เรื่องราวของเด็กสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่หลงใหลในเวทมนตร์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคณะเหล่านักเวทย์มาแวะพักที่หมู่บ้านของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปแอบดูพวกเขาอยู่ไกลๆจนกระทั่ง...
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ตะวันตก,ผจญภัย,แอคชั่น,แม่มด,พ่อมด,เวทมนต์,เวทมนตร์,แฟนตาซี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทเพลงเวทมนตร์อัสดงเรื่องราวของเด็กสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่หลงใหลในเวทมนตร์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคณะเหล่านักเวทย์มาแวะพักที่หมู่บ้านของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปแอบดูพวกเขาอยู่ไกลๆจนกระทั่ง...
ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้รอบโต๊ะไม้ ภายในบ้านของท่านเหล่าเฟย์ ข้าง ๆ มีโซร่าและอตโต้นั่งอยู่ด้วย บรรยากาศอบอุ่นจากแสงตะเกียงน้ำมันทำให้ทุกอย่างดูสงบ แต่หัวใจของข้ากลับเต้นแรงไม่หยุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เรียนเวทมนตร์จริง ๆ เสียที
“ก่อนอื่นก็ต้องทำพิธีแลกเปลี่ยนก่อนใช่ไหม? ถ้าจะทำกันตรงนี้เลยให้พวกเราไปรอข้างนอกดีกว่าไหมท่านอาจารย์?”
อตโต้พูดขึ้น ข้าหันไปมองท่านเหล่าเฟย์ด้วยความงุนงง ‘พิธีแลกเปลี่ยน?’
“ไม่ต้องหรอก นางไม่จำเป็นต้องทำพิธีแลกเปลี่ยน ตอนนี้โคลเอ้สามารถใช้เวทมนตร์ได้แล้ว”
คำพูดนั้นทำให้โซร่าถึงกับเลิกคิ้ว
“นางเป็นแม่มดหรือครับ?”
“เปล่า เอาไว้จะอธิบายทีหลัง”
ข้าที่นั่งฟังอยู่ทนไม่ไหว ความสงสัยมันพองเต็มอกจนต้องปากถามออกไปตรงๆ
“เอ่อ…พวกท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือคะ?”
ท่านเหล่าเฟย์เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองข้าด้วยแววตาอ่อนโยน
“โคลเอ้ เธอเคยได้ยินมาว่าการจะใช้เวทมนตร์ได้จำเป็นต้องเป็น ‘ผู้ถูกเลือก’ ใช่ไหม?”
“ค่ะ…”
“แล้วเธอยังจำก่อนหน้านี้ที่อตโต้เล่าให้ฟัง ว่าในอดีตมนุษย์เราเคยใช้เวทมนตร์กันได้เป็นเรื่องปกติใช่ไหม?”
“จำได้ค่ะ”
“เธอรู้สึกไหมว่าเรื่องเหล่านี้มันมีความขัดแย้งกันแปลกๆ อยู่”
“จะว่าไปมันก็….”
ท่านเหล่าเฟย์ยิ้ม แล้วเล่าให้ฟังต่อ
“ความจริงแล้วเวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องยากขนาดนั้น…”
“เวทมนตร์เป็นสิ่งวิเศษ แต่ก็เหมือนดาบสองคมหากถูกใช้ในทางที่ผิด…”
ข้าเม้มปากแน่นและพยักหน้าเบา ๆ
“เพราะแบบนั้น หลังสงครามครั้งใหญ่ เวทมนตร์จึงถูกจำกัด จนเหลือผู้ใช้เพียงหยิบมือในปัจจุบัน… เอาไว้วันหลังข้าจะเล่าให้ละเอียด”
ท่านเหล่าเฟย์ก้มลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ฟังให้ดีนะโคลเอ้ ตั้งแต่นี้ไปคือความลับของเหล่านักเวทย์ มนุษย์สามารถใช้เวทมนตร์ได้ด้วยวิธีเพียงสองทาง”
ข้ากลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนกำลังจะได้ยินอะไรที่สำคัญมาก ๆ จนบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“วิธีแรก คือผ่านพิธีหนึ่งที่เรียกว่า พิธีแลกเปลี่ยน มนุษย์จะได้พลังเวทย์โดยสละอวัยวะประสาทสัมผัสหลักหนึ่งอย่าง”
ข้าเบิกตากว้างทันที รู้สึกได้ถึงหูบนหัวที่ลู่ลงโดยไม่ตั้งใจ
“อะ…อวัยวะที่เป็นประสาทสัมผัส…หรือคะ?”
