เรื่องราวของเด็กสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่หลงใหลในเวทมนตร์ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีคณะเหล่านักเวทย์มาแวะพักที่หมู่บ้านของเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงไปแอบดูพวกเขาอยู่ไกลๆจนกระทั่ง...
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ตะวันตก,ผจญภัย,แอคชั่น,แม่มด,พ่อมด,เวทมนต์,เวทมนตร์,แฟนตาซี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เวทมนตร์ศาสตร์ลึกลับที่ข้าหลงใหลตั้งแต่จำความได้ สมัยก่อนตอนเป็นเด็กเคยมีนักเวทย์ท่านหนึ่งมาเยือนหมู่บ้าน ข้าแอบเห็นเขาใช้เวทมนตร์ทำสิ่งต่างๆ ในบ้านพักของแขก มันช่างน่ามหัศจรรย์…
ก่อเปลวไฟโดยไม่ต้องใช้กิ่งไม้ ทำให้ผ้าแห้งโดยไม่ต้องเสียเวลาตาก สร้างแสงสว่างยามกลางคืนอันมืดมิด เดินบนน้ำ หรือแม้กระทั่งโบยบินบนฟ้าเหมือนนก ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจข้าก็เต้นแรงเสมอ
แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ข้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ห่างไกลจากตัวเมืองเสียเหลือเกิน ชีวิตแต่ละวันช่างน่าเบื่อหน่าย
พ่อของข้าเป็นนักประดิษฐ์ฝีมือเก่งกาจ สร้างของใช้สารพัดอย่างจากไม้หรือหินได้อย่างไม่รู้จบ ส่วนแม่ก็เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ดอกไม้รอบบ้านบานสะพรั่งราวสวนย่อม ๆ พ่อกับแม่ย้ายมาจากเมืองหลวง จึงมีความรู้มากกว่าชาวบ้านทั่วไป พวกท่านช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านบ่อยครั้ง จนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ทุกคนยกให้พวกท่านเป็นผู้นำหมู่บ้านก่อนข้าเกิดเสียอีก
วันนี้ก็เหมือนเช่นเคย ข้าไปเล่นน้ำที่ลำธารพลางเก็บสมุนไพรใส่ตะกร้า แต่ขณะกำลังบ่นเรื่องความน่าเบื่ออยู่นั้น ข้าก็เหลือบเห็นสิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น... รถม้าหลายคันบินบินอยู่บนอากาศข้างหน้ามีกริฟฟินตัวใหญ่สง่างามลากนำทาง พวกเขาร่อนลงมาจากฟากฟ้าไปยังทิศทางหมู่บ้าน ข้าตื่นเต้นจนแทบยืนไม่ติดรีบวิ่งตามพวกเขาไปทันที
เมื่อกลับถึงบ้าน รถม้าใหญ่หกคันจอดอยู่ไม่ไกล กลุ่มคนแปลกหน้าในชุดคลุมหรูหราพร้อมหมวกแหลมสูงกำลังสนทนากับพ่อและแม่ของข้า พวกเขาโค้งให้ด้วยรอยยิ้มสุภาพ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านว่างที่ใช้ต้อนรับแขกของหมู่บ้าน ข้ารีบวิ่งเข้าไปหาพ่อแม่ด้วยความสงสัย
ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเป็นคนสุดท้ายหันกลับมา เขามีผมสีทองอ่อน ใบหน้าหล่อเหลาจนข้าเผลอชะงักสายตา เราสบตากันเพียงเสี้ยววินาที... แล้วเขาก็ยิ้มให้ข้า ก่อนหันกลับเดินตามกลุ่มไป
“กลับมาแล้วหรือ โคลเอ้?” เสียงแม่ดังขึ้น
“ค่ะ นี่สมุนไพรที่แม่ฝากเก็บมา...”
ข้าส่งตะกร้าให้
“พ่อคะ แม่คะ... พวกคนเมื่อกี๊ เขาเป็นนักเวทย์?”
พ่อกับแม่สบตากัน ยิ้มบาง ๆ ก่อนแม่จะตอบว่า
“ใช่จ้ะ พวกเขาอยู่ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง หมู่บ้านเราอยู่ทางผ่านเลยแวะพักที่นี่”
“พวกเขาจะอยู่จนถึงเช้าพรุ่งนี้ ระหว่างนี้ก็คงพักเติมเสบียงและของใช้” พ่อเสริม
ข้ารู้สึกเหมือนดวงตาเปล่งประกายไปทั้งโลก หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
“ข้าขอไปดูพวกเขาหน่อยนะคะ!”
ยังไม่ทันรอฟังคำตอบ ข้าก็ออกวิ่งตามเหล่านักเวทย์เข้าไปในหมู่บ้านทันที
“อย่าไปรบกวนพวกเขามากนักล่ะ”
“ค่าาา—!”
ข้าตะโกนตอบทั้งที่ยังวิ่งอยู่ ระหว่างทางเหล่าชาวบ้านมากมายก็เอ่ยทักทายข้าเช่นปกติ
“โคลเอ้! เรื่องคอกสัตว์เมื่อวันก่อน ขอบใจมากนะ!”
“ค่า—!”
“โคลเอ้ ฝากขอบคุณท่านเทียร์ด้วยนะ ยาแก้ปวดที่ให้มาใช้ดีมากเลย!”
“ได้ค่ะ!”
“โคลเอ้! หมู่บ้านเรามีนักเวทย์มาเยือนด้วยแนะ!”
“ข้ารู้แล้ว!”
