เมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์
แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,สัตว์ประหลาด,แฟนตาซี ,เอาตัวรอด,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาปเมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์
'เอมิลี่' นักโบราณคดีสาวมากความสามารถ ได้ร่วมมือกับ 'โธมัส' วิศวกรหนุ่มคู่หู และ 'ดอกเตอร์ซาเมียร์' นักประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์ ผู้รอบรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์
รวมเป็นทีม 'แวนการ์ด' เพื่อออกสำรวจภายในพีระมิดต้องคำสาปที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ซึ่งผู้คนมากมายต่างขนานนามสถานที่นี้ว่าเป็นตำนานโบราณ ที่หากผู้ใดเข้าไปก็จะโดนกลืนกินและหายสาบสูญไปตลอดกาล
แสงสว่างจากไฟฉายคาดศีรษะของเอมิลี่ตัดผ่านความมืด ส่องสว่างทางเดินแคบดิ่งลึกลงไป ผนังหินแกรนิตขนาบทั้งสองฟากฝั่ง สัมผัสได้ถึงความเย็นชื้นแผ่ซ่านออกมาจากเนื้อหิน ที่สะท้อนความเก่าแก่มาหลายพันปี
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นประจักษ์พยานแห่งความโอฬาร และความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมไอยคุปต์ บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยฝุ่นผงที่จับตัวขึ้นตามกาลเวลา ที่ปกปิดความงามสง่าดั้งเดิมไว้ภายใต้ความเสื่อมสลาย ลวดลายอักขระเฮียโรกลิฟิก และภาพเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เลือนรางจนแทบจำแนกรายละเอียดไม่ได้ ดุจดังความทรงจำที่กำลังจะสูญสลายไปพร้อมกับยุคสมัย ละอองฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าล่องลอยอยู่ในอากาศ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้นอันเป็นเอกลักษณ์ของหินเก่าแก่ ผสมผสานกับกลิ่นคล้ายเครื่องหอมโบราณที่ยังคงหลงเหลือ สร้างบรรยากาศภายในพีระมิดเย็นเยียบ ทำเอาขนทั่วสรรพางค์กายลุกซู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"ระวังตัวกันด้วย" น้ำเสียงทุ้มต่ำของโธมัสเอ่ยเตือนเพื่อนร่วมทีม แม้จะเป็นการเปล่งเสียงที่แผ่วเบาจนแทบจะกลืนหายไปกับความเงียบ ในพีระมิดที่ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นใดนี้ เสียงของเขากลับสะท้อนกังวาน มันกระทบผนังหินแล้วสะท้อนกลับมาวนเวียนอยู่รอบตัว เงาของพวกเขาทั้งสามคนทอดตามความโค้งของผนัง มือข้างหนึ่งของโธมัสถือไฟฉายกำลังสูง สาดความสว่างกวาดสำรวจพื้นทางเดินต่างระดับ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขากำด้ามปืนพกไว้แน่น หยาดเหงื่อเย็นเม็ดเล็กผุดซึมบนหน้าผาก ทั้งที่อากาศภายในพีระมิดหนาวเหน็บจนแทบจะทำให้เลือดในกายแข็งตัว
เอมิลี่เดินนำหน้าสมาชิกทีมอีกสองคน ฝีเท้าของเธอกำลังเหยียบลงบนพื้นหินโบราณทุกก้าวด้วยความระแวดระวัง เธอกดน้ำหนักเท้าลงบนพื้นให้เบาที่สุด สดับฟังเสียงสะท้อนที่อาจเป็นโพรงหรือกลไกที่ซ่อนอยู่ใต้พื้น ประสาทสัมผัสทุกส่วนถูกปลุกให้ตื่นตัว เสมือนเครื่องรับสัญญาณที่พร้อมจะจับทุกความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย หูคอยเงี่ยฟังเสียงที่อาจเล็ดลอดมาจากความมืด จมูกพยายามแยกแยะกลิ่นแปลกปลอมที่อาจเป็นสัญญาณเตือนภัย เอมิลี่ตระหนักดีว่าความผิดพลาดเพียงน้อยนิดในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปริศนาและความตายเช่นนี้ อาจนำมาซึ่งจุดอวสานของทุกคนในทีม ความรับผิดชอบในฐานะผู้นำทีมแวนการ์ดกำลังกดทับอยู่บนบ่าของเธอ
