การเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา - บทที่2 nc โดย เมิ่งเมิ่ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,ชาย-หญิง,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา โดย เมิ่งเมิ่ง @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

การเข้ามาในนิยายขององค์หญิงจิ่วเหยา นางต้องเผชิญเรื่องราวสตรีเป็นใหญ่ นางเป็นตัวประกอบผู้โง่งม ถูกหลอกใช้ ยอมให้ถูกหลอก มาตอนนี้ข้าจิ่วเหยาไม่มีทางยอมให้ถูกหลอกใช้

ผู้แต่ง

เมิ่งเมิ่ง

เรื่องย่อ

สารบัญ

บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่1 บทนิยายจากเทพนิยาย,บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่2 nc,บันทึกแห่งอวิ๋นฮวา-บทที่4 ราชการคราแรก

เนื้อหา

บทที่2 nc





ไหนๆ ก็ได้เข้ามาในนิยายแล้วมิสู้ทำในสิ่งที่นางต้องการจะเป็นอะไรไป เดิมทีจ้าวชิงเหยาและฉู่หนิงหนิงมั่นหมายกันไว้ แม้ฉู่หนิงหนิงถูกถอดหมั้นแต่เพราะว่าชิงเหยาเป็นผู้ครอบครองกองทักเทียนอู๋ คุณชายฉู่ก็สามารถเป็นนายกองทำผลงานเพื่อเลื่อนขึ้นได้อย่างสง่างาม 




ในค่ายทหารหรือหนิงอ๋องจะไปที่ใดย่อมมีแม่ทัพฉู่น้อยคอยติดตาม หากพบหนิงอ๋องย่อมพบแม่ทัพน้อยฉู่ อยู่เคียงข้างกันในระยะการฝึกฝนร่างกายความจริงทั้งคู่ก็รักกัน อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างจำต้องห่างไกลกัน 




คำว่าเหมาะสม จำได้ว่าชิงเหยาเป็นฝ่ายทำลายความบริสุทธิ์ของฉู่หนิงหนิงสมควรแต่งเข้าจวน แต่หากเขาแต่งเข้าจวนใครจะปกป้องนางล่ะ ความสัมผัสแบบมิอาจแยกจากและเคียงคู่




เจ้าของร่างเดิมเป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้ว่านางจะไปมีความสัมพันธ์กับชายรูปงามอะไรอีก ยังไม่รู้เลยว่าเคยกับฮ่องเต้ ฮ่องเฮา สนม หรือว่าใครอีก นี้ก็ชอบกินหนุ่มพรมจรรย์ ขนาดนักพรตเร้นตัวบนเขาคงถูกชิงเหยากลืนกินไปแล้วกะมัง




ในเมื่อมาหาคำตอบก็ต้องวางแผนให้รอบคอย ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วนต้นเรื่องจ้าวหรูเซียงขึ้นครองราชย์ไม่ถึงปีแต่งฮ่องเฮาและนายสนม เพื่อถ่วงดุลอำนาจตระกูลซ่างกวนที่คอยชักไยทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง




 เฮ้อ ข้าไม่อย่างเข้าไปยุ่งในอำนาจน่าปวดหัวเหล่านี้     




ถ้ามีที่ดินและทรัพย์สินเหล่านี้ใช้ชีวิตให้มีความสุข บางทีมู่หรงอ๋องอาจจะไม่ได้จากไปเพราะแคว้นอวิ๋นฮัวแม้จะผูกความสัมพันธ์




 กลับมีชนเผ่านอกด่านจ้องจะบุกประชิดชายแดน กลับไร้ความช่วยเหลือจากแคว้นอวิ๋นฮวา 




"องค์หญิงสนมเสิ่นอวี้อยู่ด้านนอกพระย่ะค่ะ"




อะไรนะ! เสิ่นอวี้ เสิ่นอวี้ผู้นี้ 




ฮึ! สายลับแคว้นอวิ๋นฮวา






ข้าจะต้องสั่งสอนเขาสะหน่อย






ในจิตการในนิยายของจิ๋วเหยาที่เคยอ่านในนิยายชิงเหยาสีสวามีเอกหนึ่งสวามีรองสองคน ก็ไม่มีความเทียบความงามของเสิ่นอวี้ได้ 




