หมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต - Chapter 3 หิมะ โดย DIAT @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รั้วโรงเรียน,แฟนตาซี,ลึกลับ,ชาย-ชาย,ตะวันตก,แฟนตาซี,เวทมนตร์,ลึกลับ,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รั้วโรงเรียน,แฟนตาซี,ลึกลับ,ชาย-ชาย,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เวทมนตร์,ลึกลับ,BL

รายละเอียด

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต โดย DIAT @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ

ผู้แต่ง

DIAT

เรื่องย่อ

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติ

ไม่มีการอ้างอิงถึงสิ่งไหนเป็นพิเศษ

อาจเรียกได้ว่านักเขียนนั่งเทียนเขียนก็ได้

ขอบคุณครับ

สารบัญ

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 1 หมู่บ้าน,สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 2 ชายหนุ่มอับโชค,สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 3 หิมะ

เนื้อหา

Chapter 3 หิมะ

Chapter 3 หิมะ

ซัลลิแวนถูกแยกจากเซนเพียงเพราะเขาไร้ศาสตร์เวท เหล่าคนกลุ่มนี้จะถูกจัดอยู่อีกห้องหนึ่งซึ่งใช้หลักเกณฑ์ต่างจากผู้ถือครองศาสตร์เวท ภายใต้สายตาของเขามีผู้คนบางส่วนเริ่มต้นเสวนาผูกมิตรกันอย่างแจ่มแจ้ง พวกเขามอบรอยยิ้มเป็นมิตรให้แก่อีกฝ่าย ก่อนจะมีอีกคนเดินมาร่วมวงสนทนา เขากวาดสายตาไปยังอีกด้านหนึ่งก็เห็นเช่นเดียวกัน วิธีผูกมิตรของผู้คนเป็นเช่นนี้เองหรือ ซัลลิแวนยังคงนั่งอยู่กับที่ เขาไม่คิดจะพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ ในใจเขาเต็มไปด้วยความประหม่า ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬที่ไหลย้อยลงมา จนกระทั่งสีโกเมนจับต้องไปยังคนผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา ห่างออกไปสองช่วงแขน

ชายหนุ่มเส้นผมสีฟาง ดวงตาสีแดงฉานคล้ายเม็ดมณี มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขามากนักทว่าดวงตาตกและดูเข้าหาง่ายได้มากกว่า เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นเพื่อนร่วมทางการศึกษาที่ดีก็ได้ ก่อนจะได้เข้าหา ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่เขาไม่รู้นามเดินเข้ามาในห้อง พร้อมเรียกชื่อของชายผู้ซึ่งเขาเพิ่งพิจารณาไปว่าควรจะผูกมิตร

“เวสลีย์ อาริอันดา” เป็นนามของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเก็บนาฬิกาพกสีทองเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นทันที สุรเสียงของผู้คนต่างกำลังเอ่ยวิพากษณ์อีกฝ่ายเกี่ยวกับสีผิวคล้ายน้ำผึ้งของเขา แดนเหนือไม่เคยมีใครผิวสีนั้นมาก่อนจึงเป็นเรื่องน่าประหลาด แต่เขากลับคิดว่านั่นปกติ เมืองใต้ที่เวสลีย์อยู่มีแสงอาทิตย์ส่องทั่วฟ้าในทุกวัน ไม่เหมือนที่นี่ที่มีเพียงความเหน็บหนาวจับใจ รอไม่นานนักผู้คนก็ทยอยเดินตามศาสตราจารย์เพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง เขาเลื่อนสายตามองเวสลีย์ที่ยังวุ่นอยู่กับนาฬิกาพกของตนเอง ซัลลิแวนกะพริบตา เขาขยับปลายเท้า เดินนวยนาดไปด้านหน้า

“เจ้า” เขาแค่นเสียง รู้สึกราบเรียบไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย “ข้าซัลลิแวน” เขาเอ่ยแนะนำตัวในที่สุด ปลายนิ้วของซัลลิแวนเย็นเฉียบ ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างประหม่า นัยน์ตากลมโตเงยหน้ามองก่อนเบิกกว้าง ริมฝีปากของอีกฝ่ายฉีกยิ้มดูน่าเข้าหาทั้งยังได้กลิ่นแดดอ่อนๆ ที่ติดตามตัวของเวสลีย์ เจ้าตัวเขยิบให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับสหายคนใหม่ เขานั่งลงข้างกายก่อนจะกุมมือวางไว้บนหน้าขา เขาบีบนวดจนรู้สึกอุ่นร้อนขึ้นมา

