วันหนึ่งเขาได้เจอนาฬิกาเรือนหนึ่งจากร้านขายของเก่าหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป...

ดั่งปรารถนา - ตอนที่ 6 เพื่อนบ้าน โดย คุณสีชา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ข้ามเวลา,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ดั่งปรารถนา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,ข้ามเวลา

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

ดั่งปรารถนา โดย คุณสีชา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

วันหนึ่งเขาได้เจอนาฬิกาเรือนหนึ่งจากร้านขายของเก่าหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป...

ผู้แต่ง

คุณสีชา

เรื่องย่อ

สารบัญ

ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 1 ฉายซ้ำ,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 2 กลับบ้าน,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 3 วันแรก,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 4 เรื่องเล่า,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 5 ขอโทษ,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 6 เพื่อนบ้าน,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 7 เพื่อนใหม่,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 8 ความรู้สึก,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 9 สารภาพ,ดั่งปรารถนา-ตอนที่ 10 ห่างเหิน

เนื้อหา

ตอนที่ 6 เพื่อนบ้าน

4 ปีที่แล้ว

ช่วงบ่ายแก่ ๆ ชายหนุ่มในวัย 18 ย่าง 19 ปี ที่นั่งวาดรูปเล่นอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนบริเวณในรั้วบ้านของเขา รูปวาดที่ชายหนุ่มวาดส่วนใหญ่จะเป็นรูปทิวทัศน์มากกว่าการวาดรูปบุคคล เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงไม่ค่อยสุงสิงกับใครกับเพื่อนสนิทอย่างภูมิเองก็นาน ๆ ครั้งที่จะออกไปข้างนอกด้วยกัน เขาเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน มีบ้างที่จะออกข้างนอกแต่ก็คงไม่พ้นสวนสาธารณะแถวบ้าน ชายหนุ่มเพียงต้องการพื้นที่ที่สงบในการวาดรูปเพียงเท่านั้น

ชายหนุ่มที่วาดรูปอย่างตั้งใจ พร้อมสวมหูฟังครอบหูไว้ เพียงเท่านี้เขาก็สามารถจมดิ่งในโลกของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

กริ๊ง!

เสียงกดกริ่งหน้าบ้าน

กริ๊ง!

เสียงกริ๊งดังขึ้นครั้งที่สองเมื่อไม่มีใครเปิดมัน

“อากาศลูก ใครมากดกริ่ง ช่วยออกไปดูให้แม่หน่อยได้ไหม” คุณแม่ที่กำลังทำความสะอาดห้องครัวเลื่อนบานหน้าต่างออกและเรียกชายหนุ่มให้หลุดออกจากภวังค์

“…”

“อากาศ” เสียงคุณแม่ดังขึ้น

“ครับผม! แม่ว่าอย่างไรนะครับ” ชายหนุ่มสะดุ้งตัวพร้อมหันไปหาแม่ของเขา

“ช่วยออกไปดูให้แม่หน่อยว่าใครมา ตัวแม่เปื้อน”

“ครับ”

ชายหนุ่มวางทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ไว้บนโต๊ะและเดินไปยังบริเวณรั้วบ้านและเปิดประตูเล็กออกเพื่อดูว่าใครที่มาหากัน

ชายหนุ่มเปิดประตูออกและก้มลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายมีสูงน้อยกว่าเขา

“สวัสดีครับ มาหาใครครับ” อากาศถามออกไป

“…”

“น้องครับ” อากาศเรียกฝ่ายตรงข้ามเพราะเดาจากหน้าตาคงอายุน้อยกว่าเขาพร้อมโบกมือบริเวณหน้าของอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนมองเขานิ่ง ๆ

“เอ่อ...สวัสดีค่ะหนูชื่อฟองฝนค่ะ เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่อยู่ข้าง ๆ บ้านพี่ค่ะ” หญิงสาวพูดแนะนำตัวเอง

“อ๋อครับ”

[Fong fon’ s part]

