เมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์
แอคชั่น,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,ระทึกขวัญ,สัตว์ประหลาด,แฟนตาซี ,เอาตัวรอด,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
The Cursed Pyramid พีระมิดต้องคำสาปเมื่อรอยแยกแห่งกาลเวลาได้เปิดออก คำสาปพันปีภายในพีระมิดถูกปลดปล่อย ทีมสำรวจแวนการ์ดต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์และความลับใต้สุสานฟาโรห์
'เอมิลี่' นักโบราณคดีสาวมากความสามารถ ได้ร่วมมือกับ 'โธมัส' วิศวกรหนุ่มคู่หู และ 'ดอกเตอร์ซาเมียร์' นักประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์ ผู้รอบรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์
รวมเป็นทีม 'แวนการ์ด' เพื่อออกสำรวจภายในพีระมิดต้องคำสาปที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ซึ่งผู้คนมากมายต่างขนานนามสถานที่นี้ว่าเป็นตำนานโบราณ ที่หากผู้ใดเข้าไปก็จะโดนกลืนกินและหายสาบสูญไปตลอดกาล
ทะเลทรายอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดสิ้นสุด ผืนทรายทองอร่ามราวกับผงทองคำละเอียด ลอยฟุ้งอยู่ในหมู่มวลอากาศ เนินทรายก่อตัวซ้อนทับสลับกันเป็นเกลียวคลื่น เสมือนว่านี่คือประติมากรรมจากธรรมชาติที่ลมร้อนสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างบรรจง
ดวงอาทิตย์ลอยเด่นกลางท้องนภา ประหนึ่งดวงตาของเทพรากำลังพิโรธ ยามส่องแสงแผดเผาทุกสิ่ง ความร้อนระอุอบอวลทุกตารางนิ้ว ส่งผลให้ทัศนียภาพเบื้องหน้าบิดเบือนด้วยไอแดด ลมร้อนพัดหวีดหวิวผ่านช่องระหว่างเนินทราย ก่อตัวเป็นม่านสีทองบดบังวิสัยทัศน์เป็นครั้งคราว
ท้องฟ้าปราศจากเมฆหมอก ชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวในความยิ่งใหญ่อันน่าหวั่นเกรงของธรรมชาติ ท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลทราย ปรากฏทรงสามเหลี่ยมขนาดมหึมาที่มนุษย์ยุคโบราณได้สร้างสรรค์ขึ้น มันคือพีระมิดที่ไม่ปรากฏในแผนที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่เพราะสถานที่นี้ไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด ทว่ามันคือพีระมิดที่ผู้คนต่างไม่คิดจะมาท่องเที่ยวหรือเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ ด้วยตำนานเล่าขานถึงอาถรรพ์น่าสะพรึงกลัว ซึ่งชาวเบดูอินในพื้นที่ต่างเรียกกันว่า 'พีระมิดต้องคำสาป' โดยมีความเชื่อกันว่าหากผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปในพีระมิด ผู้นั้นมีอันต้องโดนพลังลึกลับภายในกลืนกิน และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยตลอดกาล
เต็นท์ผ้าใบกันน้ำขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางทะเลทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา ภายในเต็มไปด้วยอุปกรณ์สื่อสาร แผนที่ เครื่องมือสำหรับขุดเจาะของนักโบราณคดี รวมถึงเครื่องตรวจจับโลหะและเรดาร์หยั่งพื้นดิน อีกฝั่งหนึ่งเป็นมุมครัวเล็ก ๆ ไว้สำหรับชงกาแฟ และเก็บจำพวกน้ำดื่มกับอาหารกระป๋อง สำหรับประทังชีวิตท่ามกลางความแห้งแล้งของทะเลทราย
