การเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา - บทที่4 ราชการคราแรก โดย เมิ่งเมิ่ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา โดย เมิ่งเมิ่ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

การเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้

ผู้แต่ง

เมิ่งเมิ่ง

เรื่องย่อ

สารบัญ

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่1 บทนิยายจากเทพนิยาย,บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่2 nc,บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่4 ราชการคราแรก

เนื้อหา

บทที่4 ราชการคราแรก







“หนิงอ๋อง... กระหม่อม นำน้ำแกงปลามาถวาย...”






สุ้มเสียงของเสิ่นอวี้เจินนุ่มนวลดังขนนก กลิ่นหอมบางของบุปผายามราตรีคล้ายจะหลอมรวมอยู่บนผิวกายขาวสะอาดของเขา








จิ่วเหยานิ่งงัน ราวกับต้องมนตร์ดวงหน้างามนั้นไม่เคยเปลี่ยน ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบอย่างเคอะเขิน ริมฝีปากแดงเรื่อขบเม้มเบาๆ คล้ายจะซ่อนความหวั่นไหว








"คนงาม..." นางเอื้อมมือไปรับถ้วยน้ำแกงจากมือเรียวบางอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบของอีกฝ่ายสัมผัสผิวฝ่ามือนางเพียงชั่วพริบตา กลับเหมือนสายฟ้าแลบลงกลางใจ








"...ไม่กินหรือ" จิ่วเหยาโน้มตัวกระซิบถาม ลมหายใจอุ่นรินรดใบหูของชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างกาย มือเรียวยาวของนางวางทาบลงบนต้นขาอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา






ไม่กินหรือว่าจะมียาพิษจริงๆ ยังไม่ถึงตอนกลางเรื่องคงไม่กล้าทำร้ายนางเพราะยังหลอกใช้ข้าไม่ได้หรอกนะ 






‘ต่อให้เจ้าวางยาพิษในน้ำแกงถ้วยนี้ ใครจะดื่มจนหมด ก็เชิญเลย ในใจของจิ่วเหยา คล้ายมีเสียงกระซิบต่ำลึก ร้อนแรงแต่ซ่อนเร้น








น้ำแกงยังคงอุ่นอยู่ในถ้วย... แต่ฝ่ามือของจิ่วเหยาร้อนกว่าหลายส่วน มืออีกข้างของนางเคลื่อนไปใต้สาบอาภรณ์ของตนเอง... ปลดผ้าคาดเอวอย่างไร้สุ้มเสียง






เสิ่นอวี้เงยหน้าขึ้นช้าๆ พลันเห็นบางสิ่งผงาดขึ้นอย่างมั่นคงใต้ชั้นผ้าสีหม่นของจิ่วเหยา






แท่งหยกขาวนวลที่สลักอย่างประณีตงดงาม มันแฝงพลังอำนาจในตัว คล้ายพยัคฆ์หลับที่รอจังหวะเงยหน้า






ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเขาเผยอเล็กน้อย 






"...ท่านอ๋อง..." เสียงเรียกแผ่วราวกับสายลมข้างหู








"เจ้าจะป้อนข้า...หรือให้ข้าป้อนเจ้าแทนกันแน่?"   






จิ่วเหยาวางถ้วยแกงลงข้างตัว มือข้างหนึ่งประคองคางเรียว อีกข้างกลับเคลื่อนไปลูบไล้ลำคอระหงของชายตรงหน้า ไล่ลงมาตามแนวอกบางจนถึงขอบอกเสื้อที่ยังคงแนบแน่น








"ชะ..." เสียงครางหลุดออกมาทันควัน เมื่อปลายนิ้วของนางคลายผ้าได้สำเร็จ เผยให้เห็นกลีบบุปผาแสนล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นอาภรณ์






แท่งหยกของจิ่วเหยาเบียดแนบใกล้จนคนงามตัวสั่น ปลายหยกนุ่มร้อนเสียดสีลงบนกลีบที่ชุ่มฉ่ำอยู่ก่อนแล้วราวกับรอคอยมานานแสนนาน




...




...




...




ผ้าม่านโปร่งสีขาวพลิ้วไหวเบาๆ ตามแรงลมอ่อนที่พัดลอดเข้ามาจากหน้าต่างภายในห้องยังอบอวลด้วยกลิ่นกาย กลิ่นดอกไม้แห้ง และเสียงหายใจที่เร่งร้อนสลับกันไปมา




หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ข้างเตียงสะท้อนภาพของชายร่างบางในอาภรณ์หลุดลุ่ย




เสิ่นอวี้ก้มหน้าซบลงกับหมอน มือข้างหนึ่งยึดขอบเตียงไว้แน่น




ริมฝีปากเผยอเปล่งเสียงครวญในลำคอ




“อื้ม… หนิงอ๋อง… อ่า…”




