เรื่องราวของเด็กสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่หลงใหลในเวทมนตร์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคณะเหล่านักเวทย์มาแวะพักที่หมู่บ้านของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปแอบดูพวกเขาอยู่ไกลๆจนกระทั่ง...

บทเพลงเวทมนตร์อัสดง - ตอนที่ 2 เจ้า...เป็นกึ่งมนุษย์? โดย Aesmech @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ตะวันตก,ผจญภัย,แอคชั่น,แม่มด,พ่อมด,เวทมนต์,เวทมนตร์,แฟนตาซี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บทเพลงเวทมนตร์อัสดง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ตะวันตก,ผจญภัย,แอคชั่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แม่มด,พ่อมด,เวทมนต์,เวทมนตร์,แฟนตาซี,ผจญภัย

รายละเอียด

บทเพลงเวทมนตร์อัสดง โดย Aesmech @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เรื่องราวของเด็กสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่หลงใหลในเวทมนตร์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคณะเหล่านักเวทย์มาแวะพักที่หมู่บ้านของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปแอบดูพวกเขาอยู่ไกลๆจนกระทั่ง...

ผู้แต่ง

Aesmech

เรื่องย่อ

สารบัญ

บทเพลงเวทมนตร์อัสดง-ตอนที่ 1 ข้าชอบเวทมนตร์,บทเพลงเวทมนตร์อัสดง-ตอนที่ 2 เจ้า...เป็นกึ่งมนุษย์?,บทเพลงเวทมนตร์อัสดง-ตอนที่ 3 บทเรียนแรก

เนื้อหา

ตอนที่ 2 เจ้า...เป็นกึ่งมนุษย์?

แสงแดดยามเช้าทาบลงบนผืนดินอันเงียบสงัด ข้ายืนข้างท่านเหล่าเฟย์ตรงหน้าแถวหลุมศพเรียงราย กลิ่นควันไฟจากเมื่อคืนยังลอยคลุ้งในอากาศ ลมพัดแผ่วพาเข้ามาแตะจมูก ข้าก้มหน้าลงจนผมปิดบังดวงตา

‘พ่อ… แม่… ทุกคน… ขอโทษจริง ๆ ยกโทษให้ข้าด้วยนะ…

 หัวใจข้าสั่นพร่าเหมือนจะหลุดออกมา แล้วก็… ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้ข้ามีวันนี้ ต่อไปนี้… ข้าจะใช้ชีวิตในส่วนของพวกท่าน ได้โปรดอวยพรให้ข้าด้วย’

มือใหญ่ของท่านเหล่าเฟย์วางลงบนไหล่เล็ก ๆ ของข้าโดยไม่พูดอะไร แม้ไม่ต้องเอ่ยวาจาใดๆ ข้าก็รู้ว่าเขากำลังบอกให้ข้าก้าวต่อไป

เมื่อทำความเคารพเสร็จ เขาอุ้มข้าขึ้นในอ้อมแขน ข้ายังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกถึงแรงสั่นเบา ๆ ตอนที่เขาเคาะส้นเท้าสองครั้ง แสงเวทย์สีขาวนวลส่องสว่างขึ้นแล้วเริ่มมีลมพวยพุ่งออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา ร่างเราทั้งคู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นจากพื้น

“ว๊าย!” 

ข้าร้องเสียงหลง รีบคว้าเสื้อของเขาแน่นจนมือสั่น หัวใจเต้นแรงราวกับกลอง

“เกาะไว้ดี ๆ นะ” 

เขาบอกเสียงนุ่ม ข้าหายใจถี่ ๆ ไปพักหนึ่ง แต่เมื่อเงยหน้ามองลงไปข้างล่าง ความกลัวก็เริ่มหายไปทีละน้อย หมู่บ้านที่เคยคุ้นเหลือเพียงจุดเล็ก ๆ แม่น้ำสายยาวทอดโค้งเหมือนริบบิ้นสีเงิน ทิวเขาไกลโพ้นซ้อนทับกันสวยงาม เหล่าวิหคหกปีกบินขนาบข้างเหมือนภาพฝัน

“สวยจัง…” 

ข้าเผลอพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“พวกเรากำลังไปไหนกันหรือคะ?” 