“ใช่ ดวงตา หู ลิ้น จมูก แขน หรือขา เมื่อแลกเปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์ธรรมดาจึงจะเปิดใช้วงแหวนเวทมนตร์ด้วยตนเองได้”
ข้าเหลือบตามองไปรอบ ๆ พี่โซร่ากับพี่อตโต้ก็นิ่งขรึม สีหน้าไม่มีใครเหมือนล้อเล่นแม้แต่น้อย ข้าจึงเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมพี่อตโต้ถึงพูดจะออกไปรอนอกบ้าน ถ้าพิธีนั้นต้องทำจริง ๆ ข้าคง… ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าจะดูเป็นยังไง
หัวใจข้าเย็นวาบ รู้สึกช็อคเหมือนโลกที่เคยสวยงามถูกกระชากผ้าคลุมออกจนเห็นเงาดำที่ซ่อนอยู่ เวทมนตร์ที่ข้าใฝ่ฝันมาตลอด ที่แท้กลับมีราคาที่โหดร้ายถึงเพียงนี้…
“เมื่อพิธีเสร็จสิ้น อวัยวะที่เสียไปจะกลายเป็นแร่ชนิดพิเศษเหล่าผู้คุมที่ทำพิธีจะสร้างอวัยวะเทียมจากมันและเชื่อมให้กับคนที่เข้ารับพิธี เธอจะสามารถใช้งานอวัยวะส่วนนั้นได้แต่จะไร้ความรู้สึกไปตลอดกาล”
“วิธีที่สอง คือสืบสายเลือดโดยตรง”
เสียงท่านเหล่าเฟย์ดึงข้ากลับจากความคิดฟุ้งซ่าน ข้าพยายามตั้งสติฟังต่อ
“หากนักเวทย์สองคนตกหลุมรักและมีบุตรด้วยกัน เด็กคนนั้นจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านพิธี เราเรียกคนเหล่านั้นว่า พ่อมด หรือ แม่มด”
มือใหญ่ของท่านเหล่าเฟย์วางลงบนศีรษะข้าเบา ๆ ความอบอุ่นนั้นไล่ความกังวลออกไปจนใจข้าค่อยสงบลง
“แต่เธอไม่ต้องห่วง ตอนนี้เธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราข้ามเรื่องนี้ไปก่อน มาลองดูบทเรียนแรกกันดีกว่า”
ข้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้าหนักแน่น ใช่แล้ว… ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมัวกังวล ข้าต้องมีสมาธิกับสิ่งตรงหน้าก่อน
ท่านเหล่าเฟย์ก้มหน้าจุ่มปากกาลงในหมึก เขียนวงกลมกว้าง ๆ ลงบนแผ่นกระดาษตรงกลางโต๊ะ
“〇 นี่คือ วงแหวน”
เขากล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะเขียนเส้นขีดและสัญลักษณ์ต่างๆ มากมายที่ข้าไม่รู้จักในนั้น
“Џ นี่เรียกว่า อักขระ ใช้เพิ่มรายละเอียดของเวทมนตร์"
"ᚾ นี่คือ รูน กำหนดเป้าหมายของเวทมนตร์"
"→ นี่คือ ลัญจิต เอาไว้บอกทิศทาง"
"🜃 และนี่คือ ลัญจกรธาตุ กำหนดว่าเวทมนตร์ที่ใช้จะเป็นธาตุใด”
ข้าจ้องกระดาษตรงหน้าด้วยตาโต ทุกเส้นสายเต็มไปด้วยความหมายที่ข้าเพิ่งรู้จัก
“เมื่อทั้งหมดถูกรวมไว้ในวงกลมเดียวกัน— เราจะเรียกสิ่งนั้นว่า วงแหวนเวทมนตร์”