เขาหวั่นไหวจนขาสั่นแต่กลับไม่ขัดขืน…กลับยอมรับสัมผัสของจิ่วเหยาอย่างเชื่อฟัง




แท่งหยกของนางขยับถี่เบาๆ อยู่แนบแผ่นหลังของชายงาม




ลำเนื้อร้อนผ่าวนั้นลูบไล้ผิวขาวละมุนตรงก้นมนแน่นที่ขยับหนีเล็กน้อย—ก่อนจะสั่นระริกเมื่อปลายลิ้นแตะลง




จิ่วเหยาลากลิ้นผ่านกลางแผ่นหลังเนียน ปลายลิ้นเปียกชื้นแตะลงกลางกระดูกสันหลัง ไล้ขึ้นช้าๆ แล้ว




“งับ” ลงเบาๆ ตรงบ่าขาวเนียน




ฟันคมๆ ของนางไม่ได้ทำให้เจ็บแต่กลับเรียกเสียงครางหวานสั่นจากปากของอวี้เจินราวกับไฟช็อตปลายประสาท




“อ๊า…! ขะ… ข้า… ไม่ไหว… หนิงอ๋อง…”




เสียงนั้นดั่งกลีบบุปผาถูกลูบไล้ด้วยคมมีด เขินอายแต่ไม่อาจต้าน




เขามองเงาตัวเองในกระจก เห็นดวงหน้าแดงจัด เหงื่อเกาะที่ไรผม และดวงตาที่ปรือมัวด้วยไฟปรารถนา




จิ่วเหยาใช้นิ้วแทรกเข้าที่กลีบบุปผาด้านหลังของเขาอย่างเชื่องช้า




ปลายนิ้วเรียวเคลื่อนไปพร้อมกับจุมพิตแผ่วเบาตามแนวสันหลัง




นิ้วของนางนั้นแม้จะไม่ใหญ่เท่าแท่งหยก แต่กลับชำนาญในการลูบไล้แตะต้องทุกจุดอ่อนไหว




ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปภายในกลีบบุปผา




ช้า…ลึก…วน




จนเสียงหอบหายใจของชายงามขาดห้วงเป็นระยะ




“ฮึก… อ่ะ… ข้างใน… ข้างในมัน… ซี้ด…”




กลีบบุปผาชื้นแฉะดูดนิ้วของนางราวกับเชื้อเชิญ




แท่งหยกที่เบียดแนบอยู่แน่นเต็มแผ่นหลังนวล


สั่นระริกด้วยความหิวโหย




จิ่วเหยามองภาพตรงหน้าผ่านกระจก เห็นชายงามในอ้อมแขนของตนน้อมร่างลงรับสัมผัสอย่างน่าเอ็นดู






“อาอวี้ของข้างดงามเสียจริง ไม่เพียงรูปโฉมงดงาม…ยังปรนนิบัติข้าได้อีก






เสิ่นอวี้ครางพร่าดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางเคลื่อนไหวเบาๆ อย่างไร้สติ ปลายนิ้วจิกผ้าปูเตียงไว้แน่นขณะถูกเร้าจนข้างในบีบรัดนิ้วของนางแน่นขึ้นเรื่อยๆ




“ข้า…ข้ารู้สึกเหมือนจะ… แตก…”


เสียงครางปนสะอื้นนั้น ยิ่งกระตุ้นให้จิ่วเหยาอยากกลืนกินเขาเสียเดี๋ยวนี้




นางถอนนิ้วออกช้าๆ ขณะเสียงแผ่วหวานยังไม่ทันจาง


แท่งหยกที่อดกลั้นมานาน สะบัดขึ้นราวกับจะทะลุสวรรค์




“เจ้าอยากได้มากขนาดนั้นหรือ คนงาม… อยากให้ข้าเติมเต็มให้หรือไม่”




เสิ่นอวี้หอบหายใจอย่างไร้คำพูด


แต่ขาทั้งสองของเขาค่อยๆ แยกออกเล็กน้อย…






เมื่อเสิ่นอวี้เจินค่อยๆ หมอบราบลงบนเตียงตามคำชักนำของจิ่วเหยา


ใบหน้าแดงจัดซุกกับหมอนเนื้อนุ่ม แก้มแตะแผ่นผ้าเย็นเฉียบ ตรงข้ามกับร่างกายที่ร้อนฉ่าราวเปลวไฟเงียบงัน




เรียวขาขาวข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อย กลีบบุปผาเปิดออกรับสัมผัส




สะโพกกลมมนเด่นชัด ลมหายใจของเขาสะท้อนอยู่บนกระจกเงาเบื้องหน้าและในเงานั้นเขาเห็นตนเองอยู่ในท่วงท่าอันน่ารักใคร่




ร่างขาวบางหมอบราบอย่างจำนน มือกำผ้าปูเตียงแน่น ปากเผยอหอบ




ปลายนิ้วของจิ่วเหยายังเคลื่อนเร้าอยู่ใต้กลีบบุปผาอย่างชำนิชำนาญ




แท่งหยกของนาง… ตรงขึง เต้นเร้าอยู่ด้านหลัง เต็มเปี่ยมด้วยแรงปรารถนา






“อวี้เอ๋อร์… สะท้อนในกระจก เจ้าดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก…”




เสียงกระซิบของจิ่วเหยาเจือกลั้วรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนนางจะโถมตัวคร่อมเหนือร่างบาง






“อะ… อ๊า…!”