สวัสดีค่ะฉันชื่อฟองฝนปีนี้อายุ 17 ปีแล้วค่ะ ฉันย้ายมาตามคุณพ่อค่ะ ท่านได้งานที่นี่เราเลยย้ายมาค่ะ ฉันย้ายมาได้สองวันแล้ว วันนี้วันเสาร์คุณแม่เลยวานให้ฉันมาทักทายเพื่อนบ้านเพราะท่านไปทำธุระข้างนอก ฉันกดกริ่งอยู่หน้าบ้านของเพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ กัน ยืนอยู่นานกว่าจะมีคนเปิดประตูออกมาฉันได้ยินเสียงจากข้างในว่ามีคนอยู่จึงกดกริ่งซ้ำอีกครั้ง แต่ฉันเองก็ไม่คาดคิดว่าคนที่เปิดประตูออกจะเป็นผู้ชายสูงประมาณ 180 เซนติเมตรได้ล่ะมั้ง หน้าตาเขาค่อนข้างดี ไม่สิ หน้าตาดีเลยล่ะ ผมยุ่ง ๆ ที่มีเสน่ห์ จมูกที่โด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากบางที่ออกสีคล้ำ มันทำให้ฉันละสายตาไม่ได้เลยล่ะ การแต่งตัวของเขาก็เป็นเพียงเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนสามส่วนพร้อมหูฟังครอบหูที่คล้องคอ โดยรวมแล้วดูดีที่สุดในสายตาฉัน ฉันคงยืนมองอยู่นานจนทำให้พี่เขาถึงขั้นโบกมือเพื่อเรียกสติ เมื่อได้สติฉันก็รีบแนะนำตัวเองทันที

[Fong fon’ s part end]

“ใครมาหาน่ะลูก” คุณแม่ที่เดินออกมาดูเมื่อเห็นว่าผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วนานเกินไป

“เพื่อนบ้านน่ะครับ เห็นบอกเพิ่งมาใหม่” อากาศตอบกลับไป

“คุณน้าสวัสดีค่ะ หนูชื่อฟองฝน เพิ่งมาอยู่บ้านข้าง ๆ คุณแม่ไปทำธุระข้างนอกเลยวานให้หนูมาทักทายแทนค่ะ เดี๋ยววันหลังคุณแม่จะมาทักทายด้วยตัวเองค่ะ” หญิงสาวที่เห็นคนมาใหม่จึงรีบแนะนำตัวเองพร้อมกับยิ้มให้

“อ๋อจ๊ะ ก็ว่าน้าเห็นเหมือนได้ยินเสียงจากข้างบ้าน บ้านหนูเองเหรอจ๊ะ”

“ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้มาทักทายตั้งแต่ย้ายเข้ามา”

“ไม่เป็นไรจ้ะ”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมยิ้มให้

“ว่าแต่พี่ชื่ออะไรเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามออกไป

“อ๋อพี่เขาชื่ออากาศ ส่วนน้าชื่อมะลิจ๊ะ” คุณแม่มะลิแนะนำตัวเองและลูกชาย

“แม่ไปบอกเธอทำไมล่ะ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สะกิดแม่ของตัวเองพร้อมพูดเบา ๆ

“จะหวงจะทำไมแค่ชื่อเอง ยังไงก็เพื่อนบ้านกันเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”

“สวัสดีค่ะพี่อากาศ” ฟองฝนเอ่ยทักทาย

“….” อากาศเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“วันนี้หนูอยู่คนเดียวเหรอคะ เข้ามาข้างในก่อนไหม” คุณแม่อากาศเอ่ยชวน

“เอ่อ...พอดีว่าหนูต้องไปสวัสดีบ้านอื่น ๆ ด้วยค่ะ บ้านนี้เป็นหลังแรก” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างเบาพร้อมยิ้ม ให้

“อ้าวเหรอ งั้นไว้วันหลังนะจ๊ะ ไว้ว่าง ๆ แวะมาได้นะคะช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอมใช่ไหมคะ มาเล่นกับพี่เขาได้นะ”

“จริงเหรอคะ?”

