เมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์

The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป - บทที่ 4 มัมมี่ฟื้นคืนชีพ โดย laateen @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,สัตว์ประหลาด,แฟนตาซี ,เอาตัวรอด,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สัตว์ประหลาด,แฟนตาซี ,เอาตัวรอด,ผจญภัย,แฟนตาซี

รายละเอียด

The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป โดย laateen @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์

ผู้แต่ง

laateen

เรื่องย่อ


'เอมิลี่' นักโบราณคดีสาวมากความสามารถ ได้ร่วมมือกับ 'โธมัส' วิศวกรหนุ่มคู่หู และ 'ดอกเตอร์ซาเมียร์' นักประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์ ผู้รอบรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์

รวมเป็นทีม 'แวนการ์ด' เพื่อออกสำรวจภายในพีระมิดต้องคำสาปที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ซึ่งผู้คนมากมายต่างขนานนามสถานที่นี้ว่าเป็นตำนานโบราณ ที่หากผู้ใดเข้าไปก็จะโดนกลืนกินและหายสาบสูญไปตลอดกาล


สารบัญ

The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป-บทที่ 1 เริ่มต้นการผจญภัย,The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป-บทที่ 2 บททดสอบกับดักมรณะ,The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป-บทที่ 3 ปริศนาของการเป็มอมตะ,The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาป-บทที่ 4 มัมมี่ฟื้นคืนชีพ

เนื้อหา

บทที่ 4 มัมมี่ฟื้นคืนชีพ



บัดนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการสืบหาคำตอบหรือเผชิญหน้าอีกต่อไป ทั้งสามคนรีบหันหลังเคลื่อนตัวออกจากห้องลับที่กำลังพังทลายนั้นโดยด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขามองหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดท่ามกลางความโกลาหล


ทีมสำรวจแวนการ์ดทิ้งห้องลับที่กำลังสั่นสะเทือน วิ่งไปตามทางเดินที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาอย่างมีเป้าหมาย ต่อให้ไม่รู้ว่าปลายทางข้างหน้าคืออะไร หรือจะมีอะไรรอคอยอยู่ แต่เสียงหัวเราะน่าขลาดกลัวนั้นยังคงไล่ตามมาติด ๆ เสมือนเสียงสัญญาณเตือนให้พวกเขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก


"เราจะไปทางไหนดี ข้างหน้ามีทางแยก!" โธมัสถามเสียงหอบเหนื่อย เขาวิ่งนำหน้าเอมิลี่และดอกเตอร์ซาเมียร์เล็กน้อย แสงจากไฟฉายของเขาส่องไปข้างหน้า พยายามจับภาพสภาพแวดล้อมที่สับสนวุ่นวาย


"ทางขวาดูเหมือนจะกว้างกว่านิดหน่อย ไปทางนั้น!" เอมิลี่ตะโกนตอบกลับ เสียงของเธอยังคงความเด็ดขาด สายตากวาดมองหาสัญลักษณ์ที่บอกถึงเส้นทางปลอดภัยกว่า


"ตอนนี้ เราต้องรีบหาจุดที่พอจะตั้งหลักได้" ดอกเตอร์ซาเมียร์พูดขึ้น เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าววิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง แขนของเขายังคงประคองคัมภีร์ปาปิรุสล้ำค่าแนบกับอก ถึงจะเหนื่อยหอบจนแทบขาดใจ


ทางเดินที่พวกเขาเลือกเริ่มตีบแคบลง ผนังศิลาทั้งสองข้างบีบเข้ามาใกล้จนแทบจะเสียดสีกับไหล่ทั้งสามคน เพดานก็ต่ำลงมามากขึ้นจนต้องก้มตัวลงขณะวิ่ง เพื่อไม่ให้ศีรษะกระแทกกับหินแข็งด้านบน แสงจากไฟฉายริบหรี่ลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม พวกเขายังคงกัดฟันสู้ไม่ยอมให้ความหวังริบหรี่ตามแสงไฟที่กำลังจะมอดดับลงไป


ฉับพลันนั้นเอง!