คำพูดของท่านเหล่าเฟย์ทำให้ข้าขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ขณะที่ท่านเหล่าเฟย์ก้มหน้าก้มตาเขียนวงแหวนกับเส้นสัญลักษณ์ต่างๆ พร้อมอธิบายเสียงเรียบนุ่ม ข้าก็ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่…อย่างน้อยก็พยายามเต็มที่ แต่เส้นมากมายที่บิดไปบิดมาเหมือนกำลังเต้นระบำบนกระดาษ ทำให้สมองข้าร้อนจี๋เหมือนถูกต้มน้ำจนเดือด
“ท่านอาจารย์ครับ…”
เสียงโซร่าทำลายความเงียบขึ้นมา
แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเจือเย้าของอตโต้
“ดูเหมือนยัยติ๊งต๊องจะถึงขีดจำกัดแล้วละมั้งครับ”
นิ้วของเขาชี้มาที่ข้าตรงๆ
ข้าเบิกตากว้างก่อนจะตระหนักได้ว่า…จริงด้วย ดวงตาข้ากำลังหมุนติ้วเหมือนลูกข่าง และรู้สึกว่ามีควันพวยพุ่งออกจากหัวจริงๆ เสียด้วยสิ
ท่านเหล่าเฟย์หันมามองข้าก่อนจะยิ้มแห้งๆ พลางใช้นิ้วชี้เกาแก้ม
“เอิ่ม…เธอไหวไหมโคลเอ้?”
ข้ารีบสะบัดหัวเรียกสติกลับมาแล้วพูดเสียงดัง
“ขะ.. ข้าขอโทษค่ะท่านเหล่าเฟย์! ข้าจะตั้งใจมากกว่านี้!”
ท่านเหล่าเฟย์หัวเราะเบาๆ
“ไม่เป็นไรๆ ฉันผิดเองที่เร็วไป ช่วงแรกมันก็ดูยุ่งยากอย่างนี้แหละ”
“<ฮ่าๆ> เห็นไหมล่ะท่านอาจารย์ ข้าบอกแล้วว่ายัยนี่ติ๊งต๊องจะตาย ดูหน้าที่นางทำเมื่อครู่นี้สิ ฮ่าๆ” อตโต้แหย่ไม่หยุด
ข้าหันควับไปมองค้อนใส่เขาทันที กอดอกพองแก้ม
<แอ๊ก!>
เสียงเขกหัวดังสนั่น อตโต้สะดุ้งโหยง ท่านเหล่าเฟย์เก็บนิ้วชี้กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ข้าแอบยิ้มสะใจในใจนิดๆ
“อืม แต่ก็นั่นสินะ…”
ท่านเหล่าเฟย์หันกลับมาหาข้าพลางลูบขางไปมาอย่างนึกคิด
“เอาแบบนี้แล้วกัน โคลเอ้ เธอเขียนหนังสือเป็นใช่ไหม?”
“ค่ะ”
ข้าพยักหน้าแรงๆจากนั้นท่านเหล่าเฟย์ก็ก้มลงมากระซิบใกล้หูข้า เสียงนุ่มๆ ทำเอาหูของข้ากระดิกวูบไปมาโดยไม่ตั้งใจเพราะจั๊กจี้
“เขียนว่า ‘ช่วยหยิบแก้วน้ำให้หน่อย’ ดูสิแล้วส่งให้อตโต้ดูสิ”
ข้าก้มหน้าลง เขียนประโยคสั้นๆ นั้นลงบนกระดาษแล้วชูให้อตโต้ดู
อตโต้ขมวดคิ้วมึนงง แต่ก็ลุกขึ้นไปหยิบแก้วน้ำมาวางตรงหน้าเราโดยไม่พูดอะไร
ข้ากะพริบตาปริบๆ มองแก้วน้ำที่วางตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองท่านเหล่าเฟย์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“นั่นล่ะคือเวทมนตร์ โคลเอ้”
“สิ่งที่เธอทำไปเมื่อครู่ ก็คือหลักการเดียวกับการเขียนวงแหวนเวทย์เลย”
หัวใจข้าเต้นตึกตัก ร่างกายแข็งค้างไปสักครู่ ก่อนที่ปากจะอ้าออกช้าๆ แล้วร้องออกมา
“อ๋ออออ!”