เสียงของเสิ่นอวี้หลุดออกมาในทันทีเมื่อแท่งหยกค่อยๆ แทรกเข้าภายใน




กลีบบุปผารัดแน่นอย่างน่าเวทนา บีบไล้ราวกับไม่อยากปล่อยให้สิ่งใดหลุดรอด




“เจ้ากำลังดูดข้าจนใจจะขาด… ไม่ใช่หรือ”




เสียงครางของชายงามดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ




ร่างบางโยกตามแรงสอดประสานจากด้านหลัง ขาทั้งสองเริ่มสั่นพร่า กลีบบุปผาสีชมพูชื้นฉ่ำรับแรงสอดอย่างน่าหลงใหล






แม้จะเจ็บระคนเสียวซ่านแต่ดวงตาของเขาในกระจกกลับมีแววรัญจวนเกินห้ามใจ




แล้วจิ่วเหยาก็เปลี่ยนท่วงท่า






แขนเรียวยาวสอดใต้ขาและแผ่นหลังของชายงาม




ก่อนจะยกเขาขึ้นทั้งร่างในท่า “อุ้มพาด”กลีบบุปผายังแนบชิดอยู่กับแท่งหยกไม่มีการหลุดผละแม้แต่น้อย






เสิ่นอวี้สะดุ้งเฮือก หน้าแดงจัดเมื่อแผ่นหลังแนบอกอีกฝ่าย และสองขาของตนถูกยกขึ้นกลางอากาศ




“อ๊า… อ๋อง… ท่านจะ—!”






มือหนึ่งของจิ่วเหยารั้งข้อพับขา มืออีกข้างรองกลางหลัง






แท่งหยกของนางเสียดสีอยู่ในมุมลึกที่ยิ่งสั่นไหว เสียงเนื้อกระทบดังเบาๆ ประสานกับเสียงหอบสั่นของชายงามในอ้อมแขน






กลีบบุปผาฉ่ำเยิ้มซับเปื้อนต้นขา




ดวงหน้าเสิ่นอวี้แนบอกของผู้เป็นอ๋อง สะโพกส่ายน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัวตามแรงโถมเสียงกระซิบเอื้อนเอ่ยราวคำสาปรักข้างใบหู












ผิวเนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงเบาๆ ดังชัดในห้องที่มีเพียงลมหายใจเร่งเร้าและเสียงโซ่ที่ยังโยงไว้ตรงมุมเตียง




จิ่วเหยานั่งพิงพนักเตียง แขนเรียวประคองชายงามขึ้นมาบนตัก




เสิ่นอวี้นั่งคร่อมร่างนาง กลีบบุปผาแนบลงบนแท่งหยกที่ผงาดเต็มฝ่าตัก




“อื้อ… อ๊า… หนิงอ๋อง…!”




เสียงร้องสั่นเครือ ดวงหน้างามผินหลบด้วยความขวยเขิน




แต่สะโพกบางกลับขยับอย่างไม่รู้ตัว ราวกับกลีบบุปผากำลังดูดรั้งแท่งหยกของนางไว้ไม่ยอมปล่อย




จิ่วเหยาจับเอวเขาไว้แน่น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาหิวกระหาย




“ช่างน่ารักเหลือเกิน… เจ้าทั้งร้อน ทั้งนุ่ม… กลีบบุปผาของเจ้า กลับดูดข้าจนข้าแทบขาดใจ”




มือข้างหนึ่งของนางลูบไล้หลังเปลือยเนียนขาว


อีกข้างสอดเข้าด้านหน้า ลูบผ่านหน้าท้องแบนราบจนถึงยอดกลีบด้านหน้า




ปลายนิ้วแหวกกลีบเล็กน้อย จนเสิ่นอวี้สะท้านสุดตัว




“อย่า… อย่าจับตรงนั้น…”






เสียงเขาขาดห้วง ปากเผยออย่างน่าเอ็นดู แก้มแดงจัดจนน่าแกล้ง




“เสิ่นอวี้ เข้าเป็นใครกันแน่” 




“อ๊ะ ท่านอ๋องข้าน้อยเป็นสนมของพระองค์อย่างไรเล่า เสิ่นอวี้บถตรชายของดีตราชครู” 