"ระวัง!!!" เสียงร้องเตือนของเอมิลี่แหลมสูง เป็นจังหวะเดียวกับที่พื้นศิลาโบราณยุบตัวลงเป็นโพรงมืดสนิท อากาศเย็นเยียบจากด้านล่างโชยขึ้นมาปะทะร่างของเธอ เสียงศิลาปริแตกดังลั่นพร้อมกับเอมิลี่ที่ตวัดมือทั้งสองข้างออกไปด้านหน้าเพื่อคว้าจับขอบทางเดิน ทว่าปลายนิ้วของเธอกลับครูดไปกับผิวหินขรุขระ จากนั้นร่างของเอมิลี่ก็ร่วงหล่นวูบลงไปในหลุมดำ ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องดังก้องกังวานและเสียงลมพัดผ่านช่องว่างที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เพียงเท่านั้น


"เอมิลี่!!!" โธมัสตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสนิทสุดเสียง หัวใจของเขากระตุกวูบราวกับถูกกระชากออกจากอกอย่างแรง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างจนแทบถลน จ้องมองไปยังความว่างเปล่าที่เพิ่งกลืนกินร่างของเอมิลี่หายลับไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มหันขวับไปมองดอกเตอร์ซาเมียร์ที่วิ่งตามหลังมาติด ๆ


"ผมจะตามลงไป ดอกเตอร์หาที่ยึดเหนี่ยวให้มั่น อย่าเข้ามาใกล้ขอบหลุม!" เขาตะโกนสั่ง แม้เสียงหัวเราะเย็นเยียบจะตามใกล้เข้ามา ทว่าไม่อาจสั่นคลอนการตัดสินใจของเขาได้แม้แต่น้อย มิตรภาพยาวนานและความผูกพันที่เขามีต่อเอมิลี่อยู่เหนือความหวาดหวั่น ชายหนุ่มไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขาถีบตัวออกจากพื้นศิลาแล้วกระโจนตามร่างของเอมิลี่ลงไปในอเวจีมืดมิดอย่างไม่คิดชีวิต


ดอกเตอร์ซาเมียร์ซึ่งวิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด พยายามจะหยุดยั้งร่างสูงใหญ่ของโธมัสที่พุ่งไปข้างหน้า ด้วยทางเดินคับแคบบวกกับการวิ่งมาด้วยความเร็วกะทันหัน ประกอบกับความลื่นของพื้นส่งผลให้ร่างสูงวัยเสียหลักไม่อาจควบคุมได้ เท้าข้างหนึ่งเหยียบพลาดลงไปในช่องว่างที่เพิ่งเปิดอ้าอยู่พอดี ร่างของนักโบราณคดีอาวุโสหมุนคว้างอยู่กลางอากาศชั่วครู่ ก่อนจะร่วงหล่นตามคนทั้งสองลงไป พร้อมกับคัมภีร์ปาปิรุสที่หลุดจากมือก็ปลิวว่อนตามลงไปด้วย


ตูม! โครม!


"อั่ก" เสียงร่างของโธมัสกระแทกเข้ากับพื้นแข็งกระด้างอย่างแรง ความเจ็บปวดเฉียบพลันแล่นปราดจากข้อเท้าซ้ายขึ้นมาจนถึงสะโพก เขาพยายามข่มความเจ็บปวด กัดฟันแน่นจนกรามสั่น ตั้งสติแม้ลมหายใจจะติดขัดและเจ็บหน้าอกจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนจะไอออกมาติดต่อกันหลายครั้ง เพราะสำลักฝุ่นหนาทึบที่คลุ้งกระจายจนแสบจมูก


"แค่ก แค่ก เอมิลี่! ดอกเตอร์!" โธมัสตะโกนเรียกชื่อเพื่อนร่วมทีมทั้งสองทันทีเมื่ออาการไอเริ่มทุเลาลง แสงจากไฟฉายส่องหาเอมิลี่และดอกเตอร์ซาเมียร์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อแสงผ่านความมืดมิดกลับทำให้เห็นรายละเอียดของสถานที่แห่งใหม่ที่พวกเขาตกลงมา


โธมัสพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงขนาดเล็กกว่าห้องลับก่อนหน้านี้มาก เพดานค่อนข้างต่ำ ผนังหินทรายสีเหลืองนวลทั้งสี่ด้านสลักเสลาเป็นภาพเทพเจ้าและฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณ ทว่าคราวนี้ภาพเหล่านั้นกลับดูแฝงด้วยความชั่วร้ายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในงานศิลปะอียิปต์ที่เขาเคยเห็น


ภาพการประกอบพิธีกรรมบูชายัญ รูปคนถูกมัดนอนอยู่บนแท่นบูชา มีนักบวชสวมหน้ากากสัตว์เงื้อมีดขึ้นสุดแขน เทพอสูรมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมชาติ ดวงตาถูกสลักให้กลวงลึก ดูเหมือนจ้องมองออกมาจากผนัง จิตวิญญาณกระหายเลือดแผ่ซ่านออกมาจากลายสลักส่งให้บรรยากาศโดยรอบเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิมไม่ไกลจากจุดที่เขานั่งกองอยู่กับพื้น


ร่างของเอมิลี่และดอกเตอร์ซาเมียร์นอนนิ่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งคู่ค่อย ๆ เริ่มรู้สึกตัว เปลือกตาที่หนักอึ้งของเอมิลี่ปรือเปิดขึ้น เธอกะพริบตาถี่สองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงจากไฟฉายคาดศีรษะของโธมัสที่ส่องมายังเธอ


"อึก เราอยู่ที่ไหนกัน" เอมิลี่ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดวงตายังคงพร่ามัวเล็กน้อยจากแรงกระแทกและความมึนงง


"เราตกลงมา โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่สูงมากเมื่อเทียบกับที่ฉันคิดไว้" โธมัสกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ข้อเท้าซ้าย พยุงร่างสูงใหญ่ของตนเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล รู้สึกเจ็บแปลบจนแทบทรุดลงไปอีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนซี้ทำให้เขารีบเขย่งเท้าขวาเข้าไปประคองเอมิลี่ให้ลุกขึ้นนั่ง "เธอเป็นอะไรมากไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า"


"ฉันยังไหว แค่มึนหัวนิดหน่อย" เอมิลี่ตอบพลางสำรวจร่างกายตัวเอง โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่มีกระดูกส่วนไหนหักหรือบาดแผลร้ายแรง "แล้วดอกเตอร์ล่ะคะ ดอกเตอร์ซาเมียร์ปลอดภัยหรือเปล่า" เธอหันไปมองร่างของนักโบราณคดีสูงวัยที่กำลังค่อย ๆ ลืมตาและพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของเขามีรอยถลอกที่แก้ม


"ผมไม่เป็นไร แค่ก!" ดอกเตอร์ซาเมียร์ตอบเสียงเบา เขาไอออกมาสองสามครั้ง กระชับกรอบแว่นที่เลื่อนหลุดให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อตั้งสติได้ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง มือข้างหนึ่งควานหาสิ่งสำคัญที่อาจจะตกหล่นอยู่ข้างตัวอย่างร้อนรน ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นม้วนกระดาษสีน้ำตาลที่นอนสงบนิ่งอยู่ไม่ไกลจากเท้าของโธมัสมากนัก จึงรีบคลานเข้าไปหยิบม้วนปาปิรุสล้ำค่านั้นขึ้นมาปัดฝุ่นออกแล้วกอดมันไว้แนบอกราวกับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต


"ขอบคุณสวรรค์ คัมภีร์ยังปลอดภัยดี"


ความโล่งใจเข้ามาเยือนได้เพียงชั่วครู่ เสียงหัวเราะด้วยความกระหายที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง มันกำลังก้าวเข้ามาในห้องโถง ทำเอาเลือดในกายของพวกเขาทั้งสามคนเย็นเฉียบขึ้นมาทันที


