นัทผู้พูดมากกับไอ่แว่นที่อยากเดินหนี นัท : แว่นมานี่มา ธีร์ : ไปไกลๆตีนกูไป

ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา - ตอนที่ 2 เขาคือคนตรงข้าม โดย คุณ เซน เซน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,รั้วโรงเรียน,วัยว้าวุ่น,ไทย,ชายรักชาย ,ชายชาย,ชาย-ชาย,วาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,รั้วโรงเรียน,วัยว้าวุ่น,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ชายรักชาย ,ชายชาย,ชาย-ชาย,วาย

รายละเอียด

ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา โดย คุณ เซน เซน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นัทผู้พูดมากกับไอ่แว่นที่อยากเดินหนี นัท : แว่นมานี่มา ธีร์ : ไปไกลๆตีนกูไป

ผู้แต่ง

คุณ เซน เซน

เรื่องย่อ



เรื่อง ตะวันที่สาดส่องทุ่งนา


เรื่องราวของเด็กกนุ่มคนนึงต้องออกมาจากเมืองกรุงเพราะปัญหาทางการเงินของพ่อ แม่ของเค้านั้นประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ยังเล็กทำให้พ่อของเขาต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แต่ด้วยการแพ่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมานั้นยากลำบากมากขึ้น ค่าครองชีพสูงไหนจะค่าเทอมของลูกชายของเขา

อยู่มาวันหนึ่งปู่ของเขาประสบอุบัติเหตุตกจากต้นไม้เหตุผลนึงที่เลี่ยงไม่ได้คือค่าครองชีพสูงเกินไปจึงส่งลูกชายของเขาซึ่งมีนามว่าธีร์เด็กเมืองกรุงที่จากบ้านมาแต่ยังเล็กได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง

ครั่งนึงในวัยเด็กแต่ธีร์จำไม่ได้ได้มีเด็กหนุ่มคนนึงรุ่นราวคราวเดียวกันชอบมาเล่นกับปู่และช่วยเหลือปู่ของเขาทุกครั้ง บ้างก็มาแวะเวียนเล่นกับน้องโบ้บ้าง เพื่อนในสมัยเด็กของเขาดูชั่งเป็นคนเข้าสังคมง่ายมากพูดจา ผู้ใหญ่ดูรักและเอ็นดูต่างกับเขานั้นที่ไม่ค่อยพูดเพราะเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

ธีร์ : กูคตเบื่อเลยอ่ะ อยากออกไปข้างนอกบ้าง

นัทที่ทำได้แค่มึนงงกับธีร์อยู่เล็กน้อยจึงทำได้แค่เพียงไถ่ถามเพียงครั้งครา

นัท : เอ้า มึงไม่ชอบออกไปไหนมาไหนแค่นี้ก็จะอินโทรเวิร์ตจะตายห่าแล้ว

ธีร์ : ไม่เอาน่ามัะนไม่มีอะไรให้ทำเลยอีกอย่างเราไม่มีเงินด้วยอ่า

นัท : อย่างแรกที่มึงต้องทำกูขอแค่สองข้อ

ธีร์ตอบรับด้วยความสงสัยและรีรอไขแสงคำตอบของนัท

ธีร์ : ว่ายังไง

นัท : มึงเลิกเรียกกูว่าไอ้คนบ้าน้ำลาย สองก่อนที่มึงจะทำนู่นทำนี่มึงหาโรงเรียนเข้าให้ได้ก่อน

เด็กหนุ่มทำได้เพียงครุ่นคิดแต่ก็ดันเสียงไม่ขึ้นจึงทำได้เพียงแต่นั่งอ้ำอึ้งของคำพูดเพื่อนตนเอง จึงทำได้เพี่ยงตอบกับออกไป

ธีร : อืมม ไม่รู้ดิงั้นกูเรียนกังมึงก็ได้

นัทงั้นก็รีบไปแต่งตัวเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยเดี๋ยวกูขึ้นตามไป..