“ข้ามาจากทางใต้ เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ!” น้ำเสียงของเขาสดใสชื่นบานยิ่งกว่าใครหน้าไหน ซัลลิแวนผงกหัว แม้เขาจะไม่รู้จักคำว่าเล่นแร่แปรธาตุนั่น มันใช่เวทมนตร์หรือไม่ “ทางเหนือไม่นับการเล่นแร่แปรธาตุเป็นเวทมนตร์ พวกเขาจัดให้คนอย่างข้าอยู่อีกแขนงหนึ่งต่างหาก น่าเสียดายจริงๆ”

“แล้วในมือเจ้า...”

“อ้อ! ข้ากำลังซ่อมมันอยู่น่ะ เป็นของต่างหน้าจากครอบครัวของข้าเอง แต่ซ่อมเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับ ดูเหมือนจะต้องล้มเลิกแล้วกระมัง” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงอ่อน แววตาดูเหน็ดเหนื่อยจากความพยายามในที่สุดชื่อของเขาก็ถูกเอ่ยขึ้น มือหยาบกร้านของเวสลีย์แตะที่หลังของเขาก่อนจะดันไปด้านหน้า ไม่วายยังให้กำลังใจเขาคล้ายเด็กตัวเล็กๆ เสียอีก ซัลลิแวนพรูลมหายใจเหน็บหนาวจากริมฝีปากแห้งแตกระแหง เขาเดินตามศาสตราจารย์ผ่านโถงทางเดิน ผ่านห้องขนาดใหญ่ที่ไว้ใช้ในการศึกษา พวกเขาอยู่ในที่ที่สูงที่สุดของวิทยาลัยฟรอเรนซ์ หากอยู่ตรงนี้จะสามารถมองเห็นเรือนกระจกได้ ที่ที่เต็มไปด้วยพฤกษาหน้าตาแปลกประหลาด

“ตามข้ามาสิ” เขาเบนใบหน้ามองชายร่างเล็กเดินค้อมตัวลงเพราะอายุมากแล้ว เส้นผมของศาสตราจารย์วัยชรากลายเป็นสีดอกเลาคล้ายปุยนุ่น เขากะพริบตาก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกแกะสลักเป็นอย่างดี อาจารย์เคาะโต๊ะเพียงสองครั้งเปลวไฟก็ติดบนเทียนไข สร้างบรรยากาศขมุกขมัวภายในห้องมากกว่าเดิม เขางับริมฝีปาก หรี่ตามองใบหน้าของศาสตราจารย์โดยไม่ไว้ใจเลยแม้แต่น้อย

“ซัลลิแวน เลคเตอร์จากหมู่บ้านเรเวน” เขาตอบรับ “ใช่ขอรับ”

“รู้หรือไม่ว่าที่นั่นเป็นพื้นที่เสี่ยงอันตราย น้อยคนนักที่จะรอดกลับมาได้โดยไม่ติดโรคระบาด”

“...”

“แต่เจ้า…พิเศษ…กว่าผู้ใด เจ้าไม่มีอาการติดเชื้อ ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยของโรคร้ายที่รุกรามกัดกินผู้คน...ช่างพิเศษ” น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายผีร้ายทำให้ซัลลิแวนเกร็งไหล่ เขาสูดหายใจเขาลึกๆ ทำตัวให้ผ่อนคลายแม้มือของเขาจะเย็นชัดด้วยอากาศหนาวและอาการไม่สู้ดีนี้ นัยน์ตามองข้ามศีรษะของชายชราตัวเล็กไป เพื่อมองลวดลายบนกำแพงที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยความประณีต ยังดีที่มีสิ่งแปลกใหม่ชวนให้สายตาของเขาได้หยุดพัก นับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาหายใจคล่องคอ

“ข้าเรียกตัวผู้เข้าสอบทุกคนที่ไร้เวทมนตร์มาที่ห้องนี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประวัติของพวกเขาเท่านั้น รวมไปถึงเจ้าเองก็ด้วย อย่างไรข้าก็ไม่คิดจะใช้เวทมนตร์บังคับให้เจ้าคายความจริงออกมา ข้าเพียงอยากให้เจ้าพูดด้วยความสัตย์จริงทุกประการ”

