หมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ
รั้วโรงเรียน,แฟนตาซี,ลึกลับ,ชาย-ชาย,ตะวันตก,แฟนตาซี,เวทมนตร์,ลึกลับ,BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สิ่งสุดท้ายที่จะเสียคือชีวิตหมู่บ้านของเขาถูกโรคระบาดเล่นงาน พี่ชายอย่างซัลลิแวน เลคเตอร์มีหรือจะปล่อยให้น้องสาวต้องมาตาย หากอยากช่วยชีวิตนางมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือการเข้าวิทยาลัยฟรอเรนซ์เพื่อศึกษาศาสตร์เวทมนตร์ซะ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องสมมติ
ไม่มีการอ้างอิงถึงสิ่งไหนเป็นพิเศษ
อาจเรียกได้ว่านักเขียนนั่งเทียนเขียนก็ได้
ขอบคุณครับ
Chapter 1 หมู่บ้าน
หมู่บ้านเรเวนมีคำกล่าวว่า ‘ชีวิตของเราจะเป็นนิรันด์’ คำกล่าวนี้มีมาก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก…เขาคิด มันเริ่มต้นจากที่ไหนกันนะ
อากาศในยามเช้าตรู่หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเมฆดำทมิฬปกคลุมทั่วท้องฟ้า ชาวบ้านพึมพำเสียงเบาว่านภากำลังพิโรธ เขาเงยหน้ามองตามก่อนจะเห็นหยดฝนตกกระทบพื้นดิน แปรเปลี่ยนความแห้งแล้งเป็นความชื้นแฉะ ในที่สุดเสียงฝนก็โหมซัดใส่หมู่บ้านอีกาดำ หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากอาณาจักรโดเอแกนด์ซึ่งครอบครองพื้นที่มากมายรวมถึงหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่อาศัย ทว่าหมู่บ้านที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาไม่มีใครคิดจะมาดูดำดูดี เขาคิดว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เองก็มิได้หวังพึ่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ที่กินดีอยู่ดีในราชวัง
ราวๆ สองเดือนโรคระบาดปริศนาแพร่กระจายไปทั่วผืนดินใหญ่ หมู่บ้านขนาดเล็กอย่างเรเวนถูกผลกระทบรุนแรง ผู้คนมากมายล้มป่วย เด็กมากหน้าหลายตาก็มีน้องสาวของเขาเป็นหนึ่งในผู้โชคร้าย ใบหน้าซีดเซียวของเธออยู่ใกล้เพียงลมหายใจ นางหลับไปแล้วเพราะความเย็นของสายฝนช่วยเบี่ยงเบนความสนใจอาการเจ็บปวดจากภายใน ซัลลิแวน เลกเตอร์เฝ้าดูอยู่อย่างใกล้ชิด เมื่อเธอเป็นเพียงครอบครัวคนสุดท้ายของเขา
เดิมทีซัลลิแวน เลกเตอร์เคยมีพ่อแม่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่กี่วันให้หลังที่พวกเขาหมดเงิน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงกะหล่ำหัวเดียว คนพ่อจึงประกาศกร้าวว่าจะออกไปหาของป่า แต่สุดท้ายซัลลิแวนก็รู้อยู่ดีว่าพ่อตั้งใจจะเป็นโจรป่า ดักปล้นพวกพ่อค้าที่ต้องการไปยังอาณาจักรโดเอแกนด์ ภายหลังที่เสบียงพอบรรเทาความหิวโหย พ่อก็เริ่มหายไปจากบ้านตั้งแต่วันนั้น พร้อมกับแม่ที่ไม่นิ่งนอนใจ นางหยิบมีดเล่มใหญ่เพื่อดักปล้นพวกพ่อค้า ซัลลิแวนหลุบตาลงหลังจากแม่บอกว่าจะกลับมาในเช้ามืดของอีกวัน มือของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมไปจับนิ้วป้อมๆ ของซอว์ที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่นาน