ข้าตอบไปพลาง วิ่งต่อไปพลาง
ในที่สุดข้าก็วิ่งมาถึงบ้านพักแขกที่พ่อสร้างไว้ มันเป็นบ้านสองชั้นสูงใหญ่ ตอนแรกพ่อเคยตั้งใจทำเป็นโรงแรมเล็ก ๆ ให้เหล่านักเดินทาง แต่เพราะแทบไม่มีใครผ่านมาเลย บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นบ้านรับรองแขกของหมู่บ้านแทน
แม้บ้านจะเก่าฝุ่นจับไปบ้าง แต่ดูเหมือนนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเหล่านักเวทย์เลย พวกเขากำลังทำความสะอาดอย่างง่ายดาย ราวกับมันเป็นเรื่องเล่นสนุก ไม้กวาดลอยไปมาเองโดยไม่ต้องมีใครจับ หน้าต่างทุกบานเปิดกว้างเพียงแค่นักเวทย์คนหนึ่งโบกมือ อุปกรณ์เวทมนตร์แปลกๆ ทรงกลมที่เมื่อถูกเปิด น้ำสะอาดก็ลอยฟ่องขึ้นมาอยู่กลางอากาศ
“ว้าว... ดีจัง แบบนั้นก็ไม่ต้องเดินไปตักน้ำไกล ๆ ที่ลำธารเลยสิ”
ในขณะที่ข้ากำลังแอบมองด้วยใจจดจ่ออยู่นั้นเอง จู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งวางลงบนไหล่ ข้าสะดุ้งจนตัวโยนหันขวับไปมอง
“สวัสดี”
“วะ... ว๊าย! ท่านนักเวทย์!” ข้าร้องเสียงหลง
เขาคือคนเดียวกับที่ข้าเคยสบตาเมื่อตอนก่อนหน้านี้ นักเวทย์หนุ่มผมสีทอง เขาดูตกใจนิดหน่อยที่ทำให้ข้าสะดุ้ง แต่ก็ยิ้มอ่อนโยนให้
“มีอะไรหรือเปล่า? ฉันเห็นเธอแอบมองอยู่นานแล้ว”
“เอ่อ... มะ... ไม่มีค่ะ... คือว่า...”
ข้าก้มหน้างุด ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี รู้ทั้งรู้ว่ามันผิดที่มาแอบดู แต่ก็อดไม่ได้...
เขามองข้าอยู่อึดใจ ก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“เธอสนใจเวทมนตร์ใช่ไหม?”
“อะ! ค่ะ! ข้าชอบเวทมนตร์มาก ๆ เลยค่ะ!”
ข้าเผลอตอบเสียงดัง เขายิ้มให้บาง ๆ
“งั้นหรือ... อยากเห็นมากกว่านี้ไหม?”
“อยากค่ะ! อยากมากเลย!”
“งั้น ตามมาสิ”
หัวใจข้าพองโตเหมือนพลุถูกจุดขึ้นกลางอก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รู้สึกตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ข้ารีบเดินตามเขาไปที่ลำธารใกล้หมู่บ้าน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามเย็น ชาวบ้านบางคนก็เริ่มทยอยกลับบ้าน ทำให้รอบ ๆ เงียบสงบ
นักเวทย์หนุ่มล้วงมือเข้าใต้ผ้าคลุม เห็นแบบนี้แต่ข้าก็เป็นคนตาไว เห็นการขยับเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ภายใน
สายลมเริ่มพัดแรงขึ้น รวมตัวกันตรงหน้าเราสองคน หมุนวนราวกับเกลียวคลื่น จนเกิดเป็นเปลวไฟส่องสว่างกลางอากาศ เปลวไฟนั้นแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นกวางกระโดดโลดเต้น จากนั้นกลายเป็นปลาที่ว่ายอยู่เหนือผืนน้ำ
“ว้าววว! สวยจังเลย!”
ข้าตาโตจากความมหัศจรรย์ตรงหน้า
เปลวไฟยังไม่หยุดแค่นั้น มันกลายเป็นสัตว์แปลก ๆ ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนอีกมากมาย สุดท้ายก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นนกเพลิงโบยบินพุ่งเข้ามาทางข้า
“ว้าย!”
ข้าเผลอรีบเอาแขนปิดหน้าแน่น แต่ความร้อนที่คิดว่าจะเผาไหม้กลับไม่มา
ข้าค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นนกไฟตัวนั้นกำลังบินวนรอบตัวข้าอย่างอ่อนโยน นักเวทย์หนุ่มหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางตกใจของข้า
“ตกใจไหม?”
“ก็นิดหน่อยค่ะ...”
“อยากลองจับมันดูไหม?”
“เอ๋... จับมัน?”
ทุกคนย่อมรู้ว่าไฟอันตรายแค่ไหน แต่เขากลับยื่นคำเชิญชวนด้วยรอยยิ้มให้ข้า
“ลองดูสิ มันไม่อันตรายหรอก”
ข้ากลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วค่อย ๆ ยื่นมือออกไป... นิ้วเล็กสัมผัสกับนกไฟที่อบอุ่นแต่นุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ
“มัน... มันไม่ร้อนเลย!”
“ใช่แล้ว”
เป็นอีกครั้งที่ดวงตาข้าเป็นประกายราวกับเจอขุมทรัพย์
“เวทมนตร์นี่มันสุดยอดไปเลย!”
เขามองข้าที่กำลังหัวเราะไปกับเหล่าสัตว์เพลิงอย่างเพลิดเพลิน
“เธอชื่อโคลเอ้ใช่ไหม?”
“ค่ะ!”
ข้าตอบพลางพยักหน้าแรง ๆ
“โคลเอ้... ทำไมเธอถึงชอบเวทมนตร์มากขนาดนั้นหรือ?”
“ทำไมหรอคะ? ... ก็เพราะเวทมนตร์มันสะดวกสบายไงคะ!”
“สะ... สะดวกสบาย?”
นักเวทย์หนุ่มทำหน้างงนิด ๆ ก่อนจะเกาแก้มด้วยท่าทีเขิน ๆ
ข้ายกนิ้วขึ้นนับพลางพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ถ้าข้าใช้เวทมนตร์ยกของได้ ข้าจะได้ช่วยพ่อยกของหนัก ๆ”
“ถ้าข้าเสกน้ำได้ แม่ก็จะไม่เหนื่อยรดน้ำสมุนไพรทุกวัน”
“ถ้าข้าควบคุมลมได้ ข้าจะช่วยคุณป้าไลล่าปั่นกังหันลม”
“ถ้าข้าควบคุมดินได้ ลุงทีโมก็ไม่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ พรวนดินจนปวดหลัง”
ข้านับไปทีละข้อ พร้อมกับเอ่ยชื่อของชาวบ้านที่รู้จักดี
“ถ้าข้าปล่อยไฟได้ เวลาหน้าหนาวข้าจะก่อไฟให้ทุกคนในหมู่บ้านอบอุ่น”
“ถ้าข้าสร้างแสงได้ ตอนกลางคืนหมู่บ้านก็จะไม่มืดน่ากลัวอีกต่อไป”
“ถ้าข้าใช้เวทมนตร์ได้... ข้าจะช่วยคนอื่น ๆ ได้ตั้งมากมายเลยค่ะ!”