เขาพยักหน้า “ขอรับ” ก่อนหลุบตาลงเมื่อได้ยินคำถามดาษดื่นทั่วไป

“ครอบครัวของเจ้ามีกันอยู่กี่คน”

“ข้าเคยมีพ่อและแม่ แต่พวกเขาตายไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือเพียงข้ากับน้องข้าเท่านั้น”

เขาได้ยินเสียงเปิดหน้ากระดาษ “น้องของเจ้า...มีอาการติดเชื้อหรือไม่” คนพี่เงยมองใบหน้าชราที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลา ชายเบื้องหน้าเองก็มองเขาอยู่เช่นเดียวกัน ซัลลิแวนกลืนน้ำลาย ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาไร้อารมณ์ แม้ดวงตาคล้ายมีคลื่นพายุขนาดใหญ่กำลังโหมใส่ฟากฝั่งอยู่ก็ตาม สภาพแวดล้อมคับแคบเช่นนี้บีบบังคับให้เขาได้ยินเพียงเสียงลมหายใจอ่อนๆ กับเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ซัลลิแวนตอบอย่างเนิบนาบระแนบเนียน

“ไม่ขอรับ” เขาหลับตาลงก่อนอธิบาย “ข้าและน้องข้าออกมาจากที่นั่นก่อนโรคระบาดจะรุกรามมาถึง แต่พวกเราทั้งสองไม่มีอาการติดเชื้ออยู่เลย” ก่อนเขาจะเสตามองไปยังเปลวเทียนที่วูบไหว เขากล่าวต่อ “ช่างเป็น…โชคดีของพวกข้าเสียจริง”

“อย่างนั้นหรอกหรือ” ชายชราพึมพำเสียงแผ่วเบา “อย่างนั้นเจ้าเองก็คงต้องดูแลน้องของเจ้าต่อไปอีก ว่าไปแล้วชาวบ้านตาดำๆ อย่างเจ้าจึงอยากเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์ล่ะ” คนผมบลอนด์ลอบเลียริมฝีปากแห้งแตก “หมู่บ้านของข้ามีเพียงการล่าสัตว์ ชาวบ้านตาดำๆ ไม่สนใจการศึกษา ทว่า…ข้าสนใจองค์ความรู้ที่อยู่ในตำราเล่มหนา ข้าอยากแสวงหามันเพื่อตัวของข้าเอง” สิ่งที่เขาพูดออกไปใช่ว่าจะเป็นเรื่องโป้ปดเสียทีเดียว ยังมีความจริงอยู่บ้างแม้จะเล็กน้อยก็ตาม เข้ามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ศาสตร์เวทมนตร์ ถึงอย่างนั้น ปุถุชนธรรมดาก็ไม่อาจข้ามผ่านเส้นแบ่งของธรรมชาติไปได้ แต่เขาก็ยังสามารถมีสหายที่เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์นั้นได้มิใช่หรือ

“ขอบคุณเจ้ามากที่ให้ความร่วมมือครานี้ อีกสามวันข้างหน้าจะมีจดหมายส่งไปยังที่อยู่ของเจ้า”

ลำคอของเขาแห้งผากคล้ายต้องการน้ำ ซัลลิแวนอยากพูดบางอย่าง เขาดูท่าทีของอาจารย์ชราคนนี้ก่อนจะรอจังหวะที่อีกฝ่ายจดบางอย่างลงกระดาษ น้ำเสียงราบเรียบของซัลลิแวนก็ดังขึ้น “ข้าไม่เคยคาดหวังกับการที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างข้าจะได้เข้ามาร่ำเรียน มีผู้คนมากมายที่มีความสามารถกว่าข้า สามารถอ่านออกเขียนได้ สามารถกลายเป็นแรงงานอันทรงคุณค่าแก่อาณาจักเราได้ แต่ข้า…ข้าเชื่อว่าหากปีนี้ข้าไม่สามารถอยู่ในรั้ววิทยาลัยฟรอเรนซ์ได้ อีกสองปี สามปีหรือสิบๆ ปีข้าก็จะสอบเข้ามา เพื่อพูดคุยกับท่านในห้องนี้อีกครั้ง”

“...”