"มันมาแล้ว เตรียมตัว!" โธมัสลืมความเจ็บปวดที่ข้อเท้า ดวงตาสีฟ้าคมกริบมองตรงไปยังทางเข้าเพียงทางเดียวของห้องโถง ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป แต่เป็นความตื่นตัวพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกายตึงเครียด เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจจะหมายถึงชีวิตหรือความตายของพวกเขา


"ทุกคนหาที่กำบัง ระวังตัวด้วย!" เอมิลี่ดึงมีดสั้นออกมา ย่อตัวลงต่ำเล็กน้อย เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหว


บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยความตึงเครียด อากาศรอบตัวเย็นลงกะทันหันประหนึ่งว่าพวกเขากำลังอยู่ในห้องเย็นจัด วินาทีต่อมาก็ปรากฏเงาทะมึนทาบลงมาจากปากทางเข้าห้องโถง


เสียงฝีเท้าหนักลากไปกับพื้นหิน ชวนให้ขนลุกเกรียว ใกล้เข้ามาทุกขณะ ใกล้เข้ามาทุกวินาที พร้อมกับเสียงลมหายใจที่ฟังดูคล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่กำลังเกรี้ยวกราด


โธมัสกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับยกปืนสั้นเล็งไปยังเป้าหมาย ถัดไปเป็นเอมิลี่กำมีดสั้นเตรียมสำหรับต่อสู้ ส่วนดอกเตอร์ซาเมียร์เก็บกระดาษปาปิรุสสุดล้ำค่าใส่กระเป๋า ก่อนจะดึงมีดยาวออกมาถือไว้ด้วยความพร้อม


ในชั่วอึดใจต่อมา สิ่งที่พวกเขาเคยเห็นเพียงในหนังหรือภาพยนตร์ก็ปรากฏ แสงจากไฟฉายสามกระบอกจับไปยังสิ่งนั้นพร้อมกัน


ร่างหนึ่งค่อย ๆ ก้าวออกมาจากความมืด รูปร่างผอมโซห่อหุ้มด้วยผ้าลินินสีเหลืองซีด เปรอะเปื้อนคราบฝุ่น รอยด่างดำคล้ำ ผ้าบางส่วนหลุดลุ่ยขาดวิ่น เผยให้เห็นผิวหนังแห้งเหี่ยวตึงแนบติดกระดูก


"โอ้พระเจ้า สรุปมีมัมมี่ออกมาจริงเหรอ..." โธมัสเอ่ยออกมาด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะขยับเท้าทั้งสองข้างเล็กน้อย ไม่มีร่องรอยของการลังเลหรือความคิดที่จะถอยหนี


มัมมี่หรือสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อน บัดนี้คือร่างคืนชีพอันน่าพรั่นพรึง มันก้าวเท้าที่พันธนาการด้วยผ้าเก่าออกมาอย่างยืดยาด ใบหน้าเหี่ยวย่นสยดสยองจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม เบ้าตาลึกกลวงไร้แวว ริมฝีปากแห้งแตกเผยอออก อวดแนวฟันผุพังสีเหลืองคล้ำเรียงรายกันน่าสะอิดสะเอียน


มันอ้าปากกว้างออก เปล่งเสียงคำรามแหบแห้ง นิ้วมือที่ถูกพันธนาการด้วยผ้าเก่ายาวเรียวผิดรูป เล็บแหลมคมสีดำงอกยาวทะลุผ้าพันแผลออกมา แลดูพร้อมที่จะฉีกกระชากทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้แหลกลาญ เอมิลี่รีบหยิบกล้องขึ้นมาอัดวิดีโอสิ่งมหัศจรรย์ที่ปรากฏต่อหน้าด้วยความตื่นเต้น