ดอกเตอร์ซาเมียร์ผู้อาวุโสชาวอียิปต์เป็นคนเดินรั้งท้ายกลุ่ม ร่างผอมสูงของเขาเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง มือข้างหนึ่งประคองคัมภีร์โบราณ ส่วนมืออีกข้างถือไฟฉายขนาดกะทัดรัดเพื่อส่องสำรวจผนังหิน นัยน์ตาภายใต้แว่นกรอบหนาสำรวจตามแนวทางเดิน เขาพยายามถอดรหัสอักษรโบราณ ที่บรรพชนสมัยนั้นสลักเสลาไว้อย่างประณีตงดงามเมื่อหลายพันปีก่อน
"ให้ตายเถอะ ที่นี่มันน่าขนลุกเป็นบ้า" ใบหน้าหล่อตามฉบับหนุ่มอเมริกันของโธมัส ชะโงกมองเข้าไปในความมืดทะมึนอย่างไม่ไว้วางใจ คล้ายกับกำลังระแวงว่าจะมีอะไรบางอย่างที่น่าสยดสยองกระโจนออกมาจากความมืดมัวนั้น เงาที่ทาบทับอยู่ตามซอกมุมของทางเดินประหนึ่งมีชีวิต เพราะมันขยับไหววูบวาบทุกครั้งที่แสงจากไฟฉายกวาดผ่าน สร้างความรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากสิ่งที่มองไม่เห็น
"เหมือนมีสายตากำลังจ้องเราอยู่เลย อย่าบอกนะว่าจะมีมัมมี่ออกมาจริง ๆ"
"เงียบก่อนโธมัส เก็บเสียงไว้" เอมิลี่ปรามเพื่อนหนุ่มเสียงเข้ม เธอไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดในน้ำเสียง
พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ สู่ใจกลางของพีระมิด ความเงียบสงัดเข้าครอบงำจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำอยู่ในอก ไม่ใช่เพียงแค่เสียงหัวใจของตนเองเท่านั้น แต่ยังได้ยินเสียงหัวใจของเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่เต้นรัวไม่แพ้กัน มีเพียงเสียงฝีเท้าหนักเบาสลับกันของทั้งสามคนที่สะท้อนไปมาตามพื้นหิน
เอมิลี่เงยหน้าขึ้น มองไปยังปลายทางของแสงไฟฉายคาดศีรษะกระทบกับผนังหินที่ดูเหมือนจะเป็นจุดสิ้นสุดของทางเดิน ช่องเปิดขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ข้างในดูมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใดภายใน อากาศพัดผ่านออกมาจากช่องนั้นเย็นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ทั้งสามคนค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าสู่ห้องโถงนั้นอย่างใจเย็นและระมัดระวังที่สุด แสงจากไฟฉายทั้งสามดวงกวาดสำรวจอย่างพร้อมเพรียงกัน แสดงให้เห็นโถงขนาดใหญ่ที่ดูแล้วน่าทึ่งจนแทบหยุดหายใจ เพดานโค้งสูงลิบจนแสงสว่างจากไฟฉายแทบส่องไม่ถึง ผนังทั้งสี่ด้านของห้องโถงสลักเป็นภาพเรื่องราวตำนานเทพเจ้าอียิปต์โบราณอย่างประณีตงดงาม สีสันที่เคยสดใสเมื่อหลายพันปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นสีทองหรือสีแดงอิฐซีดจางลงไปมาก
"โอ้พระเจ้า มันสวยมาก" โธมัสอุทานออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ชายหนุ่มกวาดไฟฉายรอบทิศอย่างตื่นเต้น ราวกับเด็กน้อยที่ได้เข้ามาในร้านขายของเล่นมหัศจรรย์
