การเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้
จีน,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บันทึกแห่งอวิ๋นฮวาการเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้
“หนิงอ๋อง... กระหม่อม นำน้ำแกงปลามาถวาย...”
สุ้มเสียงของเสิ่นอวี้เจินนุ่มนวลดังขนนก กลิ่นหอมบางของบุปผายามราตรีคล้ายจะหลอมรวมอยู่บนผิวกายขาวสะอาดของเขา
จิ่วเหยานิ่งงัน ราวกับต้องมนตร์ดวงหน้างามนั้นไม่เคยเปลี่ยน ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบอย่างเคอะเขิน ริมฝีปากแดงเรื่อขบเม้มเบาๆ คล้ายจะซ่อนความหวั่นไหว
"คนงาม..." นางเอื้อมมือไปรับถ้วยน้ำแกงจากมือเรียวบางอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบของอีกฝ่ายสัมผัสผิวฝ่ามือนางเพียงชั่วพริบตา กลับเหมือนสายฟ้าแลบลงกลางใจ
"...ไม่กินหรือ" จิ่วเหยาโน้มตัวกระซิบถาม ลมหายใจอุ่นรินรดใบหูของชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างกาย มือเรียวยาวของนางวางทาบลงบนต้นขาอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ไม่กินหรือว่าจะมียาพิษจริงๆ ยังไม่ถึงตอนกลางเรื่องคงไม่กล้าทำร้ายนางเพราะยังหลอกใช้ข้าไม่ได้หรอกนะ
‘ต่อให้เจ้าวางยาพิษในน้ำแกงถ้วยนี้ ใครจะดื่มจนหมด ก็เชิญเลย ในใจของจิ่วเหยา คล้ายมีเสียงกระซิบต่ำลึก ร้อนแรงแต่ซ่อนเร้น
น้ำแกงยังคงอุ่นอยู่ในถ้วย... แต่ฝ่ามือของจิ่วเหยาร้อนกว่าหลายส่วน มืออีกข้างของนางเคลื่อนไปใต้สาบอาภรณ์ของตนเอง... ปลดผ้าคาดเอวอย่างไร้สุ้มเสียง
เสิ่นอวี้เงยหน้าขึ้นช้าๆ พลันเห็นบางสิ่งผงาดขึ้นอย่างมั่นคงใต้ชั้นผ้าสีหม่นของจิ่วเหยา
แท่งหยกขาวนวลที่สลักอย่างประณีตงดงาม มันแฝงพลังอำนาจในตัว คล้ายพยัคฆ์หลับที่รอจังหวะเงยหน้า
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเขาเผยอเล็กน้อย
"...ท่านอ๋อง..." เสียงเรียกแผ่วราวกับสายลมข้างหู
"เจ้าจะป้อนข้า...หรือให้ข้าป้อนเจ้าแทนกันแน่?"
จิ่วเหยาวางถ้วยแกงลงข้างตัว มือข้างหนึ่งประคองคางเรียว อีกข้างกลับเคลื่อนไปลูบไล้ลำคอระหงของชายตรงหน้า ไล่ลงมาตามแนวอกบางจนถึงขอบอกเสื้อที่ยังคงแนบแน่น
"ชะ..." เสียงครางหลุดออกมาทันควัน เมื่อปลายนิ้วของนางคลายผ้าได้สำเร็จ เผยให้เห็นกลีบบุปผาแสนล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นอาภรณ์
แท่งหยกของจิ่วเหยาเบียดแนบใกล้จนคนงามตัวสั่น ปลายหยกนุ่มร้อนเสียดสีลงบนกลีบที่ชุ่มฉ่ำอยู่ก่อนแล้วราวกับรอคอยมานานแสนนาน
...
...
...
