายกำยาน
ทำให้ทุกสิ่งเบาลงชั่วครู่
ทุกสิ่งนั้นรวมถึงความคิด และอัตตา
ทว่า ในวันหนึ่ง เขาได้หายตัวไป
มิได้บอกลา
มิได้ฝากถ้อย
ไม่มีใครเอ่ยถาม... ว่าเขาจากไปแห่งหนใด
———
กาลล่วงหลายปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านช่างตีเหล็กวัยกลางคนที่กำลังยืนหน้าโรงตีเหล็กริมธารา เขาหยุดมอง แล้วเอื้อนถามว่า
“ท่านไม่เคยหัวเราะบ้างรึ?”
บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้น เผยใบหน้าไร้ร่องรอยรื่นรมย์
ดวงเนตรสงบนิ่งดุจค้อนในหัตถ์
“เคย” เขาตอบ
“ครั้งนั้น ข้าเพียงเห็นว่าเสียงขบขันช่วยให้คนเข้าใจโลกได้ง่ายขึ้น”
“แล้วบัดนี้เล่า?” เด็กถามต่อ
บุรุษมิได้ตอบทันที
เขายกเหล็กแดงขึ้นวางบนทั่ง
ฟาดลงด้วยค้อน
เสียงนั้นหนักหน่วงจนเด็กสะดุ้ง
“บัดนี้ ข้าเพียงเห็นว่า คนเราควรเงี่ยหูฟังเสียงของเหล็กบ้าง
มันไม่ตลก ไม่ช่วยให้ใจเบา แต่แท้เกินกว่าจะหัวเราะทับ”
เด็กคนนั้นยืนนิ่ง
ก่อนจะถามด้วยความอยากรู้ตามประสา
“เสียงที่แท้จริงอย่างท่านว่า มันคือเสียงของสิ่งใด?”
ช่างคนนั้นหยุดตี
หันพักตร์จ้องมองเข้าไปในตาของเด็กหนุ่ม แล้วจึงเอ่ย
“เสียงของสิ่งที่ไม่มีผู้ใดยอมพูด เพราะไม่มีใครอยากเป็นผู้กล่าวมันคนแรก”
“... เช่นสิ่งใด?”
“เช่นว่า —
ผู้ใหญ่หลายคนเลือกยิ้มเพราะกลัวจะถูกซักถาม
คนส่วนใหญ่เชื่อสิ่งใดก็ตามที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความรับผิด
และมีหลายเมืองที่บรรจงสร้างเสียงหัวเราะขึ้น เพื่อดับเสียงร่ำไห้ให้สูญสิ้น”
เด็กหนุ่มเงียบงันไม่เอื้อนถ้อยวจี
ไร้สิ้นคำถามลอดจากริมฝีปาก
เขามิอาจเข้าใจสิ้นทั้งปวง
แต่รู้สึกได้ว่าคำพูดเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องถูกเข้าใจในยามนี้
เขารู้เพียงว่า...
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เสียงค้อนของช่างตีเหล็กในเมืองนี้
ไม่อาจฟังดังเดิมได้อีกเลย