เขายืนมองข้าพูดอ้าปากค้าง รอยยิ้มอบอุ่นค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเขา ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอะไรในคำพูดของข้าทำให้เขาสนใจได้มากถึงเพียงนี้
ข้าก้าวออกไปเล็กน้อย กางแขนออกแล้วรับสายลมเย็นยามเย็นเข้าสู่อก
“หรือแม้กระทั่ง... ถ้าข้าบินได้ ข้าก็อยากบินไปดูโลกกว้าง ๆ โลกที่ข้าไม่เคยเห็น! นั่นแหละค่ะ... เวทมนตร์ถึงได้มหัศจรรย์!”
“บางทีเวทมนตร์ที่ท่านใช้ทุกวันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่าน...”
“แต่สำหรับข้าแล้ว มันสวยงามและน่าหลงใหลที่สุดเลยค่ะ!”
เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้ววางมือลงบนศีรษะข้าเบา ๆ ก่อนจับมือของข้าให้แบออก สิ่งที่ถูกวางลงบนฝ่ามือคือก้อนหินทรงหกเหลี่ยมเล็ก ๆ ข้างบนสลักวงกลมและอักษรประหลาดมากมาย
“ความคิดของเธอสวยงามจริง ๆ โคลเอ้ ฉันชอบมันนะ”
“นี่คืออุปกรณ์เวทมนตร์ที่ฉันคิดค้นขึ้น มันควบคุมไฟดวงนี้ได้”
เขาขยับมือข้าวนเบา ๆ นกไฟที่ยังลอยวนอยู่ก็เคลื่อนตามราวกับเชื่อฟังข้า
“ฉันยกให้เธอ”
“เอ๋! ข้า... ข้าเคยได้ยินจากพ่อว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ราคาแพงมากนะคะ! ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก!”
ข้ารีบส่ายหน้าจนผมแกว่งไปมา เขาหัวเราะเบา ๆ
“มันยังเป็นแค่ของทดลอง เอาไว้เมื่อเราพบกันอีกครั้ง ฉันอยากฟังความคิดเห็นของเธอ”
“พบกันอีกครั้ง...”
ข้าพึมพำ กำก้อนหินหกเหลี่ยมแน่นแล้วกอดเข้ากับอก เมื่อรุ่งเช้ามาถึงพวกเขาจะจากไป และข้าเองก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกครั้งแต่เขากลับพูดว่า ‘พบกันอีกครั้ง’ ข้าเงยหน้าขึ้นตอบอย่างมั่นใจ
“ค่ะ! ถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะบอกท่านแน่นอน!”
เขาพยักหน้าเบา ๆ
“อืม... ตะวันลับขอบฟ้าแล้ว เธอไม่ควรอยู่นอกบ้านตอนมืด เดี๋ยวฉันไปส่ง”
เขาเดินมาส่งข้าถึงบ้าน เราโบกมือลากันตรงหน้าประตู ใจข้าอยากจะรั้งเขาไว้ แต่ก็ทำได้เพียงตะโกนถาม
“ท่านนักเวทย์! ท่านชื่ออะไรหรือคะ?”
“ฉันชื่อเหล่าเฟย์”
------------------------------------------------------------------------------
คืนนั้นข้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่ยอมหลับเสียที หัวใจข้ายังเต้นตึกตักเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน มันทั้งน่าตื่นเต้น ทั้งมหัศจรรย์ จนข้าไม่อยากให้ความรู้สึกนี้หายไปเลย
สุดท้ายข้าก็ลุกจากเตียงอย่างเงียบที่สุด หยิบหินหกเหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วแอบย่องออกจากบ้าน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ข้าแอบออกมาตอนกลางคืน ถึงพ่อกับแม่จะดุถ้ารู้เข้าก็เถอะ แต่บางทีข้าก็อยากออกมาสูดลมเย็น ๆ เผื่อมันจะทำให้หลับง่ายขึ้น
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกที ข้าไม่ได้ออกมาแค่รับลม ข้าตั้งใจจะลองใช้หินเวทมนตร์ที่ท่านเหล่าเฟย์มอบให้ ข้าเดินห่างจากบ้านเข้าไปในป่าเล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็น
“เอาล่ะ…ถ้าจำไม่ผิด”
ข้าวางนิ้วลงบนเส้นวงกลมบนหิน แล้วหมุนวนตามเข็มนาฬิกาสามรอบ ทันใดนั้น ลมรอบ ๆ ตัวข้าก็เริ่มพัดหมุนวนรวมกันตรงหน้า
“ว้าว! เหมือนที่ท่านเหล่าเฟย์บอกไว้เลย!”
ประกายไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น รวมตัวกันกลายเป็นกระต่ายไฟตัวน้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศ ข้าเผลอยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตื่นเต้น ตาเบิกกว้างไม่ยอมกะพริบ
ในความมืดมิด ข้ามองดูประกายไฟแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ เมื่อปลายนิ้วแตะอักษรแต่ละตัว เปลวไฟก็กลายเป็นสัตว์ต่าง ๆ ทั้งนก ปลา มังกรเล็ก ๆ ข้าหัวเราะคิกเบา ๆ มันสวยจนข้าอยากมองไปตลอดกาล
“เวทมนตร์สุด…”
“อืมม เวทมนตร์นี่มัน—”
“ว๊าย!”
เสียงแหลมดังขึ้นใกล้หูจนข้าสะดุ้งเฮือกกระโดดถอยหลัง ขณะเดียวกันก็เผลอทำหินร่วงลงพื้น ข้ารีบหันขวับไปด้านหลัง
ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมของนักเวทย์ หมวกสูงปีกกว้างปิดบังใบหน้า ข้าใจเต้นแรง ไม่ใช่ท่านเหล่าเฟย์แน่ ๆ เสียงไม่เหมือนเลย
“ทะ…ท่านนักเวทย์?”
เสียงข้าสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้มลงเก็บหินขึ้นมาใช้นิ้วแตะเบา ๆ เปลวไฟก็เปลี่ยนรูปร่างไปมาอย่างง่ายดาย
“โว้ว เจ้านี่ไม่เลวเลยนะ เป็นของเจ้าเหรอ?”
“คะ…ค่ะ ของข้าเอง ข้าได้รับมันมาจากท่าน…ท่านนักเวทย์ผู้หนึ่ง”
“หืมม…”
เขาลูบคางช้า ๆ ดูเหมือนกำลังวิเคราะห์หินก้อนนั้นอยู่ ท่าทีเขาประหลาดจนข้ารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้ความรู้สึกจะทำร้ายข้าก็ตาม ใจจริงข้าอยากวิ่งหนีกลับบ้านสุด ๆ แต่ก็กลัวว่าจะเสียมารยาท เลยทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาหมุนหินไปมาเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองข้าแทน
“นี่เจ้าน่ะ… ชอบเวทมนตร์ไหม?”