สามวันให้หลังจากที่พ่อและแม่ตัดสินใจออกจากบ้านไป พวกท่านกลับมาในสภาพศพที่ร่างกายถูกตัดแหว่ง แขนขาถูกแยกออกจากกัน ศีรษะถูกหั่นอย่างปรานีตไร้รอยตำหนิ ผู้ใหญ่บ้านหอบเอาร่างของทั้งสองมากองกันที่หน้าประตูบ้านซอมซ่อใกล้พัง ทั้งยังพูดอีกว่าพ่อแม่ของเขาไปดักปล้นไอ้พวกวิปริตเข้าให้เลยถูกพวกมันจัดการ พอเสียงหัวหน้าหมู่บ้านเงียบหาย เขาพาซอว์เข้านอน ก่อนจะเห็นเลือดที่ไหลซึมเข้ามาภายในบ้าน ส่งกลิ่นเหม็นเหียนของโลหิต มันข้นคลั่ก ไหลรินจนอยู่ใกล้ปลายเท้าของเขา ก่อนซัลลิแวนจะชักเท้ากลับแล้วจัดการนำศพเหล่านั้นเอาไปเผา ช่วงอายุนั้นเขาไปหาของมาจากผู้นำหมู่บ้าน อีกฝ่ายเป็นที่พึ่งคนสุดท้ายที่เขาคิดเอาไว้ในใจ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านมอบสิ่งของที่สามารถก่อไฟได้ เขาเอาศพของพ่อและแม่ใส่ในถุงเดียวกัน ก่อนจะจุดไฟเผา
เสียงเปรี๊ยะ เปรี๊ยะจากไม้ที่แตกออกจากกัน แสงสีส้มเรืองรองส่องสว่างในยามราตรี ทอประกายในแววตา ฉายภาพที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ซัลลิแวนกะพริบตา เขาคงจ้องมองน้องมากเกินไปหน่อยจนรู้สึกตาแห้งขึ้นมา ปลายหางตามีน้ำไหลหยดตกกระทบผิวกายของซอว์ มันยังดำมะเมื่อมรุกรามผิวกายน้องของเขา แทรกอยู่ในชั้นผิวหนัง อยู่ลึกลงไปถึงชั้นกระดูก ปลายนิ้วลูบวนที่ช่วงมือเล็กที่กระดูกยังไม่เจริญเต็มที่ เล็บของซอว์ไร้สีสันแห่งชีวิต ก่อนเสียงไอโขลกจากหน้าบ้านจะเรียกความสนใจของเขา ซัลลิแวนเปิดประตูให้คนคุ้นหน้า เขามองเห็นใบหน้าของผู้นำหมู่บ้านที่แก่ชราลง นัยน์ตาเรียวเล็กหรี่จ้องมองใบหน้าของซัลลิแวนก่อนเงียบไปชั่วอึดใจ อีกฝ่ายปิดปากไออีกครั้ง ปลายเท้าของเขาร่นถอยไป ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยง
หากเขาติดเชื้อ ใครจะดูแลซอว์ล่ะ?
“มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกแล้ว” ผู้นำหมู่บ้านนามเอลดัสเอ่ย เขามักมาเยือนที่หน้าบ้านก่อนพร่ำเอ่ยรายชื่อคนติดเชื้อให้เขาฟัง เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมอย่างนั้นทำไม ตัวเขาหาใช่หมอที่จะรักษาคนได้เสียหน่อย เพียงประคองอาการของซอว์ไปเรื่อยๆ ก็นับว่ายากเย็นแสนเข็ญ ใบหน้าชายหนุ่มฉายแววเย็นชาขึ้นบัดดลเมื่อเอลดัสไม่เอ่ยถึงความจริง ตาเฒ่าถอนหายใจ ยกมือเกาเส้นผมสีดอกเลาของตน