ผ้าม่านโปร่งสีขาวพลิ้วไหวเบาๆ ตามแรงลมอ่อนที่พัดลอดเข้ามาจากหน้าต่างภายในห้องยังอบอวลด้วยกลิ่นกาย กลิ่นดอกไม้แห้ง และเสียงหายใจที่เร่งร้อนสลับกันไปมา
หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ข้างเตียงสะท้อนภาพของชายร่างบางในอาภรณ์หลุดลุ่ย
เสิ่นอวี้ก้มหน้าซบลงกับหมอน มือข้างหนึ่งยึดขอบเตียงไว้แน่น
ริมฝีปากเผยอเปล่งเสียงครวญในลำคอ
“อื้ม… หนิงอ๋อง… อ่า…”
เขาหวั่นไหวจนขาสั่นแต่กลับไม่ขัดขืน…กลับยอมรับสัมผัสของจิ่วเหยาอย่างเชื่อฟัง
แท่งหยกของนางขยับถี่เบาๆ อยู่แนบแผ่นหลังของชายงาม
ลำเนื้อร้อนผ่าวนั้นลูบไล้ผิวขาวละมุนตรงก้นมนแน่นที่ขยับหนีเล็กน้อย—ก่อนจะสั่นระริกเมื่อปลายลิ้นแตะลง
จิ่วเหยาลากลิ้นผ่านกลางแผ่นหลังเนียน ปลายลิ้นเปียกชื้นแตะลงกลางกระดูกสันหลัง ไล้ขึ้นช้าๆ แล้ว
“งับ” ลงเบาๆ ตรงบ่าขาวเนียน
ฟันคมๆ ของนางไม่ได้ทำให้เจ็บแต่กลับเรียกเสียงครางหวานสั่นจากปากของอวี้เจินราวกับไฟช็อตปลายประสาท
“อ๊า…! ขะ… ข้า… ไม่ไหว… หนิงอ๋อง…”
เสียงนั้นดั่งกลีบบุปผาถูกลูบไล้ด้วยคมมีด เขินอายแต่ไม่อาจต้าน
เขามองเงาตัวเองในกระจก เห็นดวงหน้าแดงจัด เหงื่อเกาะที่ไรผม และดวงตาที่ปรือมัวด้วยไฟปรารถนา
จิ่วเหยาใช้นิ้วแทรกเข้าที่กลีบบุปผาด้านหลังของเขาอย่างเชื่องช้า
ปลายนิ้วเรียวเคลื่อนไปพร้อมกับจุมพิตแผ่วเบาตามแนวสันหลัง
นิ้วของนางนั้นแม้จะไม่ใหญ่เท่าแท่งหยก แต่กลับชำนาญในการลูบไล้แตะต้องทุกจุดอ่อนไหว
ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปภายในกลีบบุปผา
ช้า…ลึก…วน
จนเสียงหอบหายใจของชายงามขาดห้วงเป็นระยะ
“ฮึก… อ่ะ… ข้างใน… ข้างในมัน… ซี้ด…”
กลีบบุปผาชื้นแฉะดูดนิ้วของนางราวกับเชื้อเชิญ
แท่งหยกที่เบียดแนบอยู่แน่นเต็มแผ่นหลังนวล
สั่นระริกด้วยความหิวโหย
จิ่วเหยามองภาพตรงหน้าผ่านกระจก เห็นชายงามในอ้อมแขนของตนน้อมร่างลงรับสัมผัสอย่างน่าเอ็นดู
“อาอวี้ของข้างดงามเสียจริง ไม่เพียงรูปโฉมงดงาม…ยังปรนนิบัติข้าได้อีก
เสิ่นอวี้ครางพร่าดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางเคลื่อนไหวเบาๆ อย่างไร้สติ ปลายนิ้วจิกผ้าปูเตียงไว้แน่นขณะถูกเร้าจนข้างในบีบรัดนิ้วของนางแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“ข้า…ข้ารู้สึกเหมือนจะ… แตก…”
เสียงครางปนสะอื้นนั้น ยิ่งกระตุ้นให้จิ่วเหยาอยากกลืนกินเขาเสียเดี๋ยวนี้
นางถอนนิ้วออกช้าๆ ขณะเสียงแผ่วหวานยังไม่ทันจาง
แท่งหยกที่อดกลั้นมานาน สะบัดขึ้นราวกับจะทะลุสวรรค์
“เจ้าอยากได้มากขนาดนั้นหรือ คนงาม… อยากให้ข้าเติมเต็มให้หรือไม่”
เสิ่นอวี้หอบหายใจอย่างไร้คำพูด
แต่ขาทั้งสองของเขาค่อยๆ แยกออกเล็กน้อย…
เมื่อเสิ่นอวี้เจินค่อยๆ หมอบราบลงบนเตียงตามคำชักนำของจิ่วเหยา
ใบหน้าแดงจัดซุกกับหมอนเนื้อนุ่ม แก้มแตะแผ่นผ้าเย็นเฉียบ ตรงข้ามกับร่างกายที่ร้อนฉ่าราวเปลวไฟเงียบงัน
เรียวขาขาวข้างหนึ่งยกขึ้นเล็กน้อย กลีบบุปผาเปิดออกรับสัมผัส
สะโพกกลมมนเด่นชัด ลมหายใจของเขาสะท้อนอยู่บนกระจกเงาเบื้องหน้าและในเงานั้นเขาเห็นตนเองอยู่ในท่วงท่าอันน่ารักใคร่
ร่างขาวบางหมอบราบอย่างจำนน มือกำผ้าปูเตียงแน่น ปากเผยอหอบ
ปลายนิ้วของจิ่วเหยายังเคลื่อนเร้าอยู่ใต้กลีบบุปผาอย่างชำนิชำนาญ
แท่งหยกของนาง… ตรงขึง เต้นเร้าอยู่ด้านหลัง เต็มเปี่ยมด้วยแรงปรารถนา
“อวี้เอ๋อร์… สะท้อนในกระจก เจ้าดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก…”
เสียงกระซิบของจิ่วเหยาเจือกลั้วรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนนางจะโถมตัวคร่อมเหนือร่างบาง
“อะ… อ๊า…!”