"อย่าเพิ่งตื่นเต้นจนลืมตัวไปนะโธมัส ระวังด้วย" เอมิลี่เตือน เธอยังคงสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องโถงอย่างไม่วางใจ จัดการหยิบกล้องดิจิทัลออกมาแล้วถ่ายไปไม่กี่รูปก่อนจะรีบใส่มันกลับที่เดิม เพราะสถานการณ์อันตรายแบบนี้อย่าได้หลงระเริงไปกับความสวยงาม ต้องมีสติและพึงระวังตัวไว้เสมอ
"สถานที่ที่ดูสวยงามแบบนี้ มักจะเต็มไปด้วยกลไกป้องกันที่อันตราย" ดอกเตอร์ซาเมียร์พูดเสริม ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มเกาะกุม มันแปลกเกินไป ราวกับเป็นความสวยงามที่ไว้ใช้สำหรับดึงดูดมนุษย์ผู้โลภมาก ให้ติดกับดักมโนรมย์เพื่อสังเวยชีวิตแด่สถานที่แห่งนี้
สิ้นเสียงเตือนของดอกเตอร์เสมือนเป็นสัญญาณ พื้นหินแกรนิตใต้เท้าของพวกเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงของหินเสียดสีกันผสานกับเสียงกลไกโบราณที่ดังมาจากใต้พื้นดิน เศษปูนจากเพดานสูงร่วงลงมาเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นชั่วขณะ
"กับดัก มันเป็นกับดัก!" ดอกเตอร์ซาเมียร์ร้องเสียงหลง ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความตกใจ ร่างกายสั่นเทิ้มจนแทบจะยืนไม่อยู่
ผนังหินที่เคยทึบตันทั้งสองฟากฝั่งของโถงทางเดินพลันปรากฏรอยปริแยก ไล่จากเพดานจรดพื้นดั่งอสรพิษเลื้อยผ่าน ก่อนที่รอยจะขยายกว้างออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีกับศีรษะมนุษย์เรียงรายเป็นแถวยาว มองดูคล้ายดวงตานับร้อยคู่ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
"ระวัง!" เอมิลี่ตวาดลั่นสุดเสียง นัยน์ตาสีเฮเซลนัตคู่สวยเบิกกว้าง จับจ้องไปยังผนังหินที่เพิ่งเปลี่ยนสภาพไป
!!
ไม้ปลายแหลมคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากช่องสี่เหลี่ยมราวกับห่าฝน มันเสียดสีกับอากาศด้วยความเร็วจนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวบาดแก้วหู ความแหลมคมของไม้พุ่งทะลุอากาศชนิดที่ดวงตาของมนุษย์ธรรมดามองตามแทบไม่ทัน เห็นเพียงเส้นสายสีดำพร่าเลือนเคลื่อนที่ผ่านไป ปลายแหลมของคมดูเหมือนเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายพร้อมจะฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งให้ดับดิ้น ความตายที่มองเห็นได้เป็นรูปธรรมกำลังพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาจากทุกทิศทาง
"หมอบลง!" เอมิลี่ตะโกนก้องอีกครั้ง สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดที่ถูกปลุกเร้า สั่งให้ร่างของเธอพุ่งลงต่ำติดพื้นโดยอัตโนมัติ ร่างเพรียวบางแนบสนิทกับพื้นหินเย็นเฉียบ กล้ามเนื้อทุกส่วนตอบสนอง ก่อนที่สมองจะประมวลผลถึงภยันตรายทั้งหมดที่กำลังถาโถมเข้ามาด้วยซ้ำ
โธมัสและดอกเตอร์ซาเมียร์ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกันนัก ล้มตัวลงนอนราบกับพื้นหินได้อย่างหวุดหวิด หนุ่มอเมริกันรู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดผ่านเหนือศีรษะของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว หากการตัดสินใจของเอมิลี่ช้ากว่านี้แค่เพียงวินาทีเดียว ศีรษะของพวกเขาคงถูกเจาะพรุนเป็นรังผึ้งไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เลือดคงสาดกระเซ็นผสมกับเศษสมองกระจายเกลื่อนพื้น กลายเป็นภาพสยดสยองที่ไม่อาจจินตนาการได้