“ข้าเห็นว่าเจ้าประคองอาการของแม่หนูนั่นได้ อยากให้ช่วยรักษาคนในหมู่บ้านหน่อยได้หรือไม่” ทันทีที่ประโยคขอร้องแกมบังคับทางสายตาจบลง มือของเขาก็ปิดประตูบ้านทันทีทว่าเอลดัสไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายจับบานประตูไม่ให้ปิด ก่อนใช้เท้าคั่นเอาไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มกริ้วขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ยินเสียงซอว์ครางอือในคอ อาการของน้องน่าสงสารกว่าชาวบ้านที่อีกฝ่ายบอกเป็นแน่ เอลดัสเห็นดังนั้นจึงคิดว่าไม่ดีแน่ ไอ้เด็กนี้ชีวิตนี้ไม่สนใจชีวิตใครทั้งนั้นนอกจากน้องของมัน กระทั่งพ่อแม่ก็เผาทิ้งได้ลง
“ไอ้หนู เฮ้อ…ข้าได้ยินข่าวจากหมู่บ้านข้างเคียงมาว่ามักมีหมอยาแวะเวียนมาเพื่อรักษาคนเจ็บ ไม่สนใจหน่อยรึ” ใบหน้าชายหนุ่มคลายความคุกรุ่นลงแล้ว เอลดัสรีบรุกคืบต่อ “หากเจ้าไป ข้าเชื่อว่าคนสมองดีอย่างเจ้าต้องได้อะไรกลับมาเยอะแน่”
ซัลลิแวนขบกราม “ให้หมอยารักษาน้องข้า”
“แน่นอน” เอลดัสยิ้มตอบ “ไปเรียนรู้ทุกอย่างที่หมอยามอบให้เจ้าซะ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น ในความจริงแล้วหมอยาเพียงแวะมาดูอาการเบื้องต้นเท่านั้น หมอยาไม่ได้ให้คำแนะนำหรือพูดคุยกับใครเลย กระทั่งเอลดัสที่พยายามพ่นคำถามมากมายก็ไร้วี่แววว่าจะผูกไมตรีสำเร็จ ทำเอาใบหน้าของผู้นำหมู่บ้านเอือมระอา ในสายตาของเขามันดูน่าเวทนาพอๆ กับคนเจ็บที่นอนซมอยู่ในบ้านคร่ำครึนี้ เขาก้าวมาด้านหน้าเคียงคู่กับหมอเฒ่า เพ่งมองดูอาการรุกรามอย่างใกล้ชิด ซัลลิแวนไม่สนใจว่าโรคระบาดนี้มาจากไหน เขาคิดเพียงอยากรักษาน้องสาวให้หายดีก็เท่านั้น เมื่อหมอเฒ่าเริ่มลงสมุนไพร กลิ่นฉุนกึกก็ตีรวนไปทั่วบ้าน ยิ่งผสมกับดินโคลนความชื้นแฉะในอากาศยิ่งแล้วใหญ่ เอลดัสเบือนหน้าหนีโดยไว เขาว่า “ข้าจะออกไปด้านนอก” คงทนไม่ไหวกับกลิ่นเหม็นนี้
ต่างกับเขาที่ยังคงนิ่ง
กลิ่นที่เหม็นกว่ายาคือกลิ่นของศพที่ไหม้เกรียม…ซัลลิแวนจำได้ขึ้นใจ
“สมุนไพร”
“ใช่” เขาเหลือบตา หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดยไว “แค่บรรเทาอาการเจ็บชั่วคราว หากอยากให้หายป่วยจากโรคนี้มีเพียงต้องใช้ศาสตร์ของเวทมนตร์มาช่วยเหลือ”
“เวทมนตร์” ซัลลิแวนพึมพำ “ท่านมีรึ” ก่อนเงยหน้าถามอีกฝ่าย
หมอยาสั่นหัวปฏิเสธ “ไม่มีหรอก”
จำเป็นต้องใช้ศาสตร์เวทมนตร์เพื่อรักษา…เขามองมือของตนที่สั่นสะท้านด้วยความประหวั่น มือนี้เคยเปื้อนเลือดมาแล้ว เขาไม่อาจรักษาชีวิตใครได้หรอก…สิ่งที่ซัลลิแวนทำได้คงมีเพียงการกำจัด แต่จะให้เขากำจัดน้องสาวตนเองน่ะหรือ?
“ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า” ตำราเล่มหนาหน้าปกขาดหวิ่น สภาพกระดาษสีเหลืองแห้งกรอบ เขารีบกางออกเพื่อมองหาสิ่งที่น่าสนใจ แต่ภายในตำราเล่มหนากลับมีเพียงตัวอักษรยึกยือที่เขาไม่สามารถอ่านออก เด็กบ้านนอกอย่างเขาน่ะหรือจะได้รับการศึกษา นอกเสียจากจะเป็นนายพรานเพื่อล่าสัตว์ ต้องจับอาวุธเพื่อถลกเนื้อหนังของมันมาเป็นอาหาร คงมีสิ่งนั้นสิ่งเดียวที่ได้พอฝึกฝนร่างกายและขัดเกลาการเอาชีวิตรอด
“ข้าอ่านไม่ออก” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหน้าตาเฉย แม้จะถูกหัวเราะใส่หน้าก็ไม่เป็นไร กลับกัน หมอยาพยักหน้าก่อนจะวางมือบนหัวเขา ความอบอุ่นจากฝ่ามือแทรกลงบนกลางศีรษะ ซัลลิแวนปัดมือออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าถอดสีพร้อมแววตาที่เบิกโพลง
“เจ้าอยากรักษาน้องสาวหรือไม่”
เขากลืนน้ำลาย ชายผู้นี้รู้จุดอ่อนของเขา หากใช้ชื่อของซอว์เป็นเครื่องมือ จะทำอย่างไรล่ะ?
ต้องฆ่าหรือ?
แต่เขาจะไม่มีทางรักษาซอว์ให้หายได้เลยหากไม่มีคนตรงหน้า สัมผัสแปลกประหลาดทำให้เด็กน้อยวุ่นวายใจเกินไป คนแก่จึงยอบกายลงเพื่อพูดเสียงหนักแน่นเพื่อให้อีกฝ่ายตั้งสติกลับมา
“ข้าจะสอนทุกอย่างให้เจ้าเอง”
“ทำไมล่ะ” เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับแมลงปอที่แตะผิวน้ำ “ไม่อยากให้หมู่บ้านน้อยใหญ่ต้องหายไปจากครรลองสายตากระมัง” หมอยาเงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนถามอีกครั้ง “เอาอย่างไร?”
“ข้าอยากรู้” ฟันแหลมขบกัดริมฝีปาก ดวงตาช้อนมองอย่างวูบไหว “ทุกอย่างที่ข้าอยากรู้ ท่านตอบได้หรือไม่”
“แน่นอนว่าได้และไม่ได้ ขอบเขตความรู้ของข้ามีจำกัดนัก”
“...”
“แต่แน่นอนว่าข้าตอบคำถามเจ้าได้”
ความเงียบแทรกผ่านทุกอณู เสียงฝนที่เคยตกระหน่ำเงียบกริบ ไม่เหลือแม้แต่เสียงหอบหายใจของชาวบ้านที่ใกล้จะโรยรา มีเพียงเสียงความคิดของเขาที่ดังแทรกผ่านทุกอย่าง ลำตัวของซัลลิแวนเกร็งขึ้นถนัดตา ไหล่สองข้างยกขึ้นอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ดวงตาหลุบลงเพื่อขบคิดบางอย่างในหัว—หาก—หากสามารถรักษานางได้ มันคุ้มค่าใช่หรือไม่ ทว่าสายสัมพันธ์ของพี่น้องแน่นแฟ้วยิ่งกว่าอะไรดี ซอว์เป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิตแล้วจริงๆ
หมอยากะพริบตา ภาพเด็กน้อยที่เคยหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างถูกลบออกไป เหลือไว้แต่เด็กหนุ่มดวงตาแข็งกร้าวเต็มเปี่ยมด้วยความโหยหา ริมฝีปากแห้งแตกอ้าพะงาบอยู่อย่างนั้น แหมะ หมอยาได้ยินเสียงฝนที่เริ่มตกอีกครั้ง คราวนี้ห่าฝนรุนแรงกว่าเดิม มีเสียงโครมครามด้านนอก แต่เมื่อเวลานี้คล้ายกลับถูกแช่แข็งเอาไว้
แสงสว่างพาดผ่านใบหน้าของเด็กหนุ่ม ตามด้วยเสียงของความพิโรธซึ่งถูกกลบด้วยคำพูดของเขา
ซัลลิแวน เลคเตอร์
“มันเป็นหนทางเดียวที่รักษาน้องสาวข้าได้ใช่หรือไม่”
เปรี๊ยง!!