เสียงของเสิ่นอวี้หลุดออกมาในทันทีเมื่อแท่งหยกค่อยๆ แทรกเข้าภายใน
กลีบบุปผารัดแน่นอย่างน่าเวทนา บีบไล้ราวกับไม่อยากปล่อยให้สิ่งใดหลุดรอด
“เจ้ากำลังดูดข้าจนใจจะขาด… ไม่ใช่หรือ”
เสียงครางของชายงามดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ร่างบางโยกตามแรงสอดประสานจากด้านหลัง ขาทั้งสองเริ่มสั่นพร่า กลีบบุปผาสีชมพูชื้นฉ่ำรับแรงสอดอย่างน่าหลงใหล
แม้จะเจ็บระคนเสียวซ่านแต่ดวงตาของเขาในกระจกกลับมีแววรัญจวนเกินห้ามใจ
แล้วจิ่วเหยาก็เปลี่ยนท่วงท่า
แขนเรียวยาวสอดใต้ขาและแผ่นหลังของชายงาม
ก่อนจะยกเขาขึ้นทั้งร่างในท่า “อุ้มพาด”กลีบบุปผายังแนบชิดอยู่กับแท่งหยกไม่มีการหลุดผละแม้แต่น้อย
เสิ่นอวี้สะดุ้งเฮือก หน้าแดงจัดเมื่อแผ่นหลังแนบอกอีกฝ่าย และสองขาของตนถูกยกขึ้นกลางอากาศ
“อ๊า… อ๋อง… ท่านจะ—!”
มือหนึ่งของจิ่วเหยารั้งข้อพับขา มืออีกข้างรองกลางหลัง
แท่งหยกของนางเสียดสีอยู่ในมุมลึกที่ยิ่งสั่นไหว เสียงเนื้อกระทบดังเบาๆ ประสานกับเสียงหอบสั่นของชายงามในอ้อมแขน
กลีบบุปผาฉ่ำเยิ้มซับเปื้อนต้นขา
ดวงหน้าเสิ่นอวี้แนบอกของผู้เป็นอ๋อง สะโพกส่ายน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัวตามแรงโถมเสียงกระซิบเอื้อนเอ่ยราวคำสาปรักข้างใบหู
ผิวเนื้อกระทบกันจนเกิดเสียงเบาๆ ดังชัดในห้องที่มีเพียงลมหายใจเร่งเร้าและเสียงโซ่ที่ยังโยงไว้ตรงมุมเตียง
จิ่วเหยานั่งพิงพนักเตียง แขนเรียวประคองชายงามขึ้นมาบนตัก
เสิ่นอวี้นั่งคร่อมร่างนาง กลีบบุปผาแนบลงบนแท่งหยกที่ผงาดเต็มฝ่าตัก
“อื้อ… อ๊า… หนิงอ๋อง…!”
เสียงร้องสั่นเครือ ดวงหน้างามผินหลบด้วยความขวยเขิน
แต่สะโพกบางกลับขยับอย่างไม่รู้ตัว ราวกับกลีบบุปผากำลังดูดรั้งแท่งหยกของนางไว้ไม่ยอมปล่อย
จิ่วเหยาจับเอวเขาไว้แน่น มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาหิวกระหาย
“ช่างน่ารักเหลือเกิน… เจ้าทั้งร้อน ทั้งนุ่ม… กลีบบุปผาของเจ้า กลับดูดข้าจนข้าแทบขาดใจ”
มือข้างหนึ่งของนางลูบไล้หลังเปลือยเนียนขาว
อีกข้างสอดเข้าด้านหน้า ลูบผ่านหน้าท้องแบนราบจนถึงยอดกลีบด้านหน้า
ปลายนิ้วแหวกกลีบเล็กน้อย จนเสิ่นอวี้สะท้านสุดตัว
“อย่า… อย่าจับตรงนั้น…”
เสียงเขาขาดห้วง ปากเผยออย่างน่าเอ็นดู แก้มแดงจัดจนน่าแกล้ง
“เสิ่นอวี้ เข้าเป็นใครกันแน่”
“อ๊ะ ท่านอ๋องข้าน้อยเป็นสนมของพระองค์อย่างไรเล่า เสิ่นอวี้บถตรชายของดีตราชครู”
แท่งหยกของจิ่วเหยาแทรกลึกอยู่ภายใน ร้อนผ่าว เต้นสั่น
ขณะที่สะโพกบางของเสิ่นอวี้ก็เริ่มขยับรัวเร็วขึ้นตามแรงอารมณ์
ราวกับกลีบบุปผานั้นกำลังเรียกร้องให้แน่นขึ้น ลึกขึ้น แรงขึ้น
ภาพในกระจกสะท้อนท่วงท่าบนตักนั้นอย่างชัดเจน
ชายงามนั่งแหงนหน้า ร่างเปลือยขยับโยกบนอ้อมแขนของจิ่วเหยา
กลีบบุปผาสีระเรื่อรับแรงกระแทกของแท่งหยกอย่างถี่กระชั้น
เสียงน้ำหวานเปียกชื้นดังแทรกทุกจังหวะการขยับ
“เจ้า...เจ้ากำลังขมิบรัดข้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง...”