หูทั้งสองข้างชี้ตรงขึ้น หางก็ฟาดไปมาด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเข้าใจแล้ว! การเขียนวงแหวนเวทย์มันก็เหมือนกับการเขียนประโยคนี่เอง!”
“ถูกต้อง”
ท่านเหล่าเฟย์พยักหน้า ยิ้มอ่อน
“วงแหวนเวทย์ก็เปรียบเสมือนประโยคที่เราสื่อสารให้เหล่า 'ธาตุต้นกำเนิด' เข้าใจว่า จะให้พวกเขาทำอะไร ปรากฏออกมาแบบไหน…นั่นคือหน้าที่ของวงแหวนเวทย์”
ข้าฟังตาโตเป็นประกาย ความรู้สึกเหมือนได้ค้นพบโลกใบใหม่ที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง แต่แล้วข้าก็เอียงคอ สงสัยขึ้นมาอีกจนได้
“แต่ว่า…ท่านเหล่าเฟย์ ข้าสงสัยค่ะ ถ้าเช่นนั้นทำไมเราไม่เขียนเป็นประโยคภาษาตรงๆ ไปเลยล่ะ แบบนั้นมันเข้าใจง่ายกว่ามากไม่ใช่หรือคะ?”
ท่านเหล่าเฟย์ส่ายหน้าเบาๆ
“เพราะเหล่า 'ธาตุต้นกำเนิด' ไม่เข้าใจภาษามนุษย์นะสิ”
เขาผสานมือและใช้คางเกยเงยมองข้า
“พลังงานต่างๆ บนโลกนี้คงอยู่ด้วยคลื่นความถี่ ตั้งแต่อากาศที่เรามองไม่เห็น เสียงที่เราเปล่ง น้ำ เงิน โต๊ะ บ้าน หรือแม้แต่ตัวเธอเองก็เช่นกัน”
“แน่นอนว่าอักขระ รูน สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ทุกเส้นขีดต่างก็มีคลื่นความถี่ของมันเอง และเพราะแบบนั้นเราจึงค้นพบวิธีใช้มันประกอบกันจนเปลี่ยนเจตจำนงของเราให้กลายเป็นคลื่น ส่งให้พวกเขารับรู้ได้สำเร็จ”
เขาหยุดพักหายใจช้าๆ ก่อนจะยิ้มบางให้ฉันอีกครั้ง
“นั่นล่ะคือเวทมนตร์ โคลเอ้”
ข้านั่งนิ่ง หางแกว่งไปมาไม่หยุดด้วยความเร็ว…แต่ข้าไม่คิดจะห้ามมันแล้ว
โซร่ามองข้าด้วยสายตาแบบแปลกๆ เหมือนกำลังสงสัยว่าทำไมข้าถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ เขาใช้มือเกาหลังหัวตัวเอง
“<หาวว> ท่านอาจารย์ครับ…ข้าขอตัวไปทดสอบเวทย์ใหม่ต่อแล้วกันนะครับ”
โซร่าพูดพลางหาวขึ้นบันไดไป
“ยัยนี่คงจะใช้เวลานานกว่าที่คิด ข้าขอตัวไปฝึกต่อล่ะ”
อตโต้ลุกตามออกไปบ้างเหลือเพียงความเงียบและความรู้สึกตื่นเต้นที่ปนกับความกังวล เหล่าเฟย์มองฉันด้วยสายตาใจดีเข้าลูบหัวข้าไปมา รู้สึกพักหลังมานี้ข้ามักจะถูกลูบหัวบ่อยจัง...
