หมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต - Chapter 2 ชายหนุ่มอับโชค โดย DIAT @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รั้วโรงเรียน,แฟนตาซี,ลึกลับ,ชาย-ชาย,ตะวันตก,แฟนตาซี,เวทมนตร์,ลึกลับ,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รั้วโรงเรียน,แฟนตาซี,ลึกลับ,ชาย-ชาย,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เวทมนตร์,ลึกลับ,BL

รายละเอียด

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต โดย DIAT @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

หมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ

ผู้แต่ง

DIAT

เรื่องย่อ

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติ

ไม่มีการอ้างอิงถึงสิ่งไหนเป็นพิเศษ

อาจเรียกได้ว่านักเขียนนั่งเทียนเขียนก็ได้

ขอบคุณครับ

สารบัญ

สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 1 หมู่บ้าน,สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 2 ชายหนุ่มอับโชค,สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิต-Chapter 3 หิมะ

เนื้อหา

Chapter 2 ชายหนุ่มอับโชค

Chapter 2 ชายหนุ่มอับโชค

การเข้าเมืองใหญ่น่าตื่นตากว่าที่คิดเอาไว้ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยผู้คนแออัดกับร้านแผงลอยข้างถนน เสียงอึกทึกโครมที่เชิญชวนมาร้านของตนเอง ความครึกครื้นผิดกับหมู่บ้านอันเงียบสงบทำให้เขาหวาดระแวง เมื่อลงจากรถลากหมอยารีบคว้าคอเสื้อของซัลลิแวนเอาไว้เพื่อไม่ให้พัดหลงเข้าไปกับฝูงชนที่แออัดอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะพาเขาไปยังห้องพักหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกับตลาดเช้าของเมืองหลวง หมอยาไม่กล่าวอะไรมากกว่าให้เขาไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปยังตลาดเช้า

“แล้วซอว์ล่ะ? จะอยู่ไหน”

“เจ้าไปหาอะไรกินก่อนเถอะ ขืนอยู่ในสภาพนี้มีหวังเจ้าเป็นลมแน่ ส่วนแม่นางข้าจะดูแลให้เอง” จบประโยคนั้นทั่วทั้งห้องก็ถูกความเงียบโอบอุ้มเอาไว้ ชายชราเดินเกมพลาดไปสักหน่อยและเหมือนจะรู้ดีว่าสิ่งที่พูดไปนั้นกระทบกับจิตใจของเขาเข้าอย่างจัง นัยน์ตาสีชาดหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดคล้ายมีเมฆก้อนใหญ่บดบัง หมอยาถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยอีกหน “ข้าจะพยุงอาการของนางให้เอง ข้าเพิ่งได้สมุนไพรใหม่มาคงทำให้รอยดำตามตัวนั้นจางลงได้บ้าง”

“...เจ้าจะพอกยานางหรือ?” คราวนี้คิ้วขมวด “แค่ที่มือ”

“...”

เขาสาบาน “อย่างไรเจ้าก็พานางไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้นไว้ใจข้าสักนิดก็ยังดี ข้าสาบานว่าน้องเจ้าจะปลอดภัย” เขาจับจ้องมองแววตาของหมอยา ความสัตย์จริงที่ปรากฏอยู่บนนั้นทำให้ซัลลิแวนโอนอ่อนลงบ้าง เขาเดินผ่านหมอยาก่อนลงไปด้านล่างเพื่อเข้าตลอดเช้า เป็นตลาดที่จะเปิดช่วงในเช้าตรู่ แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มากมายจนระรานตา เขาเดินทอดน่องไปเรื่อย มองดูร้านอาหารที่อยู่ค่อนข้างไกล แทบจะอยู่นอกวงโคจรของตลาดเลยก็ว่าได้ เขาจึงเลือกร้านนั้น เป็นซุปร้อนๆ ตัดกับอากาศเหน็บหนาวที่กินเวลาหลายฤดูกาลของอาณาจักรนี้ เขานั่งลง สั่งซุปแล้วจึงนั่งรอ ระหว่างนั้นจึงกวาดสายตามองรอบๆ เพื่อพินิจดูว่ามีอะไรบ้าง

นอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ยังมีความสวยงามของแสงไฟที่ติดตามทางเดิน มันไม่เหมือนคบเพลิงหรือตะเกียงที่เขาเคยใช้มาก่อน ดูลึกล้ำจับต้องไม่ได้ ปานแสงสว่างเหล่านั้นควบคุมสายตาของเขา ซัลลิแวนเหม่อลอยอยู่นานแสนนานจนเสียงบางอย่างที่ขวามือทำให้เขาตวัดสายตาไปมอง ทีแรกเขาเห็นเพียงเงาตะคุ่มที่ยืนอยู่กันสามสี่คน ไม่คิดว่านั่นคือมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่เมื่อเพ่งมองให้ดีแล้ว จะเห็นชายคนหนึ่งถูกรังแกอยู่ ซัลลิแวนเมินมอง...แล้วผินใบหน้ากลับมาดังเดิม เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขาเสียหน่อย อันที่จริงแค่มาทานข้าวเช้าแล้วเตรียมตัวไปสอบเท่านั้น เรื่องอื่นเขาหาได้สนใจไม่

ทว่าเสียงดังโครมครามกับเสียงสะอื้นไห้ทำเอาซัลลิแวนต้องกลับมาใส่ใจ

น้ำตาหยดแหมะลงบนพื้น เสียงสะอื้นกับดวงตาที่แดงก่ำ

เขาเกลียดน้ำตาจริงๆ นั่นแหละ

เขาคว้าหมับที่ไหล่คนตัวโต ใบหน้าของซัลลิแวนนิ่งจัด สีโกเมนจ้องมองผู้คนเหล่านั้นด้วยความเงียบ การปรากฏตัวที่ไม่มีใครคาดคิดทำให้ความสนใจของเหล่าอันธพาลพุ่งตรงมายังเขา ชายหนุ่มยังคงนิ่งแม้จะรู้ตัวว่ากำลังของตนสู้คนเหล่านี้ไม่ได้ อีกอย่าง โลกที่เต็มไปด้วยความลึกล้ำยากจะหยั่งถึงไม่แน่ว่าคนตรงหน้าอาจมีเวทมนตร์อย่างที่หมอยาพร่ำบอกก็ได้

“ไอ้เวรนี้มาจากไหนวะ”

“คงไม่ใช่คนของเมืองหลวง มาจากต่างถิ่นหรือไง”

“อ๋อ ก็คงเป็นพวกอพยพนี่เอง...ถอยไป!” มันตวาดเสียงดังลั่นจนเขานึกรำคาญนัก คิดผิดจริงๆ ที่ยื่นมือเข้ามาในเรื่องคนอื่น หากรีบกินรีบกลับคงไม่เป็นอย่างนี้ เขาบีบไหล่ของอีกคนไว้แน่น ลอบมองคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง มีชายร่างเล็กสองคน คนที่ดูจะเป็นหัวโจกอีกหนึ่งคน ยังมีพวกที่เฝ้ามองนิ่งๆ ไม่หือไม่อือ และคนสุดท้าย…ชายหนุ่มแสนอับโชคที่เป็นเหยื่อของพวกมัน มือเรียวซุกเข้าที่กระเป๋ากางเกง ยังมีมีดที่เขาพกติดตัวเอาไว้เสมอด้วย จะให้จัดการมันเสียตรงนี้จะเป็นไปได้หรือไม่นะ...ไม่สิ หากทำเช่นนั้นเรื่องคงวุ่นวายใหญ่โตมากแน่ๆ

เขาต้องหาวิธีอื่น

สีแดงฉานสบสายตากับสีกรกตเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่หลบซ่อนในเงามืดทำให้เขาต้องหรี่ตา คนตรงหน้าฉีกยิ้มจนเห็นไรฟันขาวพลางกล่าวว่า “กลับกันดีกว่า ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าสนุกเลย” น้ำเสียงของคนพูดชวนให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ทั้งยังเต็มไปด้วยความอ้อล้อ

ไอ้ตัวโตรีบหันกลับไปมอง “เอ๊ะ?...ท่าน”

ท่าน?