เสิ่นอวี้เบิกตาโต เมื่อจิ่วเหยายกร่างของเขาขึ้นเล็กน้อยแล้วทิ้งสะโพกลงมาเต็มแรง
แท่งหยกทะลวงเข้าจนสุดโคน กลีบบุปผากระเพื่อมเหมือนจะปลิดปลิว
“อ๊าาาาาา!”
เสียงครางหวานระลอกสุดท้ายดังระงมในห้อง
ร่างบางในอ้อมแขนกระตุกพร่า หยาดน้ำร้อนปลดปล่อยออกจากกลีบบุปผาในจังหวะเดียวกับที่แท่งหยกยังคาอยู่แน่นลึก
ขาของเขาเกร็งสั่น ขณะอกบางแนบอกของจิ่วเหยา หอบหายใจแทบขาด
"เจ้าเสร็จแล้วหรือ... แต่ข้ายังเลยนะ คนงาม"
จิ่วเหยาหัวเราะเบาๆ ขณะโน้มลงจุมพิตซอกคอแดงจัดของชายงามตรงหน้า
มือยังจับสะโพกเล็กให้ขยับโยกบนตักช้าๆ… ต่ออีกครั้ง… แม้เพิ่งปลดปล่อยไปเมื่อครู่
ภายในห้องมีเพียงเสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้น
เสิ่นอวี้นอนหอบอยู่บนฟูกไหม ใบหน้าขาวซีดแดงจัดจนถึงปลายหู
ขาทั้งสองยังสั่นไหวเล็กน้อย—กลีบบุปผายังเต้นตุบเบาๆ ราวกับยังจดจำแรงสอดลึกนั้นไม่ลืม
แท่งหยกของจิ่วเหยายังค้างคาอยู่ภายในกลีบนั้น แน่นลึก อบอุ่น… อ่อนนุ่มเสียจนไม่มีใครอยากผละออก
นางโน้มกายลงแนบกับอกบาง ปลายลิ้นลากเลียหยดเหงื่อที่คลออยู่กลางไหปลาร้าก่อนจะลากไล้ขึ้นสู่ลำคอ จนถึงปลายคาง
แล้วปากอ่อนบางก็ถูกจูบอย่างอ่อนโยน
จูบแรกนั้นแผ่วเบา…
ราวกลีบเหมยร่วงลงกลางสระบัวเงียบงันแต่ทิ้งระลอกไหวไม่สิ้นสุด
เสิ่นอวี้สะท้านเล็กน้อย
ดวงตาปรือปรอยปรือลงอย่างอ่อนแรง แต่ปลายลิ้นกลับเผยอรับสัมผัสนั้นโดยไม่รู้ตัว
จิ่วเหยาแย้มยิ้มในจูบ นางเบียดปากแนบลึกขึ้นอีกนิด ใช้ลิ้นแตะปลายลิ้นของชายงามช้าๆ คล้ายล่อหลอก แต่กลับเร้าอารมณ์ยิ่งกว่าแรงสอดกระแทกใด
“อื้ม…”
เสียงครางเบาหวิวเล็ดลอดจากลำคอของเสิ่นอวี้เจินสะโพกบางขยับน้อยๆ กลีบบุปผารัดแน่นกับแท่งหยกในกายอย่างไม่รู้ตัว
จิ่วเหยาถอนจูบช้าๆ แล้วเอียงหน้าลงมาแนบริมฝีปากอีกครั้ง
คราวนี้ นางจูบซ้ำอย่างล้ำลึก
จูบจนได้ยินเสียงลิ้นแตะกันในเงียบงัน
มือของนางลูบผ่านแก้มเนียน ลงสู่ซอกคอ ปลายนิ้วไล้เบาๆ ตรงแนวกระดูกไหปลาร้า แล้วขยับปลายนิ้วแตะยอดอกของเสิ่นอวี้ที่ยังแข็งชูจากแรงรักก่อนหน้า
“อ่า… ท่านอ๋อง… จูบของท่าน…” เสียงของเขาอ่อนแรงแต่แฝงแรงสั่น
มอบางยกขึ้นจับต้นแขนของนางแน่นขณะที่จิ่วเหยาเลื่อนจูบลงต่ำ…ผ่านซอกคอ…ถึงกลางอก
“คนงาม… ข้ายังไม่อิ่มเลย”
เสียงกระซิบแผ่วข้างยอดอก
แล้วปากของนางก็ครอบครองยอดอกนั้นอย่างแนบแน่น
ปลายลิ้นวนแตะ ดูดเบาๆ อย่างล่อลวง
ขณะสะโพกของนางขยับอีกครั้ง—แท่งหยกสอดลึกเข้าไปอีกนิด
กลีบบุปผาตอดรัดตอบสนองทันที ราวกับโหยหาความแนบแน่นไม่จบสิ้น