เงาดำทอดทับใบหน้าของเด็กหนุ่ม เหงื่อของหมอยาไหลซึมทั้งที่หนาวจับใจปานนี้และคำตอบเดียวที่เขามอบให้อีกฝ่ายคือ “ใช่”
**
กลิ่นเหม็นเน่ากับเสียงร้องเจ็บปวดของชาวบ้านเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยนับตั้งแต่โรคระบาดปริศนาแพร่กระจายไปเสียงเหล่านี้จะดังระงมทุกช่วงเวลา ในยามเช้าที่เขาเพิ่งตื่น ในยามบ่ายที่เขาออกหาอาหารหรือยามเย็นที่เขาเข้านอน ไม่เคยมีวันไหนที่เสียงจะเงียบลงเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือการที่เขาได้รับหน้าที่บดสมุนไพรให้หมอยา นับตั้งแต่วันที่พวกเขาเจอกัน ซัลลิแวนกลายเป็นลูกศิษย์ของเจ้าตัวโดยการเสนอตัวของหมอยาเอง เขาไม่เคยบอกนามของตนให้ใครทราบ กระทั่งซัลลิแวนที่ใกล้ชิดตลอดเวลาก็ไม่เคยล่วงรู้ความลับข้อนี้ เขาโขลกยาอย่างขมักขเม้นก่อนนำไปพอกตามร่างกายของคนเจ็บ ตามด้วยการให้ทานสมุนไพร พอเสร็จหนึ่งบ้านก็ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จนเวียนครบทุกบ้าน ก่อนหมอยาจะเริ่มสอนหนังสือในบ้านของเขา
ทีแรกซัลลิแวนไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดแม้แต่น้อย ท่าทีขู่ฟ่อคล้ายแมวที่กำลังปกป้องลูกทำให้หมอยาใช้วิธีใหม่ เริ่มตะล่อมด้วยการรักษาน้องสาว มอบยากับสมุนไพรที่มีประโยชน์ ในยามที่เขาออกไปเก็บของป่าหรือล่าสัตว์ก็มักใช้สายตาบังคับให้หมอยาอยู่เฝ้าหน้าบ้านเพื่อไม่ให้ผู้ใดมาแวะเวียนหรือเข้าใกล้ ความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังไปได้ดี หมอยายังจำภาพของซิลลิแวนที่อุ้มซอว์มายังกระโจมของเขาในยามดึกคืนหนึ่งได้อยู่เลย
ใบหน้าของคนพี่ซกด้วยเหงื่อกาฬ ใบหน้าคนน้องขาวซีดไร้เลือดฝาด
ยังดีที่รักษาได้ทันและประคองอาการได้อีกสักระยะ ซัลลิแวนจึงเปิดใจให้อีกฝ่ายเข้ามายังบ้านที่อยู่อาศัยของตน เป็นบ้านเก่ามอซอที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น มีช่องระบายอากาศไม่กี่ที่ พวกเขานอนบนพื้นฟางมีผ้าทับเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
หมอยาเริ่มต้นจากการอ่านตำราให้เขาฟัง ซัลลิแวนฟังซ้ำไปมาจนเริ่มจำได้
ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันการอ่านของเขาก็คล่องแคล่วมากขึ้น แต่สิ่งที่ซัลลิแวนเกลียด เห็นทีไรก็ต้องต้องย่นคิ้วใส่เสมอนั่นคือการเขียน เขาไม่สันทัดการเขียนชื่อสมุนไพร แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง...เขาก็ลำบากในการเขียนมัน ซัลลิแวนถูกสั่งให้ทำเช่นนี้ทุกวัน ถึงอย่างนั้นเขียนก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาอยู่ดี ต่อมาเมื่อซัลลิแวนได้ใช้กระดาษกับน้ำหมึกเป็นครั้งแรก ความสุขุมที่เคยมีมาก็พลันหายไป เขาหยิบมันขึ้นด้วยมืออันสั่นเทา ปากกาขนนกที่ใช้ในการเขียนโดยเฉพาะ