“ไปเถอะน่า โอ ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้คนแบบเจ้าเห็นภาพแบบนี้เข้า” ว่าแล้วพวกมันก็เขม่นใส่เขารอบหนึ่งพร้อมรีบเดินตามนายของตนไปอย่างเร็วๆ ปล่อยให้เขาพิจารณาคำพูดของไอ้ตาเขียวนั้นอยู่สักพัก คนแบบเจ้า ที่มันว่าหมายถึงอะไรกันล่ะ เขามองไล่หลัง ค่อยหันมองคนบาดเจ็บที่นั่งกอดเข่าทั้งสองข้าง ตัวสั่นเทาอาจเพราะกลัวหรืออากาศในเวลานี้เหน็บหนาว ฤดูกาลนี้ไม่แม้แต่จะมีแสงปรากฏให้ได้เห็นนักหรอก

เขาถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก พร้อมกันนั้นจึงคลุมตัวของคนที่สั่นงกๆ เอาไว้

“ฤดูกาลนี้ฆ่าคนตายมานักต่อนักแล้ว” เขาพูดต่อด้วยเสียงเนิบนาบ “ตายเพราะไม่มีอาหาร ตายเพราะความเหน็บหนาว ตายเพราะความหวาดกลัว...ถึงอย่างนั้นหิมะสีขาวโพลนจะปกคลุมร่างของพวกเขาเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาตาย แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูใหม่ กลิ่นเหม็นเน่าจะลอยคลุ้ง ชาวบ้านจะนำร่างนั้นเผาให้ไหม้เกรียม...” คล้ายตัวเขาจะละเมอ พูดเพ้อไปเรื่อยทว่าคนฟังกลับโอบรับเอาจิตไมตรีของเขา รีบคว้ามือของเขาด้วยแววตาวูบไหว สีน้ำเงินดังก้นมหาสมุทร คล้ายกับสีของปีกผีเสื้อที่เขาเคยเห็นทว่ามันเลือนรางในความทรงจำเขาเสียเหลือเกิน

ชายคนนั้นเดินตามเขา เมื่อมาถึงร้านที่เขานั่งทานอาหารซัลลิแวนจึงสั่งเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย เพื่อปลอบขวัญ ซัลลิแวนไม่ใช่คนใจดี—เขาคิดอย่างนั้น เพียงแค่เกลียดเสียงร้องไห้ก็เท่านั้น ใบหน้าขาวซีดของชาวเหนือทำให้รอยฟกช้ำเด่นชัดกว่าเงามืดมากนัก แต่ตอนนี้ไม่มียาหรือสมุรไพรที่เขาพกติตตัวเลยด้วย

“ขอบใจเจ้ามาก” คนผมขาวเอ่ย

“อืม”

“เจ้า…?” เขาเหลือบตามอง “ซัลลิแวน เลคเตอร์”

“เลคเตอร์...?” อีกฝ่ายคงคิดอะไรสักอย่างซึ่งคงอยู่นอกเหนือสิ่งที่เขารู้กระมัง ชายหนุ่มมีใบหน้าเศร้าสร้อย เขาหลุบตาลงก่อนเอ่ยนามของตน “เซน”

“เซน? ชื่อเจ้าหรือ”

“ใช่”

เงียบกริบ

ไม่มีใครคิดอยากต่อบทสนทนา ซัลลิแวนนำเงินวางไว้บนโต๊ะก่อนจะผุดลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับที่พัก ทว่ามือของเขาถูกคว้าเอาไว้โดยชายที่นามว่าเซน อีกฝ่ายลำล่ำละลักที่จะคุยกับเขา ซัลลิแวนคิดว่านั่นน่ารำคาญไม่น้อย ยังมีเรื่องที่เขาต้องจัดการอยู่มาก หากไม่คุยธุระตอนนี้… “ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้า หากประสงค์สิ่งใดช่วยบอกข้าทีเถิด ข้าจะตอบแทนเจ้าเอง”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตอบกลับ “ไม่หรอก”

“...”

“สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่มีผู้ใดมอบให้ข้าได้หรอก”

**

“ซอว์อาการเป็นอย่างไรบ้าง” เขารีบกลับมาดูอาการของนางอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าหมอยาไม่คิดจะทำอะไรแปลกๆ กับน้องสาวของเขา ซึ่งแน่นอนว่าหมอยาไม่เคยล่วงเกินแม่นางสักหนเดียว ชายแก่ทำเพียงพอกยาที่มือนางก่อนจะเขยิบถอยให้ผู้เป็นพี่ได้เข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าสมุนไพรที่พอกมือเอาไว้มีประสิทธิภาพจึงผงกหัวหนึ่งครั้ง หมอยารีบผุดลุกขึ้นแล้วนำใบสมุนไพรมาให้เขาบด ค่ำคืนนี้นอกจากเรื่องซอว์เขาเริ่มจะปริปากพูดเรื่องอื่นออกมาบ้างแล้ว

หมอยาลอบยิ้มอย่างแนบเนียน

“ข้าเจอชายผู้หนึ่ง เขาถูกทำร้าย...เขาพยายามตอบแทนข้า แต่สิ่งที่ข้าต้องการ” นัยน์ตาหยุดลงที่ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น “เขามอบให้ข้าไม่ได้หรอก” ชายชราหัวเราะ “เจ้าไม่คิดจะมีมิตรสหายอย่างใครเขาเลยงั้นหรือ?”