“ข้าขอลาขอรับ” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนโค้งคำนับแล้วเดินจากออกไป เหลือไว้เพียงตาเฒ่าที่ผลิรอยยิ้มมุมปาก เขารำพึงรำพันกับตัวเองก่อนเสียงถอนหายใจของใครสักคนจะดังขึ้น ปลายรองเท้าหนังสีดำสะอาดอ้านเดินหายไปจากโถงทางเดิน เหลือบมองแผ่นหลังของชายผมสีสว่างคล้ายเส้นฟาง ดวงตาสีแดงฉานไร้แวว

“ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์เจ้า หึ”

**

ตอนนั้นเองที่เขากำลังจะกลับที่พักผู้คนที่เคยอยู่รวมตัวในห้องก่อนหน้านี้เดินเข้ามาทักทายเขา โบกมือก่อนจะถามว่าเขามาจากที่ใด ซัลลิแวนเอียงคอเหลือบมองสหายที่เขาพูดคุยด้วยคนแรก เวสลีย์ยิ้มพร้อมพยักหน้าเชิงบอกให้เขาลองทำความรู้จักคนอื่นๆ เสียบ้าง ซัลลิแวนคิดไม่ตก กว่าเขาจะเรียบเรียงคำพูดได้ก็เห็นสายตาแปลกๆ ที่มองมาพอดู หากซัลลิแวนไม่คิดใส่ใจ เขาตอบออกไปอย่างราบเรียบว่า “หมู่บ้านเรเวน”

พื้นที่หน้ารั้ววิทยาลัยเงียบสงัด มีคนหมู่มากที่อยู่ใกล้เคียงกับพวกเขา คนหมู่นั้นจึงพลอยได้ยินชื่อหมู่บ้านโรคระบาดไปด้วย หลายคนก้าวเท้าถอยหลัง สายตาปรากฏความเดียดฉันท์ออกมาโดยไม่ปิดบังกัน เสียงเจื้อยแจ้วที่เขาไม่ได้ยินชัดนักว่ากำลังพูดถึงสิ่งใด ซัลลิแวนรู้แค่ว่ามีบางอย่างผิดแผกไป “หมู่บ้านนั้นมัน...” ดวงตาของชายอีกคนแข็งกร้าว “ไอ้ตัวแพร่เชื้อ” ร่างของชาวบ้านตาดำๆ ได้แต่แน่นิ่งเป็นเสา เขาตั้งสติอยู่พักใหญ่ก่อนคิดได้ว่าผู้คนคงจะกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของเขา แต่เนื้อตัวของเขาก็หาได้มีร่องรอยของความน่ารังเกียจนั่นอยู่มิใช่หรือ

เวสลีย์เห็นท่าไม่ดี เขาเข้ามาขวางคนพวกนั้นเพื่อไม่ให้สหายตรงหน้าได้ยินถ้อยคำหยาบคายที่พ่นออกมาโดยไร้การไตร่ตรอง

“นี่มัน...เรื่องอะไรกัน” ไหล่ของเขาถูกกดลงตามด้วยน้ำเสียงอ้อล้อที่เคยได้จากยินจากที่ไหนสักแห่ง หากซัลลิแวนได้เห็นหน้าคร่าตาก็คงพอจะนึกออก ชายคนนั้นพูดด้านหลังของเขา ใกล้ชิดกับใบหูของชายหนุ่มเสียเหลือเกิน “พวกเจ้ากล้าพูดกับเขาเช่นนี้เลยหรือ”

เขารีบแหงนหน้ามองชายหนุ่ม เส้นผมสีเงินยวงตัดกับสีกรกตที่ฉายภาพของเขาในแววตา เขาจำได้ขึ้นใจว่าอีกฝ่ายคืออันธพาลที่ทำร้ายเซนจนบาดเจ็บสาหัสในคืนแรกที่พวกเขาพบกันไม่ใช่หรือ...ซัลลิแวนคาดว่าอีกฝ่ายคงจะสอบที่นี่เช่นเดียวกัน เพราะเจ้าตัวมีศาสตร์เวทเลยไม่ได้เจอกัน แถมช่วงสอบข้อเขียนพวกเขาก็มาทีหลังอีกด้วย จะให้เห็นสังเกตเห็นชายหนุ่มผู้นี้ก็คงป็นไปไม่ได้