“ค่ะ”

“งั้นไว้หนูมาเล่นด้วยนะคะพี่อากาศ เจอกันนะคะ ขอตัวลาก่อนนะคะ” ฟองฝนหันไปพูดกับอากาศและหันมาลาคุณแม่

หลังจากที่ฟองฝนเดินออกไปอากาศก็หันไปมองคุณแม่อย่างไม่พอใจที่พูดอย่างนั้นออกไป

“ทำไมมองแม่อย่างนั้น?”

“ก็แม่ไปบอกอย่างนั้นกับเธอทำไมล่ะครับ”

“เรียกน้องดี ๆ หน่อยสิ เอาน่ายังไงเราก็รอผลประกาศเข้ามหาลัยอย่างเดียวแล้วนี่ ให้น้องมาเล่นด้วยจะเป็นอะไรไป น้องคงเหงาแย่เพิ่งจะย้ายเข้ามา”

“แต่แม่ครับ...”

“เอาล่ะ ๆ เข้าบ้านกันก่อน”

.

.

.

บ่ายวันต่อมา

ครอบครัวของฟองฝนเข้ามาทักทายบ้านของอากาศอย่างเป็นทางการมีเพียงฟองฝนและคุณแม่เท่านั้นคุณพ่อของเธอยังคงไม่ว่าง ทั้งคู่เตรียมของและเดินไปกดกริ่งบ้านข้าง ๆ รอเพียงไม่นานประตูรั้วก็ถูกเปิด ครั้งนี้เป็นคุณแม่ของอากาศที่ออกมาเปิดประตู

“ไม่ทราบว่ามาหา...อ้าวหนู นึกว่าใครซะอีก”

“สวัสดีค่ะคุณน้านี่แม่หนูค่ะ”

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่เมื่อวานไม่ได้มาด้วยตัวเองนะคะ”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ เมื่อวานหนูฟองฝนมาทักทายแล้วค่ะ...งั้นเชิญข้างในก่อนนะคะ” คุณแม่ของอากาศเชิญทั้งคู่เข้าไปยังตัวบ้าน

“ขอบคุณนะคะ”

ทั้งสามเดินเข้าไปในตัวบ้านโดยมีเจ้าบ้านเดินนำ ในมือของคุณแม่เมย์ถือขนมอย่างลูกชุบเพื่อเป็นของฝากติดไม้ติดมือในการมาทักทายเพื่อนบ้านในวันนี้

เมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้วก็พบกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก

“อากาศลูก สวัสดีคุณน้าเมย์ก่อนค่ะ” คุณแม่มะลิพูดกับลูกชายตัวเอง

“สวัสดีครับคุณน้า” ชายหนุ่มเงยหน้าจากสิ่งที่ทำอยู่

“สวัสดีค่ะ”

“พี่อากาศ…” ฟองฝนเอ่ยทักทายอากาศพร้อมโบกมือ

“….” ชายหนุ่มมองนิ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะขอตัวขึ้นไปข้างบน “ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็ลุกเดินขึ้นไปยังด้านบน

“ลูกคนนี้นี่...ขอโทษแทนลูกชายด้วยนะคะ” คุณแม่มะลิตำหนิลูกชายตัวเองเสียงเบาพร้อมจะหันมาขอโทษขอโพยแทนลูกชายของเธอ

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันเข้าใจ”

“งั้นเชิญนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบน้ำมาให้”

“เอ่อ... อันนี้เป็นลูกชุบที่ฉันทำมาฝากค่ะ”

“ว้าย! ตายแล้ว! ไม่ต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาก็ได้นะคะ เกรงใจจัง แต่ก็ขอบคุณนะคะเดี๋ยวฉันเอาไปใส่จานให้นะคะ”

ฟองฝนได้แต่นั่งมองผู้ใหญ่คุยกัน เธอนั่งจนกระทั่งเย็น ในที่สุดแม่ของเธอก็ขอตัวลา

“อยู่ทานข้าวด้วยกันสิคะ” คุณแม่มะลิเอ่ยชวน

“เอ่อ...เอาไว้วันหลังนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะสำหรับวันนี้”

“เช่นกันค่ะ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เสมอเลยนะคะแล้วก็ลูกชุบอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ งั้นลานะคะ”

“ค่ะ”

หลังจากที่กลับมาจากบ้านข้าง ๆ ฟองฝนก็ช่วยคุณแม่เตรียมอาหารเย็นรอคุณพ่อกลับมา บทสนทนามากมายบนโต๊ะอาหาร มื้ออาหารเย็นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

ฟองฝนช่วยคุณแม่เก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่จะขอตัวขึ้นไปข้างบนห้องนอนตัวเอง

หญิงสาวเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จเรียบร้อยก่อนที่เห็นว่าหน้าต่างห้องของเธอตรงกันกับห้องของชายหนุ่มที่อยู่บ้านข้างกัน

ฟองฝนเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่เธออยากทักทายจึงหาวิธีโดยการเปิดประตูหน้าต่างห้องตัวเองออกก่อนจะหยิบหินก่อนเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระถางต้นไม้ในห้องของเธอ ก่อนจะทำการขว้างใส่หน้าต่างของอีกฝ่าย ครั้งแรกชายหนุ่มยังไม่รู้สึกตัว ส่วนเธอก็ไม่ยอมแพ้ก่อนจะหยิบอีกก้อนและขว้างมันอีกครั้ง ครั้งนี้อีกฝ่ายรู้สึกตัวแล้ว

ชายหนุ่มมองหาต้นเสียงว่ามันเป็นเสียงจากอะไร เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีใครอีกคนยืนโบกมือให้เขา เมื่อเห็นดังนั้นสีเขาหน้าของเขาแทบจะปิดไม่อยู่เมื่อถูกรบกวน เขามองเธอด้วยสายตาจ้องเขม็งก่อนจะดึงม่านปิด

หญิงสาวที่เห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองมาก็อดใจแป้วไม่ได้เธอเพียงต้องการทักทายและทำความรู้จักให้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดึงม่านหนี เธอเองก็ปิดประตูหน้าต่างก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือก่อนจะหยิบหนังสือมาทบทวนก่อนเปิดเทอมโดยที่เธอเองก็ยังไม่ได้ปิดม่าน

[Akat’ s part]

หลังจากที่ผมขึ้นมาข้างบนตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันผมก็คลุกตัวอยู่ในห้องจนเมื่อเย็นคุณแม่เดินมาเคาะประตูเพื่อเรียกให้ไปทานข้าวเย็น เมื่อทานทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เดินขึ้นห้องและมานั่งที่ประจำผมนั่นก็คือโต๊ะริมหน้าต่างที่ผมมักจะมานั่งวาดรูปตรงนี้ทุกคืนก่อนนอน ผ่านไปสักพักผมก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นเหมือนมีบางอย่างกระทบกับหน้าต่างห้องผมแต่ก็คิดว่าตัวเองคงจะหูฝาดไปเอง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเมื่อผมได้ยินมันเป็นครั้งที่สอง ผมเงยหน้าหาต้นเสียงว่ามันมาจากไหนก่อนที่ตาของผมจะไปสะดุดกับใครบางคนที่ยืนโบกมือให้ผมพร้อมกับยิ้มให้อยู่ฝั่งตรงข้ามผมเองก็เพิ่งสังเกตว่าข้างตรงข้ามนั่นเป็นห้องของเธอ เมื่อเห็นดังนั้นผมไม่ได้โบกมือทักทายกลับไปผมทำเพียงมองเธอและปิดม่านไป หลังจากที่ผมปิดม่านก็ยังได้ยินเสียงกระทบกับอย่างอีกสองครั้งก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบไป ผมจึงตัดสินใจเปิดม่านออกก็เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ที่โต๊ะน่าจะเป็นโต๊ะเขียนหนังสือและเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าทางทึ้งผมตัวเองถ้าให้เดาก็หัวหมุนกับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า ผมมองก่อนจะระบายยิ้มออกมากับท่าทางเหล่านั้น

[Akat’ s part end]