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงลูกศรดังถี่รัวเมื่อไม้แหลมมากมายพลาดเป้าหมายที่เป็นสิ่งมีชีวิต แล้วพุ่งกระแทกเข้ากับผนังหินฝั่งตรงข้าม ปลายของมันหลายดอกแตกกระจาย บางดอกปักคาผนังลึกจนเกือบมิดด้าม สั่นระริกเป็นจังหวะ เศษฝุ่นกับสะเก็ดหินเล็ก ๆ กระเด็นออกปลิวว่อนในอากาศ
"บ้าฉิบ นี่มันจะต้อนรับกันแบบนี้เลยเหรอวะ" โธมัสสบถลอดไรฟันออกมาอย่างหัวเสีย ขณะที่พยายามดันหน้าอกกับใบหน้าให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหงื่อเม็ดโตขึ้นเต็มหน้าผาก ทั้งที่อากาศภายในอุโมงค์นั้นเย็นยะเยือก ความเย็นจากพื้นหินทะลุผ่านเสื้อผ้าเข้ามาถึงผิวหนัง แต่ร่างกายของเขากลับร้อนรุ่มด้วยความลุ้นระทึก
"เราต้องคลานออกไปจากตรงนี้" เอมิลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เครียดจัด แต่ยังคงควบคุมสติไว้ได้ มองสำรวจแนวไม้แหลมที่ยังคงตรึงแน่น ปักคาอยู่ในผนังหินฝั่งตรงข้ามเป็นระเบียบ ส่วนช่องว่างสีดำบนผนังทั้งสองด้านที่เพิ่งมีลูกศรพุ่งออกมาเมื่อครู่ยังคงอ้าค้างอยู่ เพื่อรอคอยที่จะปล่อยอาวุธสังหารชุดใหม่ออกมา
ทั้งสามชีวิตเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า และระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ หน้าท้องของพวกเขาเสียดสีไปกับพื้นหินขรุขระจนรู้สึกเจ็บแสบ เศษกรวดเล็ก ๆ แทรกเข้าไปในเนื้อผ้า สร้างความระคายเคืองไม่น้อย อุปสรรคสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือเป้สัมภาระหนักอึ้งที่พวกเขาสะพายติดหลังมาตลอด ส่งผลให้การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกระเป๋าเจ้ากรรมคอยแต่จะครูดไปกับพื้น ทำให้ต้องใช้แรงในการลากตัวเองไปข้างหน้ามากขึ้น
วินาทีนี้เสียงหัวใจของแต่ละคนเต้นดังกระหน่ำอยู่ในอก จนแทบจะทะลุออกมานอกซี่โครงเสียให้ได้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจตัวเองผ่านทางแผ่นอกที่แนบอยู่กับพื้น เสียงลมหายใจหอบหนักดังประสานกับเสียงหยดน้ำที่ไหนสักแห่งในความมืดข้างหน้า ชวนให้จินตนาการไปถึงความลึกลับที่ยังรอคอยพวกเขาอยู่
ในตอนนั้นเอง หนูตัวอ้วนพีสีเทาเข้มตัวหนึ่งก็วิ่งพรวดออกมาจากซอกหินเล็ก ๆ ข้างทางเดิน ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าหนูท่อที่พวกเขาเคยเห็นในเมืองเสียอีก ดวงตาสีดำเล็กจ้อยของมันสะท้อนกับแสงไฟฉาย เจ้าหนูอ้วนดูไม่ทุกข์ร้อนหรือสนใจอันตรายรอบตัวที่เพิ่งเกิดขึ้นเลยสักนิด บางทีมันอาจจะคุ้นชินกับกลไกโบราณพวกนี้แล้วก็เป็นได้
!!
"ให้ตายเถอะ!" โธมัสสบถเมื่อเจ้าหนูอ้วนวิ่งตัดผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงกำยำเผลอผงะถอยหลังโดยไม่รู้ตัวด้วยความตกใจ แม้จะเป็นการขยับเล็กน้อยเท่านั้น ร่างกายส่วนบนของเขายกสูงขึ้นจากพื้นไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งในสถานการณ์ความเป็นความตายเช่นนี้ มันคือความเสี่ยงที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
ฟิ้ว!