เด็กหนุ่มได้ตอบกลับเพื่อนชายของตนก่อนจะสับขาสองข้างวิ่อ่งไปหน้าบ้านของตน

ธีมเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ : การช่วยงานในบ้าน ชีวิตของสองหนุ่ม ความสัมพันธ์ของทั้งสอง บรรยากาศภายใน ปล อาจมีการเอาสถานที่จริงมาเกี่ยวข้องด้วยส่วนหนึ่ง

ฝากติดตามผลงานนักเขียนฝึกหัดด้วยนะครับ🥰🥰

ช่องผลงาน

FB : https://www.facebook.com/share/1BKyhUwuG6/

TT : https://www.tiktok.com/@sensenkung?_t=ZS-8zVQv8ItC9C&_r=1



เนื้อเรื่องเป็นอย่างไรประการยังไงติเตียนนักเขียนได้ครับผม🥰🙏
ปล่อยตอนเรื่อยๆจนถึงตอนที่ 5 นะครับตอนต่อไป 
จะอัพเวลาตีสองทุกวันอังคารและเปิดอ่านฟรี 17:00 น.

สารบัญ

ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา-ตอนที่1 กลับบ้านเกิด,ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา-ตอนที่ 2 เขาคือคนตรงข้าม,ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา-ตอนที่ 3 สวนยามเย็นของนัท,ตะวันทึ่สาดส่องทุ่งนา-ตอนที่ 4 เพื่อนใหม่แลเห็น

เนื้อหา

ตอนที่ 2 เขาคือคนตรงข้าม

ธีร์และพ่อทั้งสองขับรถตั้งแต่เช้าตรู่ออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ได้สักพัก มองออกไปทั้งถนนแต่ละเส้นสายทอดยาวกันไปไม่มีสิ้น รายล้อมไปด้วยเครื่องยนต์ของฝูงชนอันนับหลายร้อยกว่าชีวิตคอยแต่ให้คันข้างหน้าเคลื่อนย้าย

     ทั้งสองพ่อลูกแลมองกันด้วยสายตาอันวิตกและใจร้อนละอุ่มทุ่มเล็กน้อยคอยแต่หวังให้แสงไฟสามหลอดบนสี่แยกเปลี่ยนจากสีแดงทับทิมให้เป็นสีองุ่นเขียวเสียที

     ล้อวงยางค่อยๆเกลือกกลิ้งเหยียบย่ำสัมผัสไปกับพื้นปูนทีละคืบๆอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ตัวเครื่องของเค้าไปเสียดสีกับคันอื่น ไม่เว้นแต่รถคันอื่นๆพึ่งแต่ภาวนาขอให้ตัวเองพ้นเสียจากถนนเส้นอันทอดทางยาวของหัวใจกลางเมืองได้เท่านั้น แต่ยังมีอีกนับหลายร้อยชีวิตที่พีงประสงค์แลพวกเขาเช่นเดียวกัน

     หลังจากที่รอมาทั้งเกินครึ่ง เวลาเริ่มค่อยๆเลือนจากหายไปกับอากาศทีละเข็มๆ ลูกส้มสีอ่อนอันอุ่นคลุมเคลือกำลังดีได้พัดพาขึ้นมายังเหนือฟ้าสีน้ำทะเลเย็นแลละมุนตะกรานตาบรรยากาศเริ่มแปรผันไปกลับสภาพอากาศตามประสาเดือนสี่

    ความอบอุ่นเหมือนดั่งแสงตระเกรียงอ่อนๆเริ่มลุกโชนกลายมาเป็นกองไฟที่สุมอยู่ทั่วทุกแผ่นธรณี ความร้อนระอุ่มเหมือนกำลังแผดเผาไปทั่วทุกแห่งหน แต่กลับไม่สะทกสะท้านคนที่นั่งในรถ ทั้งจากแอร์ไอเย็นๆพ่นออกมาแม้ยังไม่ร้อนทั้งครา เว้นแต่คนขับจักรยานต์ยนต์ยังคงทนกับอากาศร้อนรุ่มไปทั่วแบบไม่เต็มใจ คอยพยายามขับฝ่าช่องซอกเล็กๆตามเส้นสายไปอย่างเร่งรีบ

    ธีร์และพ่อของเค้าเปลือกตาของทั้งสองและสายตาที่มองห็นแค่ระยะทางเพียงคืบหน้าก็เริ่มจางแทบลืมเรือนทุกทีแต่ทั้งสองต้องคอยเตือนกันอยู่บ่อยครั้งไม่งั้นอาจจะลบกวนถนนและประชาชนทุกคนเป็นอันแน่

     ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วกว่าจะออกมาจากวังวนลูปทรหดนั้นได้ถือว่าเป็นความโชคดีมากๆถ้าพวกเขามาช้ากว่านั้นเกลือบๆเที่ยงนั้นพ้นมาได้ไม่ใช่ว่าเล่นๆ

ธีร์ : พ่อครับ แค่นั่งในรถผมก็เมื่อยละ

พ่อ : ไม่เอาน่าระยะทางยังตั้งห้าร้อยกิโล

     ก่อนที่ธีร์จะทำหน้าเหวอซีดราวกับเป็นกังวลภายในใจทำให้พ่อของเขาอดใจไม่ได้ที่จะพรวดหัวเราะในใบหน้าของลูกชายของเขาออกมา

ธีร์ : พ่อพอได้แล้ว .. รู้งี้นอนเล่นเกมอยู่หอก็ดีแค่ไหนละครับ

     ก่อนที่พ่อของเขาจะมองใบหน้าอันน้อยใจบูดบึ้งเหมือนลูกพีชที่ยังไม่สุกเต็มทีอย่างละเมียดละไมและความน่าเอ็นดูในความเป็นผู้ใหญ่ของเขา

พ่อ : ไม่เอาน่าา ออกมาข้างนอกหน่อยสิเดี๋ยวก็ได้กลายเป็นคนหลังเขาหรอก

     ในระหว่างเดินทางทั้งสองคนจึงพากันสนทนากันตามประสาของสองพ่อลูกและยังรวมถึงได้สอนธีร์ในการใช้ชีวิตกับการเข้าสังคมอีกต่างหาก

     บรรยากาศหลังออกมาจากตัวเมืองได้สักพักถึงจะมีตึกราวบ้านช่องอยู่บ้างเพียงประปรายพร้อมกับรถยนต์ของบุคคลทั่วไปที่ใช้ชีวิตประจำวันของตังเองเพราะเป็นถนนเส้นสายหลักที่พวงเขาจะใชเดินทางกัน

     แสงจากพระอาทิตย์อันร้อนรนปัดกระทบเข้ากับต้นไม้ระหว่างทางของถนนแปดเลนเผยให้เห็นเงาใบไม้ที่สาดส่องมายังกระจกรถของพวกเขาเป็นครั้งคราจากอากาสในเมืองที่มีแต่ฝุ่นควันขโหมงสีเทาเหม็นกลิ่นระคมคอจากรถทั้งหลายเริ่มเรือนจากลงกลายมาเป็นอากาสบริสุทธิ์อันใสสะอาดตระกานตา

     เสีนงนกร้องและต้นไม้เป็นประปรายทั้งขับผ่านเส้นทางมุ่งสู่ความยาวอันไกลโพ้นหลังจากออกจากตัวเมืองเส้นสายที่มีแต่รถขับผ่านเพียงไม่กี่คัน ระหว่างทางภายนอกของกระจกรถเผยให้เห็นชีวิตประจำวันของชาวบ้านที่อยู่นอกตัวเมือง ทั้งปลูกข้าวนา ดูแลต้อนสัตว์ตามประสาวิถีคนแถวนั้นอยู่ครั้งครา

     ณ เวลาเที่ยงวัน

ธีร์ : พ่อครับเมื่อไหร่จะถึงสักที ผมหิวแล้ว

พ่อ : งั้นแวะเซเว่นไหมล่ะ เดี๋ยวพาแวะจะได้ซื้อของไว้กินยันทุ่มนึงเลย

ธีร์ : ครับผม ….

     หลังจากที่คุยกันเสร็จเรียบร้อนพ่อของเขาจึงได้ขับรถแวะปั้มระหว่างทางเป็นการจอดพักระหว่างทางเตรียมการใหม่

     ทั้งสองแยกย้ายกันออกไปซื้อข้าวของตามที่คิดเอาไว้ก่อนจะทานอาหารที่นี่มื้อเมนูอาหารเวฟอุ่นๆร้อนๆที่เวฟมาใหม่ๆจากเซเว่นพร้อมรับประทาน หลังจากเปิดดูภายในกล่องฟุ้งไปด้วยรถชาติของเครื่องเทสและกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วรสชาติไส้กรอกที่พวกเขาได้สั่งมามีความกรอบนอกนุ่มละมุนในโพรงลิ้น

     หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ จึงได้เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางอีกครั้งสู่เส้นทางอันยาวไกล…

     หลังจากผ่านมาได้หนึ่งวัน…

ณ เวลา 05:45 น.