แท่งหยกของจิ่วเหยาแทรกลึกอยู่ภายใน ร้อนผ่าว เต้นสั่น


ขณะที่สะโพกบางของเสิ่นอวี้ก็เริ่มขยับรัวเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์




ราวกับกลีบบุปผานั้นกำลังเรียกร้องให้แน่นขึ้น ลึกขึ้น แรงขึ้น






ภาพในกระจกสะท้อนท่วงท่าบนตักนั้นอย่างชัดเจน




ชายงามนั่งแหงนหน้า ร่างเปลือยขยับโยกบนอ้อมแขนของจิ่วเหยา


กลีบบุปผาสีระเรื่อรับแรงกระแทกของแท่งหยกอย่างถี่กระชั้น


เสียงน้ำหวานเปียกชื้นดังแทรกทุกจังหวะการขยับ




“เจ้า...เจ้ากำลังขมิบรัดข้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง...”






เสิ่นอวี้เบิกตาโต เมื่อจิ่วเหยายกร่างของเขาขึ้นเล็กน้อยแล้วทิ้งสะโพกลงมาเต็มแรง




แท่งหยกทะลวงเข้าจนสุดโคน กลีบบุปผากระเพื่อมเหมือนจะปลิดปลิว




“อ๊าาาาาา!”




เสียงครางหวานระลอกสุดท้ายดังระงมในห้อง


ร่างบางในอ้อมแขนกระตุกพร่า หยาดน้ำร้อนปลดปล่อยออกจากกลีบบุปผาในจังหวะเดียวกับที่แท่งหยกยังคาอยู่แน่นลึก


ขาของเขาเกร็งสั่น ขณะอกบางแนบอกของจิ่วเหยา หอบหายใจแทบขาด




"เจ้าเสร็จแล้วหรือ... แต่ข้ายังเลยนะ คนงาม"




จิ่วเหยาหัวเราะเบาๆ ขณะโน้มลงจุมพิตซอกคอแดงจัดของชายงามตรงหน้า


มือยังจับสะโพกเล็กให้ขยับโยกบนตักช้าๆ… ต่ออีกครั้ง… แม้เพิ่งปลดปล่อยไปเมื่อครู่






ภายในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้น


เสิ่นอวี้นอนหอบอยู่บนฟูกไหม ใบหน้าขาวซีดแดงจัดจนถึงปลายหู


ขาทั้งสองยังสั่นไหวเล็กน้อย—กลีบบุปผายังเต้นตุบเบาๆ ราวกับยังจดจำแรงสอดลึกนั้นไม่ลืม




แท่งหยกของจิ่วเหยายังค้างคาอยู่ภายในกลีบนั้น แน่นลึก อบอุ่น… อ่อนนุ่มเสียจนไม่มีใครอยากผละออก




นางโน้มกายลงแนบกับอกบาง ปลายลิ้นลากเลียหยดเหงื่อที่คลออยู่กลางไหปลาร้าก่อนจะลากไล้ขึ้นสู่ลำคอ จนถึงปลายคาง




แล้วปากอ่อนบางก็ถูกจูบอย่างอ่อนโยน




จูบแรกนั้นแผ่วเบา…




ราวกลีบเหมยร่วงลงกลางสระบัวเงียบงันแต่ทิ้งระลอกไหวไม่สิ้นสุด






เสิ่นอวี้สะท้านเล็กน้อย




ดวงตาปรือปรอยปรือลงอย่างอ่อนแรง แต่ปลายลิ้นกลับเผยอรับสัมผัสนั้นโดยไม่รู้ตัว






จิ่วเหยาแย้มยิ้มในจูบ นางเบียดปากแนบลึกขึ้นอีกนิด ใช้ลิ้นแตะปลายลิ้นของชายงามช้าๆ คล้ายล่อหลอก แต่กลับเร้าอารมณ์ยิ่งกว่าแรงสอดกระแทกใด






“อื้ม…”




เสียงครางเบาหวิวเล็ดลอดจากลำคอของเสิ่นอวี้เจินสะโพกบางขยับน้อยๆ กลีบบุปผารัดแน่นกับแท่งหยกในกายอย่างไม่รู้ตัว




จิ่วเหยาถอนจูบช้าๆ แล้วเอียงหน้าลงมาแนบริมฝีปากอีกครั้ง




คราวนี้ นางจูบซ้ำอย่างล้ำลึก






จูบจนได้ยินเสียงลิ้นแตะกันในเงียบงัน






มือของนางลูบผ่านแก้มเนียน ลงสู่ซอกคอ ปลายนิ้วไล้เบาๆ ตรงแนวกระดูกไหปลาร้า แล้วขยับปลายนิ้วแตะยอดอกของเสิ่นอวี้ที่ยังแข็งชูจากแรงรักก่อนหน้า