“มิตรสหาย” ใบหน้าซัลลิแวนพลันยุ่งเหยิงขึ้นมา เด็กในหมู่บ้านน้อยมากและแทบไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเขาเลยสักคน ซัลลิแวนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้นำหมู่บ้านก็ไม่เคยบอกเขาด้วย การผูกมิตรกับผู้อื่นจึงนับเป็นเรื่องยากรองลงมาจากการรักษาน้องของเขาก็ว่าได้ “ข้าไม่ต้องการ”

“งั้นรึ”

“ข้าพูดจริง”

ชายชราเย้าอีกครั้ง “ข้าไม่ทันได้กล่าวอะไรเลย แต่เจ้ากำลังจะเข้าวิทยาลัยคงหลีกหนีการมีมิตรสหายไม่ได้หรอก” ใบหน้าของซัลลิแวนงอง้ำลง “ท่านเคยเรียนที่นั่นหรือไม่” หมอยาครุ่นคิด “เคยสิ แต่นานมาแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าอายุประมาณเจ้า ข้ามีเพื่อนมากมาย เพื่อนร่วมรุ่นของข้ากลายเป็นคนใหญ่คนโตในอาณาจักรต่างๆ แต่คนที่ข้าสนิทสนมที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าเสมียนที่อยู่ในโรงสมุดนั่นล่ะ”

“โรงสมุด?”

“ตั้งอยู่ในวิทลาลัยฟรอเรนซ์ หากเจ้าสามารถเข้าที่นั่นได้แล้วเจ้าจะพบเจอกับหนังสือมากมาย เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ หรือยาที่ใช้ศาสตร์ของเวทมนตร์ในการปรุงขึ้นมา หรือบางที…เจ้าอาจจะต้องการนิยายที่ช่วยผ่อนคลายคลายเหนื่อยล้าของเจ้าก็ได้”

“...สหายรึ”

เมื่อแสงจันทราสาดส่องเข้ามายังห้องพัก เขามองเห็นมือเรียวของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยแผลถลอก ก่อนจะมองไปยังนภันต์ซึ่งทอประกายแสงแห่งดวงดาว ความเหน็บหนาวที่คลืบคลานกัดกินผู้คน อีกไม่นานหิมะสีขาวคงจะตกลงมาปกคลุมทั่วท้องถนนเป็นแน่ ยามนั้นเด็กๆ คงออกมาวิ่งเล่น เขาเองก็อยากนอนทับบนหิมะ ปั้นเป็นรูปร่างเหมือนกัน มีเพียงคืนนี้ที่เขาขบคิดถึงภาพตนในรั้ววิทยาลัย รวมไปถึงสหายที่หมอยาพูดถึง...สหายที่จะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ สหายที่พร้อมจะอยู่ด้วยกันในยามเรียนจบ จู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นระส่ำระสายขึ้นมา ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างแน่นหนา เขาพยายามกล่อมตัวเองให้หลับ ไม่เพ้อถึงเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาเองก็ยังเฝ้ารอสิ่งเหล่านั้นอยู่

ในรุ่งสาง เส้นแบ่งขอบฟ้าเปลี่ยนสี เขากะพริบตาสองสามทีเพื่อตั้งสติก่อนจะลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนบอกกับหมอยาให้ดูแลน้องของตนเองดีๆ โชคร้ายนักที่วิทยาลัยฟรอเรนซ์มีหอพักภายใน เมื่อสอบติดแล้วจะต้องย้ายเข้าไปในหอพัก ซึ่งยังมีการจับคู่หรือเพื่อนร่วมห้องหออีก มีความวุ่นวายในทุกกระบวนการ แต่เขาก็เข้าใจได้เพราะวิทยาลัยฟรอเรนซ์มีการแข่งขันสูงลิ่วพร้อมยังมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาอีก

การเดินทางไปยังวิทยาลัยฟรอเรนซ์ก็ง่ายดาย เพราะวิทยาลัยนั่นสูงชันคล้ายกับพระราชวังของเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรแห่งนี้ก็ว่าได้ มีประชากรหลายคนที่ยืนอยู่ร่วมกัน ความแออัดกับเสียงอึงอลคลอเคล้าให้ได้ยิน เขาอยู่ในพื้นที่ที่ไกลหน่อย แต่อีกไม่นานก็คงจะใกล้เปิดรั้วใหญ่นั้นออกแล้วกระมัง เขาซุกมือเข้ากับเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่ พร้อมพ่นควันขาวออกจากปาก หางตาเหลือบมองชายคนเดิมนามว่าเซนที่เคลื่อนตัวเองมาใกล้เขา ตัวของอีกฝ่ายสูงกว่าเขามาก น่าแปลกที่ถูกเล่นงานเมื่อวันก่อน

หรือจะเป็นพวกไม่สู้คน...คงอย่างนั้น

เขาพยายามไม่หันไปสบตาหรือรับรู้ว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่เคียงข้างกัน แต่เจ้าตัวโตนั่นใกล้ชิดเขาเหลือเกินจนซัลลิแวนชักอึดอัด เขาหันกลับไปพร้อมกล่าวเสียงราบเรียบ “ถอยออกไป” ใบหน้าของเซนหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ยอมถอยร่นตัวกลับไปแต่โดยดี “ซัลลิแวน” คนตัวสูงเอ่ย “ข้าเอานี่มาให้เจ้า” พร้อมยื่นผ้าไหมพรมสีแดงทักทออย่างดีให้เขา ดวงตาปิดลงพร้อมรอยยิ้มสวย ซัลลิแวนได้แข็งทื่อเป็นหินอยู่อย่างนั้น

“ให้ข้ารึ?” เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน

“ก็เจ้าบอกเองว่า…ฤดูกาลนี้พรากชีวิตของผู้คนไปมากมาย ข้าเลย...มอบให้เจ้า”

“...”

“ขะ…ข้ามีถุงมือไหมพรมด้วยนะ! ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ...ช่วยรับไว้ที” ปลายเสียงผะแผ่วยิ่งกว่าการกระซิบ เขารับเอาไว้ก่อนไหมพรมสีแดงที่อยู่บนลำคอของเขาพร้อมถุงมือสีเดียวกันถูกสวมอย่างรวดเร็ว คนตัวสูงยิ้มร่าอารมณ์ดี ก่อนเขยิบเข้าไปใกล้หลงลืมคำเตือนของเจ้าตัวไปเสียแล้ว

“ไม่นึกว่าเจ้าจะมาสอบที่นี่ด้วย โชคดีจริงๆ ที่เจอเจ้า”

“อืม”

“วิทยาลัยฟรอเรนซ์เข้ายากมาก เจ้ารู้หรือไม่ เพราะแบบนั้นข้าจึงกลัวว่าจะทำไม่ได้...แต่พอได้เจอเจ้าข้ามั่นใจแล้วว่าข้าทำได้แน่”

“อา”

ซัลลิแวนเป็นพวกถามคำตอบคำ ถึงอย่างนั้นเซนก็ยังกล่าวต่อไปอยู่ดี “ถ้าเจ้ากับข้าสอบผ่าน เรื่องหอพักนั่น…เจ้าจะอยู่กับข้าไหม?” ดวงตาสีก้นบึ้งของมหาสมุทรคล้ายมีแสงของดวงสุริยันส่องไปถึงจึงสุกสกาวนัก “ก็ได้” จะนอนกับใครเขาก็ไม่ใส่ใจมากอยู่แล้ว ตอนที่เซนกำลังจะหวีดร้อง เสียงปานประตูเหล็กก็ดังขึ้นเปิดออก เสียงของผู้คนแถวแรกๆ ร้องฮือฮาจนเขาชะเง้อมอง แต่ด้วยส่วนสูงที่น้อยนิดจึงจำใจจับใจความจากพวกด้านหน้าเอา

“อาจารย์ของวิทยาลัยน่ะ”

คนข้างกายพูดขึ้น “อาจารย์หรือ?”