พ่อ : ธีร์ ธีร์ ตื่นได้แล้ว

ธีร์ : (เรือนกายพลัดตื่นกะทันท่วงที)

หลังจากที่ผมนอนไถโซเชียลบนโลกออนไลน์มาได้สักพักแล้วนั้น ในตาของผมเริ่มเบลอเลือนขึ้นทุกทีหลังจากที่มองเห็นแสงสีส้มอ่อนๆละหว่างทางก่อนที่หนังตาของผมแทบจะประกลบเข้าหากันเต็มทนแล้ว มือไม้เริ่มสั่นคลอนเมื่อยไปทั่วไร้น้ำเรี่ยวแรงก่อนที่ภาพจะดำเลือนไปในที่สุด

เท่าที่ผมจำได้ผมเจอแสงสีเหลืองโทนเข้มๆตามระหว่างทางกระทบกับป้ายทางจังหวัดสุรินทร์ ผมไม่รู้ว่าพ่อผมขับรถเร็วแค่ไหนแต่หลังจากที่เค้าขับรถมายังปากซอยก่อนจะถึงหน้าบ้านสองใบหูของผมได้ยินเขาแพล่มบ่นพูดกับผมหรือ คุยกับตัวเองเป็นแน่ น้ำเสีนงเขาพูดประมาณว่า …

พ่อ : เห้อกลับบ้านไปว่าจะงีบสักเที่ยงละกัน ไหนๆ ก็ ไหนๆละกลับไปว่าจะนอนให้เที่ยงเลยละกัน

     หลังจากที่ขนย้ายข้าวของสัมภาระของเขาเสร็จสับจึงกะว่าจะเดินไปปู่สุกหน่อย เพราะระหว่างทางเขาก็ได้นอนเต็มอิ่มฟูจนอิ่มแล้วเลยไม่ง่วงสักเท่าไหร่ จึงออกไปหาปู่ ณ สวนหลังบ้าน

     หลังจากย่างกลางเข้าไปในสวนหลังบ้าน มีเสียงบางอย่างสั่นสะเทือนดัง ตุ๊บ อยู่ใกล้ๆเขาเสียงนั้นเกิดดังหลายหนทำให้ธีร์อดกลุ้มใจไม่ได้ที่จะเดินไปดู บรรยากาศนอกเมืองกรุงชั่งงดงามสบายอะไรเช่นนี้ป่านนี้เขาคงรีบมากๆเลยแหละไม่งั้นรถจะติดเสียเอา

     เมื่อเด็กชายเริ่มเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆเสียงนั้นจึงค่อยๆแว่วตามสายลมมาทีละนิดๆ ก่อนจะมีเสียงดัง ตุ๊บเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกระทบกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมเสียงลุงแก่ๆดังขึ้นว่า

ปู่ : เห้อดีนะไม่ช้ำ มีแต่กอใหญ่ดีจริงๆ

ชายแก่ๆผู้นั้นดันได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มก่อนที่จะเหลือบมองมาที่ตัวของเด็กชาย

ธีร์ : อะ ฮาเด้ะ อาา สวัสดีครับคุณปู่ไม่ไดดเจอกันนานเลยนะครับ

ปู่ : เอ้าหลานรัก ไม่เจอกันตั้งนานโตเป็นหนุ่มแล้วเป็นไงบ้างที่กรุงเทพสบายดีไหม

ธีร์ : ก็เรื่อยๆแหละครับเดี๋นวผมก็จบล่ะครับ ว่าจะไปต่อมหาวิทยาลัย ไหนๆก็ไหนๆ สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับ

     ธีร์และปู่คุยกันอย่างสนุกพร้อมกับเก็บผลไม้ที่สวนกล้วยของแกตามประสาปู่และหลาน บรรยากาศและวิวทิวทัศน์บ้านนอกคอกนาชั่งเย็นสบายเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเรียบง่าย กลิ่นน้ำค้างอันบานเย็นชื่นปกคลุมไปทั่วทั้งผืนแผ่นส่งกลิ่นไอดินแต่เช้าตรู่