“อ่า… ท่านอ๋อง… จูบของท่าน…” เสียงของเขาอ่อนแรงแต่แฝงแรงสั่น


มอบางยกขึ้นจับต้นแขนของนางแน่นขณะที่จิ่วเหยาเลื่อนจูบลงต่ำ…ผ่านซอกคอ…ถึงกลางอก




“คนงาม… ข้ายังไม่อิ่มเลย”




เสียงกระซิบแผ่วข้างยอดอก




แล้วปากของนางก็ครอบครองยอดอกนั้นอย่างแนบแน่น




ปลายลิ้นวนแตะ ดูดเบาๆ อย่างล่อลวง




ขณะสะโพกของนางขยับอีกครั้ง—แท่งหยกสอดลึกเข้าไปอีกนิด




กลีบบุปผาตอดรัดตอบสนองทันที ราวกับโหยหาความแนบแน่นไม่จบสิ้น






เสิ่นอวี้กัดริมฝีปากแน่น สะโพกกระตุก มือของเขายังจิกแน่นกับแขนของหญิงเหนือร่าง




เสียงครางร้อนเร่าหลุดจากลำคอทุกครั้งที่ลิ้นแตะเนื้อ






จูบเร่าร้อน… กลีบบุปผาชื้นฉ่ำ… แรงสอดแน่นที่เริ่มขยับอีกครั้งร่างสองร่างยังไม่ยอมผละห่างและแสงยามเช้าก็ยังสะท้อนเงาทั้งคู่อยู่ในกระจกใสบานใหญ่








…..






ในตอนเช้าจิ่วเหยาต้องเข้าประชุมเช้าราชสำนัก ครั้งนี้นางต้องเข้าร่วมด้วยเหรอไม่เห็นข้าวของเหยามีบทบาทสำคัญอะไร






หาว ห่วงนอนจนตาจะปิดอยู่แล้ว







เรื่องแบบนี้จะหลึกหนีได้สักที่ไหน 






“ช่วงนี้ชายแดนสงบโปรดเรียกให้ตระกูลฉู่กลับเมืองหลวงด้วย”






ครั้งนี้เป็นชิงเหยาที่กล่าวขึ้นมา คุณชายฉู้กลับมา แต่นี้นางก็ไม่ตำเป็นต้องเข้าร่วมความขัดแย้งของตระกูลซ่างกวน 




ชิงเหยาเลือกสามีจากตระกูลซ่านกวงเรียบร้อยเชิ่อฟัง สามีรองเป็นบุตรอนุร่างกายอ่อนแอ สวามีรองอีกคนเป็นคนสติไม่สบประกอบ สนมเสิ่นผู้เรียบง่าย 






ในตำหนักของข้าสงบสุขมาก 






มีเพียงชิงเหยาไม่ยอมแตะต้องสวามีเอกจนเกือบบีบให้เขาฆ่าตัวตาย เขาสมควรตายเพราะเกิดเป็นคนตระกูลซ่านกวน






งั้นหรือ วังวนในอำนาจ






“เช่นนั้นก็ทำตามนี้ “ 




“ทูลฝ่าบาทประชนเขตหวงโจวร้องเรียนปีนี้มีการซื้อขายที่ดินจากเหล่าพ่อค้ากดราคาที่ดินหลวง ช่างบังอาจนัก ที่ดินหลวงใช่ว่าจัสาามารถขายได้ “ 




“กระหม่อมคิดว่า เรื่องที่ไม่เหมาะสม หาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ”






“ข้าน้อยได้ยินมาว่าผู้ที่ซื้อที่ดินนั้นคือตระกูลฟู่มิใช่หรือ คงไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะว่าพื้นที่เกษตรเป็นพื้นที่หลวง ”    






“ใต้เท้าหม่า แล้วท่านรู้หรือนี้ได้ยังไง ไม่ใข่ว่าใส่ร้ายใต้เท้าฟู่ “ 




“เงียบ! “  




เสียงดังกึกก้อง เหล่าจุนนางต่างคุกเขาก้มศรีษะชิงเหยาไม่ได้คุกเข่าตาม หากนางคุกเข่าลงเกรงว่า คนตรงหน้าจะโกรธน่ะสิ   




“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ “ 






คนที่ทำให้ฮ่องเต้หายโกรธนอกจากชิงเหยาจะมีใครอีก นี้คงเป็นประโยชน์หนึ่งเดียวที่ชิงเหยาทำได้




“เสด็จพี่ อย่างทรงกริ้วไปเลยเหล่าขุนนางต่างถกเถียงเพื่อผลประโยชน์ของราษฎร “






“เสด็จพี่น้องมีข้อเสนอ”  




ฮ่องเต้ยกยิ้มขึ้นอย่างเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด “ว่ามา “ 