ข้าถามพลางกอดเขาแน่นเพราะลมแรง ท่านเหล่าเฟย์เหลือบตามามองข้าแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้ 

“เราจะไปที่บ้านของฉัน… หากจะสอนเวทมนตร์ให้เธอที่นั่นคือที่ที่ดีที่สุด”

------------------------------------------------------------------------------

เราแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ระหว่างทาง ท่านเหล่าเฟย์บอกว่าจะหาชุดใหม่ให้ ข้าเลยได้เสื้อผ้าเรียบง่ายสีขาวสะอาดมาใส่แทนอันเก่าที่ขาดไป กลิ่นผ้าสดใหม่ยังติดอยู่ให้ความรู้สึกเหมือนชุดที่แม่เคยตัดให้ข้าใหม่ๆ เลย มันเป็นชุดผ้าชั้นดีเพียงแต่…

“มันดู….แปลกๆ ไปหน่อยเนอะ…”

“ค่ะ…”

ด้วยความที่ข้ามีก้อนพวงขนงอกออกมาตรงก้นกบด้านหลังทำให้ชุดผ้ายาวที่ข้าสวมอยู่ตอนนี้บริเวณหลังมันตุงยื่นออกมาจนตลก มันน่าขำจนถึงขนาดที่ท่านเหล่าเฟย์ยังอดกลั้นขำไม่ได้

สุดท้ายข้าเลยขอยืมมีดที่ท่านเหล่าเฟย์พกติดตัวมา กรีดบริเวณด้านหลังชุดเป็นทางยาวเล็กน้อยพอให้หางของข้า? มันลอดผ่านออกไปได้

หลังจากจัดการเรื่องชุดเสร็จ เขาพาข้าบินไปบนอากาศอีกครั้งเราเดินทางต่อจากเดิมไม่นานนัก ดวงตาของข้าก็สะดุดกับบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนิน โอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีไกลสุดสายตา หลังคากระเบื้องสูงใหญ่ดูน่างดงามและน่าอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ตัวบ้านสร้างจากอิฐ และไม้ใหญ่โตพอสมควรดูท่าทางจะมีหลายห้องอยู่ภายในเป็นแน่

เมื่อพวกเราลงจอดตรงหน้าประตูไม้บานหนา ข้าได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังจนแทบกลบเสียงลม ท่านเหล่าเฟย์เปิดประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด

“เข้ามาสิ ทำตัวตามสบาย เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมห้องให้”

ว่าเสร็จเขาก็เดินขึ้นบันไดไม้ไป ข้าพยักหน้าหงึก ๆ แล้วก้าวขาเข้าไปในบ้าน… ข้างในมีกลิ่นสะอาดจางๆ เต็มไปหมด กลิ่นสมุนไพร กลิ่นอาหารหอมกรุ่นจางๆ ลอยคลุ้งไปทั่วห้องใหญ่

รอบๆ เต็มไปด้วยของแปลกตามากมาย หนังสือตำราเรียงรายบนชั้นไม้ ขวดแก้วใส่น้ำสีเรืองแสง เครื่องมือเวทมนตร์ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนอีกมากมายเต็มไปหมด มันทำให้ข้าอยากจะจับทุกชิ้น แต่ก็ได้แต่เก็บมือไว้แนบลำตัวเพราะกลัวจะทำมันพัง

<ตึก…ตึก> ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเหมือนฝีเท้าคนจากด้านหลัง ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียง <ฟี้—> เหมือนเสียงลมหายใจของใครบางคนจากด้านข้างแต่ยังไม่ทันที่จะได้หันไปมอง

“เฮ้!”

“ว๊าย!”

ข้าสะดุ้งเฮือก จนก้อนพวงขนกลมๆ ที่เหมือนจะเป็นหางของสัตว์บางอย่างที่เพิ่งได้มาเผลอฟาดใส่ชั้นไม้จนข้าวของเกือบหล่น! ข้าเห็นเงาเด็กผู้ชายวิ่งพุ่งเข้ามารับของทันก่อนแตกละเอียด เราสองคนถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน

“ขะ…ข้าขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก ๆ” 

เขาหัวเราะเบา ๆ วางขวดแก้วในมือไว้บนโต๊ะข้างๆ

“ว่าแต่เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าชื่อโคลเอ้…”

“โอ้! ข้าชื่อ อตโต้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ!”

เด็กชายผมสีทับทิม ดวงตาสีม่วงไพลินยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะหรี่ตามองข้าใกล้ ๆ มือหนึ่งลูบคางเหมือนกำลังสำรวจตัวข้าอยู่

“ว่าแต่… เจ้า…เป็นกึ่งมนุษย์?”