     เสีบงนกกวีบรรเลงพร้อมไก่ขันยามเช้าเป็นเหมือนดั่งเสียงนาฬิกาปลุกบ่งบอกเวลารุ่งอรุณพร้อมตื่นมาลุยยามเช้า ลมเย็นๆพัดผ่านเป็นคร้งคราโบกสะบัดกิ่งไม้เอนอ่อนตามกระแสลม

     หลังจากที่ทั้งสองเก็บกล้วยเสร็จโดยธีร์จะเป็นคนตัดแต่งกล้วยส่วนคุณปู่จะเป็นคนสอยกล้วยกอนั้นลงมา ก่อนจะช่วยกันขนเอาไปไว้ที่รถเข็นเก่าๆทรุดโทรมคันหนึ่งเพื่อนำไปบ่มให้สุกและนำไปขายให้คุณน้าท่านหนึ่ง

     ก่อนที่จะเข็นรถออกไปเด็กชายกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ณ ต้นเงาะตั้นนึง เสียงลมเรียบเชียบไปครู่หนึ่งแต่กิ่งไม้ขนาดใหญ่กลับเขย่ารุนแรงอย่างผิดปกติเสียงสั่นสะทุ่มสะเทือนไปทั้งโคนต้นเล็กน้อย

เสียงเด็กชาย : ย๊าา จับตัวได้….

เสียงเด็กชาย : อะ เดี๋ยวนะ

ธีร์ : อะไรหน่ะ อะ อ๊ากกก

     ธีร์ไม่ทันระวังกลับมีกลับมีตัวต้นเสียงดังกล่าวร่วงลงมากระทบกับเรือนร่างของเขาอย่างรุนแรงหัวใจเต้นสั่นสะท้านเหมือนกับจะหลุดออกมา โพรงตาของเขาเบิกกว้าง ริมฝีปากของเขาตะโกนด้วยน้ำเสียงอันตื่นตระหนกออกมา

ปู่ : เอ้าธีร์ ธีร์….

     ไร้เสียงตอบรับ

     เปลือกตาตาของชายหนุ่มค่อยๆลืมขึ้นมา แต่ดันพบอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองมาที่เขาเหมือนกันในระหว่งนั้นเขากลับขยับตัวไม่ได้ไปสักครู่เเพราะได้รับแรงกระทบจากตัวอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ท่าทางของเขาโดนกดทับให้นอนราบไปกับพื้น

ความรู้สึกอันหนักอึ้งนี่มันอะไรกัน

     โดยท่าทางของอีกฝ่ายที่กำลังคล่อมอยู่ด้านบนของผมแต่อย่างน้อยเขาก็ยังใช้ฝ่ามือของเขาน้อมรับศีรษะของธีร์เอาไว้ โชคยังดีที่หัวของผมยังไม่ได้รับแรงกระทกกระเทือนมากนัก

หลังจากที่ทั้งสองยังสตั้นต่อแววตากัน เสียงโบกสะบัดเสียดสีกันของใบวัชพืชสีเขียวอ่อนนั้นกำลังแหวกว่ายมาทางที่พวกเขาอยู่ ฝีเท้าดัง ตึก ตึก สนั่นไปทั่วผืนป่าเหมือนมีใครบางคนกำลังมา

    

 ต่างฝ่ายต่างตกใจต้อกันจนไม่เป็นที่จังหวะก่อนจะผละเรือนกายออกจากกันหลังจากที่เสียงนั้นจะมาถึง 

ปู่ : เอ้า ไอ่นัท.. เองปีนเป็นไงมาไงเนี่ย

นัท : ผมปีนไปเก็บลูกมะม่วงครับ

ปู่ : แล้วเอง ไม่กลัวร่วงรึ

     

 ปู่ของธีร์ไถ่ถามเด็กชายด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวพูดไม่เป็นไรด้วยความเกรงใจด้วยความซนของวัยเยาว์แล้วพากันเข็นกล้วยหวีสดๆสีเหลืองหอมอิ่มตะกานตาออกจากสวน



 ทั้งสองคนเข็นกล้วยน้ำหว้าสุดงอมออกจากสวนในที่สุด ทว่าสวนของคุณปู่นั้นกลับปลูกพืชหลากชนิดตามถิ่นและความเป็นอยู่ของมันอย่างเป็นระเบียบ

     