เสียงของหมอยาดังขึ้น “เขียนชื่อเจ้าสิ”
ซิลลิแวนเบ้ปากหนึ่งครั้ง บรรจงจับปากกาขนนกนั่นแล้วค่อยเริ่มเขียน มันออกจะทุลักทุเลไปสักหน่อยแต่อย่างน้อยก็ออกมาดูดีไม่หยอกสำหรับมือใหม่เยี่ยงอีกฝ่าย
“ฮือ...” ซอว์ส่งเสียงร้องในคอ พลันพี่ชายคนเก่งที่กำลังงวดอยู่กับการเขียนเงยหน้าขึ้นฉับพลัน เขาทิ้งกระดาษและปากกาที่เคยสนใจไปอย่างไม่ไยดี ซัลลิแวนยื่นปลายนิ้วมือแตะใบหน้าของซอว์ “นางแค่ขยับตัว”
ใบหน้าของเขาคล้อยต่ำลง “นางจะไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่”
หมอยาถอนหายใจ “ข้าพร่ำบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่านางไม่เป็นอะไรมากกว่านี้หรอก แต่ถ้าเจ้าใช้เวทมนตร์ได้ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้” ซัลลิแวนชักสีหน้ามองหมอยาอีกครั้งหนึ่ง สิ่งลี้ลับนั่นเหมือนผีปืศาจที่ชาวบ้านแต่ก่อนนับถือ มันไม่ช่วยให้อะไรง่ายกว่าเดิมแน่แท้ เขาเห็นชาวบ้านที่ต้องตายเพราะมันก็มาก จะให้เขาไว้ใจพวกผีสางนั่นจริงหรือ เขาหลุบตาลงจ้องมองเด็กหญิงที่พลิกตัวนอนขด เสียงลมหายใจผะแผ่วของน้องทำให้เขาต้องเลือกวิถีทางนั้น
“วิทยาลัยฟรอเรนซ์ในเมืองหลวง” คนแก่เปรยขึ้น “หากอยากเรียนรู้ศาสตร์เวทมนตร์เจ้าก็จงไปที่นั่น แม้ว่า...เจ้าจะไม่มีเวทมนตร์ก็ตาม” เขาพยักหน้ารับคำของหมอยาแม้ตนเองจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์กับผีสางที่คิดจะต่างกันราวฟ้ากับเหว เด็หกนุ่มใช้เวลาหลายเดือนเพื่อทำอย่างเดิมซ้ำไปซ้ำมา เขาอ่านเขียนหนังสือที่ชายชรามอบให้ ไม่เคยมีแม้สักช่วงเวลาที่ต้องแตะเรื่องราวเหนือสามัญสำนึกอย่างเวทมนตร์สักครา
ซัลลิแวนเป็นคนเดียวในหมู่บ้านเรเวนที่เลือกจะเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อเรียนต่อ คนในหมู่บ้านบางส่วนยินดีกับเส้นทางชีวิตของเขากับบางส่วนที่ดูถูกดูแคน ปรามาสเด็กอย่างเขาว่าเลือกทางผิด “เป็นนายพรานสิดี จะไปเรียนให้เสียเงินทำไม” ชายหนุ่มไม่คิดแยแสคำพูดเหล่านั้นสักนิด เขาเพียงชายตามองก่อนจะกระเตงซอว์ไปยังเมืองหลวงด้วยกัน ดีที่มีรถลากผ่านทางไปมาอยู่เสมอ ซัลลิแวนพร้อมกับหมอยาจึงขึ้นรถแล้วออกเดินทาง เขามองบ้านมอซอที่ถูกทอดทิ้งไว้ด้านหลัง ก่อนเบนสายตามองท้องฟ้าที่ครามในยามราตรี
ผินใบหน้ามองซอว์แล้วจึงกล่าวว่า “เราจะได้ออกจากที่นั้นแล้วนะ ซอว์”
ปลายนิ้วของนางบีบนิ้วหัวแม่มือเขา นางฝืนลืมตาพร้อมส่งรอยยิ้มอิดโรยมาให้
มือเรียวที่เต็มไปด้วยแผลมากมายลูบที่ศีรษะ โอบกอดเอาไว้คลายความเหน็บหนาว เขาหลับตาลง รถลากสะเทือนเป็นครั้งคราว กลิ่นความเหน็บหนาวของฤดูกาลใหม่ใกล้เริ่มต้นขึ้นแล้ว