“กึ่งมนุษย์? ....เปล่านะ ข้าก็เป็นมนุษย์นี่แหละ”

“แต่เธอมีหูกับหางของสัตว์นะ?”

ข้ามองไปทิศทางที่นิ้วของเขาชี้ ก้อนพวงขน…หางของข้า….กำลังส่ายไปมาอยู่โดยที่ข้าไม่รู้ตัว

<พับ พับ พับ>

เราทั้งสองดูมันส่ายไปมาโดยไม่มีใครพูดอะไร จนข้ารู้สึกตัวใบหน้าแดงวาบ รีบยกมือกุมหางของตัวเองด้วยความตกใจแม้จะใช้มือกุมมันไว้แล้วแต่มันก็ยังคงขยับอยู่โดยที่ข้าควบคุมมันไม่ได้ หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปเสี้ยววินาที แต่อตโต้กลับหัวเราะเสียงใส

“จะซ่อนทำไมกันล่ะ? ข้าไม่ได้รังเกียจกึ่งมนุษย์เสียหน่อย”

“เจ้าพูดกึ่งมนุษย์อีกแล้ว…มันคืออะไรกันแน่?” 

“หา? เจ้าไม่รู้จัก?”

 เขาทำตาโตอย่างกับไม่เชื่อสายตา 

“ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เป็นกึ่งมนุษย์เนี่ยนะ?”

“ข้าเป็นมนุษย์…”

ข้าก้มหน้างุนงง ไม่รู้จะตอบยังไงดี ได้แต่พูดเสียงเบาหวิว หูกับหางนี่ข้าเพิ่งจะมีเมื่อคืนนี้เอง…แถมเรื่องที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเล่าให้เขาฟังดีไหม…

“อืมๆ”

อตโต้พยักหน้าหงึก ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเลื่อนมือหาหนังสือเล่มหนึ่งจนเจอหยิบมันออกมาจากชั้นแล้วกางให้ข้าดู

------------------------------------------------------------------------------

ในอดีตเวทมนตร์เป็นที่แพร่หลายไม่ว่าใครต่างก็ใช้ได้กันทั้งนั้น ทำให้มนุษย์เรามีการสร้างสรรค์เวทมนตร์ไว้มากมาย เวทมนตร์ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เวทมนตร์ที่ช่วยให้ผู้คนหายเจ็บป่วยเอย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้เริ่มตั้งคำถามขึ้นมา 

‘ในเมื่อเราใช้เวทมนตร์ได้ แล้วสัตว์ต่างๆ ล่ะจะสามารถใช้ได้ไหม? หากพวกมันสามามารถใช้ได้เหมือนเราชีวิตของพวกมันคงดีขึ้นเหมือนเราจริงไหม?’ 

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นหายนะครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ

มนุษย์กลุ่มนั้นเริ่มทำการทดลองผสานเวทมนตร์ลงไปในสัตว์ต่างๆ เริ่มแรกเหล่าบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่ได้รับพลังเวทย์เข้าไปไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมาะสมกับมัน 

กระต่ายที่พ่นไฟได้ไม่สามารถทนรับผลจากความร้อนที่มันพ่นออกมาเองได้ เต่าที่บินได้ไม่สามารถทนรับแสงแดดที่มากเกินไปจากบนท้องฟ้าได้ สัตว์มากมายต่างต้องล้มตายอย่างเสียเปล่าจากการทดลองของพวกเขา

เหล่านักเวทย์ต่างสิ้นหวังและเริ่มที่จะปล่อยวางให้สัตว์เหล่านั้นคงอยู่ของมันอย่างที่ควรเป็นเสียดีกว่าจนกระทั่งมีนักเวทย์คนหนึ่งกล่าวขึ้น

‘แล้วถ้าเราจับพวกมันมารวมกันล่ะ?’ 

ประโยคนั้นทำให้ก่อกำเนิดเวทมนต์ใหม่ที่ใช้หลอมรวมสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกันและมันเป็นตัวจุดประกายไฟที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบไปตลอดกาล

‘ถ้าเราทำให้กิ้งก่ามีขนมันจะดูน่ากลัวน้อยลงไหมนะ?’ 

‘ถ้าเราทำให้สุนัขมีหูกระต่ายจะต้องน่ารักมากแน่ๆ’ 

‘ถ้านกมีปีกเพิ่มขึ้นล่ะจะบินเร็วขึ้นไหม?’ 