'เอมิลี่ คาร์เตอร์' นักโบราณคดีสาวชาวอังกฤษวัยสามสิบสองปี เธอกำลังยืนอ่านแผนที่กระดาษขนาดใหญ่ซึ่งกางลงบนโต๊ะทำงานเหล็ก แสงไฟจากหลอดนีออนที่แขวนอยู่บนเชือกในเต็นท์กระทบใบหน้าของเอมิลี่ ทำให้เห็นโครงหน้าของเธอชัดเจน โหนกแก้มสูง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบตึงเป็นหางม้าไว้ด้านหลังอย่างทะมัดทะแมง ปอยผมหลุดลุ่ยลงมาปรกข้างแก้มที่เริ่มแดงก่ำจากไอร้อน ลำคอชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากสภาพอากาศอบอ้าว
ดวงตาสีเฮเซลนัตไล่อ่านตามจุดต่าง ๆ บนแผนที่อย่างพินิจพิเคราะห์ หมึกสีแดงวงกลมในแผนที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับรอยขีดยุ่งเหยิงของปากกา ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น สมองประมวลข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาได้
เอมิลี่อยู่ในชุดที่ออกแบบมาเพื่อความคล่องตัว เสื้อเชิ้ตสีเบจแขนยาวพับมาถึงข้อศอก ผิวสีแทนเนียนละเอียดเสริมให้เธอเป็นผู้หญิงมีเสน่ห์ กางเกงขายาวทรงคาร์โกมีกระเป๋าหลายช่อง ไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์จำเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รองเท้าคอมแบตเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นทราย บนเข็มขัดมีอุปกรณ์ยังชีพและเครื่องมือสำคัญหลายอย่างห้อยอยู่ อาทิ ปืนคู่ใจ มีดพกสั้น อย่างสุดท้ายสำคัญที่สุดคือขวดน้ำสเตนเลสที่บรรจุน้ำเอาไว้ดื่มยามกระหาย
แน่นอนว่า เอมิลี่ไม่ใช่แค่นักโบราณคดีที่ตามหาซากอารยธรรมเพียงอย่างเดียว แต่เธอคือ 'หัวหน้าทีมสำรวจแวนการ์ด' ทีมสำรวจเล็ก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นด้วยตัวเอง แรงผลักดันอย่างแท้จริงคือการหายตัวไปของทีมสำรวจเก่าเมื่อเจ็ดปีก่อน พวกเขาได้หายไปหลังจากท้าทายตำนานด้วยการเข้าไปสำรวจในพีระมิดต้องคำสาป ข่าวสุดท้ายที่ได้รับคือเสียงจากวิทยุสื่อสารที่ขาด ๆ หาย ๆ มีการพูดถึงการค้นพบทางเข้าลึกลับ อีกทั้งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของพวกเขา เหมือนกำลังเผชิญกับอะไรบางอย่างที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ผู้คนต่างเชื่อกันว่านี่คืออาถรรพ์ของพีระมิดต้องคำสาป ข่าวลือแพร่สะพัดว่าภายในพีระมิดเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมายถูกซ่อนเอาไว้ หลังจากนั้นก็มีคนทยอยเข้าไป เพื่อหวังขโมยสมบัติตามคำร่ำลือด้วยความโลภของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ สุดท้ายคนเหล่านั้นก็พบกับจุดจบด้วยการหายไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
สำหรับเอมิลี่แล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสำรวจทางโบราณคดีเพื่อชื่อเสียงหรือความก้าวหน้าในอาชีพ แต่มันคือความท้าทายที่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงในพีระมิด
ขณะที่เอมิลี่กำลังอยู่ในภวังค์ของความคิด เสียงฝีเท้าย่ำลงบนพื้นทรายอีกฝั่งของเต็นท์ก็ดังใกล้เข้ามา หญิงสาวละสายตาจากแผนที่พร้อมกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาปรับโฟกัสจากกระดาษไปยังร่างสูงของเพื่อนสนิท ใบหน้าสวยคมผ่อนคลายลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก
"กาแฟสักหน่อยไหมครับคุณหัวหน้าทีม"
เสียงทักทายนุ่มทุ้มดังขึ้นอย่างร่าเริง เจ้าของเสียงนั้นก็คือ 'โธมัส วิลเลียมส์' วิศวกรหนุ่มชาวอเมริกัน เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของเอมิลี่ ที่ยังคงยืนหยัดเคียงข้างเธอในภารกิจสุดแสนจะบ้าบิ่นนี้ เขาถือแก้วกาแฟในมือมาสองใบ ก่อนจะยื่นมันให้เพื่อนสาว พร้อมกับรอยยิ้มกว้างฉบับหนุ่มอารมณ์ดี