เสิ่นอวี้กัดริมฝีปากแน่น สะโพกกระตุก มือของเขายังจิกแน่นกับแขนของหญิงเหนือร่าง
เสียงครางร้อนเร่าหลุดจากลำคอทุกครั้งที่ลิ้นแตะเนื้อ
จูบเร่าร้อน… กลีบบุปผาชื้นฉ่ำ… แรงสอดแน่นที่เริ่มขยับอีกครั้งร่างสองร่างยังไม่ยอมผละห่างและแสงยามเช้าก็ยังสะท้อนเงาทั้งคู่อยู่ในกระจกใสบานใหญ่
…..
ในตอนเช้าจิ่วเหยาต้องเข้าประชุมเช้าราชสำนัก ครั้งนี้นางต้องเข้าร่วมด้วยเหรอไม่เห็นข้าวของเหยามีบทบาทสำคัญอะไร
หาว ห่วงนอนจนตาจะปิดอยู่แล้ว
เรื่องแบบนี้จะหลึกหนีได้สักที่ไหน
“ช่วงนี้ชายแดนสงบโปรดเรียกให้ตระกูลฉู่กลับเมืองหลวงด้วย”
ครั้งนี้เป็นชิงเหยาที่กล่าวขึ้นมา คุณชายฉู้กลับมา แต่นี้นางก็ไม่ตำเป็นต้องเข้าร่วมความขัดแย้งของตระกูลซ่างกวน
ชิงเหยาเลือกสามีจากตระกูลซ่านกวงเรียบร้อยเชิ่อฟัง สามีรองเป็นบุตรอนุร่างกายอ่อนแอ สวามีรองอีกคนเป็นคนสติไม่สบประกอบ สนมเสิ่นผู้เรียบง่าย
ในตำหนักของข้าสงบสุขมาก
มีเพียงชิงเหยาไม่ยอมแตะต้องสวามีเอกจนเกือบบีบให้เขาฆ่าตัวตาย เขาสมควรตายเพราะเกิดเป็นคนตระกูลซ่านกวน
งั้นหรือ วังวนในอำนาจ
“เช่นนั้นก็ทำตามนี้ “
“ทูลฝ่าบาทประชนเขตหวงโจวร้องเรียนปีนี้มีการซื้อขายที่ดินจากเหล่าพ่อค้ากดราคาที่ดินหลวง ช่างบังอาจนัก ที่ดินหลวงใช่ว่าจัสาามารถขายได้ “
“กระหม่อมคิดว่า เรื่องที่ไม่เหมาะสม หาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าผู้ที่ซื้อที่ดินนั้นคือตระกูลฟู่มิใช่หรือ คงไม่ใช่ไม่รู้หรอกนะว่าพื้นที่เกษตรเป็นพื้นที่หลวง ”
“ใต้เท้าหม่า แล้วท่านรู้หรือนี้ได้ยังไง ไม่ใข่ว่าใส่ร้ายใต้เท้าฟู่ “
“เงียบ! “
เสียงดังกึกก้อง เหล่าจุนนางต่างคุกเขาก้มศรีษะชิงเหยาไม่ได้คุกเข่าตาม หากนางคุกเข่าลงเกรงว่า คนตรงหน้าจะโกรธน่ะสิ
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ “
คนที่ทำให้ฮ่องเต้หายโกรธนอกจากชิงเหยาจะมีใครอีก นี้คงเป็นประโยชน์หนึ่งเดียวที่ชิงเหยาทำได้
“เสด็จพี่ อย่างทรงกริ้วไปเลยเหล่าขุนนางต่างถกเถียงเพื่อผลประโยชน์ของราษฎร “
“เสด็จพี่น้องมีข้อเสนอ”
ฮ่องเต้ยกยิ้มขึ้นอย่างเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด “ว่ามา “
“หม่อมฉันคิด้ห็นว่าควรจัดสรรคพื้นที่ทำกินให้อย่างเท่าเทียท บรรญัติกฎหมายลงโทษผู้ที่ซิ้ขายพื้นที่หลวง ด้วยกฎลงโทษ กฎหมายที่เข้มงวดทำให้ปัญหาลดน้อยลง”
“ร่างกฎหมายอีกข้อจะเป็นอะไรไป เรื่องนี้สำนักราชเลขาธิการร่างมาให้เจิ้งดูด้วย”
“พระย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระปรีชา “
“ใต้เท้าหลีรบกวนให้ฝ่ายโยธาไล่พวกพ่อค้าหวังจะใข้พื้นที่หลวง “
“พระย่ะค่ะ”
“มีอะไรอีกหรือไหม หากไม่มีแล้วเลิกประชุม”
“เลิกประชุม “
เมื่อขุนนางถยอมออกไปแล้วกลับถูกยื้อเอาไว้เสียก่อน จนจิ๋วเหยาต้องกันกลับไปคุยกับบุรุษที่ปลอดตัวเป็นสตรีตรงหน้า
“พี่หญิง ง่วงนัก “
ร่างบางนอนอยู่บนตักของจ้าวหรูเซียงเพราะตื่นเช้ามาเกินไป ในตำหนักชิงเหยาไม่รอช้าปีนแท่งบรรทมขึ้นไปนอน
“เจินเจิน วันนี้เจ้าทำดีมาก”
“จรืงหรือ พี่หญิงก็คิดว่าข้าโตแล้วใช่หริอไหม แต่ว่าให้ตื่นเช้าขนาดนี้..วันหน้าข้าไม่มาแล้วได้ไหม ได้หารือไหม“
น้ำเสียงของจิ่วเหยาลากเสียงยากอย่างขี้เกียจ นี้นางเริ่มแสดงเหมือนจ้าวชิงเหยายังไม่ต้องสงสัย
เสียงดีดเบาๆดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดสร้างความน่าเอ็นดู
“โอ็ย เสด็จพี่เจ็บเหลือเกิน “
กอดอกหันไปอีกทาง จ้าวหรูเซียงงอนจนแกัมป้องไปเสียแล้ว
“เจินเจิน “
“เจ้าอย่างไปหวงโจวหรือไหม”
“หวงโจวคือที่ใด “
“พื้นที่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ตามธรรมเนียมมีพื้นที่ศักดินาของตน “
“เมื่อก่อน พื้นที่นี้เป็นของเสด็จน้าหว่านอิง ตอนนี้สมควรมอบให้แก่หลานสาวของนาง “
“เสด็จน้าหว่านอิง”
ตอนยังเยาว์ชิงเหยาติดตามมารดารย้ายเข้าสู่สนาบรบ ใครจะขึ้นว่าเกิดเรื่องขึ้น เด็กน้อยคนหนึ่งต้องหนีศัตรู
หนีรอดมาได้ แลกกับอาการบาดเจ็บทางใจ
ชิงเหยาถูกเข้าใจว่าเป็นลูกของนายสนมเล็กๆคนหนึ่ง ที่ไม่มีคนรู้จักมากนัก
“พี่หญิง เจินเจินไม่อยากไป อยู่กับพี่หญิงใครกล้ารังแกข้ากัน “
“เจินเจินอย่าเอาแต่ประจยประจบประแจงสิ ”
“พี่หญิง ข้าอยาก..อยากช่วยราษฎร แย่งเบาภาระของท่านให้มากขึ้น อีกสักหน่อย “
“ได้ต่อไป ให้หนิงอ๋องช่วยข้า ควบคุมกองทัพเทียนอู๋ เปิดเผยฐานะทายาทอ๋องมู่หรง “
“มู่หรงเจินเหยา หากท่านไม่เคยพูดเรื่องนี้ เหตุใดท่านถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้”
“จะ เจ้ารู้แล้ว “
ชายหนุ่มทำสีหน้าแปลกใจ จิ่วเหยาหันหน้ามายิ้มทะเล้น “รวมถึงเรื่องความลับของท่านเช่นกัน “
ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงลวงใต้หมอนกลับพบม้วนบ้านหนึ่งซุกซ่อนเอาไว้
กางรูปภาพออกปรากฏรูปภาพของสตรีคนหนึ่งรูปโฉมงดงามสวมอาภรณ์สีชมพูในมือกำลังเล่นว่าวกระดาษ
นี้ก็คือ ภาพของจ้าวชิงเหยา
เรื่องนี้ทำให้ชิงเหยามองอีกฝ่ายต่างออกไปในทันทีในนิยายดั่งเดิม พอฮ่องเฮาเก็นโกรธจนฉีกทิ้ง
“พี่หญิงชอบข้าหรือ”
“เหตุใดถึงมีภาพของข้าเต็มห้องเช่นนี้?”