‘ถ้าม้ามีปีกติดอยู่กลางหลังจะเป็นยังไง?’ 

‘ถ้านกอินทรีผสมกับสิงโตจะเกิดอะไรขึ้น?’ 

‘ถ้าเราอยากสร้างสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นยังไงกันนะ?!’

จากความสร้างสรรค์สู่ความบ้าคลั่ง สัตว์แปลกประหลาดถือกำเนิดขึ้นมากมายจนบรรดาสัตว์ธรรมดาเกือบจะหายหมดไปจากโลก

แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

‘เราสามารถใช้เวทมนตร์นี้กับมนุษย์ได้ไหมนะ? ...’

‘ข้าอยากมีหูน่ารักเหมือนแมวน้อย!’

‘ข้าอยากแข็งแกร่งดุจราชสีห์!’

‘ข้าอยากงดงามตลอดกาล!’

‘ข้าอายุยืนเหมือนพฤกษา!’

‘ข้าอยากเป็นเด็กตราบจนชีวิตจะหาไม่!’

มนุษย์หลอมรวมตัวเองกับสิ่งต่างๆ ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์มากมายบ้างก็สำเร็จ บ้างก็ล้มตายเพราะขาดความย้ำคิด การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้มนุษย์วิวัฒนาการขึ้นและก้าวเข้าสู่การสูญพันธุ์ในเวลาเดียวกัน

จนเหล่านักเวทย์ที่ไม่เห็นด้วยรวมตัวกันต่อต้านเวทมนตร์หลอมรวมนี้ มนุษยชาติถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝั่งความเป็นมนุษย์ และฝั่งลัทธิ ก่อเกิดเป็นหนึ่งในสงครามระหว่างเผ่าพันธ์ุของมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ท้ายที่สุดก็ไม่มีฝั่งใดชนะ ความสูญเสียเกิดขึ้นมากเกินไปทั้งสองจึงเจรจาสงบศึกกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเช่นเดิม แม้จะต่างเผ่าพันธุ์กันแต่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน

ผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นมนุษย์ถูกแบ่งเป็น 5 เผ่าใหญ่ๆ

1.ธีเรีย (กึ่งมนุษย์สัตว์) 

2.นิม (เอลฟ์) 

3.นานอย (คนแคระ) 

4.ดรายแอดส์ (คนกึ่งต้นไม้) 

และ 5.แอนโธร (มนุษย์) 

------------------------------------------------------------------------------

ข้ากำลังตั้งใจฟังอตโต้เล่าเรื่องอย่างเพลิน ๆ อยู่ๆ ก็มีเสียงงัวเงียดังมาจากม้านั่งข้าง ๆ

“นี่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกโรงเรียนสอนทั้งนั้น เธอไม่รู้เนี่ย… แปลกจริงนะ”

ข้าสะดุ้ง หันไปมอง เห็นเด็กผู้ชายอีกคนค่อย ๆ ลุกขึ้น เขาเป็นเด็กผู้ชายที่มีผมสีฟ้าสว่างเหมือนท้องนภา มีดวงตาสีเหลืองดุจทานตะวันลืมตาปรือๆ ท่าทางเฉื่อยชาเหมือนเพิ่งตื่นนอนจริง ๆ อตโต้รีบชี้ไปทางเขา

“นั่นโซร่า หมอนั่นชอบแอบงีบไปทั่วแบบนี้แหละ”

ข้ารีบก้มตัวทักทายตามมารยาท

“เอ่อ… สวัสดี?”

เขามองข้านิ่ง ๆ จนข้ารู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรตอบแค่จ้องมองด้วยสายตาปรือๆ

ข้าหน้าแดงเถียงไม่ออกรีบอธิบาย

“คือ… ข้ามาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ที่หมู่บ้านข้าไม่มีโรงเรียนอะไรเลย แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าออกมาเห็นโลกภายนอก…”

บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นนิด ๆ จนข้าแทบอยากมุดหายไปใต้โต๊ะ โชคดีที่เสียงฝีเท้าของ ท่านเหล่าเฟย์ดังมาพอดี เขาเดินลงมาจากบันไดไม้พร้อมข้าวของต่างๆ ในอ้อมแขน

“ดูเหมือนพวกเธอจะทำความรู้จักกันแล้วนะ”

“อ๊ะ อาจารย์!”