เสียงแหวกอากาศแหลมคมบาดหูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นเสียงเบากว่าคำรบแรก ลูกธนูไม้ดอกหนึ่งดูเหมือนจะถูกยิงออกมาจากช่องพุ่งเฉียดปลายผมสีทองของโธมัสไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร ทำเอารู้สึกได้ถึงแรงลมที่ตัดผ่านอากาศไป
ลูกธนูปักลึกเข้าไปในผนังหินด้านหลังตัวเขา ตรงตำแหน่งเดียวกับที่ศีรษะของเขาเคยอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน โธมัสหันไปมองมันด้วยความหวั่นผวา ให้ตายเถอะ นี่ถ้าเขาไม่ผงะหลบเจ้าหนูตัวแสบนั่นเมื่อครู่ ป่านนี้ลูกธนูมรณะดอกนั้นคงปักทะลุกลางหน้าผากของเขาไปแล้วอย่างแน่นอน จู่ ๆ ก็นึกภาพของตัวเองนอนตายตาเหลือกโดยมีศรปักคาหน้าผากฉายชัดขึ้นมา คงเป็นสภาพการตายที่ช่างน่าอนาถสิ้นดี
"คุณโธมัส! หมอบลง!"
เสียงร้องเตือนของดอกเตอร์ซาเมียร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของมีคมแหวกอากาศ มันดึงสติของโธมัสกลับมาจากภวังค์แห่งความหวาดกลัว เขาที่ยังคงตะลึงงันกับเหตุการณ์เฉียดตาย ทรุดตัวลงกับพื้นหินอีกครั้งจนหน้าอกกระแทกกับพื้น ความเจ็บปวดทางกายเล็กน้อยนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสั่นสะเทือนในจิตใจ หัวใจของเขาราวกับจะร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาเต้นระรัวอยู่ในลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ลมหายใจติดขัดราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ หน้าของเขาซีดขาวกว่าเดิมหลายเท่าจนแทบจะกลืนไปกับสีของฝุ่นหิน
เขายกมือขวาที่สั่นเทาขึ้นจับศีรษะของตัวเอง ปลายนิ้วสั่นระริกเมื่อลูบผ่านบริเวณที่ลูกธนูเพิ่งเฉียดผ่านไป สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากผิวหนังตัวเอง แต่ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล มีเพียงความทรงจำแจ่มชัดถึงความตายที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาใกล้แค่เอื้อม
"เกือบตายแล้ว..." โธมัสพึมพำออกมาอย่างเลื่อนลอย ความคิดของเขาขาวโพลนไปหมด สมองประมวลผลภาพเหตุการณ์ซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่ในหัว ความตายเพิ่งจะผ่านหน้าเขาไปอย่างฉิวเฉียด ช่องว่างสีดำบนผนังยังคงเปิดอ้ารอคอยอยู่ตรงนั้น พร้อมที่จะปลิดชีวิตผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อหากพลาดพลั้งแม้เพียงนิดเดียว
เอมิลี่หมอบอยู่ข้างหน้าสุด ค่อย ๆ เหลียวกลับมามองโธมัสด้วยความเป็นห่วง แสงจากไฟฉายที่คาดอยู่บนศีรษะที่ส่องให้เห็นดวงตาสีฟ้าที่ยังคงตื่นตระหนกของโธมัสได้อย่างชัดเจน "นี่คู่หู โอเครึเปล่า"
"ใจเย็นไว้คุณโธมัส เรายังปลอดภัย อย่างน้อยก็ตอนนี้" ดอกเตอร์ซาเมียร์ที่อยู่ใกล้โธมัสที่สุด ยื่นมือไปแตะบนแขนของชายหนุ่ม แม้จะพูดปลอบโยน แต่ใบหน้าของนักโบราณคดีอาวุโสก็ยังคงฉาบไว้ด้วยความเคร่งเครียด
"ผมโอเค แค่นี้สบายมาก" โธมัสพยักหน้ารับ พยายามบังคับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างฝืดเฝือ ใบหน้าหล่อมองไปยังทิศทางที่หนูตัวนั้นวิ่งหายไปในความมืดด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
"กลไกมันอาจจะยังทำงานไม่หมด" เอมิลี่พูดขึ้นอีกครั้ง พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ "ช่องพวกนั้นยังเปิดอยู่"