 สายตาคร่ามองไปยังภายในสวนดงหญ้าสีเขียวบานชื่นขึ้นตามเส้นทางดินแดงลอดมองมายังภายในมีตั้งแต่ ทุเรียน เงาะ ลองกอง มะปราง ฝรั่ง พร้อมพืชสมุนไพรครื่องเคียงคู่ใจทุกบ้านต่างนาตั้งแต่ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเพราะและอื่นๆ

     

 สายฝนและน้ำค้างทั้งยังเกาะและค้างคาบนใบไม้ได้ร่วงหล่นลงธรณีตามแรงลมเย็นอ่อนๆ ในขณะที่อุ้มเท้าของสองหนุ่มเสียดสีกับใบหญ้าเขียวอ่อนเปียกไปด้วยน้ำค้าง-ดินแดงแต่หัวใจยังคงเปรมปรีได้ถึงกลิ่นดินหอมๆหลังฝนตก

     

 ระหว่างทางนัทและธีร์ยังคงซุกรถเข็นตามสายถนนทางเท้าทอดยาวไปข้างหน้าของทิศตะวันออก ใบหน้าคร่าตาและทุกๆอย่างนิ่งราวกับทั้งสองไม่เคยเห็นอีกฝ่ายแม้แต่เพียงเอ่ยถามคำกัน

    

 หลังจากที่ทั้งสองคนโขนรถขนกล้วยกอมสีเหลืองนวลไปให้แก่แม่ของนัทชื่อนางศรีนวลหรือแม่นวล ทั้งสองจึงได้พบปะพูดคุยถามไถ่ต่อกันกับธีร์อย่างน่าเอ็นดู

แม่นวล : “เอ้า ไม่เจอกันนานเลยนะ” ออกมาต้อนรับ

ธีร์ : “สวสดีครับ” เขาสวัสดีญาติผู้ใหญ่อย่างไม่รีรอ

แม่นวล : แหมเดี่ยวนี้โตเป็นหนุ่มกันแล้วนะเป็นยังไงบ้างล่ะ ที่กรุงเทพฯ

ธีร์ : ก็สบายดีครับ การเรียนถึงยากหน่อย แต่ผมก็ทำได้ครับ

     

 น้ำเสียงแห่งการนอบน้อมเหลียวแลสายน้ำนิ่งเย็นเหมือนเคย ทำให้ญาติผู้ใหญ่เอ็นดูเขาแต่ยังเล็กดั่งเคย

แม่นวล : งั้นน้าฝากลูกน้า ไอ่นัท หน่อยแล้วกันเล่นด้วยกันดีๆนะ

     

  พูดไม่ทันขาดคำเด็กชายรุ่นคราวเดียวเดียวกันกับผมจึงตอบขาดรับด้วยความอิ่มอกฟูใจ ก่อนจะรีบโน้มตัวไปใกล้ไหล่ของผมทำตัวยึกยักและขานรับคำของผู้เป็นแม่

นัท : คร้าบบบผม~ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงบานชื่นเอมอิ่ม

   

  มือที่ค่อยๆเลื้อยๆมาจับอย่างกะปลาหมึกแทบเสียวขนหัวลุกเริ่มบายลงมาบีบบายกับอุ้มมือของผม ก่อนที่ลำแข้งแขนที่อุดมไปด้วยเส้นเลือดกล้ามเป็นมัดกระชากตัวผมแรงซะอย่างจนวิณญาณของผมแทบเฮือกออกมาเสียงั้น

ธีร์ : “นี่ๆ เดี๋ยวสิระวังกันหน่อยก็ได้ กูเกลือบล้มนะ

นัท : ก็เองชักช้าว่ะ เดี๋ยวกูจะพามึงไปเล่นนาเคม๊ะ

     

 เขาที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตในบ้านนอกมานานจนแทบจะลืมเลือนแม้กระทั่งเพื่อนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่กลับนัทที่ตรงข้ามซะยิ่งกว่าหยินหยางอยู่ๆก็ต้องพัวพันกับคนร่าเริงชั่งไม่สนิทกายเอาเสียเลย

     

บรรยากาศอันอบอุ่นท้องฟ้าสีครามคลุมด้วยก้อนขนสำลีหลายชั้น แดดเที่ยงวันสีเหลืองกระเอื่อมสะท้อนลงมายังสองเด็กหนุ่มทั่งสองฝ่าย พื้นดินคันแทสีเขียว ทอดยาวไม่มีสิ้น