ผิวขาวสว่างใบหน้างดงามสะอาดไร้จุดตำหนิ ผิวขาวราวหิมะยิ่งทาแก้มด้วยสีชมพูยิ่งน่าถนุถนอมบนเตียง เสิ่นอวี้ทำตัสเคารพนบน้อมมาโดยตลอด 




เสียงโซ่เงินกระทบพื้นไม้ดังแผ่ว






เสิ่นอวี้ถูกบังคับให้อยู่ในท่วงท่า “เข่าทั้งสองแตะพื้น แขนทั้งสองข้างถูกพันด้วยสายไหมผูกตรึงกับเสาเตียง




แผ่นหลังขาวเนียนแอ่นขึ้น เปิดเผยกลีบบุปผาที่เผยอบานรับแท่งหยกร้อนแรงของ จิ่วเหยา




เพี้ยง!




เสียงฝ่ามือฟาดลงบนสะโพกขาวผ่อง ก้องสะท้อนไปทั้งห้อง




รอยแดงเข้มปรากฏขึ้นทันทีบนผิวขาวละเอียด ดั่งกลีบเหมยที่ผลิบานบนหิมะ




“อ้าา…!”




เสียงครางสูงเล็ดรอดจากลำคอ เสิ่นอวี้หอบสะท้าน ใบหน้าแดงก่ำจนเห็นชัดแม้ในแสงโคมสลัว




“ เจ้าคร่ำครวญเหมือนจะเจ็บนัก… แต่กลีบบุปผาของเจ้ากลับตอดรัดแท่งหยกของข้าซะแน่นเลย”




เสียงของจิ่วเหยาแฝงรอยเย้ยหยันแต่แฝงความพิศวาสรุนแรง




เธอสอดแท่งหยกกลับเข้าไปอีกครั้งลึกเสียจนร่างของเสิ่นอวี้ซี้กระตุก




ปากสั่นระริก ก่อนจะครวญครางเสียงพร่า




“อ้าาา…! ”






เพี้ยง!




อีกครั้งที่ฝ่ามือฟาดลงแรงกว่าเดิมเสียงเฉียบทิ่มแทงเข้าในใจและกาย กลีบบุปผาแดงระเรื่อชุ่มฉ่ำไปด้วยความเสียวซ่าน




“เรียกสิ… ว่าอะไรที่เจ้าควรเรียกข้า” จิ่วเหยากระซิบชิดใบหูที่สั่นไหว




เสิ่นอวี้กัดฟัน น้ำตาซึมที่หางตา






แต่ในที่สุดก็เปล่งเสียงออกมาด้วยเสียงแผ่วที่ปนสั่นไหว






“...นายหญิง… ได้โปรด…”






จิ่วเหยาหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากประทับจูบบนแผ่นหลัง






ก่อนจะกระแทกแท่งหยกเข้าอีกครั้งอย่างรุนแรง พร้อมเสียงเพี้ยงที่สาม






เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องทั้งห้องสั่นไหวราวกับสวรรค์สะเทือน






เสิ่นอวี้สะอื้นปนเสียงคราง






ไม่รู้ว่าสุขสมเพราะความใคร่… หรือเพราะการลงทัณฑ์ของจิ่วเหยากันแน่ แต่สิ่งที่แน่ใจคือ… กลีบบุปผานั้น ตอดรัดไม่หยุดแม้เจ้าของร่างจะร่ำไห้




เสิ่นอวี้นิ่งเพียงครู่ ร่างบางที่หมอบอยู่กับพื้นไม้ยังสั่นระริกเมื่อเสียงฝ่ามือกระทบเนื้อยังอวลอยู่ในผิวสัมผัส




กลีบบุปผาแดงจัดชุ่มฉ่ำ ละอองหยาดร่วงรินลงตามขาเรียว




จิ่วเหยาเอียงใบหน้า พรมจูบลงบนแผ่นหลังร้อนผ่าวราวไฟสุมใต้ผิว “เจ้าตัวน้อย… ร้องไห้ทั้งที่ยังกลืนแท่งหยกของข้าไว้เต็มร่าง… ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ชอบอีกหรือ?”