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” ตามมาด้วยศาสตราจารย์ที่เดินผ่านทางมาพอดี ผู้คนที่เคยรุมล้อมเขาเอาไว้ก็แตกกระเจิงดังมดแตกรัง หลีกทางให้ศาสตราจารย์เข้ามาถามไถ่ความเป็นอยู่ของว่าที่ปราชญ์ทั้งหลาย “แค่เกิดความเข้าใจผิดเท่านั้นขอรับ ว่าแต่ท่านน้า...ขออภัย ท่านอาจารย์กำลังจะไปโรงสมุดหรือขอรับ” ฝ่ายนั้นพยักหน้า ผู้มีศักดิ์อาและหลานต่างเลิกให้ความสนใจแก่เขาที่สุด จนแล้วจนรอดเวสลีย์ก็ดึงตัวของสหายออกจากวงล้อมนั้นอย่างเร็ว รีบสืบปลายเท้าก้าวเดินไปยังหน้ารั้ววิทยาลัย ช่วงบริเวณผู้คนบางตา เวสลีย์จับไหล่สองข้างของเขาก่อนสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่

“ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่สงสัยว่าพวกเขารังเกียจผู้ที่มาจากหมู่บ้านเรเวนงั้นหรือ”

เวสลีย์ไหวไหล่ “ข้าไม่รู้ แต่ก็คงเป็นอย่างนั้น ว่าแต่ที่นั่นมีอะไรเกิดขึ้นหรือ” สีแดงโกเมนสอดประสานสายตากันเป็นหนึ่งเดียว เขามองเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของตนในแววตาที่เหมือนกับอัญมณีคู่งาม นัยน์ตาสีชาดเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ใช่ความเดียดฉันท์ที่เขาได้รับเหมือนก่อนหน้านี้

เขาเริ่มไล่เรียง “มันเป็นโรคระบาด ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ไหน รู้เพียงแค่อาการของมันจะกัดกินเนื้อของผู้คนในหมู่บ้าน ฝังลึกอยู่กระดูก ยังไม่พบวิธีรักษามีแค่การประคองอาการไปก่อนเท่านั้น” สหายตรงหน้าผงกหัว “แต่เจ้าไม่มีอาการแบบนั้นเลยนี่ พวกเขาจะกลัวอะไร?”

“พวกเขาคงคิดว่าโรคระบาดนั้นอยู่ในร่างกายของข้า เหลือเพียงแค่รอการกระตุ้นก็จะเริ่มกัดกิน แล้วแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้กระมัง”

“หา? ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นทึกทักกันไปเองหรอกรึ”

เขาสั่นศีรษะตอบปัดไป ก่อนจะกลับที่พักชายคนหนึ่งเดินแทรกคั่นกลางระหว่างพวกเขา เมื่อเงยหน้ามองสีน้ำเงินดุจเคลื่อนยักษ์เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ดีและคงไม่มีวันลืม “เซน” อีกฝ่ายก้มหน้างุด เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะถอนหายใจซ้ำอีกครั้งราวกับขบคิดเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เซนเพิ่งได้ยินผู้ว่ามีคนว่าร้ายป้ายสีใส่ซัลลิแวน อารมณ์ที่เคยเบิกบานผาสุขกลับกลายเป็นนิ่งสงัดเหมือนแม่น้ำ ทว่าใต้น้ำกลับเกิดคลื่นพายุรุนแรง หากใครสักคนตกลงไปก็คงยากที่จะปีนป่ายกลับขึ้นมา

ดวงตามีเอกลักษณ์คล้ายมวลน้ำมหาศาลจ้องมองมายังเขา ซัลลิแวนขมวดคิ้ว ทึกทักเอาเองว่าเจ้านี้ก็อาจเป็นอีกคนที่นึกรังเกียจเขา

“ข้าได้ยินคนพูดถึงเจ้าเช่นนั้น…เจ้า ไม่ถูกรังแกตรงไหนใช่หรือไม่” น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความฉงนสนเท่ห์ “ไม่ เวสลีย์พาข้าออกมา” พอได้ช่องว่างในการแนะนำตัว ชายหนุ่มจากแดนใต้เขยิบเท้ามายืนข้างเคียงเขา ทุบอกหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง “ข้าเวสลีย์ อาริอันดา มาจากแดนใต้ ข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ! และข้ามาสอบที่วิทยาลัยฟรอเรนซ์ในครั้งที่เจ็ดแล้ว!” ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเซนก็ยังหลุดหัวเราะในคอ หากเวสลีย์กลับไม่รู้สึกเหนียมอาย “ข้าสอบไม่ผ่านข้อเขียนหลายครั้งหลายครา ข้าพยายามมาตลอดและครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะพยายาม”