ใบหน้าของจ้าวหรูเซียงขึ้นสี ริมฝีปากเม้มแน่นไม่ตอบ
เจินเจินฉวยโอกาสโน้มตัวลง หอมแก้มอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ทางที่ดีไม่ต้องไปหวงโจวก็ดีน่ะสิ
เขาเทียนจีอยู่ในหวงโจวพอดี เกรงว่านางจะก่อเรื่องอีกครา เขตหวงโจวยังไงก็คือสาเหตุการตายของชิงเหยา
ขอเพียงนางไม่แตะต้องก็ไม่ต้องเผชิญความยากลำบากเช่นนั้นอีก
"เจ้าคงรู้สำนักเทียนจีปกป้องดอกไม้เซียน ดอกหลิวหลี เจ้าไม่ต้องห่วงหากดอกหลิวหลีหายไปจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่เป็นความรับผิดชอบของสำนักเทียนจีทั้งหมด หากย้ายไปหวงโจวเจ้าอบความอิสระ สงบปลอดภัยย้ายไปอยู่ที่นั้นถือว่าพี่หญิงคนนี้ ทำเพื่อเจ้า"
วิธี วิธีที่ชิงเหยาแย่งชิงดอกหลิวหลีก็คือล่อลวงผู้อาวุโสเสวี๋ยนเฉิน เขาเป็นปรมอาจารย์ผู้งดงาม จนถึงขั้นต้องสวมผ้าคลุมหน้าเพราะมีความงดงามมากเกินไป
เมื่อทำสำเร็จชิงเหยาแอบขโมยดอกหลิวหลีรักษาอย่างดีในกล่องถูกหลอมเป็นยาลูกกลอน ชิงหนีเมื่อรับผลประโยชน์แล้ว
เมื่อดอกหลิวหลีหายไปคนที่ต้องรับผิดชอบคือศิษย์ทั้งสำนัก ปรมาจารย์ชดใช้ความผิดทั้งหมดชีวิตของตนเอง แต่กลับกลายเป็นของเล่นในมือจ้าวหรูเซียง
เรื่องงอะไรกัน ทำไมเป็นเช่นนี้ล่ะ
ไม่ได้จะไปหวงโจวไม่ได้เด็ดขาด
“พี่หญิง…ไม่ต้องการเจินเจินแล้วหรือ…? หรือว่าพี่หญิงรังเกียจข้าเสียแล้ว…”
เสียงของเจินเจินแผ่วเบา ริมฝีปากสั่นระริก แม้พยายามกลั้น แต่หยาดน้ำใสก็ยังคลอหน่วงอยู่ในดวงตา
“ที่ผ่านมา…เจินเจินอาจเอาแต่ใจไปบ้าง…แต่ก็ไม่ถึงกับต้องผลักไสให้ไกลขนาดนี้มิใช่หรือ…?”
เงียบงันเพียงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน กลีบบุปผาที่ร่วงหล่นปลิวว่อนในอากาศ คล้ายสะท้อนหัวใจที่กำลังแตกสลาย
เจินเจินยกมือขึ้นกำอกเสื้อแน่น ราวกับหวังยื้ออารมณ์ที่สั่นไหวมิให้ปริแตก
“ยามนั้น…ได้ยินข่าวว่าเสด็จอาหญิงจากไป…หัวใจข้าก็แทบแหลกเหลว…ไม่อาจหวนคืนสู่ต่างแดนได้อย่างสุขใจอีก”
เสียงพร่าหนักด้วยสะอื้น แม้จะพยายามฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเจือด้วยความเศร้า
“พี่หญิง…หากว่าวันหนึ่ง…หากว่าข้าต้องเป็นอะไรไปจริงๆ…”
หยาดน้ำตาหยดแรกหล่นรินลงแก้มเนียนขาว ริมฝีปากบางเม้มแน่น สั่นเครือแทบเอื้อนเอ่ยคำถัดไปไม่ได้
“…พี่หญิงจะทำเช่นไรหรือ…? ท่านจะยังเฉยชาเย็นชาดังเช่นตอนนี้หรือไม่?”