เสียงหัวเราะแผ่วเบาของนาง ช่างเย้ายวนราวปีศาจในราตรี




จังหวะที่สะโพกกระแทกเข้าไปใหม่ คราวนี้แท่งหยกเสียดแทงผ่านทางคับแคบที่ชื้นฉ่ำ จนเสิ่นอวี้ซี้แทบทรุด ลมหายใจขาดห้วงในลำคอ เสียงครางต่ำเกือบกลายเป็นเสียงสะอื้น


“อ…อ้า… นายหญิง… ได้โปรด…”






จิ่วเหยายิ้มออกมาประดุจบุปผากลางทะเลทรายเบ่งบาน ไม่ใช่ยิ้มอ่อนโยน แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ควบคุม 








สองมือลูบไล้ผ่านบั้นเอวระหง แล้วดึงให้ร่างนั้นแนบชิดขึ้น ก่อนจะโอบรัดและครอบครองอีกครั้งในท่วงท่าที่ไม่เปิดโอกาสให้หลบหนี




เสียงกระทบกันของร่างกายดังขึ้นในห้องบรรทม ท่ามกลางเสียงโซ่แผ่วเบาที่เคลื่อนไหวตามแรงกระแทก






เสิ่นอวี้กัดริมฝีปากแน่น ความเสียวซ่านปนเปกับความละอาย วาบหวามจนหลงลืมว่าเขากำลังถูกครอบครองเช่นใด






กลีบบุปผาไม่อาจโกหก มันกำลังสั่นสะท้าน ตอดรัดอย่างเร่าร้อนจนจิ่วเหยาต้องหยุดหายใจในวินาทีหนึ่ง




“เจ้าจะครวญคราง… จนถึงยามโฉ่วหรือยัง?”




“…หากยังไม่สิ้นแรง ข้าจะไม่หยุด”


เสียงกระซิบเย็นเยียบเช่นสายลมยามหิมะตก แต่แท่งหยกที่ซุกซ่อนในร่างกลับเร่าร้อนเหมือนไฟใต้ผิวหิมะ




หลังจากการโหมกระหน่ำอันดุเดือด เสียงโซ่เงินหยุดนิ่ง จิ่วเหยาผ่อนลมหายใจช้า ๆ ขณะปล่อยให้ร่างบางในอ้อมแขนคลายพันธนาการ


“มาสิ...” เสียงของนางกระซิบต่ำ คล้ายคำเชื้อเชิญหรือคำท้าทาย “เจ้าบอกว่าไม่ไหว... แต่กลีบบุปผาของเจ้ากลับยังชุ่มฉ่ำไม่หยุด…”




เสิ่นอวี้ยังหอบหายใจหนัก ดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำ ร่างบางขยับขึ้นช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ทาบกายลงบนอกของนาง




ปลายนิ้วเรียวสั่นเล็กน้อยเมื่อวางบนแผ่นอกของจิ่วเหยา แล้วจึงค่อย ๆ พยุงตัวขึ้น… ร่างเปลือยขาวนวลคร่อมอยู่เหนือสะโพกนั้น กลีบบุปผาที่แดงจัดและบานฉ่ำค่อย ๆ แนบลงช้า ๆ กับแท่งหยกที่ตั้งตระหง่าน




เสียงหอบของทั้งสองผสานกันอย่างเงียบงัน ราวกับบรรเลงขลุ่ยในราตรี




หยาดหวานเอ่อชุ่มแตะปลายหยกก่อนค่อย ๆ กลืนลึกเข้าไปในร่าง เสิ่นอวี้กัดริมฝีปากแน่น ร่างบางกระตุกขณะปล่อยให้แท่งหยกถูกกลีบบุปผาของตนดูดกลืนจนสุดโคน




ดวงหน้าคนงามบิดเบี้ยวไปด้วยความเสียวซ่านระคนทรมาน ปลายนิ้วเกาะไหล่จิ่วเหยาแน่น




"ข้า... ข้าทำเช่นนี้ได้หรือ..."