ซัลลิแวนรีบถาม “เจ้าจะไม่ศึกษาต่อที่นี่หรือ”

“ใช่! หากคราวนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะกลับไปเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่บ้านเกิดของข้า แต่ไม่ต้องห่วง! ข้ามั่นใจว่าข้าจะผ่าน แล้ววันนั้นเจ้าเลือกข้าเป็นคู่หูในหอพักได้หรือไม่”

ไม่มีช่องว่างให้ซัลลิแวน เลคเตอร์ได้ตอบ เจ้าของเรือนผมสีขาวก็ชิงตัดหน้าไปเสียก่อน “คงเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ซัลลิแวนอยู่หอพักกับข้านะซี” ก่อนวางมือไว้บนไหล่ของเขา ไม่วายถูกคนตัวเล็กตีมืออย่างแรงจนเซนร้องโอดโอย ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าเศร้าก่อนจะกลับมาระริกระรี้อีกครั้ง “ให้ข้าไปส่งเจ้านะ ข้าอยากตอบแทนเจ้า...จริงๆ นะ”

“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องมอบให้ข้าแล้ว ข้าได้ถุงมือ ได้ผ้าพันคอ เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มฮัมเพลงในลำคอ เป็นเพลงที่เขารู้จัก เอาไว้คอยกล่อมเด็กนอนในยามเย็น เขาเองก็ร้องให้ซอว์ตอนที่นางยังเล็กมาก “ว่าแต่หอพักของซัลลิแวนอยู่ที่ไหนล่ะ”

เขาผินใบหน้ามองคนคล้ายคลึงกัน “ใกล้กับตลาดเช้าน่ะ” เวสลีย์โพล่งเสียงดังว่า “จริงหรือ! ข้าก็พักอยู่ที่นั่นเหมือนกัน! โชคดีจริงๆ ที่เจอเจ้า ฟ้าดินคงโปรดข้าแล้วกระมัง เช่นนั้นขอให้ข้าสอบผ่านด้วยเถิด” สิ้นคำภาวนา คนหน้าตาย
อย่างเขากระตุกรอยยิ้มขบขันอย่าลืมตัว ก่อนจะรักษาท่าทีสำรวมในที่สุด

โดยมีสายตาเย็นยะเยือกของเซนจ้องมองอยู่ในทุกช่วง

หญิงงามวางมือลงบนไหล่สหาย พลันสติของเซนก็กลับคืนมา “อย่างนั้นแล้วข้าจะรอดูพวกเจ้าทั้งสองอีกสามวันข้างหน้านะ! ข้าคาดหวังจะเจอเจ้านะ” สายตานั้นทิ่มแทงใส่เวสลีย์ ชายหนุ่มจากแดนใต้เอียงคอ ร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวไร้นามคนนั้นเดินห่างออกไป เหลือเพียงทั้งคู่ที่ยังใช้เวลาประมวณผลอยู่ครู่หนึ่ง

เวสลีย์หันกลับมามองซัลลิแวน ก่อนชี้ตามหลังคนผมขาว “เซนดูไม่ชอบหน้าข้านัก”

ซัลลิแวนขมวดคิ้ว “งั้นรึ” เขาคาดว่าสหายข้างกายคงคิดมากไปเอง

...

หิมะโหมกระหน่ำจนเส้นทางสัญจรติดขัดหลายครา ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดพายุหิมะในยามราตรีไปได้เว้นเสียแต่พระแม่มารดาที่คอยปกปักษ์รักษาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้นรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ที่คอยดูแลปวงประชา เขายืนพิงกำแพงที่ถูกสลักด้วยลวดลายวิจิต ปลายนิ้วลากไล้ขึ้นจากบนลงล่างก่อนเลื่อนสายตาสีหยกครามจ้องมองผู้มีศักดิ์เป็นอา

“ขอบคุณจริงๆ ที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่” เสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์ของวิลตอบกลับ “แต่ไม่ใช่ผู้ติดเชื้อ”