"เผื่อแกลืมนะโธมัส นี่เป็นกาแฟแก้วที่สามแล้ว" เอมิลี่ตอบ เธอรับแก้วกาแฟ ซึ่งถูกชงเป็นครั้งที่สามของวันโดยเพื่อนหนุ่ม มาถือไว้พลางยกขึ้นจิบ
"ให้ตาย ฝีมือการชงกาแฟของแกห่วยเป็นบ้า"
"แต่ก็รับกาแฟจากฉันเป็นครั้งที่สามแล้วนะแม่คุณ" โธมัสหัวเราะหลังจากโดนเอมิลี่มองค้อนใส่ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำ ไหล่กว้างสมส่วนจากการทำงานภาคสนาม เสื้อยืดสีเทาอ่อนแขนสั้นแนบกับกล้ามเนื้อเป็นมัดเรียงตัวสวย ถึงแม้ผิวของเขาจะคล้ำแดด แต่กลับเห็นร่องรอยเม็ดสีขาวเดิมอยู่บ้าง เรือนผมบลอนด์ปลิวสะบัดตามแรงลมของทะเลทราย ดวงตาสีฟ้าฉายแววความขี้เล่นและมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ชายหนุ่มสวมกางเกงยีนสีซีดพร้อมกับรองเท้าคอมแบตคู่ใจ บุคลิกของโธมัสต่างกับเอมิลี่อย่างสิ้นเชิง เขามีนิสัยร่าเริงพร้อมจะปล่อยมุกตลกได้ทุกสถานการณ์ นับว่าเป็นคุณสมบัติที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในทีมสำรวจ ที่ต้องเผชิญความกดดันได้เป็นอย่างดี
โธมัสรู้ดีว่าภารกิจนี้มีความหมายต่อเอมิลี่มาก เขาเห็นเธอทุ่มเททุกอย่างเพื่อเตรียมการเดินทางครั้งนี้ จำได้ถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังริบหรี่แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ของเธอ ขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ หรือแม้แต่ผู้สนับสนุนทางการเงินหลายรายต่างพากันถอนตัวไปทีละคน ด้วยเหตุผลเรื่องความไม่สมเหตุสมผลของภารกิจ หรือไม่ก็เพราะความหวาดกลัวในอาถรรพ์ที่เล่าลือกันหนาหูเกี่ยวกับพีระมิดแห่งนี้ แต่โธมัสไม่เคยลังเล เพราะมิตรภาพระหว่างเขากับเอมิลี่นั้นแน่นแฟ้นเกินกว่าจะปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายนี้เพียงลำพัง เขาไม่ใช่แค่วิศวกรผู้ดูแลอุปกรณ์ แต่เขาคือเพื่อนที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตไปกับเธอ
ห่างออกไปเล็กน้อย ใต้ร่มเงาของผ้าใบกันแดดที่ขึงไว้ชั่วคราว 'ดอกเตอร์ซาเมียร์ อัลคาห์ดี' นักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์โบราณชาวอียิปต์ กำลังนั่งพิจารณาแผนที่กระดาษจำลองผืนใหญ่ที่กางอยู่บนโต๊ะพับเล็ก ๆ อย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยของชายวัยห้าสิบต้น ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังแว่นตากรอบหนาฉายแววสุขุม เฉลียวฉลาด เปี่ยมไปด้วยความกระหายใคร่รู้ ผมสีดำแซมขาวถูกหวีเรียบไปด้านหลัง เขาสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตา กับกางเกงขายาวสีครีม และสวมหมวกปีกกว้างทรงปานามาเพื่อป้องกันความแสบร้อนจากแสงแดด
ดอกเตอร์ซาเมียร์ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมทีมของเอมิลี่ด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนหนึ่งคือความท้าทายทางวิชาการ ความสนใจในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ถูกค้นพบของพีระมิดลึกลับแห่งนี้ ซึ่งอาจพลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับยุคสมัยของฟาโรห์ก็เป็นได้ เขาเคยทำงานร่วมกันในโครงการขุดค้นหลายแห่งกับทีมสำรวจใหญ่ของเอมิลี่ จึงนับถือในความรู้ความสามารถและความกล้าหาญของเธอ เมื่อรู้ว่าเอมิลี่มีภารกิจที่ไม่มีใครกล้าร่วมงานด้วยในครั้งนี้ เขาจึงตอบตกลงอย่างไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย
"ทุกอย่างพร้อมหรือยังโธมัส" เอมิลี่เดินมาถามเพื่อนสนิท
"พร้อมเสมอ" โธมัสเงยหน้าขึ้นจากการปรับแต่งอุปกรณ์ ส่งยิ้มที่เขาหวังว่าจะดูให้กำลังใจที่สุดให้เธอ ดวงตาสีฟ้าของเขาถ่ายทอดความห่วงใย และความพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งไปด้วยกัน
"จากบันทึกโบราณที่ผมพอจะปะติดปะต่อได้ บวกกับคำบอกเล่าที่กระจัดกระจายของคนท้องถิ่น ทางเข้าหลักของพีระมิดถูกปิดตายไปแล้ว แต่มีตำนานบทหนึ่งที่กล่าวถึงทางเข้าลับที่ถูกซ่อนไว้อย่างแยบยล ตำแหน่งน่าจะอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฐานพีระมิด" ดอกเตอร์ซาเมียร์เงยหน้าขึ้นจากแผนที่เก่า เขามองตรงไปยังเอมิลี่สลับกับโธมัส
"ตำนานไม่ได้กล่าวถึงแค่ทางเข้าลับ แต่ยังเล่าขานถึงกับดักซับซ้อนและกลไกป้องกันผู้บุกรุกที่ออกแบบมาเพื่อสังหาร ซึ่งสำหรับผมสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่ากับดักคือ 'คำสาป' ที่ว่ากันว่า ใครก็ตามที่กล้ารบกวนการหลับใหลชั่วนิรันดร์ขององค์ฟาโรห์ จะต้องเผชิญหน้ากับจุดจบของชีวิต" น้ำเสียงราบเรียบของเขาเมื่อกล่าวถึงคำสาป กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบลงอย่างประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางเปลวแดดก็ตาม
เอมิลี่ขมวดคิ้วแน่น เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักโบราณคดีที่เชื่อมั่นในหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องตำนาน คำสาป หรือพลังเหนือธรรมชาติมากนัก ในฐานะที่ศึกษาอารยธรรมอียิปต์โบราณมานาน เธอรู้ดีว่าตำนานและเรื่องเล่า มักมีรากฐานมาจากความจริงบางอย่างเสมอ
"ว้าว ฟังดูเหมือนพล็อตหนังผจญภัยเลยนะเนี่ย หวังว่าเราจะไม่เจอมัมมี่หน้าตาน่าเกลียดออกมาต้อนรับนะ" โธมัสที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด เขาไม่อยากเริ่มต้นการสำรวจด้วยความกังวลสักเท่าไร
"ระวังปากหน่อย" เอมิลี่ปรามเพื่อนหนุ่มที่พูดขึ้นไม่รู้จักเวล่ำเวลา ถึงในใจจะอดคิดตามไม่ได้ก็เถอะ "เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มออกเดินทางกันดีกว่า"
ทั้งสามคนตรวจสอบสัมภาระส่วนตัวครั้งสุดท้าย เป้สะพายหลังแต่ละใบมีน้ำดื่ม อาหารแห้ง อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น แบตเตอรี่สำรอง และเชือกไนลอนอย่างดี ไฟฉายคาดศีรษะ โธมัสเหน็บปืนพกไว้ที่ซองข้างเอวเผื่อกรณีฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด ดอกเตอร์ซาเมียร์หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กกับดินสอใส่กระเป๋าเสื้อ ส่วนเอมิลี่กวาดสายตาตรวจสอบความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน
รถจีปสี่ล้อสีเขียวทหารจอดนิ่งอยู่ใกล้กับเต็นท์ บนหลังคามีลังอุปกรณ์และถังน้ำมันสำรองวางไว้เป็นระเบียบ ผ้าน้ำมันผืนใหญ่สีเดียวกับรถคลุมสิ่งของบนหลังคาพร้อมถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสามคนขึ้นไปนั่งบนรถตามตำแหน่งของตัวเอง โธมัสที่จัดการติดเครื่องรถตะโกนลั่นออกมาด้วยความตื่นเต้น
"ทีมแวนการ์ด พร้อมลุย!!"