“หม่อมฉันคิด้ห็นว่าควรจัดสรรคพื้นที่ทำกินให้อย่างเท่าเทียท บรรญัติกฎหมายลงโทษผู้ที่ซิ้ขายพื้นที่หลวง ด้วยกฎลงโทษ กฎหมายที่เข้มงวดทำให้ปัญหาลดน้อยลง”  




“ร่างกฎหมายอีกข้อจะเป็นอะไรไป เรื่องนี้สำนักราชเลขาธิการร่างมาให้เจิ้งดูด้วย”






“พระย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระปรีชา “ 






“ใต้เท้าหลีรบกวนให้ฝ่ายโยธาไล่พวกพ่อค้าหวังจะใข้พื้นที่หลวง “




“พระย่ะค่ะ”




“มีอะไรอีกหรือไหม หากไม่มีแล้วเลิกประชุม”   




“เลิกประชุม “   




เมื่อขุนนางถยอมออกไปแล้วกลับถูกยื้อเอาไว้เสียก่อน จนจิ๋วเหยาต้องกันกลับไปคุยกับบุรุษที่ปลอดตัวเป็นสตรีตรงหน้า 






“พี่หญิง ง่วงนัก “ 








ร่างบางนอนอยู่บนตักของจ้าวหรูเซียงเพราะตื่นเช้ามาเกินไป ในตำหนักชิงเหยาไม่รอช้าปีนแท่งบรรทมขึ้นไปนอน




“เจินเจิน วันนี้เจ้าทำดีมาก” 




“จรืงหรือ พี่หญิงก็คิดว่าข้าโตแล้วใช่หริอไหม แต่ว่าให้ตื่นเช้าขนาดนี้..วันหน้าข้าไม่มาแล้วได้ไหม ได้หารือไหม“  




น้ำเสียงของจิ่วเหยาลากเสียงยากอย่างขี้เกียจ นี้นางเริ่มแสดงเหมือนจ้าวชิงเหยายังไม่ต้องสงสัย 






เสียงดีดเบาๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดสร้างความน่าเอ็นดู 




“โอ็ย เสด็จพี่เจ็บเหลือเกิน “ 




กอดอกหันไปอีกทาง จ้าวหรูเซียงงอนจนแกัมป้องไปเสียแล้ว 




“เจินเจิน “




“เจ้าอย่างไปหวงโจวหรือไหม”




“หวงโจวคือที่ใด “




“พื้นที่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ตามธรรมเนียมมีพื้นที่ศักดินาของตน “




“เมื่อก่อน พื้นที่นี้เป็นของเสด็จน้าหว่านอิง ตอนนี้สมควรมอบให้แก่หลานสาวของนาง “ 




“เสด็จน้าหว่านอิง” 




ตอนยังเยาว์ชิงเหยาติดตามมารดารย้ายเข้าสู่สนาบรบ ใครจะขึ้นว่าเกิดเรื่องขึ้น เด็กน้อยคนหนึ่งต้องหนีศัตรู






หนีรอดมาได้ แลกกับอาการบาดเจ็บทางใจ 






ชิงเหยาถูกเข้าใจว่าเป็นลูกของนายสนมเล็กๆคนหนึ่ง ที่ไม่มีคนรู้จักมากนัก 




“พี่หญิง เจินเจินไม่อยากไป อยู่กับพี่หญิงใครกล้ารังแกข้ากัน “ 






“เจินเจินอย่าเอาแต่ประจยประจบประแจงสิ ”




“พี่หญิง ข้าอยาก..อยากช่วยราษฎร แย่งเบาภาระของท่านให้มากขึ้น อีกสักหน่อย “ 




“ได้ต่อไป ให้หนิงอ๋องช่วยข้า ควบคุมกองทัพเทียนอู๋ เปิดเผยฐานะทายาทอ๋องมู่หรง “






“มู่หรงเจินเหยา หากท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้ เหตุใดท่านถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้”




“จะ เจ้ารู้แล้ว “  




ชายหนุ่มทำสีหน้าแปลกใจ จิ่วเหยาหันหน้ามายิ้มทะเล้น “รวมถึงเรื่องความลับของท่านเช่นกัน “   




ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงลวงใต้หมอนกลับพบม้วนบ้านหนึ่งซุกซ่อนเอาไว้ 






กางรูปภาพออกปรากฏรูปภาพของสตรีคนหนึ่งรูปโฉมงดงามสวมอาภรณ์สีชมพูในมือกำลังเล่นว่าวกระดาษ




นี้ก็คือ ภาพของจ้าวชิงเหยา 






เรื่องนี้ทำให้ชิงเหยามองอีกฝ่ายต่างออกไปในทันทีในนิยายดั่งเดิม พอฮ่องเฮาเก็นโกรธจนฉีกทิ้ง




“พี่หญิงชอบข้าหรือ” 






“เหตุใดถึงมีภาพของข้าเต็มห้องเช่นนี้?”