“อื้อ ศาสตราจารย์วิลผู้คุมสอบของปีนี้”

ศาสตราจารย์กระแอมไอ ก่อนกล่าวเสียงดังฟังชัด “ขอเชิญผู้สมัครสอบเข้าสอบ ณ ห้องโถงใหญ่” มีเพียงการประกาศสั้นๆ กระชับได้ใจความก่อนพวกเขาทั้งหมดจะเดินไปยังโถงใหญ่ที่ศาสตราจารย์วิลบอก ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปด้านในกันให้ควั่ก ส่วนเขาและเซนเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่ได้ตามเข้าไป ซัลลิแวนมองธรณีรั้วอยู่นานนัก เซนได้แต่ขมวดคิ้วกับท่าทีประหลาดของเจ้าตัว เมื่อซัลลิแวนตั้งสติได้แล้ว เขาก็เยื่องย่างไปตามกัน

ปลายเท้าพ้นธรณีรั้ว สถานที่ตรงหน้าพลันเปล่งประกายขึ้นบัดดล เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนลอบมองภายในวิทยาลัยฟรอเรนซ์ซึ่งถูกตกแต่งด้วยปาติมากรรมหลากหลายรูปแบบ มีพุ่มไม้ดอกไม้หลากสีถูกปลูกเอาไว้ ไกลไปหน่อยมีเรือนกระจกที่ด้านในเต็มไปด้วยต้นพฤกษา ตัวอาคารเรียนสูงตระหง่านทัดเทียมฟ้า

นี่หรือวิทยาลัยฟรอเรนซ์

“ซัลลิแวน”

เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียก เซนคว้ามือเขาอย่างถือวิสาสะก่อนจะพากันวิ่งไปยังโถงใหญ่ซึ่งใกล้จะเริ่มการสอบแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็มาทันแม้จะถูกเสียงบ่นอุบจากอาจารย์ท่านอื่นซึ่งเป็นผู้คุมสอบด้วยเหมือนกัน ทั้งคู่นั่งแถวหลังสุดซึ่งติดกับหญิงสาวสวยสะพรั่ง สีดำเงาขลับของเส้นผมยาวลงถึงปลายหลัง มีกุหลาบสีดำที่ถูกประดิดประดอยอย่างประณีตติดเอาไว้ หญิงงามเมื่อรู้ถึงสายตาของคนแปลกหน้าที่มอง เธอจึงหันกลับมา พร้อมรอยยิ้ม เครื่องหน้าของนางแต้มด้วยสีดำเกือบทุกอย่าง ริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยสีดำพร้อมเปลือกตาที่ถูกแต้งด้วยไว้สีเดียวกัน

ซัลลิแวนมองเธอหัวจรดเท้า ทุกอย่างล้วนมีแต่สีเดียว ซึ่งตัดกับผิวซีดเซียวของเธอได้เป็นอย่างดี

“ผู้เข้าสอบทุกท่านมีเวลาจนกว่านาฬิกาทรายเรือนนี้จะหมดลง เริ่มทำข้อสอบได้”

กระดาษข้อสอบลอยละลิ่วมาวางไว้ที่ตรงหน้าผู้มาใหม่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว ไม่รอช้า ผู้เข้าสอบทั้งหมดรีบเปิดกระดาษแล้วอ่านทันที ส่วนซัลลิแวนได้แต่นั่งนิ่ง เขากำลังทำสมาธิในเวลาที่ไม่สมควรสุดๆ มือหยาบกร้านที่สวมถุงมือเอาไว้ถูกจับไว้โดยชายที่นั่งข้างกาย เขาผินตามอง ก่อนตั้งคำถาม ริมฝีปากของเซนเปิดออก เป็นคำพูดไร้เสียง

“ทำได้อยู่แล้ว ซัลลิแวน”

เขาหรี่ตามอง ก่อนสะบัดมือออกแล้วเริ่มทำข้อสอบเยี่ยงคนอื่นเขา

เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง ทรายเม็ดสุดท้ายก็ตกลงจนหมด เสียงระฆังดังขึ้นบอกหมดเวลา คนผมบลอนด์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเพียงตัวเขา เซนและหญิงสาว เซนฟุบหน้าหลับไปบนโต๊ะ ส่วนหญิงสาวไร้นามกอดอกหลับตา คนที่เหลือออกไปด้านนอกกันหมดแล้ว อาจารย์ในโถงใหญ่รีบเดินเข้ามาปลุกให้ทั้งสอง และบอกให้พวกเขาออกไปด้านนอกเพื่อจะทำการสอบเกี่ยวกับเวทมนตร์