"ดอกเตอร์ซาเมียร์ พอจะมีจุดอ่อนอะไรบ้างไหมคะ ตามตำราหรือบันทึกโบราณที่คุณเคยศึกษามา" เอมิลี่หันไปถามนักปราชญ์อาวุโส พร้อมกับเก็บกล้องใส่กระเป๋าเมื่อได้หลักฐานชิ้นสำคัญในฐานะนักสำรวจโบราณคดีที่ได้พบกับมัมมี่ตัวจริง


ดอกเตอร์ซาเมียร์ยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสอง เขามองมัมมี่ตนนั้นด้วยสายตาวิเคราะห์ราวกับกำลังพิจารณาวัตถุโบราณชิ้นสำคัญ ต่อให้อยู่ในสถานการณ์คับขันถึงชีวิตก็ยังคงสงบนิ่งดุจน้ำลึก


"ตามคติความเชื่อและบันทึกที่ค้นพบ มัมมี่มักจะเคลื่อนไหวได้เชื่องช้ากว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีความเปราะบางต่ออัคคีภัย สิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษคืออาคมโบราณ คำสาปที่อาจจะยังคงสถิตหลงเหลืออยู่กับร่างนั้นซึ่งอาจมีผลกระทบที่คาดไม่ถึง"


"โอเค เราจะล่อมันไปยังบริเวณโถงด้านหน้าที่เราเพิ่งผ่านมาซึ่งมีพื้นที่กว้างกว่านี้ เพื่อที่จะได้เคลื่อนไหวได้สะดวก" หัวหน้าทีมสั่งการ พริบตานั้นเธอได้ก้าวขึ้นมารับบทบาทผู้นำทีมสำรวจ


"เอาตามนี้ ส่วนฉันจะเป็นคนดึงความสนใจของมันไว้เอง" โธมัสพยักหน้ารับคำสั่ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียด เขาปรับท่ายืน ยกปืนขึ้นอยู่ในท่ายิงเตรียมพร้อม นิ้วชี้แตะลงบนไกปืนเบา ๆ ลำกล้องปืนเล็งตรงไปยังส่วนกลางลำตัวของมัมมี่ ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก


ไม่มีเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต มีแต่ทีมเวิร์กที่ก่อตัวขึ้นและพร้อมเผชิญหน้ากับอันตรายตรงหน้า เสียงฝีเท้าของพวกเขายังคงดังก้องสะท้อนผนังหิน ไม่ใช่เสียงย่ำเท้าแห่งความแตกตื่น หากแต่เป็นเสียงของการเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผน เตรียมพร้อมรับมือมัมมี่ที่เคลื่อนที่รุกคืบเข้ามา


"มันมาแล้ว!" โธมัสตะโกนเตือน ม่านตาของเขาหดเล็กลงจดจ่อไปยังเป้าหมาย มัมมี่ตัวนั้นคำรามลั่นอีกครั้ง ก่อนพุ่งเข้าใส่เขาด้วยท่าทางเชื่องช้า ทว่ากลับเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง


ปัง!


เสียงปืนดังกึกก้องสะท้อนก้องไปมาในทางเดินแคบ กระสุนนัดแรกจากปืนพกของโธมัสพุ่งแหวกอากาศเข้าเจาะบริเวณหน้าอกของมัมมี่อย่างแม่นยำ แรงปะทะจากหัวกระสุนทำให้ร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลนั้นเซถอยหลัง ฝุ่นผงจากผ้าลินินเก่าแก่ฟุ้งกระจายออกมา ร่างผอมแห้งยังคงยืนตรง เมื่อตั้งหลักได้แล้วมันก็เดินมุ่งตรงมาหาโธมัสทันที


"มันไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด" เอมิลี่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วใช้ความปราดเปรียวที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีหลบการตวัดแขนอันเชื่องช้าแต่หนักหน่วงของมัมมี่ได้อย่างเฉียดฉิว เส้นผมของเธอปลิวไสวจากการเคลื่อนไหว แล้วจึงใช้มีดคู่ใจกรีดเข้าที่ผ้าพันแผลบริเวณขาของมันอย่างสุดแรง คมมีดที่คมกริบตัดผ่านผ้าลินินเก่าแก่ขาดวิ่นออกเป็นริ้ว เผยให้เห็นกระดูกสีเหลืองคล้ำผุด้านใน