ใบหน้าของจ้าวหรูเซียงขึ้นสี ริมฝีปากเม้มแน่นไม่ตอบ






เจินเจินฉวยโอกาสโน้มตัวลง หอมแก้มอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีไม่ต้องไปหวงโจวก็ดีน่ะสิ






เขาเทียนจีอยู่ในหวงโจวพอดี เกรงว่านางจะก่อเรื่องอีกครา เขตหวงโจวยังไงก็คือสาเหตุการตายของชิงเหยา 






ขอเพียงนางไม่แตะต้องก็ไม่ต้องเผชิญความยากลำบากเช่นนั้นอีก 






"เจ้าคงรู้สำนักเทียนจีปกป้องดอกไม้เซียน ดอกหลิวหลี เจ้าไม่ต้องห่วงหากดอกหลิวหลีหายไปจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่เป็นความรับผิดชอบของสำนักเทียนจีทั้งหมด หากย้ายไปหวงโจวเจ้าอบความอิสระ สงบปลอดภัยย้ายไปอยู่ที่นั้นถือว่าพี่หญิงคนนี้ ทำเพื่อเจ้า" 






วิธี วิธีที่ชิงเหยาแย่งชิงดอกหลิวหลีก็คือล่อลวงผู้อาวุโสเสวี๋ยนเฉิน เขาเป็นปรมอาจารย์ผู้งดงาม จนถึงขั้นต้องสวมผ้าคลุมหน้าเพราะมีความงดงามมากเกินไป 






เมื่อทำสำเร็จชิงเหยาแอบขโมยดอกหลิวหลีรักษาอย่างดีในกล่องถูกหลอมเป็นยาลูกกลอน ชิงหนีเมื่อรับผลประโยชน์แล้ว 




เมื่อดอกหลิวหลีหายไปคนที่ต้องรับผิดชอบคือศิษย์ทั้งสำนัก ปรมาจารย์ชดใช้ความผิดทั้งหมดชีวิตของตนเอง แต่กลับกลายเป็นของเล่นในมือจ้าวหรูเซียง  




เรื่องงอะไรกัน ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ


ไม่ได้จะไปหวงโจวไม่ได้เด็ดขาด 


“พี่หญิง…ไม่ต้องการเจินเจินแล้วหรือ…? หรือว่าพี่หญิงรังเกียจข้าเสียแล้ว…”



เสียงของเจินเจินแผ่วเบา ริมฝีปากสั่นระริก แม้พยายามกลั้น แต่หยาดน้ำใสก็ยังคลอหน่วงอยู่ในดวงตา



“ที่ผ่านมา…เจินเจินอาจเอาแต่ใจไปบ้าง…แต่ก็ไม่ถึงกับต้องผลักไสให้ไกลขนาดนี้มิใช่หรือ…?”


เงียบงันเพียงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน กลีบบุปผาที่ร่วงหล่นปลิวว่อนในอากาศ คล้ายสะท้อนหัวใจที่กำลังแตกสลาย

เจินเจินยกมือขึ้นกำอกเสื้อแน่น ราวกับหวังยื้ออารมณ์ที่สั่นไหวมิให้ปริแตก

“ยามนั้น…ได้ยินข่าวว่าเสด็จอาหญิงจากไป…หัวใจข้าก็แทบแหลกเหลว…ไม่อาจหวนคืนสู่ต่างแดนได้อย่างสุขใจอีก”

เสียงพร่าหนักด้วยสะอื้น แม้จะพยายามฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเจือด้วยความเศร้า

“พี่หญิง…หากว่าวันหนึ่ง…หากว่าข้าต้องเป็นอะไรไปจริงๆ…”

หยาดน้ำตาหยดแรกหล่นรินลงแก้มเนียนขาว ริมฝีปากบางเม้มแน่น สั่นเครือแทบเอื้อนเอ่ยคำถัดไปไม่ได้


“…พี่หญิงจะทำเช่นไรหรือ…? ท่านจะยังเฉยชาเย็นชาดังเช่นตอนนี้หรือไม่?”


“ได้ยังไร พี่หญิงจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่ไปก็ไม่ไปดีหรือไหม อย่าร้องไห้สิ ไม่สวยเลย“ จ้าวหรูเซียงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอันน่ารักของนางด้วยความอ่อนโยน



ความทรงจำบางส่วนผุดขึ้นมา


“โอ๊ย ฮือๆ เจ็บจัง” เสียงสะอื้นของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เด็กชายที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องหยุดฝึกเพลงกระบี่ เขารีบหันกลับมา ใบหน้าใสซื่อแฝงด้วยความสง่างามเกินวัย “เป็นสตรีไยถึงอ่อนแอนักเล่า…” เขาเอ่ยดุด้วยน้ำเสียงแผ่ว ก่อนจะคุกเข่าลงข้างกาย “เมื่อครู่ข้าขอโทษ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”