"แน่นอน... ทำให้ข้าหมดแรงก็ยังได้..." จิ่วเหยาหัวเราะเบา ๆ สายตาคมฉายแววท้าทาย




เสิ่นอวี้ซี้เริ่มขยับเอวอย่างเชื่องช้า ราวกับกลีบบุปผาบดเบียดกับแท่งหยกทีละนิด ท่วงท่าของเขาไม่รู้ว่าละเมียดเพราะไม่รู้ หรือเย้ายวนเพราะความไร้เดียงสากันแน่ แต่เพียงยกสะโพกขึ้นแล้วกดลงอีกครั้ง ร่างของจิ่วเหยาก็ถึงกับเกร็งไปทั้งแผ่นหลัง




เสียงเฉอะแฉะแผ่วเบาดังเป็นจังหวะระคนกับเสียงครางต่ำพร่าที่หลุดออกจากลำคอ เสิ่นอวี้ซ




ค่อย ๆ เร่งจังหวะ ขณะที่ดวงตาฉ่ำวาวสบกับนาง ร่างขาวงามสั่นไหวจากแรงกระแทกที่เป็นฝ่ายกดเอง




"เจ้าช่าง... ตอดแน่นนัก… ราวกับไม่อยากปล่อยข้าเลย..." จิ่วเหยาแสยะยิ้ม ขณะมือโอบเอวบางแน่นขึ้น




เสียงกระทบเนื้อเริ่มดังขึ้นถี่ รุนแรง กลีบบุปผานั้นกลืนแท่งหยกทุกครั้งที่ย่อตัวลงราวกับหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน ร่างของเสิ่นอวี้ซี้ในยามคร่อมอยู่นั้นมิได้บอบบางอีกต่อไป กลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนารุนแรงที่อัดแน่นจนเปล่งประกายในดวงตา




“อ้า… ข้า… ไม่ไหวอีกแล้ว…”




เสียงร้องขาดเป็นห้วงเมื่อแรงกระแทกสุดท้ายทำให้ร่างบางถึงขีดสุด แท่งหยกถูกตอดรัดรุนแรงจนจิ่วเหยาต้องร้องต่ำในลำคอ สองร่างกอดรัดกันแน่นในห้วงยามแห่งสวรรค์ล่ม




เมื่อทุกอย่างสงบลง ร่างคร่อมนั้นยังสั่นระริกอยู่บนตัวของนาง




กลีบบุปผายังอุ่นชื้นแนบแน่นกับแท่งหยกที่ยังฝังอยู่ภายใน…




หลังความวาบหวามที่เสิ่นอวี้ซี้เป็นฝ่ายควบคุม เสียงหอบหายใจยังคงแว่วอยู่ในห้อง ร่างบางยังคร่อมเหนือจิ่วเหยา ลำคอขาวมีรอยแดงจาง ๆ จากจุมพิตร้อนแรงเมื่อครู่




ทว่าทุกอย่างพลันเปลี่ยนในชั่วพริบตา




“พอแล้ว…” จิ่วเหยากระซิบเสียงแผ่ว แต่มือกลับตวัดร่างบางขึ้นในอ้อมแขน ราวกับพยัคฆ์ที่ครองเหยื่อ




“เจ้าสั่นไหวยามอยู่บนตัวข้า… งั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะจับเจ้ากดลง…ให้ลืมแม้แต่ชื่อของตัวเองเสียเถิด”




เสียงสุดท้ายยังไม่ทันจบ ร่างของเสิ่นอวี้ซี้ก็ถูกจับพลิกลงแนบเตียง สะโพกถูกยกขึ้นทันทีโดยไม่ให้ตั้งตัว กลีบบุปผาบานช้ำเผยอขึ้นอีกครั้ง ขณะถูกแท่งหยกที่แข็งขึงเสียบกลับเข้าไปเต็มแรง




เสียงครางขาดห้วงดังขึ้นแทบทันที




เพล้ง!




เสียงกระถางธูปที่หัวเตียงหล่นแตกสะท้อนทั้งห้อง เมื่อแรงกระแทกครั้งนั้นส่งผลให้เตียงโบราณโยกไหว เสิ่นอวี้ซี้ถูกกดจนแนบกับฟูก หายใจแทบไม่ทัน




"ข… ข้า…!"