มัมมี่ร้องเสียงแหบโหยหวน การเคลื่อนไหวของมันดูเหมือนจะช้าลงเล็กน้อยจากบาดแผลที่ได้รับ ดอกเตอร์ซาเมียร์สังเกตเห็นผ้าลินินเก่ากองอยู่ไม่ไกลนัก เขารีบหยิบมันขึ้นมาปั้นเป็นวงกลมแล้วถือมันไว้ในมือ "คุณโธมัส คุณเอมิลี่ ล่อมันมาทางนี้ ผมมีแผน!"


โธมัสยิงซ้ำอีกนัด คราวนี้กระสุนเจาะเข้าที่หัวไหล่ขวาของมัมมี่ แรงกระแทกทำให้แขนข้างนั้นของมันห้อยตกลงผิดรูป มัมมี่ชะงักงันเปิดโอกาสให้เอมิลี่สามารถออกมาสมทบกับดอกเตอร์ซาเมียร์ได้อย่างปลอดภัย


"ทางนี้สิวะ ไอ้มัมมี่กระจอก!" โธมัสตะโกนท้าทายพลางยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีกหนึ่งนัดเพื่อล่อมัมมี่ให้หันเหความสนใจทั้งหมดมาที่เขาเพียงผู้เดียว


เมื่อมัมมี่เขยิบเข้ามาใกล้ในระยะที่คำนวณไว้ ดอกเตอร์ซาเมียร์ผู้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว รีบจุดไฟไปที่ก้อนผ้าลินินเก่าด้วยไฟแช็กโลหะที่พกติดตัวไว้เสมอ เปลวไฟสีส้มลุกพรึ่บ ก่อนจะยื่นก้อนผ้าลินินที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงจ่อเข้าบริเวณผ้าพันแผลตรงช่วงลำตัวของมันทันที


พรึ่บ!


ผ้าพันศพแห้งกรอบและชุ่มโชกไปด้วยน้ำยาอาบศพเมื่อหลายพันปีก่อนติดไฟอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสีส้มแดงลุกโชนลามทั่วร่างของมัมมี่ เสียงหวีดร้องแสนทรมานดังออกมาจากลำคอ มันดีดดิ้นทุรนทุราย สะบัดแขนขาไปมา พยายามจะดับไฟที่กำลังเผาร่างของมัน หลังจากนั้นไม่นานมันก็ล้มลงกับพื้นหินแล้วแน่นิ่งไป ท่ามกลางกลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งของผ้าลินินและเนื้อหนังที่ถูกเผาไหม้ ผสมกับควันไฟสีดำที่ลอยคละคลุ้งจนแสบจมูก


"เยส! สำเร็จ" โธมัสหอบหายใจหนัก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นข้างขมับ เขาลดปืนลงข้างตัว กล้ามเนื้อแขนยังคงสั่นเล็กน้อย มองร่างมัมมี่ที่ได้กลายเป็นเพียงกองเถ้าถ่านตรงหน้า เอมิลี่เองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มือสีแทนยังคงกุมมีดคู่ใจไว้ เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ


อนิจจา ความเงียบสงบที่พวกเขาปรารถนากลับคงอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่ฝันร้ายระลอกใหม่จะเริ่มขึ้น


ครืด...ครืด...


เสียงลากเท้าชวนรู้สึกหวาดหวั่นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ดังมาจากทิศทางเดียวเหมือนครั้งแรก เสียงนั้นดังสะท้อนมาจากทางเดินทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ มันยังดังมาจากทางเดินด้านหน้าที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมา


เงาร่างตะคุ่มเริ่มปรากฏขึ้นจากความมืดทีละร่าง สองร่าง สามร่าง และในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลายเป็นห้าร่าง พวกมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากทุกทิศทางพร้อมกับปิดล้อมพวกเขาเอาไว้…