“ได้ยังไร พี่หญิงจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่ไปก็ไม่ไปดีหรือไหม อย่าร้องไห้สิ ไม่สวยเลย“ จ้าวหรูเซียงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอันน่ารักของนางด้วยความอ่อนโยน
ความทรงจำบางส่วนผุดขึ้นมา
“โอ๊ย ฮือๆ เจ็บจัง” เสียงสะอื้นของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เด็กชายที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องหยุดฝึกเพลงกระบี่ เขารีบหันกลับมา ใบหน้าใสซื่อแฝงด้วยความสง่างามเกินวัย “เป็นสตรีไยถึงอ่อนแอนักเล่า…” เขาเอ่ยดุด้วยน้ำเสียงแผ่ว ก่อนจะคุกเข่าลงข้างกาย “เมื่อครู่ข้าขอโทษ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
เด็กชายยื่นห่อผ้าสีขาวให้ ข้างในมีลูกกวาดหลากสีหลายเม็ด “เอาไปเถอะ ทั้งหมดนี้ให้เจ้า กินสิ”
ชิงเหยาในวัยเยาว์ยกมือขึ้นรับ แววตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตาเริ่มสว่างขึ้นเมื่อริมฝีปากบางถูกซับเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าลายโบตั๋นสีแดง เด็กหญิงค่อย ๆ คลี่ยิ้มสดใสราวบุปผาที่ผลิบานในยามวสันต์
“เป็นสตรีไยถึงอ่อนแอนักเล่า เมื่อครู่ข้าขอโทษเจ้าไม่เป็นอะไรใชหรือไหม “
ชิงเหยาในวัยเยาว์รับมาใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาถูกเช็คด้วยผ้าเช็ดหน้าลายโบตั๋นสีแดง เด็กหญิงเริ่มคลียิ้มผลิกบานราวบุปผา ภาพที่เด็กหนุ่มหน้าตางดงามประคองสตรีโอบเอวบัวคับมห้ร่ายีำกระบี่ปราวเปลียวว่องไว
ทั้งสองสบสายตาหวาน”เป็นยังไร จำได้หรือไหม” ฉู่หนิงหนิงวัยสิบสามปีีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย แกล้งถามแก่เขิน
“ได้สิ ข้าจะทำให้เจ้าดู”
ชิงเหยาร่ายรำท่วงท่าปราวเปลียวว่องไวงดงาม
“หนิงหนิงเจ้าสอนท่านี้มาหลายครั้งแล้วแน่นอนว่าข้า จดจำเรื่องทั้งหมดได้แน่นอน “
“ต่อไปข้าจะสู่ขอเจ้า “
“ฮึ ต้องลองดูว่าองค์หญิงจะเอาชนะข้าได้ไหม “
“หากข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ล่ะ ข้าก็จะ…”
“แต่งสามีมากมาย หาคนที่คล้ายคลึงกับเจ้าที่สุด”
เวลาผ่านไปสามปีมานี้ชิงเหยาเติบใหญ่เป็นองค์หญิงรูปโฉมน่ารักใคร่ มีบุรุษต่างหมายปองแต่เพราะสัญญารักนางไม่มีทางปล่อยมือจากคุณชายฉู่
แม้จะห่างไกลกันเพราะเป้าหมายแตกต่าง คนที่
นางรักก็คือคนเดิม
บรรยากาศหน้าประตูเมืองฮวาอันชายหนุ่มรูปโฉมงดงามเกล้ามวยผมสูงผูกด้วยเชือดสีแดง ปิ่งปักผมหยกชั้นดีที่คนที่ตนรักปักใจมอบให้ ความรักในวัยเยาว์หากได้อยู่ร่วมกันคงเปฌนความสุขชัาวชีวิต
“หากเจ้าไม่กลับมาเกรงว่าเจ้าจะพลาดโอกาสได้แต่งกับข้าแล้ว “
“องค์หญิงขอเพียงมีหยกหมั้นนี้เวลาผ่านไปแค่นั้นข้าน้อยจะรอใหท่านสู่ชนะข้า พวกเรามากราบไหว้ฟ้าดินกัน “ ชิงเหยาจับห่วงห่วงหยกที่คล้ายคลึงกับห่วงคอที่ฉู่หนิงหนิงใส่อยู่ไม่มีผิด
“คุณชายถึงเวลาแล้ว”
“องค์หญิงลาก่อน “
อย่าไป อย่าไป อย่าไปนะหนิงหนิง หนิงหนิง
(ฉากต่อมา)
“เป็นเช่นไรร้านของข้าเป็นเช่นไรบ้าง ไม่เลวใช่หรือไหมเชิญคุณชายน้อยเข้ามาเลือกชม “ เปิดร้านขายดอกไม้เล่นๆแต่กลับได้รับความนิยม
ใช้เวลาว่างจากการรอหนิงหนิง ระหว่างที่เดิยเล่นด้านนอกกลับถูกม้าตัวหนึ่งชนเข้าเสีแล้ว ร่างบางถูกช่วยพยุงร่างบางขึ้นมา เมื่อสบสายู่กับดวงตาคู่นี้ ันแสนงดงาม คุ้นเคยราวกับว่าเคยพบกันมาก่อน
มอบสร้อยจี้หยก ฉู่หนิงหนิง
“องค์หญิง “
“หนิงหนิง “
ในห้วงความคิดต่อไปชิงเหยาแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ มีเหตุทำให้แยกจากกัน
พวกเขาแยกจากกันเพราะอะไร