หัวใจข้ากระตุก คำถามเดียวกันกับที่ท่านเหล่าเฟย์ถามข้าเมื่อเย็นนี้ แต่ครั้งนี้บรรยากาศต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้ากลืนน้ำลาย รู้สึกทั้งกลัวทั้งสับสน…
“ค่ะ…ข้าชอบเวทมนตร์ค่ะ”
“<ฮีฮี> นั่นสิน้า– ใครๆ ต่างก็ชอบเวทมนตร์ซิน้า– ข้าเองก็ชอบเหมือนกัน”
เขาก้าวเข้ามาใกล้ข้าอย่างเป็นกันเองย่อตัวลง แล้วเอาแขนโอบคอข้าไว้แบบสนิทสนม จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าเขี่ยพื้นเป็นลายแปลก ๆ และทันใดนั้นเอง…
ฟุบ!
ทุ่งดอกไม้เรืองแสงก็ผุดขึ้นมารอบตัวข้ากับเขา ดอกสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดในป่า กลีบดอกบาง ๆ ลอยขึ้นไปในอากาศตามสายลมราวกับภาพความฝัน ข้ายืนอ้าปากค้าง ตาโตจนแทบลืมกระพริบ
“เป็นไงล่ะ เจ้าชอบไหม?”
แสงของดอกไม้ทำให้ข้ามองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงาหมวกกว้างของเขา แต่แทนที่จะเป็นใบหน้าคนธรรมดา กลับเป็นหน้ากากสีขาวเรียบสนิทจนทำให้ข้าขนลุก ไม่มีตา ไม่มีปาก ไม่มีแม้แต่ร่องเอาาไว้หายใจ ข้าชะงักไปนิด แต่พอเห็นท่าทางร่าเริงเหมือนเด็กของเขา ความกลัวก็เบาลงในทันที
“ข้าชอบมากเลยค่ะ ท่านนักเวทย์…มันสวยสุด ๆ ไปเลย!”
“<ฮีฮี> แน่นอนอยู่แล้ว! ก็ข้าน่ะเป็นอัจฉริยะนี่นา! เอาล่ะ ดูนี่ต่อสิ!”
เขาตวัดมือไปทางขวา ทันใดนั้นนกนานาชนิดก็บินมาเกาะบนขอนไม้ใหญ่ แล้วพร้อมใจกันร้องเพลงเป็นทำนองไพเราะ
“ว้าววว!”
จากนั้นเขาตวัดมือไปอีกด้าน ผืนดินได้ยุบตัวลงพร้อมเหล่าก้อนหินเรียงรายประดับสวยงามกลายเป็นบ่อน้ำขนาดย่อมที่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม
“โหวววว!”
“ยังไม่หมดหรอกน่า!”
เขายกมือขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง หินก้อนหนึ่งค่อย ๆ บิดเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นรูปสลักเทพธิดางดงามราวกับงานฝีมือของช่างชั้นเลิศ พร้อมสายน้ำที่ไหลออกมาจากไหที่รูปปั้นนั้นถืออยู่ สายน้ำเหล่านั้นไหลขึ้นสู่อากาศเป็นเส้นโค้งคดเคี้ยวแล้วไปจบลงที่บ่อ ละอองน้ำสะท้อนแสงจากหมู่มวลดอกไม้เกิดเป็นรุ้งเล็กๆ ลอยเหนือบ่อน้ำ รวมเป็นภาพที่งดงามราวกับเทพนิยาย
ข้าเผลอปรบมือดัง ๆ อย่างลืมตัว
“สุดยอดเลยค่ะ!”
“<ฮีฮี> ใช่ไหมๆ เวทมนตร์น่ะสุดยอด!”
ข้าทั้งตื่นเต้นทั้งทึ่ง หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด ข้ามองเขาด้วยตาเป็นประกายเหมือนทุกครั้ง
“ท่านนักเวทย์ ท่านเก่งจริงๆ!!”
“<ฮ่า ๆ ๆ > แน่นอน! ข้ามันอัจฉริยะ! แต่ว่า…แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะ”
ข้าเอียงคอเล็กน้อยรอฟังว่าเขาจะโชว์อะไรอีก แต่แล้วเขากลับหยุดนิ่ง ไม่ได้ทำอะไรต่อไปเหมือนที่ข้าคิดไว้
“นี่…สาวน้อย”
เสียงแหลมพุ่งตรงมาหาฉันอย่างจริงจังขึ้น
“เจ้าอยากใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่?”
“เอ๋…?”
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป ทุกเสียงพลันหายวับ นกที่ร้องอยู่เมื่อครู่เงียบลงและหายไปหมด ป่าที่รายล้อมจมอยู่ในความเงียบสนิทจนข้าได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดเจน
“พูดมาเถอะ…เจ้าอยากใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่?”
“ท่านหมายความว่าอะไรคะ? ข้าเคยได้ยินมาว่ามีแต่ ‘ผู้ถูกเลือก’ เท่านั้น ที่จะใช้เวทมนตร์ได้…”
“ผู้ถูกเลือกงั้นเหรอ… <ฮีฮี> <ฮ่า ๆ ๆ!>”
เขาหัวเราะลั่นเหมือนคนบ้า เสียงก้องสะท้อนในความมืดทำเอาข้าขนลุกไปทั้งแขน
“ถ้างั้นก็พอดีเลย! ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ถูกเลือกแล้ว! โดยข้านี่ไง! เอ้า! ทีนี้ตอบข้าได้หรือยัง? เจ้า…อยากใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่”
มันเป็นคำถามที่ข้าแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เวทมนตร์คือสิ่งที่ข้าใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต ใครจะไปปฏิเสธได้ลง!
“ค่ะ! ข้าอยากใช้เวทมนตร์ได้!”
“เยี่ยม! ดีมาก! ข้าจะทำให้เจ้าได้สมหวังเอง <ฮีฮีฮี!>”
หัวใจข้าเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา ข้าดีใจจนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง ถึงกับหยิกแก้มตัวเองแรง ๆ แล้วก็เจ็บ ใช่แล้วมันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด!