"ขอให้เทพเจ้าคุ้มครอง" ดอกเตอร์ซาเมียร์พึมพำ ก่อนจะหยิบคัมภีร์ขึ้นมาถือไว้บนตัก
เสียงเครื่องยนต์ของรถจีปออฟโรดทำลายความเงียบสงัดของทะเลทราย ฝุ่นตลบเป็นทางยาวตามล้อรถที่บดขยี้ลงบนพื้นทรายอ่อนนุ่ม
เอมิลี่นั่งอยู่บนเบาะหน้าของรถข้างคนขับซึ่งก็คือโธมัส มือของเธอกำแน่นอยู่บนราวจับเหนือศีรษะ พยายามทรงตัวขณะที่รถกระเด้งกระดอนไปตามเนินทรายน้อยใหญ่ สอดส่ายสายตามองหาความผิดปกติบนผืนทรายเวิ้งว้าง แสงแดดยามบ่ายเริ่มทอแสงสีส้มเข้ม สาดเงาทอดยาวจากเนินทรายต่าง ๆ ทำให้ภูมิประเทศดูแปลกตายิ่งขึ้นไปอีก สังเกตได้ว่าบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก เมฆฝุ่นสีเหลืองขุ่นเริ่มก่อตัวหนาแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นสัญญาณเตือนว่าพายุกำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า
โธมัสบังคับพวงมาลัยด้วยความชำนาญ มือทั้งสองข้างจับมั่นคง ใบหน้ามีสมาธิ ดวงตาจับจ้องเส้นทางสลับกับมองหน้าจอ GPS ที่ติดตั้งอยู่บนแผงคอนโซล ส่วนเบาะหลัง ดอกเตอร์ซาเมียร์นั่งสงบนิ่ง มือข้างหนึ่งกุมคัมภีร์โบราณไว้บนตัก อีกข้างจับราวจับเหนือประตู สายตามองไปยังผืนทรายที่เป็นบ้านเกิดของเขา ได้แต่สวดภาวนาขอพรจากเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย
การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากเนินทรายบางลูกสูงชันจนรถแทบจะปีนไม่ขึ้น บางช่วงเป็นแอ่งทรายดูด ที่โธมัสต้องใช้ทักษะการขับขี่ทั้งหมดเพื่อนำรถผ่านไปให้ได้ ความร้อนภายในห้องโดยสารเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แม้เครื่องปรับอากาศจะทำงานอย่างเต็มที่ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามขมับและแผ่นหลังของทุกคน ความเงียบปกคลุมภายในรถ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ เสียงลม และเสียงหายใจของแต่ละคนเท่านั้นที่ดังอยู่
"อีกไกลไหมคู่หู" โธมัสถามขึ้นทำลายความเงียบ กระแอมเล็กน้อยเพื่อไล่ความแห้งผากในลำคอ "ตาม GPS บอกว่าเราใกล้ถึงพิกัดสุดท้ายที่เธอคำนวณไว้แล้วนะ"
เอมิลี่ละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้า หันไปมองหน้าจอ GPS ที่แสดงจุดสีแดงกะพริบอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันกลับไปมองผืนทรายอีกครั้ง
"ตามทฤษฎีแล้วควรจะอยู่แถวนี้แหละ แต่ภูมิประเทศมันเปลี่ยนไปได้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีพายุเข้ามาเกี่ยวข้อง"
ทันใดนั้นเอง รถกำลังแล่นผ่านเนินทรายที่ไม่สูงชันนัก ดวงตาของโธมัสก็เบิกกว้างขึ้น ชี้มือออกไปทางด้านหน้าเยื้องไปทางขวาอย่างรวดเร็ว "เฮ้! ดูนั่นสิ"
เอมิลี่มองตามทิศทางที่โธมัสชี้ ในตอนแรกเธอมองไม่เห็นอะไรนอกจากผืนทรายสีทอง เมื่อเพ่งสมาธิมองไปยังท่ามกลางแสงเงาที่ทอดตัวลงมา ปรากฏพีระมิดขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยหินแกรนิต โธมัสเหยียบเบรกก่อนที่ล้อรถบดลงบนพื้นทรายอย่างแรง รถจีปคันใหญ่หยุดนิ่งสนิท ฝุ่นทรายฟุ้งตลบขึ้นมารอบตัวรถ ทั้งสามคนลงจากรถพร้อมกับสะพายเป้ ที่บรรจุสัมภาระสำหรับการสำรวจที่กำลังจะมาถึง
พวกเขาเดินเลียบไปตามแนวหินแกรนิตที่ก่อตัวเป็นฐานของพีระมิด ผิวหินที่เคยเรียบเนียนเมื่อหลายพันปีก่อนได้ถูกกัดกร่อนด้วยลมจนขรุขระ ทั้งสามคนสำรวจอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ตามคำแนะนำจากแผนที่ของดอกเตอร์ซาเมียร์ บวกกับประสบการณ์ของเอมิลี่ที่เป็นนักโบราณคดีมาเป็นสิบปี เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่พวกเขาเดินวนรอบฐานพีระมิด ท่ามกลางความร้อนที่ยังไม่บรรเทาลง ความหวังเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าเริ่มคืบคลานเข้ามา ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนที่ดังแหวกความเงียบก็ดังขึ้น
"โธมัส ดอกเตอร์ ฉันเจอแล้ว! ทางนี้!"