เสียงเขาสั่นระริก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มเย็น




ชิงเหยาโน้มตัวคร่อมเหนือแผ่นหลังขาวเนียน ดวงตาเปล่งประกายแรงราคะจนแทบมองทะลุเข้าไปถึงใจ




“กลีบบุปผาของเจ้าช่างโลภนัก ดูสิ… กลืนกินแท่งหยกข้าเสียมิด แล้วก็ยังไม่ปล่อย…”




แรงกระแทกที่สองตามมาทันที หนักแน่น เร่าร้อน และลึกเกินหยั่งถึง แท่งหยกเคลื่อนเข้าไปสุดปลายความลึก จนเสิ่นอวี้ซี้หลุดเสียงร้องสะท้าน




ร่างของเขาสั่นไหวไปทั้งตัว ผ้าห่มขยุ้มแน่นด้วยปลายนิ้วที่ไร้เรี่ยวแรง




นางเร่งจังหวะ เสียงกระแทกสะท้อนเป็นจังหวะในห้องที่มีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่ กลีบบุปผาแดงฉ่ำ ตอดรัดอย่างรุนแรงจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะชัดเจนในความเงียบ






“ร้องสิ… เรียกชื่อข้า…”




เธอกระซิบกระชากลมหายใจ ก่อนจะกระแทกเข้าไปอีกแรง จนเสิ่นอวี้ซี้ครางสูง




“นายหญิง… ชิงเหยา… ได้โปรด! ข้า… ข้าจะขาดใจอยู่แล้ว…”




แรงกระแทกท้ายสุด ทำให้แท่งหยกเสียบลึกจนกลีบบุปผาเกร็งกระตุกครั้งใหญ่ ร่างของเสิ่นอวี้ซี้กระตุกเกร็ง สะโพกลอยสูงก่อนจะร่วงลงแนบเตียง ร่างอ่อนระทวย




…..




เสียงในห้องค่อย ๆ สงบลง เหลือเพียงเสียงหอบเบา ๆ กับหยาดน้ำบนแผ่นหลังที่ไหลย้อยลงตามแนวเอว




ทว่าแท่งหยกนั้น… ยังฝังอยู่ในกายเขาแน่น




และดวงตาของนาง ยังวาววับ… ราวกับจะไม่หยุดเพียงแค่นี้




แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างชิงเหยานั่งอยู่หน้ากระจกใบหน้างดงามทาสีชาด ก่อนนางจะหยิบหวีไม้ขึ้นมา รอยยิ้มงดงามสดใสมอบในกระจก เสิ่นอวี้มองนางอย่างเผลอไผ เขาพึ่งสังเกตหน้าผากจองนางยังคงมีกลีบโบตั๋นงามเช่มช้อย 




หรือว่า จะเป็นปานเดิมของนางกัน 




ในจิตนาการจิ่วเหยาเผลแหน้าแดงออกมา นางนึกไปภึงฉากนั้นอีกทำไม แม้ชิงหยารู้ความลับของเขา ก็ลงโทษ..แบบรัญจวน




เพื่อระบายอารมณ์ความปรารถนา 




ระหว่างการไปคำนับศาลยรรพชนยิ่งไม่อาจทำให้เสิ่นอวี้นิ่งเฉยต่อความรู้สึกหวั่นไหว ยิ่งหนิงอ๋องรุกเข้าหาฉู่หนองหนิงมากเท่าไหร่ เป็นตัวเขาเองที่เจ็บป่วยอย่างไรก็สาเหตุ 




ไม่ต้องให้นางร่วมห้องกับสวามีอื่น หรือว่าข้าจะ ชอบนายหญิง นายหญิงคอยดูแลเขาอย่างดี     




สายลับหนานอ๋องจะสู้ทายาทแม่ทัพได้ยังไง 




มีเพียงการฆ่าพวกอนุและสนมของหน้งอ๋องเพื่อระบายความโกรธของตนเอง เมื่อรู้ว่าตนหลงลืมทุกสิ่งในอดีต หลงลืมว่สตนเคยเป็นแม่ทัพอวิ๋นฮวา ผู้พ่ายศึกถูกจับเพื่อฝึกให้ กลายเป็น "สัตว์เลี้ยง" ของชนชั้นสูงแต่เกิดอารมณ์ทางเพศในงาม 




ร่างบางของเขาเปลี่ยนจากกำยำเป็นบอกบางกล้ามเนื้อเล็กน้อยและยังมีความงามล้มเมืองอีก 