“ทะ…ท่านจะทำให้ข้าใช้เวทมนตร์ได้จริง ๆ เหรอคะ?”
“<ฮีฮี> แน่นอนมันง่ายนิดเดียวเอง….มานี่สิ”
-----------------------------------------------------------------------------
ตูม!
เปลวเพลิงกับควันดำทะยานขึ้นจากหมู่บ้าน สว่างวาบกลางรัตติกาล นักเวทย์หนุ่มผู้กำลังบินกลับจากการสำรวจเส้นทางมองเห็นตั้งแต่ไกล เขารีบเร่งบินกลับมาด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาชะงักกลางอากาศ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“<อ๊ากกก!>”
เสียงกรีดร้องฉีกความเงียบ นักเวทย์หนุ่มพุ่งเข้าไปในหมู่บ้านทันที เสียงร้องยังดังสะท้อนนำทางไปข้างใน ไม่กี่ชั่วโมงก่อนทุกอย่างยังคงสงบสุขดี แต่ตอนนี้กลับพังพินาศ บ้านเรือนถล่มเป็นซาก ไฟลามไปทั่วทุ่งพืชผล ร่างชาวบ้านกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ท่ามกลางกองศพยังมีแม้กระทั่งนักเวทย์จากคณะของเขาเอง
“<อึก…>”
เสียงแผ่วเบาทำให้เขาหันขวับ นักเวทย์คนหนึ่งกำลังคลานอยู่บนพื้นด้วยสภาพย่ำแย่ เขารีบวิ่งไปคว้าตัวไว้ทันที
“ใจเย็น ๆ ทำใจดี ๆ ไว้!”
“ท่าน…เหล่าเฟย์…”
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมหมู่บ้านถึงกลายเป็นแบบนี้!”
เขาก้มลงตรวจดูร่างเพื่อนร่วมคณะ ร่างนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลไฟคลอกทั่วทั้งตัว ราวกับถูกเพลิงมหาศาลกลืนกินแล้วดับอย่างกะทันหัน จนแทบจำไม่ได้ว่าเป็นใคร ทั้งที่นักเวทย์หนุ่มสามารถจดจำชื่อและหน้าของทุกคนในคณะที่ร่วมเดินทางได้หมดทุกคนแท้ๆ
“ละ…ลอบโจม…”
“อะไร? เจ้าหมายถึงอะไร? เฮ้!”
ร่างนั้นก็แน่นิ่งไป เขากัดฟันแน่นก่อนจะวางร่างลงอย่างอาลัย
<คิ๊ซ—!>
“สัตว์เวทย์เหรอ?!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังมาจากทางเนินใกล้บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน นักเวทย์หนุ่มเคาะส้นเท้าสองครั้ง ร่างของเขาลอยเหนือพื้น ก่อนพุ่งตรงไปยังจุดนั้นทันที
<คิ๊ซ—!>
บ้านหลังใหญ่กำลังมอดไหม้เป็นทะเลเพลิง ข้าง ๆ ปรากฏร่างสัตว์มหึมาคล้ายสุนัขยืนสองขา สูงราว 2 เมตร ลำตัวอ้วนใหญ่ ขนสีทองบลอนสะท้อนแสงไฟ บริเวณหน้าเหมือนสวมหน้ากากดำขีดผ่านดวงตา หูมนกลม หางเป็นพวงกลมหนา ดวงตาเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง เขี้ยวยื่นยาวโผล่จากปากที่กำลังพ่นไฟเผาทุกสิ่งรอบตัว
ใกล้ ๆ กันนั้น มีสองร่างมนุษย์นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเพลิง
<คิ๊ซ—!>
สัตว์ร้ายหันมาเห็นเขาแล้วพ่นไฟใส่ทันที
“ชิส์!”
นักเวทย์หนุ่มพลิกร่างหลบ ก่อนโต้กลับด้วยการสะบัดมือเป็นวงกลมปรากฎหมู่มวลน้ำขึ้นมาเป็นโล่บังไฟ ทันทีที่เท้าถึงพื้นเขาใช้มือแตะลงดินอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดกรงดินหน้าพุ่งขึ้นมากักมันไว้ได้สำเร็จ ใจจริงนักเวทย์หนุ่มสามารถปลิดชีพมันเลยได้ทันทีแต่บางอย่างในตัวเขาพยายามรั้งเอาไว้ไม่ให้เขาลงมือ
เสียงปรบมือก็ดังขึ้นทันที
“สุดยอด…สุดยอดจริง ๆ สมกับเป็นท่านเหล่าเฟย์”
จากเงามืด มีร่างนักเวทย์สวมหน้ากากขาวสะอาดเดินออกมา
“เจ้า…เป็นใครกันแน่”
“<ฮีฮี> แหม ๆ อยู่ร่วมกันมาตั้งเดือนกว่าแล้ว แต่ท่านกลับจำข้าไม่ได้เนี่ย ทำเอาข้าน้อยใจอยู่นะขอรับ”
นักเวทย์หนุ่มนิ่งเงียบ จ้องมองไม่กะพริบ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว คณะของเขามี 16 คน เขาจำชื่อ รูปร่าง และเสียงได้ทั้งหมด แต่ชายสวมหน้ากากตรงหน้านี้…ทั้งบรรยากาศและน้ำเสียง เขาไม่ใช่ใครที่เคยอยู่ในหมู่ความจำทั้งหมดเลย
“ถ้าข้าถามว่าเจ้ามีจุดประสงค์ใด ทำไมต้องทำลายหมู่บ้านนี้ เจ้าจะตอบข้าหรือไม่”
“<ฮีฮี> ถ้าเป็นคนอื่นๆ คงจะไม่เสียเวลากับท่านหรอก แต่เพราะข้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่มีเมตตา ข้าจึงตอบคำถามท่าน” ”
นักเวทย์หนุ่มซ่อนมือทั้งสองเข้าไปใต้ผ้าคลุมเตรียมตั้งท่าทำอะไรบางอย่าง
“เป้าหมายของข้า…คือการเผยแพร่เวทมนตร์!”
“เผยแพร่เวทมนตร์งั้นหรือ…”
“ใช่แล้ว! เวทมนตร์คือสิ่งวิเศษ! มันสร้างได้ทุกสิ่ง ลบได้ทุกอย่าง เปลี่ยนโลกได้ หรือแม้แต่เปลี่ยนผู้คนได้!
“ข้าละเศร้าใจจริงๆ ที่สิ่งล้ำค่าเหล่านี้กลับถูกจำกัดให้ผู้คนเพียงหยิบมือจับต้องได้….”
เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงแหลมสูงลอดหน้ากาก
“ผู้ถูกเลือกเอย ผู้สืบทอดเอย เหลวไหลทั้งเพ! ความจริงแล้ว…ใครก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพียงแค่แลกสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นเอง!”
นักเวทย์หนุ่มไม่เอ่ยตอบ แต่ใต้ผ้าคลุม มือทั้งสองของเขาเริ่มขยับอย่างช้า ๆ …
“แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าบนโลกนี้เต็มไปด้วยพวกโง่เง่า หากเวทมนตร์ตกไปอยู่ในมือพวกนั้น มันก็มีแต่จะถูกทำให้แปดเปื้อน”
เสียงของชายสวมหน้ากากขาวดังแหลมต่ำ เขายกมือขึ้นประกาศด้วยท่าทีเชื่อมั่นในตนเอง
“แต่ด้วยสมองอันปราดเปรื่องของข้า ข้าก็หาวิธีแก้ได้แล้ว! ง่ายแสนง่าย…แค่ให้อัจฉริยะอย่างข้าเป็นผู้คัดเลือกเองว่าใครคู่ควรจะได้ใช้เวทมนตร์ เรื่องก็จบ! <ฮีฮี>”
เขาหัวเราะลั่นชี้นิ้วไปทางสัตว์เวทมนตร์ที่ถูกจองจำ
“และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้ว…เหมือนเด็กน้อยคนนั้นอย่างไรเล่า!”
สิ้นคำ เขาวางมือลงบนกรงดินที่กักขังสัตว์ร้าย เพียงสัมผัสเดียว โครงสร้างดินก็แตกสลาย สัตว์เวทมนตร์คำรามลั่นก่อนพุ่งเข้าหานักเวทย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว
“เด็ก…งั้นหรือ…” นักเวทย์หนุ่มสบถต่ำ เขาหลบกรงเล็บแหลมคมของมัน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันที สีขนบลอนทองสะอาดที่คุ้นตา นั่นมันคือสีเดียวกับผมของเด็กสาวที่เขาเพิ่งพบในวันนี้ โคลเอ้!
“แก…ทำอะไรกับโคลเอ้!”
เลือดสูบฉีดพลุ่งพล่าน นักเวทย์หนุ่มกระทืบเท้าลง ผืนดินแตกแยก หนามแหลมผุดพุ่งขึ้นจากทุกทิศทางใส่ชายสวมหน้ากาก
“<วี๊ว~> น่ากลัวจริง”
เขาหัวเราะพลางหลบหลีกอย่างง่ายดาย แต่ไม่ทันตั้งหลัก ด้านหลังพลันปรากฏกระทิงน้ำก้อนมหึมาพุ่งเข้ากระแทกเต็มแรง ร่างของเขาปลิวกระเด็นกระแทกพื้น
ยังไม่ทันฟื้น ดินรอบตัวบิดตัวแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บยักษ์ตะปบตรึงร่างไว้แน่น นักเวทย์หนุ่มยกมือขึ้นฟ้าเตรียมปิดฉากแต่…
“ชิส์!”
สัตว์เวทมนตร์คำราม ใช้ร่างหนาบดบังชายสวมหน้ากากจนมิดสายตา
“หลบไป โคลเอ้!”
สัตว์ร้ายทุบพื้น ก่อผลึกคริสตัลสีน้ำเงินผุดขึ้นสูงตระหง่าน นักเวทย์หนุ่มพลิกตัวหลบอย่างง่าย ใช้มือที่ชูขึ้นตวัดไปทิศทางของคริสตัลก้อนนั้น สายลมถูกตวัดตามมือฟันผลึกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างสะบัดเรียกเถาวัลย์จากพื้นพันธนาการมันไว้
“แหม ๆ ท่านนี่ก็ใจร้ายจริง”
เสียงเยาะเย้ยดังขึ้นอีกครั้ง กรงเล็บดินถูกทำลายจนร่างชายสวมหน้ากากเป็นอิสระ เขายืนอยู่ท่ามกลางความโกลาหลด้วยท่าทีสบายใจ
“ข้าลงแรงเมตตา ช่วยทำให้ความฝันอันเจิดจรัสของเด็กน้อยเป็นจริงเชียวนะ”
นักเวทย์หนุ่มกัดฟันกรอด
“ความฝัน? แกกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร!”
“ก็เด็กน้อยคนนั้นไง! เธอบอกว่าอยากใช้เวทมนตร์ได้ ข้าก็ทำให้แล้ว! ดูสิ!”
“ตอนนี้เธอใช้เวทไฟได้ ใช้เวทดินได้ สุดยอดใช่ไหมเล่า แถมไม่ต้องเข้าพิธีแลกเปลี่ยนให้ยุ่งยากอีกต่างหาก! ข้านี่มันช่างอัจฉริยะ!”
“ด้วยการเปลี่ยนเธอให้เป็นสัตว์ประหลาดอย่างนี้เนี่ยนะ!”
“ก็เธอบอกข้าเองว่าไม่ว่าวิธีไหนก็ยอม <ฮีฮี~>”
“ไอ้สารเลว!”
นักเวทย์หนุ่มตวัดแขน ปล่อยกระแสลมคมกริบพุ่งเข้าใส่ แต่ชายสวมหน้ากากอ่านทางออก หลบได้อีกครั้ง
“เวทมนตร์ที่โคลเอ้เฝ้าฝันถึง…คือเวทมนตร์ที่จะช่วยเหลือผู้คน! ไม่ใช่เวทมนตร์สกปรกที่ใช้ทำร้ายใครแบบนี้!”