อตโต้รีบวิ่งไปช่วยท่านเหลาเฟย์ถือข้าวของทันที

“อาจารย์ ยัยนี่น่าสนใจดีนะถึงนางจะดูติ๊งต๊องไปบ้างแต่คุยสนุกดีออก” 

อตโต้หัวเราะร่า ‘ติ๊งต๊อง’ เขาว่าข้า ‘ติ๊งต๊อง’ งั้นหรอ?!

“ว่าแต่… อาจารย์พานางมาทำไมเหรอ? หรือว่านางต้องการความช่วยเหลือ?”

ท่านเหล่าเฟย์ส่ายหน้าช้า ๆ

“ไม่ใช่… นับจากนี้ไป นางจะมาเป็นศิษย์ของฉันและเป็นเพื่อนร่วมกันกับพวกเธอ”

“หาาา!”

เสียงอุทานของเด็กชายทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน แม้แต่โซร่าที่นอนอยู่ยังต้องเบิกตาโต 

“ยัยติ๊งต๊องนี่น่ะนะ?!” 

อตโต้โพล่งเสียงดัง ข้าหันขวับ!

“นี่นาย! คำก็ ‘ติ๊งต๊อง’ สองคำก็ ‘ติ๊งต๊อง’ มันเสียมารยาทนะ!”

“ก็หน้าเจ้ามัน ‘ติ๊งต๊อง’ จริงๆ นี่ยัยทานุกิ”

“ทะ…ทานุกิ?

“ใช่ ก็หูกับหางเจ้ามันเหมือน <แอ๊ก!>”

ท่านเหล่าเฟย์ใช้กำปั้นเขกหัวอตโต้เบาๆ 

“อย่าแกล้งนางสิ!”

“ฉันต้องขอโทษแทนเจ้าอตโต้ด้วย โคลเอ้”

“มะ…ไม่เป็นไรค่ะ”

โซร่าที่ชะเง้อหัวเกยพนักพิงอยู่ขมวดคิ้วแน่น

“แต่นางดูไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์เลยนะครับ… อย่าบอกนะว่านางเป็นคนนอก?”

“ใช่ แต่จากนี้ไปจะไม่ใช่แล้ว”

“ท่านบ้าไปแล้ว…การเปิดเผยความลับเวทมนตร์ให้คนนอกคือโทษร้ายแรง ท่านอาจารย์แน่ใจแล้วจริงๆ หรือครับ?” 

มือข้าเย็นเฉียบขึ้นมาทันที จู่ๆ บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้น ความลับเวทมนตร์? ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนข้ากำลังจะสร้างปัญหาให้ท่านเหลาเฟย์อีกแล้ว…

ความผิดที่เคยก่อไว้กับหมู่บ้านยังไม่ทันหาย แล้วถ้าท่านเหล่าเฟย์ต้องมาเดือดร้อนเพราะข้าอีก…

ท่านเหลาเฟย์ใช้มือมาลูบหัวข้า ในขณะที่ข้ามัวแต่กังวลเขากลับยิ้มอย่างมั่นใจให้ข้า 

“หากเป็นโคลเอ้… ฉันเชื่อว่าคุ้มค่า อีกอย่างหากนางผ่านการทดสอบทันการตรวจสอบครั้งหน้า ก็ไม่มีปัญหา”

เด็กชายทั้งสองจ้องตากันปริบๆ

“<เฮ้อ> ถ้าท่านอาจารย์ว่างั้นข้าก็จะช่วยด้วยแล้วกัน”

“ขอบคุณนะ” 

ข้ายิ้มกว้าง พลางยื่นมือไปหา เขารีบจับมือข้าตอบด้วยรอยยิ้มสดใสจนข้าเผลอหัวเราะเบา ๆ

โซร่าไม่พูดอะไรต่อ แค่หันหลังกลับไปนอนเหมือนไม่สนใจอีกแล้ว แต่ข้าแอบเห็นหางตาเขามองมาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง…

ท่านเหล่าเฟย์ก้าวเข้ามาใกล้ย่อเข่าลงให้อยู่ในระดับสายตาข้า

“ถ้าอย่างนั้น… ก็ถึงเวลาแล้ว โคลเอ้ เธอพร้อมหรือยังกับการเรียนเวทมนตร์?”

ดวงตาข้าสั่นระริก หัวใจเต้นรัวไม่หยุด สุดท้ายข้าก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยักหน้าอย่างแน่วแน่

“ค่ะ ข้าพร้อมแล้ว”