"เราต้องไปต่อ แต่ต้องระวังให้มากกว่านี้อีกหลายเท่า" ดวงตาของดอกเตอร์ซาเมียร์มองลึกเข้าไปในความมืด ซึ่งเป็นทางเดินยาวลึกเข้าไป "สถานที่โบราณแบบนี้ มักจะมีกับดักซ้อนกับดักเสมอ"
"คลานต่อไป และให้แน่ใจว่าทุกการเคลื่อนไหวของเราไม่ไปกระตุ้นอะไรเข้าอีก"
เอมิลี่ตัดสินใจ หลังจากนั้นทั้งสามคนเริ่มขยับตัวอีกครั้ง ความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอด และค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในพีระมิดแห่งนี้ เป้สัมภาระยังคงเป็นอุปสรรค ตอนนี้ทุกย่างก้าว ทุกการคืบคลาน เต็มไปด้วยความตึงเครียด บวกกับความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
เสียงเสียดสีของเสื้อผ้ากับพื้นหิน เสียงลมหายใจ ยังคงเป็นเพียงเสียงเดียวที่พวกเขาได้ยิน แต่ในความเงียบนั้น พวกเขารู้สึกเหมือนมีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องมาจากความมืด รอคอยความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยปลุกกลไกสังหารโบราณให้ทำงานอีกครั้ง
ปลายทางของอุโมงค์นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป และพวกเขาจะมีชีวิตรอดไปจนถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ในเวลานี้ ความหวังริบหรี่ราวกับแสงเทียน ที่พร้อมจะดับมอดได้ทุกเมื่อหากมีลมพัดผ่าน แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังคงต้องก้าวต่อไป เพราะการหยุดอยู่กับที่หรือหันหลังกลับ อาจหมายถึงความตายที่แน่นอนยิ่งกว่า
หลังจากช่วงเวลาที่แสนจะยากลำบากผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็สามารถข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของห้องโถงได้อย่างปลอดภัย เท้าทั้งสองข้างของเอมิลี่แตะพื้นหินอีกครั้ง ความโล่งอกถาโถมเข้ามาจนแทบจะทรุดลงกับพื้น
"สำเร็จ ในที่สุดเราก็ทำได้แล้ว" โธมัสนั่งกับพื้นทันทีเมื่อเท้าแตะพื้น เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมกับหอบหายใจอย่างหนัก
"พวกเราทำได้ดีมาก" เอมิลี่พูด พลางหันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตข้ามมาด้วยความโล่งอก
"นั่นเป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น อย่าเพิ่งวางใจไป" ดอกเตอร์ซาเมียร์เตือนสติ แม้จะดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นของเขายังคงฉายแววกังวล
"จำไว้ว่า พีระมิดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องความลับอันยิ่งใหญ่ และขัดขวางผู้บุกรุกที่มิได้รับเชิญ"
คำพูดของดอกเตอร์ทำให้ความตึงเครียดเริ่มกลับมา เอมิลี่พยักหน้ารับเข้าใจ เพราะการผจญภัยสุดแสนอันตรายเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
พวกเขาทั้งสามคนยืนขึ้นปัดฝุ่นผงตามเสื้อผ้า ตรวจสอบไฟฉายและอาวุธ เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายระลอกต่อไป ที่อาจจะโหดร้ายกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเสร็จแล้ว ทั้งสามคนเดินออกจากห้องโถงเข้าสู่ทางเดินอีกครั้งหนึ่ง ความมืดและความเงียบเข้าปกคลุม บีบรัดประสาทสัมผัสจนแทบคลั่ง
ในครั้งนี้มีความแตกต่างที่สำคัญ แน่นอนว่าทีมสำรวจแวนการ์ดยังคงดำเนินต่อไป ต่อให้เส้นทางข้างหน้าอาจมีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ก็ตาม...