นักเวทย์ย์หนุ่มกระแทกเท้า ดินแยกออกเป็นร่องพุ่งเข้าใส่ ชายหน้ากากหลบอีกครั้ง พลางหัวเราะ
“<ฮีฮี> ลูกไม้เดิม ๆ —”
ชายสวมหน้ากากพูดไม่ทันจบสายลมรอบๆ ตัวเขาก็พัดพวยพุ่งพาร่างเขาขึ้นไปบนฟ้า ลมหมุนวนจนเริ่มก่อเกิดเป็นพายุแล้วจู่ๆ ไฟก็ลุกโชดช่วงสายลมนั้นจะเกิดเป็นพายุอัคคี พายุคงอยู่เป็นนาทีก่อนจะเริ่มสงบลง
ใจกลางพายุ ปรากฏมวลน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ แตกตัวและร่วงหล่น เผยให้เห็นร่างของชายสวมหน้ากากที่เต็มไปด้วยบาดแผลเล็กน้อยและเสื้อผ้าที่ฉีกขาดเล็กๆ
“เฮ้อ… ข้าไม่เข้าใจท่านเลยจริงๆ”
“เวทมนตร์ช่วยคน เวทมนตร์ฆ่าคน เวทมนตร์ต้องห้าม… สุดท้ายแล้วมันก็คือเวทมนตร์เหมือนกันทั้งนั้น แค่ได้ใช้มันนั่นก็น่ายินดีเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือไง <ฮีฮี>”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ทีแรกข้ากะจะพาเด็กนั่นไปด้วย แต่ดูเหมือนตอนนี้ข้ายังเอาชนะท่านไม่ได้ คงต้องฝากมันไว้กับท่านก่อน… ไว้วันหนึ่ง ข้าจะกลับมารับคืน”
ชายสวมหน้ากากม้วนผ้าคลุมปกปิดร่างกาย มืออีกข้างเขาเปิดหน้ากากให้เห็นบริเวณปากอย่างชัดเจน และเขากำลังยิ้มอยู่
“หากตอนนั้น มันยังมีชีวิตอยู่น่ะนะ…”
สิ้นคำร่างของเขาก็กลืนหายไปในความมืด
นักเวทย์หนุ่มกำหมัดแน่น มองไปยังอากาศว่างเปล่าด้วยความเจ็บแค้น แต่ยังไม่ทันจะได้ระบาย เขารีบหันไปหาสัตว์เวทย์ที่นอนแนบกับพื้นอยู่ไม่ไกล
“โคลเอ้! โคลเอ้!”
สัตว์เวทย์เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า แววตาที่เคยดุร้ายกลับสงบลงจนหมดสิ้น นักเวทย์หนุ่มคุกเข่าลง ลูบหัวมันอย่างแผ่วเบา
“โคลเอ้… เธอยังจำฉันได้ไหม?”
สัตว์เวทย์พยักหน้าช้าๆ น้ำตาใสเอ่อคลอในดวงตา ปากพยายามขยับเปล่งเสียงออกมา
“บะ…บะ…พ่อ…คะ…แม่…คะ…”
“ข้า…ขอโทษ…”
หัวใจของนักเวทย์หนุ่มบีบแน่น เขากัดฟันลุกขึ้นยืน
“โคลเอ้ นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอ…”
เขาคลายพันธนาการเถาวัลย์ออกทั้งหมด ก่อนปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของมัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำสิ่งนี้… แต่ฉันสัญญาว่าจะช่วยเธอให้ได้”
มีดเล่มหนึ่งถูกชักออกมา เขาค่อยๆ แทงลงบนหลังของมันด้วยความระมัดระวัง รอยกรีดเป็นวงกลมกลางแผ่นหลัง เลือดไหลซึมออกมา แต่สัตว์เวทย์หาได้ส่งเสียงเจ็บปวดแม้แต่น้อย
นักเวทย์หนุ่มลงมือบรรจงกรีดร่องรอยเป็นอักษรทีละตัว ทีละเส้น สลักเป็นวงเวทย์เต็มหลังของมัน เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากี่ชั่วยาม กระทั่งเปลวไฟที่ลุกโชนเผาผลาญหมู่บ้านโดยรอบ ค่อยๆ มอดดับลงไปทีละแห่งเพราะไร้ซึ่งเชื้อเพลิง…
------------------------------------------------------------------------------
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดกระทบข้า เปลือกตากระพริบรับแสงแรกแห่งวัน ข้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใช้แขนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง สติยังพร่าเลือนราวกับหลับฝันไปนาน
ข้ากำผ้าคลุมไว้แน่น แล้วค่อยๆ เดินออกไปในทิศทางที่คุ้นเคย ทางกลับบ้านของข้า
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่บ้านที่อบอุ่นอีกต่อไป แปลงสมุนไพรที่แม่ปลูกถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน บ้านไม้ทั้งหลังที่พ่อสร้างเหลือเพียงโครงสีดำไหม้เกรียม และไม่ไกลจากนั้น ข้าเห็นท่านนักเวทย์ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้ากองดิน ที่เหมือนจะฝังใครบางคนเอาไว้
“ท่าน…เหล่าเฟย์”
เขาหันกลับมา ดวงตาที่มองข้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“โคลเอ้… เธอตื่นแล้วหรือ”
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเสียงมาถึงหูข้า สัมผัสการรับฟังมันแปลกไป บริเวณที่ได้ยินเสียงมันไม่ได้อยู่บริเวณด้านข้างเหมือนเคย แต่กลับอยู่บริเวณเหนือหัว ข้ายกมือจับดู… แล้วก็พบว่ามีบางสิ่งนุ่มนิ่มกลมมนงอกขึ้นมาบนหัวของข้า
“นี่มัน…หูของข้า? …”
ท่านเหล่าเฟย์ถอนหายใจเบาๆ
“ฉันพยายามทำให้เธอกลับมาเหมือนเดิมที่สุดแล้ว แต่… ได้เท่านี้จริงๆ ขอโทษนะ โคลเอ้”
ไม่เพียงหูเท่านั้น ข้ายังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างบริเวณก้นกบ ลองล้วงมือไปจับ มันคือก้อนขนกลมๆ ฟูๆ ที่ทำให้ข้าจั๊กจี้ทุกครั้งที่แตะต้อง
แต่ข้าไม่มีเวลาจะสนใจสิ่งแปลกใหม่ในร่างกายของตัวเอง สายตากลับไปยังบ้านที่เหลือเพียงซากและหมู่บ้านที่ข้ารัก…
“ทั้งหมดนี่…ข้าเป็นคนทำ…” ข้าพึมพำ น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมา
“โคลเอ้…”
“ข้าเผาบ้าน ข้าเผาพ่อแม่ ข้าเผาหมู่บ้าน… ข้าฆ่าทุกคน…”
จู่ๆ ขาก็อ่อนแรงทรุดตัวลงกับพื้น ดินเย็นเฉียบซึมเข้ามาจนรู้สึกเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
“ทั้งหมดนี่…เป็นเพราะข้าเอง…”
เสียงข้าสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้
“เพราะข้าฝันเกินตัว เพราะข้าอยากใช้เวทมนตร์…ทั้งๆ ที่พ่อมักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าฝืนเกินตัวกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ”
ข้ากัดฟัน น้ำตาร่วงไม่หยุด
“เพราะข้าไปหลงเชื่อคำพูดของชายคนนั้น ทั้งๆ ที่แม่บอกเสมอว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ ถ้าข้าไม่แอบหนีออกมา…ถ้าข้า…”
ภาพรอยยิ้มของพ่อกับแม่ผุดขึ้นมาในหัว รอยยิ้มที่ข้าจะไม่มีวันได้เห็นอีกแล้ว เสียงหัวเราะที่ข้าจะไม่มีวันได้ยินอีกแล้ว…
เศษซากสีดำที่เหลืออยู่ เพียงตอไม้ที่ไหม้เกรียมแทนที่จะเป็นลานกว้างที่ข้าและเพื่อนๆ เคยวิ่งเล่นกัน ตอนนี้กลับเหลือเพียงเถ้าถ่านที่พร้อมจะสลายเมื่อลมพัดผ่าน
ตรงมุมนั้นเคยเป็นบ้านของป้าเอลิน่า ถัดไปไม่ไกลคือบ้านของลุงโอแลน หัวมุมนั้นเคยเป็นบ่อน้ำ…ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างเหลือแค่กองธุลีสีดำ
หัวใจข้าเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก
“เพียงเพราะข้าใฝ่ฝันอยากจะใช้เวทมนตร์… เพราะความอยากรู้ของข้า ทุกคนถึงต้อง!”