เสียงของเอมิลี่ดังมาจากทางด้านหน้า โธมัสและดอกเตอร์ซาเมียร์รีบสาวเท้าตามเสียงไปทันที พวกเขาพบเอมิลี่กำลังยืนอยู่หน้าแผ่นหินทรายขนาดใหญ่แผ่นหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองเผิน ๆ แทบจะกลืนหายไปกับผนังหินที่เรียงรายกันเป็นระเบียบของพีระมิด มันดูแนบเนียนจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นทางเข้า แต่เมื่อเพ่งมองอย่างพิจารณา จะเห็นรอยต่อที่ขอบของแผ่นหิน สำคัญกว่านั้นคือ สัญลักษณ์แปลกตา ที่สลักไว้จนเกือบเลือนหายบริเวณกึ่งกลางแผ่นหิน
"ตามบันทึกโบราณ นี่คือสัญลักษณ์ของดวงตาฮอรัส" ดอกเตอร์ซาเมียร์เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามรอยสลักโบราณนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะสลายไป
เอมิลี่ทรุดตัวลงคุกเข่า ใช้มือทั้งสองข้างลูบไปตามรอยสลักนั้นอย่างทะนุถนอม ความเย็นเฉียบของหินโบราณตัดกับความร้อนของทะเลทรายอย่างสิ้นเชิง "เราจะเปิดมันได้ยังไง"
โธมัสลงไปนั่งยองใกล้กับเพื่อนสนิท ใช้ไฟฉายส่องไปตามรอยต่อ และใช้เครื่องมือแงะดูตามซอกหิน "ดูเหมือนจะเป็นกลไกแบบเลื่อนด้านข้าง ไม่ใช่แบบผลักเข้าหรือดึงออก น่าจะต้องใช้แรงพอสมควร"
"บางทีอาจจะต้องกดหรือหมุนตรงไหนสักแห่งบนสัญลักษณ์หรือเปล่า" เอมิลี่เสนอความคิด
โธมัสพยักหน้าเห็นด้วย ลองใช้มือกดลงไปบนวงกลมตรงกลางสัญลักษณ์ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะลองหมุนดู แต่ก็ยังนิ่งสนิท ความผิดหวังเริ่มฉายชัดบนใบหน้าของทุกคน
"เดี๋ยวก่อน" ดอกเตอร์ซาเมียร์พูดขึ้น สายตาจับจ้องไปยังสัญลักษณ์ "ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับดวงตาฮอรัสคือเลขสี่...หรือว่า" ปลายนิ้วของดอกเตอร์แตะที่กลางดวงตาฮอรัส แล้วลองออกแรงกดสี่ครั้งติดกันเบา ๆ
คลิก...ครืดดด...