ถูกฝึกให้เย้ายวนน่าหลงใหล




บนข้อมือของบุรุษทุกคนจะมีตราพรมจรรย์บนข้อมือของตน ตราพรมจรรย์นี้ยังคงปรากฏบนข้อมือของเขา 




ความจริงอวิ๋นไม่ได้ผิดคำสัญญา แต่หนานอ๋องร่วมมือแคว้นแรงยกทัพมาดักซุ่มกำลังพลโดยใส่เครื่องแบบทหารของอวิ๋ฮวา 




ทำให้เกิดความขัดแย้งมานานเพียงนี้ ทั่งศึกภายนอกและภายใน หนานอ๋องมีศักดิ์เป็นน้องสาวของอดีตฮ่องเต้ "พระมาตุฉา" 




เรื่องเหล่านี้ในนิยายชิงเหยาก็พึ่งรู้จากปากของเสิ่นอวี้ "หากข้าพูดในฐานะกู้ชิงอวี้ องค์หญิงจะเชื่อใจข้าหรือไหม " ชิงเหยาพบักหน้าครึ่งคิด นางจะเอาเรื่องนี้กราบทูลพี่หญิง 




"พี่ชิงอวี้ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้" 




"เรื่องมันยาว เอาไว้ข้าจะค่อยๆเล่าให้ฟัง ตอนนี้เจินเจินไปกับข้าก่อน"




ชิงเหยาในนิยายเริ่มเข้าใจเสิ่นอวี้มากขึ้น ทั้งเรื่องดอกหลิวหลีหายไปเป็นใีมือของนางเอง แต่ข่าวลือที่ว่าจ้าวหรูเซียงเป็นบุรุษ 




วิธีแก้ไขก็ปัญหาก็คือ แสดงให้เห็นว่าาไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็สามารถปกป้องบ้านเมืองได้เช่นกัน




หนานอ๋องถูบจับพร้อยกลักฐานสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นฉี หลักฐานจดหมายติดต่อสมคิดศัตรูกับแคว้นฉี 




ชิงเหยาเริ่มคิดได้นางยินดีทำหน้าที่เฝ้าดอกหลิวหลีประจำราชวงศ์ และนำทัพเทียนอู๋เฝ้ารักษาชายแดนให้สงบสุข 




ชิงเหยารับหน้าที่นี้ไปกับแม่ทัพน้อยฉู่ที่กำลังตั้งภรรภ์ลูกของชิงเหยา เสิ่นอวี้นำดอกหลิวหลีที่ชิงเหยาขโมยเพิ่อรักษาโรคใบ้ขององค์ชายอวิ๋นฮัว  




เสิ่นอวี้ถูกยาพิษจากหนานอ๋องร่างกายอ่อนแอ ชิงเหยาช่วยชีวิตเห็นแก่พี่ชายผู้แสนงดงามในวัยเยาว์   




กู้ชิงอวี้หรือเสิ่นอวี้ยังคงติดตามชิงเหยา แม้ในส่ยตาของชิงเหยามองเขาด้วยความรังเกียจ "ต่อไปพี่ชิงอวี้ มากความสามารถต่อไปเป็นแม่ทัพ คอยปกป้องข้าได้ไหม "  




คำพูดนี้ทำให้กู้ชิงอวี้แต่งเข้ามาในฐานะองค์ชายแคว้นอวิ๋นฮัว สานสัมพันธ์ความเข้าใจผิดทั้งหมด 




ความสัมพันธ์มั่งคง




แต่จ้าวหรูเซียงสละตำแหน่งออกมาใช้ชีวิตสงบสุขกับเหล่าสวามีทั้งหลาย ช่วยเหลือชาวบ้าน เปิดสำนักศึกษาเรียนฟรีสำหรับเด็กยากจน และโรงหมอ 




คู่รองคงเป็นคนงามสัมพันธ์ประมาณนี้ ชิงเหยาทำไมถึงโง่งม ขโมยสมบัติแคว้นเพื่อรักษาผู้อื่นนับว่ามีจิตใจดี มีคุณธรรม




นิสัยของตัวละครเริ่มโตขึ้นรู้จักขอโทษ 




เสิ่นอวี้ผู้นี้ข้าจะต้องสั่งสอนเขาเสียหน่อย




งามราวภาพวาดที่จิตรกรเทวดาบรรจงแต่งแต้มขึ้นอย่างบรรจง


ใบหน้า เรียวยาวได้รูป ผิวพรรณขาวเนียนราวหยกเผือก ละเอียดอ่อนจนแทบมองเห็นเส้นเลือดบางใต้ผิว