หลานชายหัวเราะในคอ “แบบนั้นจะยุ่งยากกว่าที่ท่านคิดเสียอีก ตามข้อมูลที่พวกเราได้รับมาเขามีน้องในไส้อยู่คนหนึ่ง เลคเตอร์บอกว่าไม่มีใครติดเชื้อ แต่จะเชื่อได้จริงหรือ” เขาก้าวมายืนอยู่ที่เส้นแบ่งของขอบหน้าต่าง แสงสว่างของดวงดาราลอดเข้ามาตัดผ่านใบหน้าของวิลที่จ้องมองหยกครามเรืองรองในมุมมืด

มุมปากของเขาหยักขึ้น “แต่คงยากหากจะต้อนให้เขาติดกับ”

“เพราะเซนกิเดียร์ ดาเวอร์นาสสินะ” หลานชายพยักหน้าเป็นคำตอบ

“แต่บางทีเรื่องสนุกก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วกระมัง” เขาพูดต่อ “ยังไงก็เถอะ ให้เขาสอบฝ่ายเราก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วยนะขอรับ”

**

“ท่านรู้จักนักเล่นแร่แปรธาตุหรือไม่” สามวันให้หลังจากเขาสอบวิทยาลัยฟรอเรนซ์คำถามนั้นก็เล็ดลอดออกมาจากปากแห้งแตกของชายหนุ่ม หมอยาเหลือบมอง ยังคงเห็นว่าเขาไม่ละสายตาจากตำราเล่มใหม่ที่ตาเฒ่าเป็นคนซื้อให้ หมอยาครุ่นคิด ปลายนิ้วแตะลงที่คาง “รู้จักดีเลยล่ะ ก็สหายของข้าคนหนึ่งมาจากแดนใต้ศาสตร์โบราณที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้าไม่รู้นักว่าสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร แต่สหายของข้ากลับมุ่งมั่นในการออกตามหามาก แต่ตอนนี้หายเข้าไปในป่าเพื่อฝึกฝนวิชาอยู่กระมัง หรือสหายของเจ้าคือนักเล่นแร่แปรธาตุหรือ?”

เขาพยักหน้า หยุดอ่านตำราแล้ว “อย่างที่ท่านว่า...ศาสตร์ของเวทมนตร์กับการแปรธาตุแตกต่างกันงั้นหรือ”

ใบหน้าของหมอยาแต้มด้วยเหงื่อ เขาคิด ช่างเป็นคำถามที่ยากแท้

“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบนัก”

“...อย่างนี้นี่เอง”

“บางทีข้าอาจจะเลือกทางเดินผิด” หมอยาฉงน “ข้าไม่มีเวทมนตร์เพื่อรักษาซอว์...เช่นนั้นแล้ว ข้าจะ...ทำได้จริงหรือ”

หมอยาหัวเราะร่วน เขากล่าวสิ่งขบขันที่ไม่มีวันเป็นจริง

“บางทีเจ้าอาจจะมีเวทมนตร์ขึ้นมาก็ได้” นัยน์ตาเรียวหรี่ลง

ฉับพลันหน้าต่างที่พักของเขาถูกเปิดออกด้วยแรงลมมหาศาลที่ทัดเทียมกับพายุด้านนอก ซองจดหมายสีน้ำตาลอ่อนลอยละล่องอยู่บนอากาศก่อนตกลงมือเขาพอดิบพอดี ซัลลิแวนเห็นตราประจำวิทยาลัยฟรอเรนซ์นั่นคืออิทรีสองหัวก็ต้องตกตะลึง เขาไม่รีรอที่จะแกะซองจดหมาย

เมื่อลูกศิษย์ได้แต่ตกตะลึง หมอยาจึงกล่าว “เจ้าไม่ได้ฝัน นี่คือความจริง เจ้าสอบผ่านวิทยาลัยฟรอเรนซ์”

“นี่ข้า...”

“พายุด้านนอกแรงขึ้นมา ปิดหน้าต่างเถิดเดี๋ยวแม่นางจะไม่สบายเอา” หมอยาพยัดพเยิดหน้าไปทางนั้น เขาวางซองจดหมายลงบนโต๊ะรีบลงกลอนแล้วหันกลับมาห่มผ้าให้ซอว์ หางตาเหลือบเห็นผ้าไหมสีแดงที่ถูกถักขึ้นมาเป็นอย่างดี

หมอยาเปรย “ของสำคัญสินะ เช่นนั้นก็ถนอมมันเอาไว้เสีย”

สีเมนจ้องมองมันอยู่เนิ่นนาน ก่อนตอบรับในคอ