“โคลเอ้!”
ท่านเหล่าเฟย์เข้ามากอดข้าไว้แน่น
“พอแล้ว… อย่าโทษตัวเองไปมากกว่านี้เลย”
“แต่—”
“ไม่ใช่ความผิดเธอทั้งหมดที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้โคลเอ้…ฉันรู้…เธอไม่ได้อยากให้เรื่องทุกอย่างเป็นแบบนี้”
“ฉันต่างหากละที่ต้องขอโทษ….ถ้าหากฉันไม่ออกไปตรวจเส้นทาง ถ้าหากฉันอยู่คอยเฝ้าระวังไว้ เพื่อนๆ ของฉันรวมถึงทุกคนในหมู่บ้านนี้คงไม่ต้องลงเอยแบบนี้”
เสียงของเขาอบอุ่นเหมือนแสงแดด ไออุ่นจากตัวเขาเหมือนดวงไฟที่ปลุกให้จิตใจของข้ายังคงเต้นอย่างเข้มแข็ง คำพูดโทษตัวเองของเขาทำให้สติข้ากลับมาทั้งๆ ที่ตัวเขานั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องทั้งหมดแท้ๆ น้ำตาของข้าหยุดไหลลง ข้ากลั้นเสียงสะอื้นไว้
“ฟังนะโคลเอ้ เวลามันย้อนกลับไม่ได้ ต่อให้เป็นเวทมนตร์ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่เสียไปแล้วเราเรียกคืนไม่ได้ แต่เราเลือกจะสร้างสิ่งใหม่ได้เสมอ”
เขาจับไหล่ข้า หมุนตัวข้าให้หันมาสบตาโดยตรง
“โคลเอ้ เธอได้เห็นแล้วเวทมนตร์ไม่ได้มีแต่ด้านที่งดงาม มันทำร้ายคนได้ มันทำลายโลกได้ และมันยังสามารถทำสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้ได้อีก”
“เห็นอย่างนี้แล้ว… เธอยังชอบเวทมนตร์อยู่ไหม?”
เป็นคำถามที่หากเป็นก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งคืนข้าคงสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิด…ข้าพยายามหันไปมองซากหมู่บ้าน แต่เขายกมือประคองใบหน้าข้าไว้ ไม่ให้หันหนี
“ตอนนี้ฉันช่วยเธอได้สองทาง ทางแรกฉันจะพาเธอไปอากาธีร์ ฉันมีคนรู้จักในเอลโดเรียเขาจะดูแลเธออย่างดี เธอจะได้กลับไปมีชีวิตที่สงบสุข และหากเธอต้องการฉันยังลบความทรงจำเลวร้ายทั้งหมดนี้ออกไปให้เธอได้…”
“ส่วนอีกทางคือมากับฉัน ฉันจะสอนเวทมนตร์ให้เธอ จะสอนความรู้ทั้งหมดที่ฉันรู้ให้เธอ เพื่อใช้มันช่วยคนอื่น เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบครั้งนี้อีก”
เขาสบตาฉันแน่วแน่
“มองตาฉันแล้วตอบจากใจจริง… เธอยังชอบเวทมนตร์อยู่ไหม?”
ข้ากำหมัดแน่น หัวใจสับสนระหว่างอยากลืมทุกสิ่งกับความปรารถนาที่ไม่เคยมอดดับ…สุดท้าย ข้าก็พูดออกมาเต็มเสียง
“ค่ะ! ข้ายังชอบเวทมนตร์อยู่!”
“แม้ว่าเวทมนตร์ที่ข้าใช้ครั้งแรก…มันทำร้ายทุกสิ่งแม้แต่คนที่ข้ารักแต่…”
“เวทมนตร์ที่งดงาม เหมือนที่ท่านเหล่าเฟย์เคยแสดงให้ข้าเห็นมันก็มีอยู่จริงเหมือนกัน!”
“ข้าอยากเรียนรู้ อยากเปลี่ยนแปลง อยากเข้มแข็งขึ้น… ข้าอยากใช้เวทมนตร์เพื่อช่วยเหลือคนอื่น! เหมือนที่ข้าได้รับจากท่านเช่นกัน!”
คำพูดของข้าดังก้อง ท่านเหล่าเฟย์ยิ้มเขายื่นมือมาให้ข้าอีกครั้งข้ามองมือนั้น เอื้อมคว้าไว้แน่น แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“เยี่ยมมาก โคลเอ้… ก่อนหน้านี้การที่เธอโทษว่า เพราะความฝันและความอยากของเธอ ถึงทำให้ทุกคนถึงต้องตายใช่ไหม”
“แต่ฉันจะบอกอะไรให้ เพราะมีความฝันถึงได้ทำให้ชีวิตมีความหมาย เพราะอยากรู้ถึงทำให้เธอก้าวหน้า ภูมิใจเข้าไว้โคลเอ้ที่เธอมีสิ่งเหล่านี้และยังไม่ทอดทิ้งมันไป”
“หลังจากนี้ฉันสัญญา ฉันจะทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดให้ดู”