“เอาล่ะ ทีนี้เธอลองเขียนวงแหวนเวทย์ตามนี้ดู”
เขาเปิดหน้าหนังสือให้ข้าเห็น วงเวทย์วงหนึ่ง มันถูกวาดไว้อย่างเรียบร้อยและไม่ค่อยมีลวดลายซับซ้อนมากนักแล้วยื่นปากกาพร้อมหมึกให้ ข้ารับมา ก้มมองหน้ากระดาษเปล่ารู้สึกถึงหูบนหัวลู่ตกอย่างลังเล
“เอ่อ…ให้ข้าเขียนเต็มรูปแบบเลยหรือคะ?”
“อื้อ ทำไมหรอ?”
“ข้าไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้มาก่อนเลย…มันคงจะออกมาไม่ดีแน่ๆ …”
“<ฮะๆ >ไม่ต้องกังวลหรอกโคลเอ้ ขอแค่เธอเริ่มเขียนฉันรับรองมันจะออกมาดีแน่นอน”
“แต่ว่า…”
เขาลูบหัวฉันเบาๆ อีกครั้งแล้วพูดต่อ
“อย่ามัวแต่ไปคิดว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี ถ้าเธอไม่ลงมือทำ เธอจะไม่มีวันรู้ว่าอะไรควรแก้ไขจริงไหม?”
ข้าสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง กำปากกาแน่นแล้วก้มลงจดจ่อกับกระดาษตรงหน้า เส้นวงกลม อักขระและสัญลักษณ์ถูกเขียนออกมาอย่างสั่นๆ และบิดเบี้ยว แต่อย่างน้อยก็มีรูปร่างคล้ายต้นแบบตามที่ข้าเห็น
<แกร๊ก… แกร๊ก… >
"เสร็จแล้วค่ะ!”
เหล่าเฟย์มองแล้วพยักหน้า
“อื้ม ถือว่าใช้ได้เลย”
เขาลูบหัวข้าเบาๆอีกครั้ง... ขณะที่หางของข้าส่ายไปมาไม่หยุด ข้าจ้องวงเวทย์ที่ตัวเองเขียนเสร็จแต่...มันไม่เห็นมีอะไรออกมาเลย?
“ข้าวาดเสร็จแล้ว…แต่ทำไมยังไม่มีเวทมนตร์ออกมาล่ะคะ?”
“ขั้นตอนสุดท้าย…ให้เธอคิดภาพหินก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือวงเวทย์นี้ แล้วใช้นิ้วแตะลงไป—”
ข้าหลับตา จินตนาการหินก้อนหนึ่งลอยเหนือวงเวทย์ตามที่เขาบอก สัมผัสมืออุ่นๆ ของท่านเหล่าเฟย์จับมือข้าแล้วพาไปวางบนวงแหวน
<ฟู่…>
เสียงบางอย่างดังขึ้น เหมือนทรายหรือดินหลอมรวมกัน
ข้าลืมตา…ตรงหน้า! หินก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือวงเวทย์เหมือนในจินตนาการของข้า แต่รูปร่างบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“ท่านเหล่าเฟย์!”
ตาข้าโตลุกวาวทันที นี่มัน....เหมือนกับที่ข้าเคยเห็น!
“อื้ม! สำเร็จแล้วนะ!” เขายิ้มตอบ
หัวใจข้าเต้นรัว หูและหางตั้งขึ้นชูไม่ยอมลง
“อย่างที่ฉันบอก วงแหวนเวทย์จะแปลงเจตจำนงของเธอให้เป็นคลื่น มันจะสมบูรณ์ไม่ได้เลย หากเธอไร้ซึ่งความคิดและจินตนาการ”
ฉันยังไม่อยากละสายตาจากหินก้อนนั้น
“นี่คือเวทมนตร์…สุดยอดไปเลย…”
แต่ทันทีที่เอานิ้วออกจากวงเวทย์เมื่อจะไปจับหินก้อนนั้นมาดู หินก็ตกลงบนโต๊ะ ดัง <ปัก!>
ข้ามองตาปริบๆ ก่อนจะเอื้อมตัวไปจับมัน รู้สึกถึงความหนักและผิวสัมผัสขรุขระ... มันคือหินจริงๆ ทุกประการ
“ระวังด้วยล่ะ ทันทีที่เธอหลุดสมาธิ สิ่งที่เสกขึ้นมาจะกลับเข้าสู่วงจรของธรรมชาติทุกประการ จากที่ลอยอยู่ได้จะถูกแรงน้วมถ่วงทำให้หล่นได้เป็นปกติ”
“เรามาต่อกันเลยไหม?”