“สอบ...เกี่ยวกับเวทมนตร์หรือ”

ศาสตราจารย์วิลพยักหน้า “ใช่” ยิ่งทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบกว่าเดิม เขาเดินแข็งทื่อออกจากห้องโถงใหญ่ไปยังโรงอาหารซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนคนข้างกายหายไปไหนแล้วไม่รู้ ก็ดี เซนอยู่ด้วยแล้วเขาปวดหูจะตายชัก เมื่อได้ที่นั่ง เขาก็หลับตาลงรีบคิดถึงประโยคของศาสตราจารย์วิลทันที

สอบเกี่ยวกับเวทมนตร์

นั่นคือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ชาวบ้านตาดำๆ จากหมู่บ้านเรเวนที่ไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของศาสตร์เวทคิดอยากจะเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์งั้นหรือ…ตัวเขาบ้าชะมัด ต่อให้ปฏิหาริย์มีจริงก็คงเป็นไปไม่ได้ ระหว่างที่เขากำลังนั่งหน้าเครียด เซนกอดอกมองหญิงสาวที่ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมเพียงชุดสีเดียว

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” น้ำเสียงกังวานของหญิงสาวทำให้เซนกลอกตา “แต่งตัวอย่างกับคนไว้ทุกข์ คราวนี้บ้านเจ้าใครตายอีกล่ะ” หญิงสาวหัวเราะร่วน รู้สึกสนุกกับท่าทีหงุดหงิดของสหาย “ก็แค่ปลาของข้าแข็งตายน่ะซี ข้าเสียใจแทบแย่เลยนะ เลยสวมชุดนี้ไว้ทุกข์ให้กับมันเท่านั้นเอง” นัยน์ตาสีน้ำเงินคลาคล้ำเรียบนิ่งขึ้นมาทันที “คนที่อยู่ข้างเจ้าคือใครหรือ”

เขาไหวไหล่ “ซัลลิแวน เลคเตอร์”

“ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสินะ”

เซนขบกราม “เขาเป็นคนดี”

“อ๋อ...คนดีนี่เอง แต่คนดีของเจ้าจะไม่สามารถเข้าวิทยาลัยได้เพราะไร้เวทมนตร์ น่าเสียดายใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลง “เพราะวิทยาลัยบ้านี้สินะที่ทำให้เขาไม่สามารถเข้าเรียนได้”

เขาหวนนึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน

เซนยังไม่ได้ตอบแทนให้กับซัลลิแวนเลยนี่

ใบหน้าของสหายปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เธอเกลียดชังมากที่สุดก็ได้ว่า หญิงสาวกอดอกพร้อมเดินออกจากสถานที่นี้ ไม่ลืมที่จะดีดนิ้วทำลายพื้นที่เสมือนนั้นด้วย

...

“รอนานไหมซัลลิแวน”

“...”

“ทำไมจึงทำหน้าเครียดอย่างนั้นล่ะ เจ้าทำข้อสอบไม่ได้หรือ” ซัลลิแวนส่ายหน้า ริมฝีปากซีดเซียวทำให้เซนคิดไม่ตกว่าจะมีเรื่องอะไรอีก ก่อนที่จะถูกเฉลย เขาถือวิสาสะใช้ปลายนิ้วขีดเขียนลงบนฝ่ามือที่หงายบนโต๊ะ “เจ้าทำได้อยู่แล้ว เจ้าเก่งเสียขนาดนี้นะ”

“ข้า…ไม่มีเวทมนตร์”

“อ๋อ เรื่องนั้น” ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง ชายผมขาวเอนตัวมานั่งหลังตรง เขาสบตาสีแดงที่ไม่เคยถอยหนี ไม่เคยหวาดหวั่น มีเพียงเขานี่แหละที่มักจะหลบเลี่ยงตาคู่งามนั้นเสียเอง “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ข้ายังติดค้างเจ้าอยู่”

“...”

“ข้าคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้ามอบให้เจ้าได้”

“...?”

“เจ้าจะได้อยู่ที่นี่” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้ สีน้ำเงินเปล่งประกายระยิบระยับ

แม้จะด้วยวิธีใดก็ตาม