เด็กชายยื่นห่อผ้าสีขาวให้ ข้างในมีลูกกวาดหลากสีหลายเม็ด “เอาไปเถอะ ทั้งหมดนี้ให้เจ้า กินสิ”


ชิงเหยาในวัยเยาว์ยกมือขึ้นรับ แววตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตาเริ่มสว่างขึ้นเมื่อริมฝีปากบางถูกซับเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าลายโบตั๋นสีแดง เด็กหญิงค่อย ๆ คลี่ยิ้มสดใสราวบุปผาที่ผลิบานในยามวสันต์



“เป็นสตรีไยถึงอ่อนแอนักเล่า เมื่อครู่ข้าขอโทษเจ้าไม่เป็นอะไรใชหรือไหม “  



ชิงเหยาในวัยเยาว์รับมาใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาถูกเช็คด้วยผ้าเช็ดหน้าลายโบตั๋นสีแดง เด็กหญิงเริ่มคลียิ้มผลิกบานราวบุปผา ภาพที่เด็กหนุ่มหน้าตางดงามประคองสตรีโอบเอวบัวคับมห้ร่ายีำกระบี่ปราวเปลียวว่องไว 



ทั้งสองสบสายตาหวาน”เป็นยังไร จำได้หรือไหม” ฉู่หนิงหนิงวัยสิบสามปีีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย แกล้งถามแก่เขิน 



“ได้สิ ข้าจะทำให้เจ้าดู”  



ชิงเหยาร่ายรำท่วงท่าปราวเปลียวว่องไวงดงาม  



“หนิงหนิงเจ้าสอนท่านี้มาหลายครั้งแล้วแน่นอนว่าข้า จดจำเรื่องทั้งหมดได้แน่นอน “


“ต่อไปข้าจะสู่ขอเจ้า “


“ฮึ ต้องลองดูว่าองค์หญิงจะเอาชนะข้าได้ไหม “


“หากข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ล่ะ ข้าก็จะ…”



“แต่งสามีมากมาย หาคนที่คล้ายคลึงกับเจ้าที่สุด”  




เวลาผ่านไปสามปีมานี้ชิงเหยาเติบใหญ่เป็นองค์หญิงรูปโฉมน่ารักใคร่ มีบุรุษต่างหมายปองแต่เพราะสัญญารักนางไม่มีทางปล่อยมือจากคุณชายฉู่ 



แม้จะห่างไกลกันเพราะเป้าหมายแตกต่าง คนที่

นางรักก็คือคนเดิม 



บรรยากาศหน้าประตูเมืองฮวาอันชายหนุ่มรูปโฉมงดงามเกล้ามวยผมสูงผูกด้วยเชือดสีแดง ปิ่งปักผมหยกชั้นดีที่คนที่ตนรักปักใจมอบให้ ความรักในวัยเยาว์หากได้อยู่ร่วมกันคงเปฌนความสุขชัาวชีวิต 



“หากเจ้าไม่กลับมาเกรงว่าเจ้าจะพลาดโอกาสได้แต่งกับข้าแล้ว “



“องค์หญิงขอเพียงมีหยกหมั้นนี้เวลาผ่านไปแค่นั้นข้าน้อยจะรอใหท่านสู่ชนะข้า พวกเรามากราบไหว้ฟ้าดินกัน “ ชิงเหยาจับห่วงห่วงหยกที่คล้ายคลึงกับห่วงคอที่ฉู่หนิงหนิงใส่อยู่ไม่มีผิด 



“คุณชายถึงเวลาแล้ว”   


“องค์หญิงลาก่อน “    


อย่าไป อย่าไป อย่าไปนะหนิงหนิง หนิงหนิง   




(ฉากต่อมา)   


“เป็นเช่นไรร้านของข้าเป็นเช่นไรบ้าง ไม่เลวใช่หรือไหมเชิญคุณชายน้อยเข้ามาเลือกชม “ เปิดร้านขายดอกไม้เล่นๆแต่กลับได้รับความนิยม 


ใช้เวลาว่างจากการรอหนิงหนิง ระหว่างที่เดิยเล่นด้านนอกกลับถูกม้าตัวหนึ่งชนเข้าเสีแล้ว ร่างบางถูกช่วยพยุงร่างบางขึ้นมา เมื่อสบสายู่กับดวงตาคู่นี้ ันแสนงดงาม คุ้นเคยราวกับว่าเคยพบกันมาก่อน 


มอบสร้อยจี้หยก ฉู่หนิงหนิง 


“องค์หญิง “


“หนิงหนิง “



ในห้วงความคิดต่อไปชิงเหยาแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ มีเหตุทำให้แยกจากกัน






พวกเขาแยกจากกันเพราะอะไร