ดวงตา คู่นั้นเรียวยาวแฝงแววสงบเย็นดั่งผิวน้ำในยามราตรี แววตานุ่มลึกเหมือนมีม่านหมอกบางคลุมอยู่ ปลายตาราวกับยิ้มในที


ริมฝีปาก สีชมพูจาง ขอบปากได้รูปคล้ายดอกชบาที่กำลังเบ่งบาน ทว่าเมื่อเม้มเข้ากลับดูอ่อนโยนยิ่งนัก


เส้นผม ยาวดำขลับสลวยเป็นประกาย เย็นตาเมื่อต้องแสง ราวน้ำหมึกที่หยาดไหลจากพู่กันเซียน




ลำคอ ขาวเนียนยาวระหง นวลผ่องดั่งหิมะแรกแห่งฤดูหนาว




เมื่อเขาก้าวเข้ามาอย่างเรียบร้อย สวมเพียงอาภรณ์สีฟ้าโปร่งบาง แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านเนื้อผ้าให้เห็นเรือนร่างด้านในลางเลือน เขาถือถ้วยน้ำแกงมาให้ นัยน์ตาสะอาดใส ประกอบรอยยิ้มไร้เดียงสานั้น ทำให้นางถึงกับชะงักมือ




“หนิงอ๋อง” เขาเรียกเสียงแผ่วเบา






งามนัก...งามเสียจนจิตใจแทบพร่าเลือน




ไม่รู้เลยว่า...




หากเขาอยู่ใต้ร่าง จะยังคงไร้เดียงสา หรือจะแปรเปลี่ยนเป็นสายลมยั่วเย้าราตรี




นางเผลอไล้สายตามองแผ่นอกลางลำคอที่ไร้เงาอาภรณ์บัง




เลือดร้อนวาบขึ้นอย่างไม่รู้ตัว...




 “อาอวี้…ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก…”




คำพูดนั้นแฝงด้วยแรงอารมณ์เกินควบคุม มือหนึ่งเชยปลายคางมนขึ้นมา บังคับให้สบตา จากนั้นก็โน้มลงไปประทับจูบอย่างเอาแต่ใจ




ริมฝีปากประทับแนบแน่น ไล้แผ่วๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่ารอบมุมปาก ดั่งดอกไม้ดูดกลิ่นหอมจากกลีบอื่น




มืออีกข้างโอบรัดเอวบางแน่นขึ้น




 “ท่านอ๋อง…ทรงเสวยน้ำแกงก่อนเถิด…” เสียงอวี้เจินแผ่วเบา ราวจะหลบเลี่ยง แต่ในดวงตาเขากลับมีประกายบางอย่างที่สั่นไหว




ชิงเหยาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มรา

วแมว




“ก็ได้…ข้าจะต้องตกรางวัลให้สนมเสิ่นเสียหน่อย"  




"ท่านอ๋อง อาอวี้ภักดีเพียงนาายหญิงผู้เดียว จี้หยกนี้เหมืแนจะาน้อยเคยที่ไหน"




"ไม่ใช่เรื่องปิดบังอะไรจี้หยกนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นของแทนใจ "




"ทำไม เจ้าหึงด้วย " เสิ่นอวี้ยังคงยิ้มบาง"นายหญิงข้าน้อยบังอาจขอถอดให้ก่อน " เสิ่นอวี้เป็นอะไรไป หรือว่าจะจำได้แล้วว่าเคยรู้จัก มู่หรงเจินหยา




หน้ากระจกปรากฏภาพชายหญิงงเงามตรงหน้ากนะจก ห่วงสร้อยถูกถอดออกดส้นผลปล่อยยาว 




พระอาทิตย์ตกแล้วเกรงส่าคืนนี้ข้าจะได้กลืนกินคนงามครั้งแรกในชีวิต




ฮ่าๆๆ เทพธิดาเช่นนางอย่างลิ้มลองสัมพันธ์แปลกใหม่เช่นกัน..บางทีก็ดีเหมือนกัน