“ค่ะ!”
----------------------------------------------------------------------
ท่านเหล่าเฟย์สอนข้าจนถึงหัวค่ำ อตโต้กลับเข้ามาในบ้านทำให้ท่านเหล่าเฟย์รู้สึกตัวว่าถึงเวลาที่ควรจะพักได้แล้ว
ข้าวก้าวขึ้นบันไดไม้ไปชั้น 2 ของบ้าน ท่านเหล่าเฟย์บอกให้ไปพักผ่อนล้างหน้าล้างตาพักผ่อนก่อนหลังจากเล่าเรียนมาทั้งวัน เขาจะเก็บข้าวของแล้วทำอาหารเย็นให้ และพอเสร็จเขาจะเรียก
ข้าเดินไปตามทางเดิน มองไปรอบๆ ห้องทั้งหมดเรียงรายอยู่ตามสองฝั่ง ดูภายจากภายนอกบ้านหลังนี้ไม่น่าจะกว้างขนาดนี้ได้ นี่คงจะเป็นเวทมนตร์อะไรสักอย่างแน่ๆ
ข้าจำได้ว่าเขาบอกว่าห้องข้าอยู่สุดทางเดิน แต่พอถึงตรงนั้น…ก็เจอประตูอยู่สองบาน ข้าจำไม่ได้ว่าห้องตัวเองอยู่ฝั่งไหน เลยตัดสินใจเปิดแบบสุ่มๆไป
ข้าเลือกเปิดประตูฝั่งขวา…
ประตูเปิดออก ข้าแทบอ้าปากค้าง เด็กชายคนหนึ่งอยู่ภายในห้อง และที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขากำลังเปลือยครึ่งท่อนอยู่! ทำไมถึงมีคนอยู่ในห้องข้าได้?! ไม่สิข้าเปิดผิดห้อง!!
ข้าแทบไม่รู้จะทำยังไง รีบยกมือปิดหน้าแต่...นิ้วมือยังกางออกให้ตาเห็นอยู่ หูและหางของข้าตั้งชูด้วยความตกใจ ส่วนเด็กชายก็จ้องกลับนิ่ง…ไร้อารมณ์
เราจ้องกันอยู่ชั่วครู่จนเขาเริ่มพูด
“ปิดแบบนั้นไม่ต้องปิดก็ได้"
“เอ๋…อะ…เอ่อ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
"แล้วนั่นจะจ้องอีกนานไหม?”
“ประตู…”
“ห๊ะ?”
“ปิดประตูสิ…”
“อะ…เอ้อ! จริงด้วย!”
ประตูปิดลง แต่หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด ไม่นานนัก ประตูก็เปิดอีกครั้ง คราวนี้เด็กชายผมดำกระเซอะกระเซิงคนนั้นเดินออกมาด้วยชุดเรียบร้อย เขาตัวสูงกว่าเล็กน้อย ดวงตาสีดำลึกเหมือนสีผม ใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์
ข้ามองเขาแล้วไม่อาจเดาได้เลยว่าเขาโกรธอยู่ไหม...แต่น่าจะโกรธแหละ...
“ขะ…ข้า ขอโทษด้วย…เรื่องเมื่อครู่”
เด็กชายไม่ตอบอะไร แค่จ้องกลับเหมือนจะสำรวจตัวข้าอยู่ทุกนิ้วทุกมุม
“กึ่งมนุษย์?”
"ไม่ใช่ ข้าเป็นมนุษย์"
“ช่างเถอะแล้ว...เธอเป็นใคร?”