เสียงกลไกขนาดเล็กดังขึ้น แผ่นหินเริ่มต้นเคลื่อนตัวเลื่อนไปด้านข้างอย่างเชื่องช้า ทำให้เห็นช่องทางมืดมิดสนิทลึกลงไปสู่ใต้พื้นดิน
ทันทีที่ช่องเปิดกว้างพอที่คนจะลอดเข้าไปได้ อากาศเย็นยะเยือกผสมกับกลิ่นอับชื้นโชยปะทะใบหน้าของพวกเขาทั้งสามอย่างจัง เอมิลี่รีบเปิดไฟฉายคาดศีรษะ ส่องแสงสีขาวสว่างจ้าเข้าไปในความมืด แสงตัดผ่านม่านฝุ่นที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ บันไดหินสูงชันดิ่งลึกลงไปจนลับสายตา ผนังสองข้างทางดูเรียบง่าย ไม่มีลวดลายสลักแต่กลับให้ความรู้สึกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
"โอ้โห เก่งมากครับดอกเตอร์ คุณรู้ได้ไงว่าต้องกดลงไปที่กลางดวงตาสี่ครั้งมันถึงจะเปิดออก" โธมัสเอ่ยชมกับความฉลาดของดอกเตอร์ผู้ร่วมทีม ไม่ลืมที่จะถามอีกคนด้วยความสงสัย
"ผมเห็นคุณกดลงไปกลางดวงตาหนึ่งครั้งแต่ไม่เห็นผล เลยนึกถึงตัวเลขที่เกี่ยวกับเทพเจ้าฮอรัส ซึ่งเป็นเลขสี่ และเลขสี่นี้หมายถึงโอรสทั้งสี่ของฮอรัสน่ะ" ดอกเตอร์ซาเมียร์อธิบาย
"ทีมเราต้องมีคุณจริง ๆ ค่ะดอกเตอร์ซาเมียร์" เอมิลี่ยกยิ้มกว้าง ความสิ้นหวังที่จะได้เข้าไปสำรวจหายไป ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นกับการผจญภัยที่กำลังจะได้เริ่มขึ้น
"มันก็แค่เรื่องบังเอิญที่ผมดันนึกออกได้ขึ้นมาพอดี แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำชมครับ" ผู้อาวุโสที่สุดในทีมพูดขอบคุณคำชมของทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเอมิลี่ก็เดินไปอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการสำรวจ
"พร้อมนะทุกคน" เธอหันไปถามเพื่อนร่วมทีมทั้งสองคน โธมัสพยักหน้าพร้อมยักคิ้วด้วยท่าทางสบาย ๆ มือข้างหนึ่งกุมด้ามปืนพกที่เอวไว้ด้วยความพร้อม ดวงตาสีฟ้าสำรวจความมืดด้านในเพื่อประเมินสถานการณ์
ดอกเตอร์ซาเมียร์ปรับแว่นตาให้เข้าที่ มือข้างหนึ่งกำเครื่องรางที่คล้องคอไว้แน่น เขาพยักหน้าให้โธมัสและเอมิลี่ โดยไม่ลืมพึมพำกับตัวเองว่า ขอให้เทพเจ้าคุ้มครอง เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ตั้งแต่ร่วมตกลงทำภารกิจนี้
เอมิลี่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกเป็นครั้งสุดท้าย กลิ่นอับชื้นของสุสานโบราณปะปนกับกลิ่นฝุ่นทรายจากโลกภายนอก เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูหินเป็นคนแรก แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง โธมัสก้าวตามเธอไป มือยังคงแตะอยู่ที่อาวุธ ดอกเตอร์ซาเมียร์ก้าวตามเป็นคนสุดท้าย และยังคงพึมพำบทสวดโบราณให้เทพเจ้าคุ้มครองพวกเขาทั้งสามคน
วินาทีนั้นเองที่แผ่นหินค่อย ๆ เลื่อนกลับเข้าที่เดิมอย่างเชื่องช้าแต่ไร้เสียง ปิดกั้นแสงสว่างจากโลกภายนอกจนหมดสิ้น ความมืดมิดกลืนกินพวกเขาทั้งสามคนเข้าไปในอุโมงค์ลึกลับอันเย็นเยียบของพีระมิดต้องคำสาป ปล่อยทิ้งไว้เพียงตำนาน อาถรรพ์ที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้เลย
ยินดีต้อนรับสู่พีระมิดต้องคำสาป
บัดนี้การผจญภัยของทีมสำรวจแวนการ์ดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว